ร่างบางที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือดที่แผ่นหลัง ถูกโบยจนสลบไสล ผมเผ้าหลุดลุ่ยยุ่งเหยิงเลือดไหลซึมเป็นทางบนอาภรณ์สีขาว
"ทิ้งนางไว้ที่นี่ในตำหนักเย็นแห่งนี้" ร่างโชกเลือดพลิกตัวนอนหงาย กลืนน้ำลายลงคอ คลำที่ท้องของตัวเองไปมา จะตายได้อย่างไรในเมื่อมีลูกอยู่ในท้อง ตำหนักฮ่องเต้ "ฝ่าบาท ย่าได้ยินว่าฮองเฮา สั่งโบยสนมเจียงซินเฟยจนสาหัสถึงร้อยไม้ ก่อนจะลากตัวนางไปไว้ยังตำหนักเย็น นางทำความผิดใดกันจึงถูกลงทัณฑ์รุนแรงปางตายเช่นนั้น" ใบหน้าหล่อเหลาเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา หลายวันมานี้ไม่เคยได้ผ่อนคลายหลายเรื่องราวในราชสำนักมีให้ต้องจัดการไม่เว้นแต่ละวัน เขาเองหาใช่คนที่ชอบเรื่อง รักใคร่จึง เอาเวลาทั้งหมดทุ่มเทให้งานในราชสำนักจะดีกว่า "เสด็จย่าหมายถึงสนมคนไหน" ก้มหน้าอ่านฎีกาต่อไป "จางหลง นางกำลังตั้งครรภ์" ขันทีหนุ่มขยับกายอย่างอึดอัด "ไว้ หลานส่งคนถามไถ่ฮองเฮาอีกที" "จางหลงนางตั้งครรภ์ลูกของเจ้า" สีหน้าเป็นกังวล "เสด็จย่าเรื่องราว ในวังหลังล้วนเป็นฮองเฮาที่จัดการเป็นอำนาจหน้าที่ของนาง ไว้หลานไต่สวนอีกที อีกอย่างหลานจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อนางหรือแม้กระทั่งใบหน้าของนางด้วยซ้ำไป" ไทฮองไทเฮาถอนหายใจยาวเหยียด ยอมจากมาโดยดี ขันทีหนุ่มเปิดประตูให้ไทฮองไทเฮา ก่อนจะก้าวมายืนก้มหน้าข้างๆจางหลง "เจ้ามีอะไรเสี่ยวซาน" เหลือบตามอง "ฝ่าบาท เขาเล่ากันว่านางถูกโบยจนสลบไสลไม่แน่อาจตายไปแล้ว เพราะลักลอบได้เสียกับองครักษ์ผู้หนึ่ง" "เจ้าเชื่อเรื่องนั้นไหม" ถามเพราะรู้ว่าเสี่ยวซานต้องการจะพูดอะไร "เขาเล่ากันว่านางไม่สุงสิงกับใครมาเพียงคนเดียว วันๆแทบจะไม่พูดจากับใคร แล้วเช่นนั้นจะแอบลักลอบได้เสียกับองครักษ์ได้อย่างไร" "เจ้ารู้ได้อย่างไร นางอาจพูดกับองครักษ์ผู้นั้นมากหน่อยก็ได้" "ฝ่าบาทเรื่องในวังหลังมักมีการใส่ร้ายป้ายสี ฝ่าบาทไม่เคยสนใจเรื่องราวเหล่านั้นอยู่แล้วจึงมีบางเรื่องที่อาจยังไม่รู้" "งานราชสำนักสำคัญที่สุดการเป็นอยู่ของราษฎรเองก็สำคัญไม่น้อย เรื่องวังหลัง เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้นไม่ว่าฮองเฮาหรือสนม ข้าล้วนทำไปตามหน้าที่เพื่อไม่ให้บกพร่อง หาได้มีความรักใคร่มาเกี่ยวข้อง" จางหลงเอนหลังลงนอน หลับตาลงช้าๆ เรื่องที่ไทฮองเฮากับเสี่ยวซาน พูดเมื่อครู่ทำเอาเขาคิดมากอย่างนั้นหรือ ไม่เลยเขาไม่เคยคิดมากและใส่ใจ ในเมื่อสนมของเขามีถึงหกตำหนักสามพันนาง จะให้ใส่ใจทุกคนได้อย่างไรกัน จะว่าไปนางคงเป็น หนึ่งในสนมคืนเดียว ด้วยกระมังแม้แต่ใบหน้าหรือชื่อของนางเขาจึงไม่อาจจดจำ ไหนจะเรื่องการรักษาบัลลังก์แห่งนี้ไว้อีกเล่า ซินเฟยชันกายลูกขึ้นรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลที่หลัง จนไม่อาจขยับตัวได้อีกต่อไปนอนแผ่หราบนลานกว้างในตำหนักเย็น หลับตานอนเอาแรงเสียหน่อยคงจะดีขึ้น ในเมื่อตอนนี้แม้แต่แรงจะขยับตัวยังไม่มี แผลถูกโบยบาดลึกน่าจะตายไปเสียแต่ เมื่อยังไม่ครบร้อยทีแล้ว ซินเฟยกัดฟันทน และยังไม่ตายจึงถูกนำตัวมาไว้ที่นี่ คงคิดว่าอย่างไรเสียก็คงต้องตายอยู่ดี "กินน้ำเสียหน่อย"ร่างเลือนรางเหมือนในความฝันพยุงตัวซินเฟยก่อนจะจ่อถ้วยน้ำลงบนริมฝีปากแห้งผาก "เจ้าไม่ผิดใช่ไหม สวรรค์จึงมีตาให้เจ้ารอดมาเช่นนี้" ซินเฟย ยิ้มเศร้าๆผิดหรือไม่ผิดก็ไม่อาจโต้แย้ง ลูกในท้องของใครซินเฟยรู้ดี แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกของใครไม่รู้ที่อยู่ๆก็มีคนเห็นผ่านเข้าออกยังห้องของซินเฟยสองสามครั้งทั้งๆที่ซินเฟยไม่เคยรู้จักคนผู้นั้นมาก่อน แล้วฮองเฮาก็ส่งมาคนจับเขาตัดหัวทันที ส่วนจินเฟยก็ถูกโบยเสียจนปางตาย "เพื่อรักษาพระเกียรติของฝ่าบาท ข้าฮองเฮาในฐานะผู้ดูและวังหลังจึงมีบัญชาให้โบยนางร้อยที" "คนที่ถูกส่งมาที่นี่หากผิดก็จะตายไปเสียหากไร้ความผิดเช่นเจ้ากับข้า มักจะมีชีวิตยืนยาว ข้าพยุงเจ้าลุกไม่ไหวตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้" ร่มใบหญ่เก่าครำคร่าถูกกางกันแดดลมให้ซินเฟย ผมขาวโพลนบนศรีษะ นางคงอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ซินเฟยหลับตาลงอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงความปวดแสบที่บาดแผลเมื่อหญิงคนนั้นนำยาสมานแผลที่บดขึ้นเองมาป้ายที่แผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเลือด ตำหนักชิงหนิงกง "ฝ่าบาทเครื่องเสวยวันนี้ล้วนเป็นของชอบของฝ่าบาท ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าขึ้นลง นั่งบนโต๊ะเสวยพุ้ยข้าวใส่ปากหลังจากที่ขันทีทดสอบพิษเรียบร้อยแล้ว "นางทำผิดอะไร"ใบหน้ายังเรียบเฉยแต่แววตาไหววูบคำพูดขาดหายไปในลำคอไม่ได้รู้สึกอะไร แค่เพียงรับรู้อย่างที่เขาคิดว่าควรเป็นเช่นนั้น ซูจินยิ้มบางๆ"ฝ่าบาทวันนี้จะค้างที่ตำหนักชิงหนิงกงหรือว่าต้องการจะเลือกป้าย"เดินเข้าใกล้ซูจินประคองกอด เบาๆ"ค้างที่นี่ ป้ายพรุ่งนี้ข้าค่อยเลือกจะดีกว่าวันนี้ข้าอ่านฎีกามาทั้งวัน รบกวนให้ฮองเฮานวดให้หน่อยจะดีไม่น้อย"ซูจินยิ้ม ก่อนจะซบหน้าลงบนอกกว้าง จางหลงตบที่ไหล่เบาๆอย่างเอาใจ เขาเอาใจใครไม่เป็นกิริยาที่ทำทั้งหมดเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาแปลกไปต่างหากซินเฟย ตะแคลงตัวมองหาหญิงคนเดิม แต่ก็ไม่พบเมื่อฟ้าเริ่มมืดความหนาวเหน็บมาเยือนยกมือขึ้นกอดอกแน่น เพียงครู่เดียวที่หลับตาผ้าฝ้ายฝืนใหญ่ก็ห่มคลุมร่างให้อุ่นสบาย"ลองขยับตัวดูเจ้าต้องเข้าไปข้างในกับข้าแล้วหิมะทำท่าจะตก คงร่วมเสียใจกับเจ้า"ซินเฟยรู้สึกปวดท้องจนแทบทนไม่ไหว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่ใบหน้า"อาวุโสข้าปวดท้องเหลือเกิน"มือเหี่ยวคลำที่ท้องเป็นก้อนแข็งของซินเฟยไปมา เลือดสีแดงไหลเปรอะเปื้อนเป็นทางลงไปยังเท้าเปลือยเปล่า หญิงชราส่ายศรีษะไปมา"เจ้าคงรักษาเขาไว้ไม่ได้แล้ว"ซินเฟยปล่อยน้ำตาไหลริน สี่เดือนที่เฝ้าฟูมฟักดูแลตัวเองอย่างดี เพื่อมาถึงวัน
ร่างบางใบหน้านิ่งจนเกือบเป็นหม่นหมอง แม้นางจะงดงามจนเขาตกตะลึงทว่าใบหน้ากลับหม่นหมองเศร้าสร้อยร่างบางยังนั่งอยู่หน้าเปลวไฟสีส้ม เขาซ้อนร่างมาอุ้มไว้ร่างเย็นชื้นด้วยหยดน้ำเกาะพร่างพราวกลิ่นพฤษาหอมละมุน ก่อนจะวางนางลงบนแท่นนอนไม่มีท่าทีขัดขืน คงจะถูกสอนมาอย่างดีในวิธีการปรนนิบัติฮ่องเต้เขาสะบัดมือดับไฟที่ส่องสว่าง เป็นเพราะไม่อยากเห็นแววตาเศร้าสร้อยนั้น แต่กระนั้นแสงจันทร์ยังคงส่องลอดลงมา กระทบใบหน้าที่งดงาม ใบหน้าที่งดงามเช่นนั้นหรือหากจะว่าไปใบหน้างดงามของนางยังไม่ตรึงใจเท่าร่างขาวสล้างใต้ร่างเขาที่สะท้อนขึ้นลงหยิกกัดด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ยามเขากระแทกเอวหนาลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเองก็สุขสมจนเกือบจะเผลอเปล่งเสียงร้องครางด้วยความบีบรัดคับแน่นทนไม่ไหว จนถึงกลับต้องบดริมฝีปากกับปากบางของนางแนบแน่นไม่ได้กลัวว่านางจะร้องคราง แต่กลัวว่าตัวเองจะร้องครางให้เขินอายนางเสียเปล่าเฝ้าปรนเปรอนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างลืมตัว ปกติเขามิใช่ผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้เขามักจะร่วมรักกับใครเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วปล่อยตัวเองหลับไหลจนตะวันสายโด่งในวันที่ต้องการผ่อนคลายก็เท่านั้น แต่กับนางเขาพร่ำทำซ้ำๆจนเขาแปลกใจไ
"ข้าอยู่เสียจนชิน มีความสุขในความเดียวดาย นานครั้งถึงจะมีสหายเก่าแวะเวียนมา เจ้าไม่เหมาะกับตำหนักเย็น""ข้าทำผิดร้ายแรงวังหลวงยิ่งไม่เหมาะกับข้า""เจ้ารู้ดีว่าเจ้าผิดหรือไม่ แต่หากมีคนเชื่อว่าผิดก็ต้องถูกลงทัณฑ์เมื่อลงทัณฑ์ไปแล้วถือว่าความผิดของเจ้าจบสิ้นกันไป หากเจ้าไม่ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหม่การเข้าไปอยู่ในวังหลังอีกครั้งจึงนับว่าไม่ผิดและกระทำได้เพราะเจ้าถูกโบยจนครบร้อยทีไปแล้ว"ซินเฟยนิ่ง กลับไปเพื่ออะไรกัน ใบหน้าเรียบเฉยของจางหลงลอยขึ้นมาตรงหน้าเขาไม่รู้ดวยซ้ำว่าซินเฟยมีตัวตนท้องพระโรงเมื่อเหล่าขุนนางมากันพร้อมหน้า"ฝ่าบาทราษฎรตอนนี้สำราญถ้วนหน้า เงินเก็บในคลังมากมายจนไม่อาจะใช้หมดจึงเห็นควรงดจัดเก็บภาษีเสียสามปีจึงจะดี ด้วยฝ่าบาทรงตรากตรำทุ่มเทเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ทรงนั่งบัลลังก์จนบัดนี้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนรุ่งเรืองข้าจึงหวังจะให้ฝ่าบาทจากนี้ให้เวลากับตัวเองเสียบ้าง แต่งตั้งฮองเฮามาเนิ่นนานยังไม่มีองค์รัชทายาทไว้สืบบัลลังก์"จางหลงหลับตาลงช้าๆ เมื่อใต้เท้าฉีหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ เอ่ยปากต่อหน้าเหล่าขุนนาง ด้วยเห็นว่าจางหลงให้เวลากับราชสำนักและราษฎรเกินไปจนบัดนี้ใกล้จะไร้ผู้สืบ
การฝึกสอนจากฝ่ายในว่าด้วยเรื่องการปรนนิบัติฝ่าบาทก็ลืมเลือนไปเกือบสิ้นเมื่อเวลาผ่านมาใกล้จะครบปีเต็มทีแล้วก็ยังไม่เคยต้องเข้าไปปรนนิบัติ ทั้งๆที่ถูกสอนเรื่องของการปรนนิบัติฝ่าบาททั้งยามหลับและยามตื่นแม้กระทั่งการอุ่นเตียงการให้กับฮ่องเต้บอกแม้กระทั่งต้องทำตัวเช่นไรจึงจะถูกใจฮ่องเต้ซินเฟยหาจำได้ไม่ก็ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นกระทันหันอีกทั้งความกลัวและความตื่นตระหนกมีมากเสียจนหูอื้อตาลายจำบทเรียนต่างๆเหล่านั้นไม่ได้สักนิดยามที่ต้องถูกทาบทับอยู่บนแท่นนอนกับฮ้องเต้หนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายกำยำเช่นจางหลง ถึงเวลานั้นมาจริงๆมือไม้เย็นเฉียบ แทบจะทรงกายไม่อยู่เมื่อถูกอุ้มไปวางบนแท่นนอน ความทรงจำตอนนั้นจะว่าไม่จำ กับฝังลึกในจิตใจ ความรู้สึกอบอุ่นกับ ความอ่อนโยน ที่ยังจำได้ดีอีกทั้งรอยจุมพิตที่หน้าผากเหมือนกับรักเหลือเกินยามที่จางหลงลุกจากแท่นนอน ซินเฟยยังจำได้แม่นยำเสียงพลุและดอกไม้ไฟดังไปทั่วบริเวณ ซินเฟยยิ้มสดใสเป็นยิ้มครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ ชุดสีขาวขลิบแดง ส่งให้ผิวขาวนวลเนียนแม้ใบหน้าจะซีดจางลงจากการเสียเลือด ไปแต่ก็คงความงดงามไม่เปลี่ยน เดินบนถนนเพียงลำพัง อย่างน้อยตอนนี้ก็มีอาวุโสย่า
ซูจินไม่ทันได้เห็น รู้แต่เพียงว่าจางหลงทอดสายตามองใครอยู่“คนที่มารับเหรียญทอง คงถูกผลักจนล้มลงดีที่มีคนช่วยไว้ทัน”ซูจินยิ้มๆ“ผู้คนล้วนมาชมบารมีของฝ่าบาทมากมายจึงมีบ้างที่จะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นซูจินให้เขานำเหรียญมาให้ฝ่าบาทโปรยอีกมากหน่อย เพื่อจะได้แจกจ่ายกันทั่วถึง”จางหลงยิ้มเป็นการตอบตกลง ซูจินโบกมือให้ขันที ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้จางหลงกองไฟถูกเติมด้วยฟืนท่อนยาวที่จิวซัวลากมาสุมไว้“แม่นางทำไมต้องวิ่งหนีจากตรงนั้นด้วย”ซินเฟยนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใด“ขอโทษที่ข้าละลาบละล้วงหากไม่อยากพูดถึงมันก็อย่าได้เกรงใจ”ซินเฟยก้มหน้านิ่งเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาแต่ไกล จิวซัวผิวปากเพียงครั้งเดียว ม้าก็มาหยุดยืนตรงหน้าบุรุษร่างสูงอีกคนในชุดพรางตัวกระโดดลงจากหลังม้า เหลือบตามองซินเฟย ก่อนจะประสานมือคารวะจิวซัว“ฝ่า..คุณชายข้าตามหาทันจนทั่วเขตวังหลวงคิดว่าเกิดอันตราย”จิวซัวยิ้มอ่อนโยน ซินเฟยลุกออกจากตรงนั้นเพื่อเป็นการไม่เสียมารยาทที่นั่งฟังคนอื่นคุยกัน“ข้าปลอดภัยดี”พูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ“ฝ่าบาทการเดินทางมาครั้งนี้อันตรายไม่น้อย หากคนของแคว้นฉินรู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่อาจ จับตัวเพื่อต่อรองด้านการศึ
“ฝ่าบาทข้าตั๋วฟงเกรงว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกระทำด้วยตัวเองคนของเราในทัพเหลี่ยงตอนนี้มีอยู่จำนวนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของทัพเหลี่ยงจึง ส่งมาถึงเราตลอดเวลา”“อืม ท่านฟงช่างรอบคอบ”“ฝ่าบาทละทิ้งเรื่องราวเหล่านี้หาความสำราญเสียบ้างจะดีไม่น้อย ตั้งแต่ทรงนั่งบัลลังก์มา กระหม่อมไม่เคยจะเห็นว่าฝ่าบาท จะละมือจากงานในราชสำนักทั้งยามหลับยามตื่น”“ความสุขของราษฎรแคว้นฉินนับว่าสำคัญกับข้าที่สุด”“พรุ่งนี้ กระหม่อมเห็นสมควรทูลเชิญเสด็จประภาสป่าล่าสัตว์สร้างความสำราญ”“เวลาเช่นนี้ข้าจะหาความสำราญได้อย่างไรยามที่ข้าศึกประชิดแนวชายแดน”“ฝ่าบาทหากตื่นกลัวเกรงว่าแคว้นเหลี่ยงจะได้ใจฮึกเหิมยิ่งขึ้น ฝ่าบาทเห็นควรจะทำเป็นไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่ใช่ว่าจะหละหลวมกระหม่อมได้สั่งให้มีการรับบุรุษหนุ่มเข้ามาในวังหลวง เพื่อเพิ่มกำลังทหารในวังหลวงและกำลังทหารของแคว้นฉิน ระหว่างนี้จึงถือว่าได้คัดเลือกผู้ที่มีฝีมือทั่วแคว้นมาไว้ใช้งาน เช่นนั้นฝ่าบาทจึงจำต้องช่วยเบี่ยงเบนความสนใจในเรื่องการเพิ่มกำลังทหารโดยการทำทีว่ามิได้เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องทัพของแคว้นเหลี่ยงประชิดแนวชายแดน”จางหลงพยักหน้าหงึกหงักตั๋วฟง
“ฝ่าบาท นางเป็นใคร เหตุใดต้องใส่ใจด้วยคงเป็นนางในหอซักล้างที่มีมากมายหลายนาง”“พรุ่งนี้พานางมาพบข้า”พูดเพียงแค่นั้นแล้วสาวเท้าจากไปทันทีในห้วงฝัน ซินเฟยดิ้นรนเพียงพองาม ไม่ได้ปัดป้องทั้งๆ ที่อยากจะกรีดร้องความเจ็บปวดในครั้งแรก กับคนที่ไม่คุ้นเคยไร้ซึ่งความรักความผูกพัน“รอข้า อย่าเพิ่งไปไหน ข้ายังไม่อิ่มหนำกับเจ้าเลย”เช้าสดใส“ซินเฟยที่หอซักล้างเกิดความโกลาหลขึ้นแต่เช้า เจ้าอย่าเพิ่งไปรอจนกว่าทหารองครักษ์พวกนั้นจากไปข้าไม่รู้ว่าเขามาทำไมคล้ายมาตามหาคนแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ฉะนั้นทางที่ดีอยู่ที่นี่จนกว่าพวกนั้นจะกลับไป”อาวุโสย่าหนานเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าซินเฟยกำลังจะไปที่นั่น เพื่อไปเก็บเศษผ้าเก่าๆ ที่ขาดวิ่นจนไม่เป็นที่ต้องการมาเย็บอาภรณ์ไว้สวมใส่“คงมีใครที่จะต้องถูกลงทัณฑ์อย่างแน่นอน “ซินเฟยเชื่ออาวุโส เช่นนั้นไว้ค่อยไปวันอื่นวันนี้ออกไปนอกเขตวังหลวง หาเก็บสมุนไพรและอาจตกปลาที่ริมลำธารเผื่อจะได้ปลามาทำอาหารในตอนเย็น”อาวุโสย่าหนานพยักหน้าขึ้นลง“เจ้าลำบากหรือไม่”ซินเฟยส่ายหน้าไปมา“ซินเฟยแต่เดิมอยู่นอกวังก็ใช้ชีวิตเช่นนี้ไม่ได้ลำบากอะไร อาวุโสอย่าได้กังวล”ซินเฟยเดินออกจากตำหนักเย็
ถลาเข้าหาซินเฟยจับจ้องที่ใบหน้างามด้วยสายตาครุ่นคิด แต่กับถูกจิวซัวซัดฝ่ามือเข้าใส่“ถอยไปห่างๆนาง เจ้าทำนางบาดเจ็บ”องครักษ์และเสี่ยวซานต่างรีบมาพยุงจางหลง“จับตัวไว้ อย่าให้หนีไปได้เขาทำร้ายฝ่าบาท”จิวซัวไม่ได้สนใจสิ่งใดซ้อนร่างบางของซินเฟยไว้ในอ้อมแขนก่อนจะสาวเท้าไปยังม้าของจางหลงที่ยืนคอยอยู่”องครักษ์ เก้เก้กังๆ ไม่กล้าเข้าไปจับตัว“จับตัวมันไว้”เสี่ยวซานตะโกนสั่ง จางหลงกับโบกมือห้าม จิวซัวพาซินเฟยขึ้นคร่อมบนม้า กระตุกบังเหียนจากไปอย่างรวดเร็ว“ฝ่าบาทเกิดอะไรขึ้น”“ข้า เผลอทำร้ายนาง”“นาง”“นางคือคนที่ข้าพบมือคืน” น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ“เป็นนางจริงๆ ใช่หรือไม่ หากเป็นนางจริงๆ ฝ่าบาทตามหานาง ด้วยจุดประสงค์บางอย่างแล้วเช่นไรจึงจะปล่อยให้นางหลุดมือไปง่ายดาย”เสี่ยวซานถามเสียดายโอกาสที่พบซินเฟยของจางหลง เริ่มจะเห็นเค้าลางบางอย่างที่กำลังจะบังเกิดความวุ่นวาย“ส่งคนสะกดรอยตาม แล้วพานางกลับมา”สั่งเสียงดังลั่น ทหารองครักษ์รีบวิ่งกันจ้าละหวั่นตำหนักไทฮองไทเฮา“เสด็จย่า สนมนางนั้น ที่เคยถูกโบยถึงร้อยทีแล้วถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็นที่เสด็จย่าเคยบอกหลานนางชื่อว่าอะไร”จางหลงถามข
ซินเฟย ทิ้งตัวลงบนแท่นนอน ความหวานยังซาบซ่านทั่วผิวกาย ลุกขึ้นถอดอาภรณ์หย่อนกายลงแช่น้ำอุ่นให้ซอกซอนเข้าไปในผิวเนื้อสัมผัสอ่อนโยนที่ริมฝีปากยังไม่จางหายไปรอยจุมพิตที่หน้าผาก ฝ่าบาทจะรู้สึกเช่นเดียวกับชินเฟยไหม ยามนี้อยากซุกกายในอ้อมแขนของคนที่นอนกอดก่ายไม่เบื่อ ตอนนี้ไม่ใช่ชินเฟยคนเดิมแล้ว กลายเป็นของเขาผู้นั้นยิ้มด้วยความเขินอายและเป็นสุข ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยลอบมองยามเดินอยู่ห่างเคยคิดว่าหากเป็นของเขาจะรู้สึกเช่นไร บัดนี้ซินเฟยรู้แล้วว่าการที่ได้ นอนร่วมเตียงกับบุรุษที่เคยหลงใหลแล้วเขากลับปรนเปรอสวาทให้มากมายเช่นนั้นเป็นสุขแค่ไหนเวลาล่วงเลยไป เรื่องราวในราชสำนักยัง เป็นจางหลงที่ต้องจัดการอีกทั้งเรื่องของจางเย่าหยางที่ไม่อาจละเลยปล่อยวาง ซินเฟย กินอะไรไม่ได้มาหลายวัส่งเสียงโอ๊กอ๊ากจนผิดสังเกตอีกทั้งร่างกายซุบผอมลงเป็นอันมาก เพียงได้แต่เฝ้ามองจางหลงห่างๆไม่เคยได้เข้าใกล้อีกตั้งแต่นั้นมาไทฮองไทเฮามาถึงพ้องพัก“ตรวจครรถ์ของพระสนมดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่”ไทฮองไทเฮาสั่งนางกำนัลอาวุโสเรื่องนี้ไม่ให้แพร่งพรายจึงไม่เรียกหมอหลวงด้วยหมอหลวงเป็นคนของซูจินนั่นเองนางกำนัลอาวุโสจับตรวจชีพจร ที
จางหลงลูบไล้ใบหน้าเนียนใส นิ้วโป้งกวาดรอบริมฝีปากอวบอิ่มก่อนจะประทับ ริมฝีปากอุ่นไปบนปากนุ่มหอม ราวกับกลีบบุปผา ลิ้นอุ่นซื้นซอกซอนเข้าไปภายใน ควานหาความหวานวุ่นวายเร่งรีบนี่เขาหิวกระหายเพียงนี้เชียวหรือ ทั้งๆที่เหนื่อยกับงานราชสำนักแต่ กลับรู้สึกผ่อนคลายมือใหญ่ปลดดึงอาภรณ์ของซินเฟยออกร่างเล็กขยับหนีด้วยความไม่เคย เขากลับรั้งร่างบางให้แนบชิดลำตัว นางไม่ได้ทำท่าทีหลีกหนีจนเกินงามหรือเสแสร้งจนไม่น่าเชื่อ ทว่าทุกอย่างล้วนออกมาจากส่วนลึก จางหลงแทรกลำตัวลงไปตรงกลางลำตัวของซินเฟยที่บิดหนี ส่งเสียงร้องครางเหมือนจะขอร้องเขาให้หยุดกระทำ เอวหนาขยับเบาๆเหมือนกับการร้องขอของนางได้รับความเห็นใจ ปลายนิ้ว ลูบไล้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดปากอุ่นขบเม้มอ่อนโยนอีกทั้งดูดกลืน เหมือนกลับร่างบางของอีกคนเป็นของหวานเลิศรส ร่างบางสะท้อนขึ้นลงสอดรับประสานกับร่างใหญ่ที่เบียดแทรกความบีบรัดคับแน่นทำเอาจางหลงแทบหยุดหายใจ สุขสมเพียงนี้เชียวหรือกับหญิงที่เขาพึงใจตั้งแต่แรกพบ วงแขนบางกอดรัดเขาเหมือนกลัวว่าเขาจะหนีไปซินเฟยส่งเสียงร้องครางอีกครั้งเมื่อเขาเร่งจังหวะเร็วรัว จางหลงอมยิ้ม “ฝ่าบาท...ได้โปรด” เพียงประโยคเด
ซินเฟยแหงนหน้ามองกำแพงสูงของวังหลวงด้วยรอยยิ้ม น้อยคนที่จะมีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตในนี้“คุณหนูซินเฟย ไทฮองไทเฮาให้เชิญคุณหนูที่ตำหนักไทฮองไทเฮา”ซินเฟยย่อตัวยิ้มน้อยๆก่อนจะตามนางกำนัลไป ไทฮองไทเฮาที่มีใบหน้าเหมือนจะแย้มยิ้มได้เสมอ แววตาอ่อนโยนจ้องมองซินเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า“เงยหน้าของเจ้าให้ข้าดูชัดๆ”“เพคะ” ขยับตัวเงยหน้าใ่ห้ไทฮองไทเฮาได้ยลโฉม“งดงามที่สุด ข้ามองเจ้าตั้งแต่ก้าวเข้าประตูวังมา งดงามอ่อนหวานเช่นนี้จึงเหมาะที่จะเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างหลานข้า”“แต่ไทฮองไทเฮานางเป็เพียงผู้คัดตัวนางในที่สอบผ่านเข้ามาหาใช่ลูกขุนนาง ในตระกูลใด”“ข้ามิได้ต้องการลูกขุนนางใหญ่ตระกูลใดมาวางกล้ามในวังหลวง แต่ข้าต้องการใครสักคนที่จะปรนนิบัติฮ่องเต้และ มีโอรสธิดาสำหรับหลานข้า”“ดูแลนางให้ดีต่อจากนี้เจียงซินเฟยต้องคอยมารับใช้ที่ตำหนักไทฮองไทเฮา”ซินเฟยก้มลงคุกเข่ากับพื้นการฝึกในแบบนางในที่เข้มงวดไม่เคยแม้จะได้หลับเต็มตื่นหรือ ทำตัวตามสบาย“ร่างกายของเจ้ายังผุดผ่องในเมื่อข้าให้นางในอาวุโสตรวจภายในของเจ้า เช่นนั้นนับจากนี้ไปอีกสามคืนจึงเหมาะแก่การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หากโชคเป็นของเจ้าสวรรค์เมตตาจึงจะมี
“จางหยวน เคร่งขรึมแต่จริงใจ ไม่เสียทีที่เป็นลูกของข้าเขานับว่าเป็นผู้นำได้ดีไม่น้อย”“แล้วองค์หญิงเล่า“ซินฟางเอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์แสนกล ไม่เหมือนเจ้าสักนิดอีกทั้งยังไม่เหมือนใครแต่เขาก็ทำให้เราสองคนยิ้มได้”“นางเหมือนฝ่าบาทไม่น้อยอย่างน้อยเมื่อผิดก็รู้จักขอโทษและทำคุณไถ่โทษ”“เพราะรักข้าจึงรู้สึกผิด และไม่อยากให้เจ้ามองข้าผิดๆ แม้จะต้องแลกมาด้วยทุกอย่างก็ตามขอเพียงมีเจ้าข้างกายได้กอดก่ายเจ้าอย่างนี้ทุกวันคืนก็เพียงพอแล้ว”“พบกันเพียงครั้งเดียวฝ่าบาทจะรักได้อย่างไร”“เจ้าเชื่อในรักแรกพบไหมแววตาเศร้าสร้อยของเจ้า ทำเอาข้าดวงใจสั่นไหวในคืนแรกนั้น”ซินเฟยยิ้มเขินอาย จะกี่วันผ่านจะกี่ปีเคลื่อนคล้อย จางหลงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเชยคางมนขึ้นมาสบตา จุมพิตหวานกว่าที่เคยหวาน อ้อมกอดอบอุ่นเหมือนเดิมแววตาเปลี่ยนไปกลายเป็นแววตาที่แสดงความรักใคร่อย่างที่สุด“ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ไม่ว่าเจ้าจะอุ่นเตียงให้ข้ากี่ครั้ง ข้าก็ยังไม่เคยจะเบื่อหน่ายมัน เช่นนั้นคืนนี้ เจ้าต้องทนอดนอนเสียหน่อย”โน้มร่างบางลงบนแท่นนอนช้าๆ จุมพิตที่ปากบาง บดขยี้อ่อนหวานเชิญชวนมืออุ่นซอกซอนเข้าไปใต้ร่มผ้าบีบรัดคลึงเคล้า ริมฝีปากก็ท
เสียงบางอย่างแหวกอากาศมาก่อนที่มีดสั้นของจิวซัวจะทำให้ขวดยาพิษร่วงลง แตกละเอียดกับพื้น กระบี่ในมือจิวซัวฟาดฟันทหารรอบกายจางหลง โยนกระบี่ในมือให้กับจางหลง ที่เอื้อมมือคว้ามันก่อนจะหันคมกระบี่เข้าใส่จางเย่าหยางเสียบเข้ากลางอกทะลุขั้วหัวใจจางเย่าหยางสะอึกแรงๆ เลือดสีแดงสดไหลออกจากปาก ปล่อยซินเฟยจากอ้อมกอด จางหลงคว้าร่างบางมากอดแนบอก เลือดหยดรินออกจากคมกระบี่สีแดงหยดลงพื้น ซินเฟยซบหน้าลงบนอกกว้างของจางหลง เสี่ยวซาน จิวซัวช่วยกันพยุงย่าหนาน“ตามหมอหลวง”เสียงตะโกนของจางหลง หทารของจิวซัวและจางหลงสามารถจัดการกับทหารของ จางเย่าหยางจนสิ้น ซินเฟยปาดน้ำตากุมมือย่าหนานไว้แน่น“ฮองเฮาดูแลตัวเอง ต่อจากนี้ไม่มีย่าหนาน มีเพียงฝ่าบาทที่จะคอยเป็นดังทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากนี้”“ไม่ไม่ไม่ ไท่เฟย ท่านต้องไม่เป็นอะไร ”ย่าหนายิ้มเศร้าๆ“ฮ่องเต้ ที่ผ่านมาเป็นข้าเองที่เอาแต่ใจฝ่าบาทไม่ผิด แม้ข้าจะอยากดีกับฝ่าบาทเพียงใดแต่เป็นเพราะความเอาแต่ใจไร้เหตุผลของตัวข้า ที่ทำให้ฝ่าบาทต้องพบกับความเจ็บซ้ำ”“ไท่เฟยท่านหยุดพูดได้แล้วหมอหลวงกำลังมา เมื่อท่านรักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว จางหลงจะนั่งฟังท่านบ่นด่าได้ทั้งวัน”ส่า
ซินเฟยในอาภรณ์สีแดงมงคลชายผ้ายาวเหยียด ข้างกายย่าหนานจับมือไว้มั่น รอยยิ้มปลาบปลื้มใจปรากฏที่ริมฝีปากของย่าหนาน“ยิ้มเข้าไว้ยิ้มรับความสุข และสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ”เสียงกระซิบข้างหูเมื่อจูงมือซินเฟยเดินตามทางเดินทอดยาวสองข้างทางเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารเนืองเเน่นร่วมแสดงความยินดี จางหลงก้าวลงมาจากบันไดขั้นสูงสุดรอรับซินเฟย ย่าหนานส่งมือของซินเฟยวางบนมือของจางหลง“ขอบคุณไท่เฟยที่ดูแลปกป้องนาง จนกระทั่งมีวันนี้ วันที่ท่านส่งมอบนางกลับคืนให้ข้าอีกครั้ง”“ฝ่าบาทจะดูแลนางอย่างดี และปกป้องนางอย่างดีจากนี้ไปใช่ไหม ไม่ให้นางต้องพบกับความขมขื่นเช่นข้า สัญญาได้ไหม”“ข้าสัญญา ไท่เฟยต่อนี้ท่านอย่าได้กังวลข้าจะมีนางคนเดียวตลอดไป” รอยยิ้มปรากฎทั่วทั้งใบหน้าของคนทั้งสามมงกุฎของฮองเฮาถูกสวมลงบนศีรษะของซินเฟยโดยจางหลง ตราหยกประทับของฮองเฮาเป็นใต้เท้าฉีที่ยื่นให้จางหลงมอบให้กับซินเฟย เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังไปทั่วบริเวณจางหลงหันมาสบตาซินเฟยด้วยความรักเต็มเปี่ยม“ต่อแต่นี้ เจ้าจะเป็นฮองเฮาของข้าคนเดียวไม่ว่าเจ้าจะผ่านทุกข์เข็ญอะไรมาข้าพร้อมชดเชยให้เจ้า”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ซินเฟยย่อตัวลงช้าๆ จางหลงจ
จางเย่าหยาง กลับไปที่ดินแดนทางเหนือด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้“ท่านอ๋องอีกไม่กี่วันเหมาะที่จะลงมือด้วยแคว้นฉินจะมีงานมงคล”“งานมงคลใดกัน” คนสนิท ลังเลไม่อยากจะตอบ“จางหลงฮ่องเต้แต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่ และไท่เฟยในเวลาเดียวกัน หลังจากที่สั่งประหารใต้เท้าฟง และอดีตฮองเฮาซูจินที่ได้รับผ้าขาว”“จางหลงเดิมข้ามองว่าเขาช่างโง่งมจิตใจอ่อนแอ มุ่งเน้นแต่จะผ่อนปรนแต่ครั้งนี้กลับเชือดไก่ให้ลิงดู”“คงตั้งใจให้ท่านอ๋องได้เห็นว่าเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้”“ดี ข้าก็ต้องการเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน เตรียมทัพของเราให้พร้อมออกเดินทางทันที”วังหลวงแคว้นเหลี่ยงอิ่นเซียงในชุดฮองเฮาสีแดงสด ปักเลื่อมลายหงส์งดงาม นั่งนิ่งอยู่บนแท่นนอนดัง ไร้ชีวิตจิวซัว เอื้อมมือเปิดผ้าคลุมหน้าขึ้นช้าๆ น้ำตาที่เอ่ออยู่กับไหลรินเป็นสายจิวซัว ตื่นตะลึงกับหยาดน้ำตานั้นกอดรวบร่างบาง ไว้แน่นซุบหยาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน“ทำเช่นไรเจ้าจึงจะหายโกรธข้าเสียที”จูบซับน้ำตาให้เบาๆ อิ๋นเซียงไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าสมยอม“ฝ่าบาทไม่ได้มี อิ๋นเซียงในใจทำเรื่องใดก็ไม่เป็นผล”“หากข้าจะบอกว่าในตอนนี้ข้ามีเจ้าเต็มหัวใจเล่า”เสียงสะอื้นไห้ ดังขึ้นทันที“ใ
“พระนางเพียงแค่ให้ข้าเป็นแพะรับบาป กุ้ยเฟยไม่ได้มีความผิดใดใดอีกทั้งในตอนที่เข้ามาอยู่ในวังหลวงนางนับว่ามีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน ในตอนนั้นใครๆ ก็ต่างรู้ดีว่านางกลับจากปรนนิบัติฝ่าบาทได้ไม่นานก็เกิดอาการแพ้ท้องเรื่องจึงแพร่กระจายออกไปพระนางรู้ดีแก่ใจว่าในท้องของนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท พระนางจึง ใส่ร้ายกุ้ยเฟยไม่สอบสวน ประหารองครักษ์ผู้นั้นกับมือแล้วสั่งโบยนาง”“ซินเฟยนางสมควรตาย ข้าน่าจะโบยนางเองกับมือจะได้ตายไปทั้งแม่ทั้งลูก”“ในวังหลังพวกเราต่างรู้ดีว่าหากใครที่เข้าไปปรนนิบัติฝ่าบาท ต่อเมื่อเช้าของอีกวันจะต้องถูกจับตัวไปสวนล้างจนหมดจด ไม่มีสักคนที่จะตั้งครรภ์ แต่กุ้ยเฟยเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกสวนล้างอย่างสนมคนอื่น จึงไม่แปลกที่ในท้องของนางจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท”“ยอมรับผิดเสียเถอะพระนาง ความผิดของพระนางมากมายจน ฝ่าบาททรง ประทานผ้าขาว และยาขวดนี้”ใต้เท้าฟง ยกผ้าขาวกับยาขวดเล็กมาวางบนโต๊ะ“ข้าไม่เอาไม่ดื่มยาพิษ นี่เวรกรรมกำลังตามข้าทันใช่หรือไม่ ไทฮองไทเฮาข้าไม่ได้วางยาพิษข้าอุตส่าห์ใจดี ให้ไทฮองไทเฮาหลับอย่างสบายไม่ต้องตื่นมาอีกเพราะไทฮองไทเฮา เข้าข้างซินเฟยหาทางจับผิด
ซินเฟยลืมตาฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เหลือบตามองไปทั่วบริเวณไล่ความมึนงง จางหลงนั่งกุมมือส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน“เจ้าฟื้นแล้ว”“ฝ่าบาทซินเฟยกลับมาที่นี่แล้วใช่ไหม”“ข้าพาเจ้ากลับมาที่วังหลวง”“แล้วเรื่องศึกกับแคว้นเหลี่ยง”จางหลงยิ้ม“ต้อง ขอบใจเจ้าเป็นเพราะเจ้า ฮ่องต้แคว้นเหลี่ยงยอมถอนทัพเชื่อมสัมพันธ์กับแค้วนฉินเพราะเจ้า”ซินเฟยยิ้มบางๆ“อาการของซินเฟยดีขึ้นแล้ว จะได้กลับไปที่ตำหนักเย็นเสียที”“ใครให้เจ้าไปกัน เมื่อเจ้าหายดีอยู่ด้วยกันที่นี่ข้ามีบางอย่างอยากให้เจ้าเห็นให้เจ้ารับรู้ถึงความจริงใจของข้า”ซินเฟยหันหน้าหนีไม่อยากให้จางหลงเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลริน ความน้อยเนื้อต่ำใจ แล่นขึ้นมาจุกที่อกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งถูกโบยและนอนเจ็บเจียนตายไร้เงาของจางหลงตำหนักชิงหนิงกง“ปล่อยข้าไปเสียที ข้าเบื่อเต็มทนแล้วใครขว้างข้า เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือไร”ซูจินตะโกนเสียงดังเหมือนคนกำลังจะบ้าคลั่ง“ออกไปไม่ได้นี่เป็นบัญชาของฝ่าบาท”“ข้าอยากพบฝ่าบาท ข้าจะออกไปหาฝ่าบาท” วิ่งถลาออกจากห้องแต่ถูกองครักษ์และขันทีช่วยกันจับตัวไว้“พวก เจ้ายังอาจมาขว้างข้าไว้ ตำแหน่งฮองเฮาของข้าไม่มีความหมายหรือไร