“แม่หญิง!! โธ่ แม่หญิง...” จันร้องไห้ฮือออกมาอย่างไม่อายฟ้าอายดินห่วงก็แต่แม่หญิงของตนที่ถูกลากขึ้นเรือนมาเพราะความโกรธของออกพระรามที่ดูท่าคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่
“ออกพระท่านเจ้าคะ ฮือๆ อย่าได้ลงโทษแม่หญิงเลยนะเจ้าคะ”
“พวกเอ็งก็อีกคน! มิรู้จักห้ามปรามแม่หญิงของเอ็งเสียบ้าง! กูจักโบยให้เข็ดหลาบกันเสียหมดทุกผู้ทุกตัวคน!!”
“อย่าตีพวกพี่เขานะคะ!! ถ้าโกรธข้าก็ตีข้าแค่คนเดียว” พริกแกงยังคงเอ่ยเสียงแข็ง
“เวลานี้ออเจ้ายังมิรู้คิดอีกรือ!”
“เสียงดังเรื่องกระไรกัน...เอะอะกันเสียให้วุ่นไปหมด” ออกญาเจ้าเรือนเดินออกมาพร้อมไม้เท้าค้ำยันร่างโดยมีคุณหญิงซ่อนกลิ่นคอยพยุงด้วยสีหน้าดุดันจนทุกคนเงียบกริบ
“มีเรื่องกระไรรือพ่อราม” คุณหญิงซ่อนกลิ่นเอ่ยขึ้นถามอย่างใจเย็นก่อนจะสอดส่องเมียงมองทุกคนอย่างหาคำตอบแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาสักคน จะมีก็แต่...
“แม่หญิงเจ้าค่ะ...ย่องไปลงหาอ้ายทองถึงใต้ถุนเรือนกลางดึก ออกพระท่านรู้เข้าจึงโกรธ” แจ่มพูดขึ้นก่อนที่จะ
“แม่หญิงมีไข้เจ้าค่ะ” สาลี่เอ่ยตอบ ออกพระรามจึงชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องก่อนจะยิ้มออกมาราวกับพอใจที่เธอป่วย“ถ้าเช่นนั้นข้าจักบอกหมื่นสุนทรให้กลับไปเสียก่อน คราหน้าค่อยมาใหม่”“ไหวค่ะ!! ข้าจะออกไป” พริกแกงรีบโพลงขึ้นทันทีเพราะความที่อยากเห็นโมเม้นต์ของทั้งสอง อยู่ๆ เลือดสาววายก็สูบฉีดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเธอแค่อยากรู้ว่าคู่เกย์สมัยอยุธยาเขาพลอดรักไปมาหาสู่กันยังไงก็แค่นั้น อุตส่าห์ได้เกิดมาในยุครุ่นเก่าจะพลาดได้ยังไงไม่ใช่ว่าใครก็มาเห็นได้เสียเมื่อไหร่“ออเจ้ามิต้องฝืนดอก หลังลายกระนั้นยังกล้าออกไปพบแขกเหรื่อมิอายรือ?” ออกพระรามถึงกับขมวดคิ้วแน่นหันไปมองหญิงสาวที่พยายามจะลุกจากเตียงและก็ลุกขึ้นได้สำเร็จราวกับไม่เป็นอะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้กระตือรือร้นขนาดนั้นหรือเป็นเพราะว่าแขกนั้นเป็นชาย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ....“ไม่เป็นไรแล้วเห็นไหม” พริกแกงรีบวิ่งออกไปทั้งที่ยังนุ่งแค่เกาะอกไม่ได้มีผ้าคลุมอย่างที่ควรจะเป็นจนออกพระรามถึงกับเบือนหน้าหันหนีไปทางอื่นแทบจะทันที ถ้าเธอไม
“งั้นข้าขอไปด้วย” พริกแกงพูดขึ้นหลังจากที่แม่เดือนแรมบอกว่าจะไป สีหน้าของเธอที่ร้องบอกจ้องมองออกพระรามอย่างตื่นเต้นระริกระรี้จนออกพระรามถึงกับขมวดคิ้วมุ่น“ไยออเจ้าจักไป ข้ามิได้เที่ยวเล่น”“ก็อยากรู้ว่าโรงละครจะเหมือนโรงหนังไหม? ทีแม่เดือนแรมยังไปได้เลย” พูดขึ้นอย่างไม่ยอม“จักเหมือนโรงหนังใหญ่ได้อย่างไร ที่ละโว้มิเคยไปรือ?” พริกแกงส่ายหน้าไปมาแล้วทำหน้าสลดมองออกพระรามตาปริบๆ ออดอ้อน เขาทอดถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้าไปมา“ทำไมล่ะ เจ๊? นะนะ แม่เดือนแรมยังไปเลย”“แม่เดือนแรมเขาดูแลตนเองได้ พอมีวิชาการต่อสู้อยู่บ้าง แต่ออเจ้า...”“ข้ามีนะ! ไม่เชื่อลองมาต่อยกันสักยกมะ?” พูดสวนไปอย่างหนักแน่นและกำหมัดยกขึ้นหันไปทางออกพระราม ทุกคนต่างตกใจกับท่าทางของเธอก่อนจะหลุดขำ เพราะสายตาของออกพระจึงต้องกลั้นขำแล้วหันไปคนละทิศละทางพริกแกงไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไรทั้งนั้นอย่างมากก็แค่เคยมีเรื่องชกต่อยตอนเรียนประถมเท่านั้น ตามประสาเด็กบ้านนอกโรงเรียนในชุมชน“กิริ
“ออเจ้า...จักลองดีกับข้าใช่รือไม่..” ออกพระรามยังคงทำหน้าดุ กำมือแน่นเพื่อระงับโทสะ เมื่อเห็นเธอเดินออกมาด้วยสไบผ้าบางสีแดงเช่นเดิม เกาะอกด้านในก็ไม่เรียบร้อยไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม พริกแกงเชิดหน้ากอดอกอย่างไม่ยอม“ข้าให้โอกาสออเจ้าครานี้คราสุดท้าย...”“ท่านออกพระขอรับ จมื่นสุนทรมาถึงท่าหน้าเรือนแล้วขอรับ” อ้ายทองรีบขึ้นมาจากท่าน้ำมาบอกออกพระรามพอดิบพอดี เมื่อได้ยินอย่างนั้นตอนที่ออกพระรามหันไปหาอ้ายทองพริกแกงก็รีบวิ่งกระจิงออกไปทันที“แม่พริก!!!” ลำบากออกพระรามก็ต้องรีบวิ่งตามออกไปอย่างหงุดหงิด บ่าวทั้งสองได้แต่มองหน้ากันอย่างโล่งอก“ทำไมพวกเอ็งถึงยอมให้แม่หญิงแต่งตัวเช่นนั้น?” อ้ายทองอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น“ใครห้ามแม่หญิงได้รือ? เอ็งดูแลแม่หญิงดีๆ แล้วกัน” สาลี่เอ่ยขึ้นอย่างจำยอมฝากฝังแม่หญิงกับอ้ายทองไว้เพราะรู้ว่าอ้ายทองคิดอย่างไรกับแม่หญิงน่าจะปกป้องได้ เพราะถึงจะคิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากออกพระรามมีบุญคุณกับอ้ายทองมากอยู่และอ้ายทองก็เป็นคนเจียมเนื้อเ
“พี่ทอง! พี่กล้าขัดข้าเหรอ! เอิ้ก” พูดไปสะอึกไป คำพูดของเธอที่เรียกบ่าวนั้นทำให้คนอื่นๆ ต่างมองมาทางเธอเป็นตาเดียวและซุบซิบกันไม่หยุด คงไม่พ้นว่าเธอเป็นแม่หญิงที่จับบ่าวทำผัวแน่นอนหรือไม่ก็หญิงงามเมืองเลือกบ่าวเป็นผัวเพราะเสียงของเธอแผดดังขึ้นลั่นโถงโรงละครแม้ว่าละครจะโหมโรงอยู่บนเวทีก็ตาม แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนอื่นๆ รอบๆ หันไปมองเธอเป็นตาเดียว สายตาผู้ชายมองเธออย่างกระลิ้มกระเลี่ยอยากที่จะเข้ามาหาเพราะคิดว่าเธอเป็นหญิงงามเมืองที่มาเที่ยวโรงละครเหมือนๆ หญิงงามเมืองคนอื่นๆ และแน่นอนว่าออกพระรามเองก็หันไปมองคู่หมายของเขาเช่นกัน“แม่หญิงจ้ะ...เวลานี้แม่ว่างให้พี่ขุนคนนี้ไปแทนอ้ายบ่าวรือไม่?” ว่าแล้วก็มีชายวัยกลางคนที่น่าจะมีตำแหน่งออกขุนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับจับข้อมือเธอไว้ลูบคลำอย่างได้ใจ อ้ายทองเห็นอย่างนั้นก็รีบจับมือยั้งการกระทำของชายคนนั้นไว้แล้วทำหน้าดุจนลืมไปว่าตัวเองเป็นบ่าว“ท่านขุนมิควรกระทำเช่นนี้ขอรับ แม่หญิงเป็นถึง...”“ไม่เป็นไรๆ อยากไปเหรอ? เอาสิ เลี้ยงเหล้าด้วยใช่มะ?” พูดไปอย่างไม่มีสติ คิด
“แล้วผู้ใดจักพายเรือให้ท่าน...” อ้ายทองพูดแย้งขึ้นแต่ก็ไม่ทันที่จะได้พูดจบ สายตาของออกพระรามปราดมองเขาจนต้องเงียบปากไปอย่างเสียไม่ได้ อ้ายทองไม่เคยเห็นออกพระรามโกรธมากขนาดนี้มาก่อน“ขอรับออกพระท่าน” อ้ายทองตอบรับก่อนจะรีบวิ่งออกไปทั้งที่ตัวเองก็ทุลักทุเลบาดเจ็บ เมื่ออ้ายทองวิ่งไปจนลับตาก็หันกลับมามองออกขุนผู้นั้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนออกขุนวัยกลางคนไม่กล้าขยับ ออกพระรามจึงหันไปคว้าแขนของพริกแกงที่กำลังตั้งท่าชกลมอย่างเมามัน“จะไปไหนอีกเจ๊” พูดไปเสียงยานคางแต่น้ำเสียงกลับดูออดอ้อนเพราะว่าเขาเป็นคนที่เธอรู้จัก ถึงจะเมาแต่ก็จำได้อยู่ว่าเขาคือใคร ไม่ได้เมาถึงขนาดที่ไม่มีสติขนาดนั้น (เหรอ?) แต่ออกพระรามกลับไม่พูดอะไรสักคำเดินนำหน้าจูงมือเธอไปอย่างเงียบๆ เงียบจนรู้สึกน่ากลัว เพราะมันผิดปกติ“โอ๊ย! ปล่อยได้แล้ว! ไม่อยากไปไหนแล้ว! ไม่ไปต่อแล้วนะ!” พูดแล้วก็สะบัดมือหนาของออกพระรามที่เธอเรียกว่าเจ๊ออก แต่ออกพระรามก็หันกลับมาคว้าข้อมือของเธออีกครั้งแล้วเดินต่ออย่างเงียบๆ เช่นเดิม จนไปถึงท่าเรือก็มีบ่าวนายท่าคอยประคองจับเรือไว้ให
คำพูดของเธอทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออกจ้องมองคนใต้ร่างนิ่งงัน มันจริงอย่างที่เธอว่าทั้งที่เขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่หญิงงามเมือง เธอแค่แต่งตัวผิดแปลกไปหน่อยและอาจจะโชว์เนื้อหนังมากไปสำหรับเขา“ข้าแค่....”“ปล่อย!!” ออกพระรามยอมปล่อยเธอแต่โดยดี ความโกรธที่มีพลันมลายหายไปทำให้เขาฉุกคิด พริกแกงลุกพรวดขึ้นเอามือปิดหน้าอกตัวเองจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง“ฉันไม่เคยระแวงเจ๊เลยนะ...ฉันไว้ใจเจ๊มากจนไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ต่อไปนี้ฉันจะคิดให้มากๆ จะไม่เข้ามาใกล้เจ๊อีก”พูดจบก็ลุกแล้วเดินไปยังประตูปลดกลอนๆ ม้ขัดวิ่งออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง และไม่รอฟังในสิ่งที่เขาจะพูดเลยสักคำ ออกพระรามได้แต่อ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังขาวเนียนนั้นจนลับตาไปก่อนจะได้ยินเสียงปิดประตูหอนอนกลายๆ พร้อมกับเสียงเรียกแม่หญิงของเหล่าบ่าวของเธอเท่านั้น“ข้าแค่มิใคร่ให้ออเจ้าแต่งกายเช่นนั้นและทำตัวเช่นนั้นต่อหน้าชายอื่น...” พูดเสียงแผ่วก่อนจะเดินไปหยิบผ้าสไบบางที่เขาเหวี่ยงมันทิ้งลงข้างเตียงขึ้นมากำไว้แน่นแล้วมองออกไปนอกหอนอนอย่างรู้สึก
“ข้าถาม ไยออเจ้ามิยอมตอบ” ออกพระรามขมวดคิ้วมองเธออีกครั้งที่นั่งนิ่งราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน พริกแกงที่เชิดหน้าหนีในตอนแรกก็ยอมหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เห็นสีหน้าขนาดนี้แล้วยังจะถามอีกเหรอ?”“สีหน้า? สีแดงที่แต่งแต้มบนใบหน้าออเจ้าน่ะรือ”“สีหน้าที่บอกว่า เซ็ง เบื่อที่จะเห็นหน้า”“เซ็ง? ...หมายว่ากระไร? ออเจ้าแค่ตอบว่าโกรธข้าจริงรือไม่เพียงเท่านั้น”“โอ๊ย ขี้เกียจจะคุย มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ชิ้วๆ” พูดพร้อมชี้นิ้วไปยังหอนอนตรงข้ามกับหอนอนเธอ แต่ออกพระรามกลับแค่หันไปมองตามปลายนิ้วนั้นแล้วก็หันกลับมาหาเธอดังเดิมบรรดาบ่าวที่นั่งอยู่ถึงกับหน้าเสียไม่กล้ามองหน้าออกพระรามเพราะคิดว่าเขาจะดุที่แม่หญิงขิงตนชี้นิ้วใส่หน้าเขา แต่กลับไม่เป็นอย่างที่บ่าวทั้งสองคิดเลย ออกพระรามแค่ถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้ที่ที่พริกแกงนั่งอยู่“แม่พริก...ข้าขอโทษได้รือไม่?”“ไม่ แล้วอย่ามาใกล้...รังเกียจ” พริกแกงพูดพร้อมกับเชิดหน้าหันไปทางอื่นอย่างที่เธ
“ไม่ได้ดั่งใจเลยสักนิด!” พูดแล้วกระฟัดกระเฟียดอยู่ท่าเรือหน้าบ้าน ใบหน้าสวยตอนนี้ทำหน้างอแงหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินไปเดินมาไม่หยุด ในหัวพยายามหาวิธีเอาคืนออกพระผู้นั้นที่กล้าแจ้งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงสำหรับเธอ ถึงจะจริงนิดหน่อยก็เถอะแต่มันก็ไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย“แม่หญิงนั่งลงก่อนเถอะเจ้าค่ะ บ่าวเวียนหัวไปหมดแล้ว” จันเอ่ยขึ้นมองแม่หญิงของตนที่ยังคงเดินไปเดินมาไม่หยุด พริกแกงหันไปมองบ่าวทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักคล้ายกับจะร้องไห้แต่ก็โกรธ“แต่ทว่า...บ่าวถามแม่หญิงได้รือไม่เจ้าคะ?” สาลี่เอ่ยขึ้นเงยหน้ามองแม่หญิงของตนด้วยความอยากรู้“ก็ว่ามาสิพี่”“แม่หญิงได้เสียเป็นผัวเมียกับออกพระท่านเมื่อใดเจ้าคะ บ่าวมิเห็นรู้เรื่องเลย”“โอ๊ย! ยังจะถามคำถามนี้อีกนะ!”“เออ อีสาลี่! เอ็งนี่โง่จริงๆ” จันเอ่ยขึ้นเสริม“ขนาดพี่จันยังรู้เลย!” พูดออกไปอย่างเหวี่ยงแล้วทำหน้ามุ่ย“ใช่เจ้าค่ะ...ข้ายังรู้เลยว่าแม่หญิงได้เสียเป็นผัวเมียกับออกพระท่านเ
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม
“เอ่อ...ก็...” พอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงสายตาของจหมื่นพันแสงเล็กน้อย ลอบสายตาขึ้นมองออกพระรามที่นิ่งเงียบจ้องมองเธออย่างรอคำตอบที่เธอจะตอบรับจหมื่นพันแสงเช่นกัน“คุณหมื่นยังไม่ได้ตอบคำถามข้าที่ถามก่อนเลยนะเจ้าคะ” หลีกเลี่ยงคำตอบแล้วหันไปถามจหมื่นพันแสงกลับ เมื่อได้ยินอย่างนั้นจหมื่นพันแสงก็ยิ้มหวานออกมารู้ได้ว่าเธอกำลังหลีกเลี่ยงแต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ“ออ...ที่มิบอกกันกงๆ เพราะแม่หญิงผู้นั้นมิอาจเอื้อมถึง หาใช่แม่หญิงที่ควรนึกถึงได้ไม่...ในเมื่อหักใจตัดเสียมิได้...ก็จักเลือกแสดงความรู้สึกผ่านดอกไม้ดอกนั้น หากแม่หญิงผู้นั้นคิดเช่นเดียวกันกับชายผู้ให้ ก็จักเก็บดอกไม้นั้นไว้กับตัว”“อ๋อ รักต้องห้ามสินะ” พริกแกงพยักเข้าใจในทันทีอย่างลืมตัว เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับคำตอบนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายสมัยก่อนนี้มีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย“แล้วแม่เล่า...จักเก็บดอกปีบนั้นไว้รือจักทิ้งมันไปเสีย?” หันไปถามเธอกลับ พริกแกงมองจหมื่นพันแสงก่อนจะหันไปมองออกพระรามที่มองเธอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บป
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั