เรือล่องไปตามแม่น้ำที่กว้างใหญ่ถ้าเทียบกับปัจจุบันที่ถูกถมดินไปกว่าครึ่งแม่น้ำ พริกแกงยังคงมองรอบๆตัวด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ แม้มันจะไม่ทันสมัยเหมือนที่เธอเคยเป็นอยู่แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความสวยงามแบบธรรมชาติที่คนไทยสรรค์สร้างขึ้น บ้านเรือนที่ปลูกด้วยไม้ดูเข้ากันกับต้นไม้มากมายรายล้อม มีทุ่งนาที่สามารถมองเห็นได้เป็นหย่อมๆตลอดทาง
เรือของออพระรามที่เธอนั่งโดยสารอยู่ด้วยก็ได้พายมาถึงหัวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาขนาบขนานระหว่างป้อมปืนและวัดนักบุญโจเซฟ ก่อนจะพายไปจอดถัดจากวัดนักบุญเลยคลองตะเคียนไปก็ถึงที่หมายที่เรียกว่าตลาดบ้านจีน ออกพระรามขึ้นจากเรือไปก่อนโดยไม่สนใจพริกแกงเลยสักนิดจนบ่าวคนสนิททั้งสามของเธอมาประคองขึ้นจากเรือแทน
“คนอะไรใจดำชะมัด” ขึ้นฝั่งได้ก็อดมองคนที่ยืนหันหลังตาขวางไม่ได้ เคยเห็นแต่ในละครที่บุรุษกรุงเก่าจะช่วยเหลือแม่หญิงงาม แต่ไม่เคยเห็นใครเมินแม่หญิงแบบเขาผู้นี้
“ออเจ้าก็ไปเดินชมตลาดกับบ่าวของออเจ้า ข้าก็จักไปทำธุระของข้า”
“ก็ต้องอย่างนั้นแหละค่ะ”
“อย่าได้เที่ยวทะเวนไปทั่วเพียงลำพังเป็นอันขาด”
“ค่า คุณออกพระ”
“อ้ายทอง มึงคอยตามแม่หญิงไปมิต้องตามกู...เป็นหญิงคงมิปลอดภัยเท่าใดนักถึงจักมีบ่าวติดสอยห้อยตามไปก็ตามที คงจะจักช่วยกระไรมิได้มากนัก”
ออกพระรามหันไปสั่งอ้ายทองบ่าวคนสนิทที่ติดตามเขาตลอดก่อนจะปรายตามองบ่าวทั้งสามของพริกแกงที่เคยปล่อยเธอคาดสายตาไปจนเกิดเรื่องในวันที่เข้าเรือนเขาวันแรก ทำเอาบ่าวทั้งสามหน้าเสียไม่กล้าที่จะสบตาออกพระสักคน
“ขอรับท่านออกพระ” อ้ายทองตอบรับอย่างเสียไม่ได้ จากที่ต้องคอยติดตามรับใช้ออกพระผู้เป็นนายก็ต้องมาตามติดคู่หมายของท่านแทนเนื่องจากเหตุที่เคยเกิดขึ้น
ออกพระรามได้ยินเสียงตอบรับเช่นนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเอาการคนหนึ่งเดินเข้ามารับ พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็อดที่จะชะเง้อคอพยายามมองชายคนนั้นไม่ได้ เพราะต้องการจะมองหน้าชัด
เธอจำได้ไม่ผิดแน่ๆ รูปร่างท่าทางแบบนี้คือคนเดียวกันกับคืนนั้นที่กอดร่ำลาออกพระผู้นี้ หรือจะให้ตรงๆก็คือแฟนหนุ่มของออกพระรามคู่หมั้นของเธอนั่นเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามมองหน้าเท่าไหร่ก็เหมือนมีคนคอยบังตลอดและไม่ใช่ใครที่ไหน...
“ออเจ้าชะเง้อคอมองหากระไรรือ?” ออกพระรามหันมาทำหน้าดุใส่เธอหลังจากที่เธอไม่ละความพยายามที่จะมองหน้าจหมื่นสุนทรสหายคนสนิทของเขา
“ก็...เปล๊า”
“เสียงสูงดังเปรตร้องออเจ้าจักให้ข้าเชื่อคำออเจ้างั้นรือ?”
“ก็แค่...อยากเห็นแฟน...เอ่อ...เพื่อนของคุณออกพระไงคะ? ไม่คิดจะแนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยเหรอ?”
“ออเจ้านี่ก็กระไร...มิมีแม่หญิงคนใดเอ่ยปากอยากรู้จักชายอื่นต่อหน้าคู่หมายดอกหนา” พูดไปพลางทำหน้าดุ
“ทำไมจะไม่ได้ละคะ มีมิตรสหายย่อมดีกว่ามีศัตรู”
“ออเจ้าช่างเป็นหญิงที่พูดจาเรื่อนเชื่อนเสียจริง” ออกพระรามอดทำเสียงดุพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหญิงสาวที่เถียงเขาคำไม่ตกฟากอย่างไม่สำนึก เธอทำหน้าตาไม่รู้ไม่ฟังไม่ยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวว่าทำให้เขารู้สึกเคืองไม่น้อย
“แม่หญิงอยากรู้จักข้ารือ?” จหมื่นหนุ่มเดินเข้ามาในสายตายืนข้างๆออกพระด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มและเกลี้ยงเกลาของเขาทำเอาเธอถึงกับอ้าปากค้างจ้องมองนิ่ง ท่าทางอย่างนั้นทำเอาออกพระรามไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักดูไม่สำรวมสมเป็นแม่หญิงเลยสักนิด
“คะ? ค่ะ...” พูดตะกุกตะกักไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเมื่อโดนถามตรงๆ เพราะยังอึ้งกับความหล่อคมของเขาอยู่
...โห...อย่างกับแก๊งหนุ่มฮอต ที่พระเอกละครพีเรียดมารวมกัน...บุญของอีพริกที่มีหนุ่มหล่อรายล้อม....
คิดไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะหันเหสายตาไปมองอ้ายทองบ่าวคนสนิทของออกพระรามเพื่อพิสูจน์ว่าความคิดของตัวเองไม่ได้ผิดไป อ้ายทองที่นั่งคุกเข่าอยู่รู้สึกถึงสายตาก็เงยหน้ามองแม่หญิงคู่หมายของเจ้านายแล้วทำหน้างงไม่น้อยกับสายตาประกายแวววับของเธอ...มองดูสายตานั้นแล้วขนลุกไม่น้อย...
“ทำไมรือแม่หญิง? มองหน้าอ้ายทองเช่นนั้น...แม่หญิงจักบอกว่าข้าหน้าเหมือนอ้ายทองบ่าวท่านออกพระรือ?”
“ฮะ? เปล่าๆ เปล่าเจ้าค่ะ...จะเหมือนได้ยังไงกันคะ แฮ่ๆ”
รีบปฏิเสธพันละวันแล้วยิ้มแห้งไม่อย่างนั้นคงโดนเคืองไม่น้อยที่ไปหาว่าเขาหน้าเหมือนบ่าวไพร่ เธอพอจะรู้อยู่บ้างเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนิสัยของผู้ชายสมัยอยุธยาที่ถือยศถืออย่างเป็นหลักซึ่งเป็นนิสัยที่เธอในยุคปัจจุบันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก เพราะผู้ชายสมัยนั้นเป็นแบบนี้ผู้หญิงเลยถูกกระทำเหมือนสินค้าขายอย่างกับวัวกับควายไม่ว่าชนชั้นไหน
มันคือความจริงมุมมืดของอยุธยาที่เธอเคยอ่านเจอในเว็บไซด์ต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกยุคทุกสมัยต่างมีด้านดีและไม่ดีเพียงแค่สื่อมักจะนำเสนอแต่ด้านดีๆ จนอยากที่เข้ามาอยู่ในยุคสมัยนั้นกันเลยทีเดียว แต่ไม่มีใครจะกล้าที่จะนำเสนอด้านมืดในความเป็นจริงที่มีอยู่พร้อมหลักฐานเลยสักคน
“ข้าชื่อสุนทร หรือจหมื่นสุนทร แม่หญิงเล่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
“ข้าชื่อ...เอ่อ...พริกแกง...” ตอบไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจกับชื่อตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้ว่าจะต้องตอบแบบสมัยไหนแต่ที่รู้ๆคือใครๆก็เรียกเธอว่าแม่พริกทั้งนั้นก็บอกชื่อจริงมันไปเลยแล้วกัน
“แปลกดี...แม่หญิงส่วนใหญ่ตั้งชื่อตามดอกไม้งาม แต่แม่หญิงกลับชื่อว่าพริกแกง” จหมื่นสุนทรพูดพร้อมยกยิ้มมองใบหน้าสวยของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“มิแปลกดอก...คุณหญิงศรีจันทร์ชอบทำครัวนัก จึงได้ตั้งชื่อลูกสาวตามความชอบ” ออกพระรามออกตัวตอบแทนทั้งที่ยังไม่มองหน้าคู่หมายของตน แค่ปรายตามองผ่านหางตาเท่านั้น
“งั้นรือ”
“ไปกันเถิด เรามีงานต้องเจรจาอยู่มาก” ออกพระรามพูดตัดบทก่อนจะเดินนำจหมื่นสุนทรไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อจมื่นสุนทรพูดบางอย่างกับแม่หญิงคู่หมาย
“ไว้มาเจรจากันอีกหนาแม่พริก คำพูดออเจ้าแปลกหูดีจริง...ข้าชักอยากรู้ความที่ออเจ้าพูด...”
“หมื่นสุนทรเทพ ชักช้าอยู่ไยเล่า”
ออกพระรามเรียกสหายตนขึ้นขัดก่อนที่จหมื่นสุนทรจะได้กล่าวจบประโยคเสียอีก จหมื่นสุนทรเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหลียวไปมองออกพระรามสหายตนเล็กน้อยแล้วยกยิ้มขึ้น ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้พริกแกงแล้วพยักหน้าเล็กน้อยยอมเดินจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ พริกแกงมองตามหลังชายหนุ่มทั้งสองแล้วหรี่ตายกยิ้ม
“ขี้หึงนะเนี่ยคุณออกพระ ข้าไม่แย่งแฟนหนุ่มคุณออกพระหรอกค่า แหม...” บ่นพึมพำกับตัวเองไปก่อนจะแบะปากยกยิ้มอย่างลืมตัวตามจริตของนางร้ายรุ่นใหม่ยุคปัจจุบัน เพราะสถานะเธอตอนนี้คงจะเหมือนนางร้ายที่เป็นตัวขัดขวางนายเอกกับพระเอกในซี่รี่ย์วายแน่นอนเชียว
“อุ๊ย! แม่หญิงอย่าทำสีหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ มิงาม!” สาลี่พูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของแม่หญิงของตัวเอง
“วู้! ไม่งามอีกและ! จะต้องทำหน้ากี่ซี่รี่ย์ละพี่สาลี่ถึงจะงามเนี่ย” บ่นไปพร้อมกับทำหน้าเซ็ง
“เอ่อ...ว่ากระไรนะเจ้าคะ? ทำหน้ากี่ซี่รี่ย์? ภาษากระไรเจ้าคะ?” จันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างที่สุดที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาที่ผู้เป็นเจ้านายพูดได้เลยสักคำ
“ทำหน้ากี่ซีรี่ย์ก็หมายถึง โมหน้ากี่ครั้งไงล่ะพี่จัน”
“โมหน้าคือกระไรเจ้าคะ? โมนี่คือแตงโมรือเจ้าคะ? แล้วแตงโมเกี่ยวอันใดกับหน้าเจ้าคะแม่หญิง” แจ่มถามย้ำอย่างไม่เข้าใจอีกคน
“โมหน้าไม่เกี่ยวกับแตงโม โมหน้าก็คือทำหน้า...โอ๊ย! ข้าเริ่มงงที่ตัวเองพูดเพราะพวกพี่เนี่ยแหละ!”
พริกแกงพูดจบก็เดินกุมขมับเข้าไปที่ตลาดทันที คร้านที่จะอธิบายภาษาในยุคใหม่ให้พวกบ่าวที่ติดตามมาฟังแล้วยิ่งพูดก็ยิ่ง งง ไปกันใหญ่ จัน แจ่ม สาลี่และอ้ายทองยืนคิ้วขมวดนับนิ้วอย่างสงสัยก่อนจะเกาหัวมองหน้ากันไปมา เมื่อเห็นว่าแม่หญิงของตนเดินเข้าไปในตลาดไกลแล้วก็รีบพากันวิ่งตามไปทันที
หลังจากพากันคิดมึนงงกับคำพูดชวนไม่เข้าใจและน่าปวดหัวก็ต่างพากันมาดูเครื่องประดับและผ้านุ่งผ้าแพร เจ้าแม่ยุคใหม่อย่างพริกแกงหรือจะไม่ดี๊ด๊ากับผ้าตรงหน้า ผ้าทุกชิ้นที่เธอหยิบล้วนเป็นสีแดงสด สีส้ม และสีชมพูบานเย็น สีทองอร่าม ที่เธอคิดจะเอามาตัดและให้บ่าวเย็บเป็นชุดเดรสสวยๆ ผ้าที่เธอซื้อมาวันนี้ล้วนแต่มาจากจีนทั้งนั้น
ไหนจะเครื่องประทินโฉมสีสดอีก แม่ค้าแม่ขายต่างมองเธออย่างแปลกใจ เพราะข้าวของส่วนใหญ่ที่นี่มักจะมีแต่สาวงามเมืองที่จะซื้อ น้อยนักที่จะมีแม่หญิงแม่นายมาเลือกซื้อเพราะสีออกจะสดใสไปเสียหน่อย อ้ายทองที่ติดสอยห้อยตามแม่หญิงมาตามคำสั่งของออกพระผู้เป็นนายก็มีหน้าที่แบกข้าวของที่แม่หญิงซื้อ
“พี่สาลี่ ที่นี่มีห้องลองเสื้อไหม?”
“ห้องลองเสื้อ...รือเจ้าคะ?”
“ก็ที่เปลี่ยนเสื้อน่ะ...ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“อ๋อ ที่ผลัดผ้ารือเจ้าคะ?”
“ใช่ นั่นแหละมีไหม? อยู่ไหน?”
“มิมีดอกเจ้าค่ะ จะผลัดผ้าก็ต้องเข้าพุ่มเข้าป่ากงชายนา...แต่มิมีแม่หญิงใดไปผลัดผ้านอกเรือนดอกเจ้าค่ะ”
“หากจะผลัดผ้าต้องกลับเรือนเสียก่อนเจ้าค่ะ” แจ่มเอ่ยต่อสาลี่
“โอ๊ย! ไกลอ่ะ...เปลี่ยนมันใกล้ๆนี่แหละ เบื่อจะใส่สไบสีกะทิแก่ๆเต็มทนละ”
“แม่หญิงเจ้าคะ...มิได้นะเจ้าคะ!” จันพยายามร้องห้ามแต่พริกแกงกลับเดินลอยลิ่วไปยังชายนาที่ใกล้ที่สุด มองซ้ายมองขวาหาพุ่มไม้แล้วคว้าผ้าสไบสีแดงสดที่อ้ายทองถือไว้พุ่งเข้าไปในพุ่มที่คิดว่าลับตาคนที่สุด
บ่าวทั้งสามทำได้แค่วิ่งไปเอาตัวบังกางแขนกันไว้ให้เพราะห้ามไม่ทันแล้วเมื่อแม่หญิงของตนถกถอดสไบของตัวเองออก อ้ายทองทำได้แค่ยืนหันหลังให้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ยังดีที่เธอคาดเกาะอกไว้ด้านในจะให้ใส่แต่สไบโล่งๆคงไม่เป็นที่น่าสบายใจเท่าไหร่มันออกจะโล่งๆเย็นๆหน้าอกไปเสียหน่อย ก่อนจะคาดปัดสไบสีแดงสดที่ตัวเองเลือกมาทันที
...นี่สิ อย่างอีพริกแกงสาวฮอตต้องสีแดงเท่านั้น....
“แม่หญิง...”
“รู้แล้วๆ เสร็จแล้ว”
“กระไรเสร็จเจ้าคะ?! เป็นแม่หญิงอย่าพูดจาเช่นนั้นมัน...”
“มิงาม อีกแล้ว?” พริกแกงพูดดักสาลี่ขึ้นมาทันทีพร้อมกับตั้งคำถาม มีคำพูดไหนที่เธอจะพูดได้บ้างล่ะเนี่ยไม่ว่าจะพูดจะจาอะไรก็ดูไม่งามไปเสียหมด พริกแกงเดินออกมาจากพุ่มไม้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไปรอบหนึ่งราวกับนางงาม เก็กท่าทางเท้าสะเอวอวดทรวดทรวงให้บ่าวทั้งสามดู จังหวะพอดีกับอ้ายทองที่หันมาเห็นพอดีถึงกับอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ
“เป็นไง สวยไหม?”
“งามเจ้าค่ะ” จันเอ่ย
“งามจนอ้ายทองอ้าปากค้างเลยเจ้าค่ะ” แจ่มเอ่ยต่อพร้อมกับหัวเราะเบาๆปรายตามองอ้ายทองที่ยังอ้าปากค้าง
“ดูเหมือนอ้ายทองจะตกใจว่าข้าแปลกมากกว่านะ” พริกแกงเอ่ยอย่างรู้ทันเมื่อมองสายตาของอ้ายทองที่ดูจะงุนงงสงสัยกับท่าทางไม่สมเป็นแม่หญิงของเธอ
“อ้ายทอง! เอ็งกล้ามองแม่หญิงของข้าแปลกรือ?!” สาลี่ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปถามอ้ายทองเสียงเข้ม
“มิได้ขอรับ...งามขอรับแม่หญิง” ต้องตอบอย่างจำยอมแม้ว่าจะสงสัย แต่ที่ตอบก็เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเธองดงามกว่าตอนแรกที่เข้าเรือนออกพระมา ตอนนั้นแทบจะพายเรือไม่รอดแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไปราวกับแปลงกายได้
...ฮึด!! ฮัด!! มออออ!!...
เสียงฮึดฮัดดังมากจากข้างหลังไม่ไกลจากพุ่มที่ผลัดผ้ามากนัก เพราะที่ที่เธอเข้ามาผลัดผ้านั้นมันเป็นนาหย่อมหนึ่งที่ติดกับตลาดเพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาพาดผ่าน อาจจะเป็นที่นาของขุนนางคนใดคนหนึ่งที่มีพื้นที่ใกล้ติดกับรั้ววังรั้ววัดและแน่นอนว่ามีนาก็ต้องมีวัวมีควาย...
“แม่หญิงขอรับ!! ระวาง!! ควายมันวิ่งมาแล้วขอรับ!!” อ้ายทองที่หันหน้าเข้าหาเธอเอ่ยร้องทักขึ้นเพราะแม่หญิงและบ่าวต่างหันหลังให้ทางนา
“ฉิบหายแล้วอีสาลี่!! แม่หญิงผลัดสไบสีแดง!!” แจ่มเอ่ยขึ้น
“แม่หญิงวิ่งเจ้าค่ะ! วิ่ง!!” สาลี่เอ่ยพร้อมกับคว้าข้อมือของพริกแกงพาวิ่งหนีเจ้าทุยที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างกับหลงใหลได้ปลื้มสไบสีแดงที่พริกแกงใส่อยู่ เร่งอุ้งเท้าเตรียมจะสอยสไบสีแดงสวยที่สะบัดพลิ้วเต็มที่
“กรี๊ดดดดดดดดด!!!! ไอ้ทุย!!! อย่ามาแย่งสไบฉันนะ!!!!” แหกปากร้องไปวิ่งหนีไอ้ทุยที่วิ่งทะยานเตรียมเข้าพุ่งชนเป้าหมายเต็มที่ ผ้าถุงไม่เป็นใจทำให้ก้าวเท้าวิ่งได้ไม่เต็มความยาวของขาท่าทางตอนนี้เธอเหมือนนกแพนกวินไม่มีผิด ได้ทีจึงถกผ้านุ่งขึ้นก้าวขาวิ่งอย่างไว ทำเอาคนทั้งตลาดมองเธอเป็นตาเดียว
แต่งตัวสวยวิ่งหนีควายขวิดคงไม่มีอะไรอัปยศอดสูเท่าชีวิตพริกแกงอีกแล้ว แม้แต่จะเห็นหลังคาอาบอบนวดอย่างที่ตั้งใจยังไม่ได้เห็นเลย อ้ายทองเห็นอย่างนั้นก็ยอมทิ้งข้าวของวิ่งไปหาแม่หญิงทันที
“แม่หญิงขอรับ!!! ระวาง!!!”
...ผลั่ก!! ซู้ม!!!...เสียงสุดท้ายที่ได้ยินราวกับหนังบู๊แอ็คชั่นที่เคยเห็นในละครโทรทัศน์ ร่างบางถูกผลักตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาหลังจากที่วิ่งหนีมาสักพัก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือร่างหนาของอ้ายทองก่อนที่เธอจะตกลงไปในน้ำนั้นถูกควายขวิดจนกระเด็นเธอตกลงในน้ำจมลึกลงเรื่อยๆ พริกแกงพยายามหรี่ตาสู้กับน้ำสีขุ่นนั้นพยายามว่ายน้ำขึ้นไปก่อนจะเห็นลางๆ ว่ามีคนกระโดดน้ำลงมามากมายเพื่อหาเธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะกระแสน้ำหรืออย่างไรดูพวกเขาห่างไกลจากเธอพอสมควร...จะตายอีกแล้วเหรอวะ...ถ้าตายแล้วจะได้กลับไปโลกเดิมไหมนะ...ลมหายใจที่เก็บกลั้นไว้เหลือน้อยเต็มที เธอใกล้จะกลั้นหายใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ได้ยินเสียงจากบนผิวน้ำแค่กลายๆ ของบ่าวทั้งสามที่ร้องห้มร้องไห้ไม่พักพยายามร้องเรียกให้คนช่วย ไม่ต่างจากชาวบ้านแม่ค้าที่ร้องเรียกให้มาช่วยคนตกน้ำ...ยุคนี้ก็ทำให้เห็นแล้วน่า ชาวสยามมีน้ำใจแค่ไหน...ดีจังที่ได้เห็นก่อนจะ...ตู้มมมม!!!...เสียงของคนกระโดดลงน้ำใกล้ๆ เธอดังขึ้นในวินาทีที่เธอแทบจะไม่เหลือสติ ร่างกายค่อยๆ จมลงสู่ใต้แม่น้ำเจ้าพ
พริกแกงแอบย่องลงมาจากเรือนเงียบๆ โดยมีบ่าวติดตามมาสองคน ส่วนแจ่มนั้นสาลี่บอกให้อยู่ดูต้นทางหน้าหอนอนของแม่หญิงแทน เธอเดินมายังใต้ถุนเรือนที่มืดสนิทเพราะบ่าวในเรือนต่างดับใต้ (ตะเกียงน้ำมันใส้ผ้าในกระป๋องไม่มีที่ครอบสมัยก่อน) กันหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงตรงที่แคร่ใต้ถุนเรือนที่ที่อ้ายทองนอนเอาหลังชี้ฟ้าอยู่เท่านั้น“หูย...หลอนกว่าบ้านผีสิงอีกนะเนี่ย” พริกแกงบ่นอุบพลางเดินเข้าไปชิดบ่าวทั้งสองแล้วมองไปรอบๆ ตัวที่บรรยากาศช่างน่ากลัว ถ้าเป็นยุคเธอพวกล่าท้าผีเป็นคอนเทนต์คงจะไม่พลาดมาล่าท้าผีที่นี่แน่ๆ“นั่นเจ้าค่ะ อ้ายทองนอนอยู่กงนั้น” สาลี่เอ่ยขึ้นพลางชี้ไปทางแคร่ที่อยู่ไม่ไกลสายตานัก พริกแกงหรี่ตามองก่อนจะเดินเข้าไปหาอ้ายทองที่แคร่นั่นโดยที่เจ้าตัวยังคงไม่รู้ตัว อาจจะเพราะความเจ็บแผลที่โดนโบยจนไม่ทันนึกถึงสิ่งรอบตัว จันเดินเอาตะเกียงที่ถือไปจ่อที่อ้ายทองก่อนที่เขาจะหันมามองตามแสงนั้นเงยหน้าขึ้นก็ตั้งท่าจะรีบลุกทันทีหลังจากเห็นผู้มาเยือน“ไม่ต้องลุกหรอก นอนพักเถอะค่ะ”“แม่หญิงลงเรือนมาดึกๆ ดื่นมีกระไรให้บ่าวรับใช้รือขอรับ
“แม่หญิง!! โธ่ แม่หญิง...” จันร้องไห้ฮือออกมาอย่างไม่อายฟ้าอายดินห่วงก็แต่แม่หญิงของตนที่ถูกลากขึ้นเรือนมาเพราะความโกรธของออกพระรามที่ดูท่าคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่“ออกพระท่านเจ้าคะ ฮือๆ อย่าได้ลงโทษแม่หญิงเลยนะเจ้าคะ”“พวกเอ็งก็อีกคน! มิรู้จักห้ามปรามแม่หญิงของเอ็งเสียบ้าง! กูจักโบยให้เข็ดหลาบกันเสียหมดทุกผู้ทุกตัวคน!!”“อย่าตีพวกพี่เขานะคะ!! ถ้าโกรธข้าก็ตีข้าแค่คนเดียว” พริกแกงยังคงเอ่ยเสียงแข็ง“เวลานี้ออเจ้ายังมิรู้คิดอีกรือ!”“เสียงดังเรื่องกระไรกัน...เอะอะกันเสียให้วุ่นไปหมด” ออกญาเจ้าเรือนเดินออกมาพร้อมไม้เท้าค้ำยันร่างโดยมีคุณหญิงซ่อนกลิ่นคอยพยุงด้วยสีหน้าดุดันจนทุกคนเงียบกริบ“มีเรื่องกระไรรือพ่อราม” คุณหญิงซ่อนกลิ่นเอ่ยขึ้นถามอย่างใจเย็นก่อนจะสอดส่องเมียงมองทุกคนอย่างหาคำตอบแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาสักคน จะมีก็แต่...“แม่หญิงเจ้าค่ะ...ย่องไปลงหาอ้ายทองถึงใต้ถุนเรือนกลางดึก ออกพระท่านรู้เข้าจึงโกรธ” แจ่มพูดขึ้นก่อนที่จะ
“แม่หญิงมีไข้เจ้าค่ะ” สาลี่เอ่ยตอบ ออกพระรามจึงชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องก่อนจะยิ้มออกมาราวกับพอใจที่เธอป่วย“ถ้าเช่นนั้นข้าจักบอกหมื่นสุนทรให้กลับไปเสียก่อน คราหน้าค่อยมาใหม่”“ไหวค่ะ!! ข้าจะออกไป” พริกแกงรีบโพลงขึ้นทันทีเพราะความที่อยากเห็นโมเม้นต์ของทั้งสอง อยู่ๆ เลือดสาววายก็สูบฉีดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเธอแค่อยากรู้ว่าคู่เกย์สมัยอยุธยาเขาพลอดรักไปมาหาสู่กันยังไงก็แค่นั้น อุตส่าห์ได้เกิดมาในยุครุ่นเก่าจะพลาดได้ยังไงไม่ใช่ว่าใครก็มาเห็นได้เสียเมื่อไหร่“ออเจ้ามิต้องฝืนดอก หลังลายกระนั้นยังกล้าออกไปพบแขกเหรื่อมิอายรือ?” ออกพระรามถึงกับขมวดคิ้วแน่นหันไปมองหญิงสาวที่พยายามจะลุกจากเตียงและก็ลุกขึ้นได้สำเร็จราวกับไม่เป็นอะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้กระตือรือร้นขนาดนั้นหรือเป็นเพราะว่าแขกนั้นเป็นชาย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ....“ไม่เป็นไรแล้วเห็นไหม” พริกแกงรีบวิ่งออกไปทั้งที่ยังนุ่งแค่เกาะอกไม่ได้มีผ้าคลุมอย่างที่ควรจะเป็นจนออกพระรามถึงกับเบือนหน้าหันหนีไปทางอื่นแทบจะทันที ถ้าเธอไม
“งั้นข้าขอไปด้วย” พริกแกงพูดขึ้นหลังจากที่แม่เดือนแรมบอกว่าจะไป สีหน้าของเธอที่ร้องบอกจ้องมองออกพระรามอย่างตื่นเต้นระริกระรี้จนออกพระรามถึงกับขมวดคิ้วมุ่น“ไยออเจ้าจักไป ข้ามิได้เที่ยวเล่น”“ก็อยากรู้ว่าโรงละครจะเหมือนโรงหนังไหม? ทีแม่เดือนแรมยังไปได้เลย” พูดขึ้นอย่างไม่ยอม“จักเหมือนโรงหนังใหญ่ได้อย่างไร ที่ละโว้มิเคยไปรือ?” พริกแกงส่ายหน้าไปมาแล้วทำหน้าสลดมองออกพระรามตาปริบๆ ออดอ้อน เขาทอดถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้าไปมา“ทำไมล่ะ เจ๊? นะนะ แม่เดือนแรมยังไปเลย”“แม่เดือนแรมเขาดูแลตนเองได้ พอมีวิชาการต่อสู้อยู่บ้าง แต่ออเจ้า...”“ข้ามีนะ! ไม่เชื่อลองมาต่อยกันสักยกมะ?” พูดสวนไปอย่างหนักแน่นและกำหมัดยกขึ้นหันไปทางออกพระราม ทุกคนต่างตกใจกับท่าทางของเธอก่อนจะหลุดขำ เพราะสายตาของออกพระจึงต้องกลั้นขำแล้วหันไปคนละทิศละทางพริกแกงไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไรทั้งนั้นอย่างมากก็แค่เคยมีเรื่องชกต่อยตอนเรียนประถมเท่านั้น ตามประสาเด็กบ้านนอกโรงเรียนในชุมชน“กิริ
“ออเจ้า...จักลองดีกับข้าใช่รือไม่..” ออกพระรามยังคงทำหน้าดุ กำมือแน่นเพื่อระงับโทสะ เมื่อเห็นเธอเดินออกมาด้วยสไบผ้าบางสีแดงเช่นเดิม เกาะอกด้านในก็ไม่เรียบร้อยไม่เปลี่ยนเหมือนเดิม พริกแกงเชิดหน้ากอดอกอย่างไม่ยอม“ข้าให้โอกาสออเจ้าครานี้คราสุดท้าย...”“ท่านออกพระขอรับ จมื่นสุนทรมาถึงท่าหน้าเรือนแล้วขอรับ” อ้ายทองรีบขึ้นมาจากท่าน้ำมาบอกออกพระรามพอดิบพอดี เมื่อได้ยินอย่างนั้นตอนที่ออกพระรามหันไปหาอ้ายทองพริกแกงก็รีบวิ่งกระจิงออกไปทันที“แม่พริก!!!” ลำบากออกพระรามก็ต้องรีบวิ่งตามออกไปอย่างหงุดหงิด บ่าวทั้งสองได้แต่มองหน้ากันอย่างโล่งอก“ทำไมพวกเอ็งถึงยอมให้แม่หญิงแต่งตัวเช่นนั้น?” อ้ายทองอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น“ใครห้ามแม่หญิงได้รือ? เอ็งดูแลแม่หญิงดีๆ แล้วกัน” สาลี่เอ่ยขึ้นอย่างจำยอมฝากฝังแม่หญิงกับอ้ายทองไว้เพราะรู้ว่าอ้ายทองคิดอย่างไรกับแม่หญิงน่าจะปกป้องได้ เพราะถึงจะคิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากออกพระรามมีบุญคุณกับอ้ายทองมากอยู่และอ้ายทองก็เป็นคนเจียมเนื้อเ
“พี่ทอง! พี่กล้าขัดข้าเหรอ! เอิ้ก” พูดไปสะอึกไป คำพูดของเธอที่เรียกบ่าวนั้นทำให้คนอื่นๆ ต่างมองมาทางเธอเป็นตาเดียวและซุบซิบกันไม่หยุด คงไม่พ้นว่าเธอเป็นแม่หญิงที่จับบ่าวทำผัวแน่นอนหรือไม่ก็หญิงงามเมืองเลือกบ่าวเป็นผัวเพราะเสียงของเธอแผดดังขึ้นลั่นโถงโรงละครแม้ว่าละครจะโหมโรงอยู่บนเวทีก็ตาม แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนอื่นๆ รอบๆ หันไปมองเธอเป็นตาเดียว สายตาผู้ชายมองเธออย่างกระลิ้มกระเลี่ยอยากที่จะเข้ามาหาเพราะคิดว่าเธอเป็นหญิงงามเมืองที่มาเที่ยวโรงละครเหมือนๆ หญิงงามเมืองคนอื่นๆ และแน่นอนว่าออกพระรามเองก็หันไปมองคู่หมายของเขาเช่นกัน“แม่หญิงจ้ะ...เวลานี้แม่ว่างให้พี่ขุนคนนี้ไปแทนอ้ายบ่าวรือไม่?” ว่าแล้วก็มีชายวัยกลางคนที่น่าจะมีตำแหน่งออกขุนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับจับข้อมือเธอไว้ลูบคลำอย่างได้ใจ อ้ายทองเห็นอย่างนั้นก็รีบจับมือยั้งการกระทำของชายคนนั้นไว้แล้วทำหน้าดุจนลืมไปว่าตัวเองเป็นบ่าว“ท่านขุนมิควรกระทำเช่นนี้ขอรับ แม่หญิงเป็นถึง...”“ไม่เป็นไรๆ อยากไปเหรอ? เอาสิ เลี้ยงเหล้าด้วยใช่มะ?” พูดไปอย่างไม่มีสติ คิด
“แล้วผู้ใดจักพายเรือให้ท่าน...” อ้ายทองพูดแย้งขึ้นแต่ก็ไม่ทันที่จะได้พูดจบ สายตาของออกพระรามปราดมองเขาจนต้องเงียบปากไปอย่างเสียไม่ได้ อ้ายทองไม่เคยเห็นออกพระรามโกรธมากขนาดนี้มาก่อน“ขอรับออกพระท่าน” อ้ายทองตอบรับก่อนจะรีบวิ่งออกไปทั้งที่ตัวเองก็ทุลักทุเลบาดเจ็บ เมื่ออ้ายทองวิ่งไปจนลับตาก็หันกลับมามองออกขุนผู้นั้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนออกขุนวัยกลางคนไม่กล้าขยับ ออกพระรามจึงหันไปคว้าแขนของพริกแกงที่กำลังตั้งท่าชกลมอย่างเมามัน“จะไปไหนอีกเจ๊” พูดไปเสียงยานคางแต่น้ำเสียงกลับดูออดอ้อนเพราะว่าเขาเป็นคนที่เธอรู้จัก ถึงจะเมาแต่ก็จำได้อยู่ว่าเขาคือใคร ไม่ได้เมาถึงขนาดที่ไม่มีสติขนาดนั้น (เหรอ?) แต่ออกพระรามกลับไม่พูดอะไรสักคำเดินนำหน้าจูงมือเธอไปอย่างเงียบๆ เงียบจนรู้สึกน่ากลัว เพราะมันผิดปกติ“โอ๊ย! ปล่อยได้แล้ว! ไม่อยากไปไหนแล้ว! ไม่ไปต่อแล้วนะ!” พูดแล้วก็สะบัดมือหนาของออกพระรามที่เธอเรียกว่าเจ๊ออก แต่ออกพระรามก็หันกลับมาคว้าข้อมือของเธออีกครั้งแล้วเดินต่ออย่างเงียบๆ เช่นเดิม จนไปถึงท่าเรือก็มีบ่าวนายท่าคอยประคองจับเรือไว้ให
พริกแกงเริ่มเล่าที่มาของเธอว่าเธอนั้นมาจากอนาคตอีกสี่ร้อยปีข้างหน้า เพื่อมาแก้ไขไม่ให้ตัวเองอายุสั้นและการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปฝืนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลต่ออนาคต ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เนื่องจากเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ หลายอย่างจากที่ผ่านมา“ต่อไปกาลข้างหน้า จักมีผู้เก่งกาจกอบกู้เมืองสยามแล้วไปตั้งเมืองหลวงที่อื่นรือ?” พริกแกงพยักหน้าให้กับคำถามของจหมื่นพันแสง“นานรือไม่ กว่าจักกอบกู้เมืองได้?” พระยารามเอ่ยขึ้นด้วยความอยากรู้“เจ็ด...” พริกแกงนำหน้าครุ่นคิด“เจ็ดปีเทียวรือ” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน พริกแกงส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ จากที่เธอเคยอ่านมา“เจ็ดเดือนเจ้าค่ะ”“เก่งประมาณนั้นเทียวรือ”“เก่งมากเลยล่ะเจ้าค่ะ...ไม่อย่างนั้นไทยก็คงไม่เป็นไทจนชั่วลูกชั่วหลาน” เมื่อได้ฟังอย่างนั้นทุกคนก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ ความรักชาติบ้านเมืองของชาวกรุงเก่านั้นเข้มขลังจนเธอรู้สึกขนลุกอีกครั้ง
“แม่พริก...เป็นกระไรไปรือ? ตั้งแต่พี่กลับมาออเจ้าก็มิร่าเริงเลยหนา” พระยารามเอ่ยถามพริกแกงหลังจากที่เขาเปลี่ยนผลัดผ้าเรียบร้อย เพราะเธอไม่เข้าไปใกล้เขาเลยตอนแต่งชุดนักรบ พริกแกงหันมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว“คุณพี่...จำที่เคยสัญญากับข้าได้ไหมเจ้าคะ?” พริกแกงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล พระยารามยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู“พี่จำได้แม่น...พี่มิได้มีเมียเล็กเมียน้อยดอกหนา ไปถึงสุโขทัยมิได้เข้าหอชำเรา มิได้แตะเนื้อต้องตัวหญิงใด”“ไม่ใช่เรื่องนั้นเจ้าค่ะ”“ออ...มิว่าจะเกิดกระไรขึ้น...” เขาเงียบไปครู่หนึ่งหลุบสายตามองพริกแกงที่รอฟังอย่างคาดหวัง พระยารามจึงดึงเธอเข้ามากอดปลอบโยนเธอแล้วเอ่ยขึ้น“พี่ก็จักมิมีวันฟันคอออเจ้าผู้ที่เป็นเมียพี่” เขาพูดขึ้น ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงนิ่งอึ้งค้างท่าทางเหมือนกลัวขนาดนั้นเมื่อตอนเห็นเขากลับมาพร้อมเครื่องราชย์เหล่านั้น“แล้วทำไมถึงเอาของพวกนั้นมาไว้ที่เรือนตัวเองล่ะเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าต้อง
อดทนมาหลายวัน แอบเมียงมองว่าที่ภริยาของตนเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างห่วงๆ แต่กลับทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเธอกลับเป็นแม่บ้านแม่เรือนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ก่อนจะถึงวันแต่งงานเขาก็ได้ทำตามที่ใจของพริกแกงที่ได้ตั้งใจไว้เรื่องรับบ่าวเมื่อเข้าวังไปรับงานราชก็ทูลขอขุนหลวงเรื่องบ่าวของออกหลวงมโนสรที่ถูกชำเราให้ละเว้นโทษ และรับมาเลี้ยงดูเป็นบ่าวในเรือนของตน ขุนหลวงเห็นว่าออกพระรามมีผลงานดีงามและใกล้จะแต่งงานจึงได้ยอมยกบ่าวของออกหลวงให้ตามที่ทูลขอ อ้ายผาและพวกพ้องจึงเข้ามาทำงานในเรือนของออกพระรามและรับใช้อย่างซื่อสัตย์วันแต่งงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้พริกแกงจะทำตัวแก่นแก้วเต้นกลางงานแต่ก็พาคนอื่นๆ สนุกสนานไปด้วย เมื่อแต่งงานแล้วออกพระรามและพริกแกงก็ต้องหาที่ปลูกเรือนแยก ในบริเวณที่ดินใกล้เรือนพ่อแม่ของออกพระรามนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกันนัก..ส่วนเรื่องของแม่เดือนแรมเห็นทีจะยอมพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เนื่องจากจหมื่นพันแสงนั้นเคยขัดห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะฟ้องพ่อกับแม่ก็เลยทำให้แม่เดือนแรมยอมรามือไปเสีย ทุกอย่างคลี่คลายราบรื่น..แต่เพื่อนพ้องของออกพระรามคิดเห็นว่าออก
“ทะ...ทำไมต้องเขินด้วยเล่า...อย่างนี้คนอื่นก็เขินด้วยน่ะสิ” พริกแกงพูดแก้เขิน เมื่อเห็นเขาเขินเธอก็เขินตามไปด้วย ออกพระรามกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา“พี่มิเคย...เอ่ยคำนี้กับผู้ใด” พูดไปพลางเบือนหน้าหนี พริกแกงเองก็เบือนหน้ากลับมานั่งมองนิ้วตัวเองเล่นอย่างทำตัวไม่ถูก...ตอนได้กันครั้งแรกยังไม่เห็นเขินอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำไม่ทันได้เขินนานนักก็รู้สึกถึงมือหนาที่เลื่อนลูบปลายเส้นผมของเธอเบาๆ พริกแกงหันไปมองหน้าคนที่เปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนกิ้งก่า คิดจะหันไปจิกกัดเขาแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงดอมดมปลายเส้นผมของเธอที่เขาจับอยู่ ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้นท่าทางนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งมีแขนแกร่งพาดเข่าที่ชันขึ้น มืออีกข้างจับเล่นเส้นผมของเธอดอมดมมันด้วยใบหน้าที่ดูพึงพอใจนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์จนเธอละสายตาไม่ได้ ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าโสร่งมัดพันรอบเอวยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์..รับกับใบหน้าหล่อคมหวานของเขาพอดิบพอดี เผลอจ้องจนเจ้าของร่างรู้ตัว“จดจ้องเรือนกายพี่เช่นนี้
พอถึงช่วงเย็นก็ไปกินข้าวพร้อมหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้บรรยากาศมันจะเงียบเหงาไปเสียหน่อย ไม่กล้ามีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าจนแล้วเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเข้าหอนอนของตัวเองพริกแกงนั่งหวีสางผมเผ้าอยู่หน้ากระจก จ้องมองในกระจกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะในหัวคาวมคิดรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกผุ้อาวุโสทั้งสองว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้อยากล้มเลิกงานแต่ง สีหน้าของทั้งสองท่านเมื่อตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าวนั้นทำให้เธอนั่งถอนหายใจอยู่พักใหญ่ สาลี่และจันมองหน้ากันไปมาก่อนหันไปมองแม่หญิงของตนอย่างนึกห่วง“มีเรื่องกระไรมิสบายใจรือเจ้าคะแม่หญิง” สาลี่เอ่ยถาม“ข้าว่าคุณลุงคุณป้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ดูสีหน้าท่านเมื่อตอนเย็นสิพี่” พูดแล้วก็หันไปทำหน้างอแงใส่บ่าวทั้งสองคน สาลี่และจันเอื้อมมือไปจับกุมมือเล็กของผู้เป็นเจ้านายอย่างเอ็นดู“โธ่...แม่หญิงของบ่าว มิต้องคิดมากไปดอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเรื่องมันก็ซา” จันเอ่ยปลอบ“นั่นสิเจ้าคะ...ต่อให้แม่หญิงมิพูด แต่พอถึงวันงานมันก็จักดีขึ้นเจ้าค่ะ” สา
ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มกริ่มออกมาไม่ได้ เดินตามแม่หญิงขึ้นโบสถ์ไป ทั้งสองต่างนั่งแอบลอบมองกันไปมาอย่างยิ้มๆ พริกแกงเองก็พยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาอยู่เนืองๆ การกระทำของชายหญิงทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาของคุณหญิงซ่อนกลิ่นผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าลูกชาย หันไปเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปกับกิริยาท่าทางของลูกชายและพริกแกงเมื่องานเสร็จสรรพเรียบร้อยดี เหล่าขุนนางและคนอื่นๆ ก็ต่างพากันร่ำลากลับเรือนไปเสีย มาตั้งแต่เช้าจะกลับก็บ่ายแล้ว เรือขุนนางหลายลำแล่นแยกย้ายกันออกไป ออกญาผู้เป็นพ่อและคุณหญิงซ่อนกลิ่น รวมถึงพริกแกง ออกพระรามและบ่าวไพร่คนสนิทนั่งเรือลำเดียวกันเป็นเรือใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็นั่งลำอื่นพายตามกันมาติดๆ คุณหญิงมองลูกชายตนที่นั่งแนบชิดติดกายแม่หญิงคู่หมั้นจ้องมองเธอไม่วางตาก็อดกระแอมขึ้นขัดไม่ได้“อะแฮ่ม...พ่อราม ใกล้จักถึงวันงานแต่งของลูกแล้วหนา”“ขอรับเจ้าคุณแม่” พูดตอบรับผู้เป็นแม่พลางจ้องมองหญิงสาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม พริกแกงก็หลบเลี่ยงสายตามองไปทางอื่นไม่ให้ตัวเองเขินไปมากกว่านี้“แม่ใคร่ให้ลูก...อดใจห่างม
“เอ่อ...ก็...” พอรู้ตัวก็หลบเลี่ยงสายตาของจหมื่นพันแสงเล็กน้อย ลอบสายตาขึ้นมองออกพระรามที่นิ่งเงียบจ้องมองเธออย่างรอคำตอบที่เธอจะตอบรับจหมื่นพันแสงเช่นกัน“คุณหมื่นยังไม่ได้ตอบคำถามข้าที่ถามก่อนเลยนะเจ้าคะ” หลีกเลี่ยงคำตอบแล้วหันไปถามจหมื่นพันแสงกลับ เมื่อได้ยินอย่างนั้นจหมื่นพันแสงก็ยิ้มหวานออกมารู้ได้ว่าเธอกำลังหลีกเลี่ยงแต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ“ออ...ที่มิบอกกันกงๆ เพราะแม่หญิงผู้นั้นมิอาจเอื้อมถึง หาใช่แม่หญิงที่ควรนึกถึงได้ไม่...ในเมื่อหักใจตัดเสียมิได้...ก็จักเลือกแสดงความรู้สึกผ่านดอกไม้ดอกนั้น หากแม่หญิงผู้นั้นคิดเช่นเดียวกันกับชายผู้ให้ ก็จักเก็บดอกไม้นั้นไว้กับตัว”“อ๋อ รักต้องห้ามสินะ” พริกแกงพยักเข้าใจในทันทีอย่างลืมตัว เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับคำตอบนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายสมัยก่อนนี้มีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย“แล้วแม่เล่า...จักเก็บดอกปีบนั้นไว้รือจักทิ้งมันไปเสีย?” หันไปถามเธอกลับ พริกแกงมองจหมื่นพันแสงก่อนจะหันไปมองออกพระรามที่มองเธอด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บป
เสร็จงานกฐินหลังจากที่ยกต้นกฐินเข้าโบสถ์ฟังเทศฟังธรรมกันอยู่นั้น พริกแกงที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่นานถึงกับอยู่ไม่สุข ความปวดเมื่อยคลืบคลานเข้ามาจนทำให้เอนตัวไปมาเพื่อคลายความปวดเมื่อยนั้น แม้ว่ามือเล็กทั้งสองข้างจะยกขึ้นพนมไหว้รับพรอยู่ก็ตามทีออกพระรามปรายสายตาหันไปทางเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างห่างจากเขาเพียงทางเดินกั้น พริกแกงเห็นอย่างนั้นก็โน้มตัวเข้าไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงกระซิบ“คุณเจ๊ ข้าขอออกไปด้านนอกก่อนได้ไหมเจ้าคะ? พอดีมันเมื่อยจนขาชาไปหมดแล้ว” ออกพระรามได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่พระสงฆ์องค์เจ้ากำลังสวดให้พรอยู่“อืม” ตอบออกไปเพียงสั้นๆ แม้ในใจไม่อยากให้เธอหายไปจากสายตาของเขาเสียเท่าไหร่นักถึงอย่างไรเธอก็ไปอยู่ดีหากเขาห้ามก็คงไม่ฟังเมื่อได้รับคำอนุญาตพริกแกงก็ค่อยๆ ลุกคลานถอยหลังออกไปตามทางอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินขากระเพกออกจากโบสถ์ไป เรียกสายตาให้เพื่อนๆ ของออกพระรามหันไปมองแล้วอมยิ้มกลั้นขำไปตามๆ กันออกพระรามทอดถอนหายใจก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาฟังพระสวดต่อ ปรายสายตาเหลือบไปเห็นจหมื่
“คนรัก? ของข้ารือ?” จหมื่นสุนทรทำหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองไปมีคนรักตอนไหน พริกแกงพยักเพยิดหน้าไปทางโบสถ์ก่อนจะเห็นออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินยิ้มหวานกันออกมา“โน่นไงเจ้าคะ มาโน่นแล้ว” จหมื่นสุนทรหันไปตามดวงหน้าที่พยักไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาอย่างเข้าใจว่าพริกแกงนั้นยังเข้าใจเขากับออกพระรามผิดไปอยู่ แต่จหมื่นสุนทรก็แปลกใจไม่น้อยที่ออกพระรามพาแม่เดือนแรมน้องสาวของจหมื่นพันแสงเข้าไปกราบพระแทนที่จะเป็นพริกแกงคู่หมั้น“มากันแล้วรือ” ออกพระรามและแม่เดือนแรมเดินมาถึงกลุ่มก้อนเพื่อนของตน ออกพระรามก็เอ่ยทักขึ้นโดยมีแม่เดือนแรมยืนเคียงข้างไม่ห่างกาย ส่วนพริกแกงนั้นยืนอยู่ระหว่างจหมื่นพันแสงและจหมื่นสุนทรเช่นกัน ออกพระรามเห็นอย่างนั้นก็ดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก“ขอรับออกพระท่าน” ทั้งสามเอ่ยตอบรับ ออกพระรามพยักหน้ายังคงหันไปขมวดคิ้วให้พริกแกงพร้อมถลึงถลนตาเป็นเชิงตักเตือนว่าไม่ควรที่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่พริกแกงกลับไม่รู้เพราะไม่เข้าใจที่เข้าต้องการจะสื่อเท่าไหร่“ที่ที่ควรยืนอยู่กลับมิยืน” พูดแล้วหั