บทที่3
“ระวัง..โอ้ยช้าๆ เจ้าคะ” แม่นมจางลุ้นจนตัวโก่งแทบทุกการเคลื่อนไหวของจื่อรั่ว ทำเอาใจหายใจคว่ำตลอดเวลา รู้ดีว่าเนื้อแท้จริงแล้วคุณหนูของนางเป็นเยี่ยงไร แต่ก็ไม่เคยทำใจได้ซักหน ก่อนจะฟู่ลมหายใจออกจากปากยาวเหยียดหลังจากเห็นเท้าเรียวเล็กๆ ก้าวสัมผัสพื้นดิน
“คิกๆ ข้าปีนขึ้นปีนลงแบบนี้มาไม่รู้กี่ร้อยรอบ ให้หลับตาปีนลงมายังได้เลย” จื่อรั่วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ อดที่จะขำกับท่าทางเป็นกังวลจนเกิดเหตุของแม่นมไม่ได้
“แต่ข้าไม่ชินเลย” หญิงชรารีบถลาเข้ามาปัดเศษใบไม้และกิ่งไม้เล็กๆ ออกจากเสื้อคลุมของจื่อรั่ว
“เอาน้าๆ ไปอยู่เมืองหลวงใช่ว่าจะมีต้นไม้ให้ข้าปีนแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน อีกทั้งต่อไปเราก็คงไม่ได้อยู่กันเพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ต้องกลับไปอยู่ที่จวนของท่านพ่อ ดีๆ ไม่ดีอาจจะต้องย้ายไปอยู่จวนเจ้าบ่าว”
“คุณหนูเหตุใดจึงดูไม่กังวลเรื่องงานแต่ง” แม่นมจางรีบดึงมือจื่อรั่วให้เดินตามเพื่อกลับจวนตอนนี้ฟ้าใกล้มือสนิทแล้วถึงแม้จะเดินเส้นทางนี้จนคุ้นชินและทุกคนต่างรูจักกันเป็นอย่างดีเนื่องด้วยเป็นเมืองเล็กๆ แต่สตรี2นางเดินกันเพียงลำพังเวลานี้ใช่ว่าจะไม่อันตราย
“ช้าเร็วก็ต้องแต่ง หากจะว่าไปตามอายุแล้ว สำหรับข้าก็ถือว่าช้ากว่าสตรีคนอื่นทีเดียว” ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าบิดาจะรอให้นางอายุจน 18 ถึงจับคู่ให้
“ท่านไม่เสียใจ?” เมื่อช่วงบ่ายยังร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่เลย
“แม่นมคิดว่าข้าจะยอมอยู่เฉยๆ เยี่ยงนั้นเลยหรอ คิกๆ”
เสียงหัวเราะเล็กจากลำคอขาวผ่อง ทำเอาแม่นมจางหวั่น
“คุณหนูเมืองหลวงไม่เหมือนกับเมืองฝูโจวนะ ท่านจะทำตัวแบบที่ผ่านมาไม่ได้”
“สกุลจื่อไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงข้าเป็นคนเยี่ยงไร ทุกคนต้องคิดและคาดว่าข้าก็เป็นเชกเช่นเดียวกับคุณหนูในห้องหอตระกูลอื่นๆ ท่านไม่พูดข้าไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้จริงหรือไม่”
จื่อรั่วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในสายตาคนอื่นนางคือคุณใหญ่สกุลจื่อ บุตรสาวคนโตของเจ้ากรมอารักษ์ แต่กลับถูกฮูหยินใหญ่ขับออกจากจวนทันทีที่มารดาเสียชีวิต บางคนอาจมองว่านางนั้นไร้ค่าถูกบิดาทอดทิ้ง บางคนอาจจะสงสาร แม้ว่าบิดาจะให้นางมาอยู่ห่างไกล แต่ใช่ว่านางจะไม่ได้รับการอบรบเหตุสตรีสกุลใหญ่คนอื่นๆ บิดาของนางส่งคนมาสอนหนังสือนางตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี้ ไม่ว่าจะอ่านเขียนบทกลอน วาดพู่กันจีน ดนตรีดีดสายจื่อรั่วล้วนเป็นหมด แต่การมาอยู่ไกลหูไกลตา ห่างไกลจากจากควบคุมแบบนี้ก็เป็นเรื่องดี ทำให้จื่อรั่วตกกรอบ เพราะหลังจากมาอาศัยอยู่ได้เพียงปีเดียว ด้วยอายุยังน้อยอยู่ในวัยซุกซน จึงแอบหนีแม่นมออกมาข้างนอกคนเดียวบ่อยๆ กว่าแม่นมจะรู้ตัว นางก็ปีนต้นไม้เล่นน้ำในแม่น้ำกับลูกชาวบ้านในตลาดแล้ว ชีวิตของจื่อรั่วที่เมืองฝู่วโจว ไม่เคยไร้เสียงหัวเราะ นางมีเพื่อนมากมาย น้อยเนื้อตำใจที่ได้เบี้ยหวัดเพียงแค่พอยังชีพแล้วอย่างไร จริงอยู่หากเทียงเคียงคุณหนูคนอื่นนางนั้นเรียกว่าไร้ค่า แต่จื่อรั่วกลับมองว่าตัวนางนั้นยังสบายกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ วัยเล่นสนุกมีเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจาก เริ่มปักปิ่นสวมกวานสตรีก็ต้องออกเรือน ชายหนุ่มต้องทำงานหนัก จื่อรั่วเพียงแค่มีหน้าที่เรียนศิลปะต่างๆ และท่องตำราสบายกว่าเพื่อนที่เล่นน้ำด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตมากนัก อยู่กับผู้คนมากมายหลายแบบ ทำให้นางเติบโตมาด้วยความคิดอิสระ เรื่องของคนในสกุลจึงเป็นเพียงตะกอนที่ตกข้างอยู่ในใจลึกๆ เท่านั้น
“ข้าหวังว่าคุณหนูจะไม่เผาสกุลจื่อทันทีที่ไปถึง”
“แม่นมท่านว่าอย่างไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด” จื่อรั่วหันมาถามแม่นมจาง เพราะได้ยินเสียงงึมงำจากสตรีที่เดินเคียงข้างแต่ไม่ชัดเจนจนต้องถามอีกครั้ง
“เปล่าเจ้าคะ ข้าแค่บ่นว่าหวังว่าคนในสกุลจื่อคงไม่ใจร้ายกับคุณหนู”
“ข้าเชื่อว่าหากพวกเขาคิดจะใจดีกับข้า คงไม่ทิ้งข้าที่อายุเพียง 8 หนาวเอาไว้ที่นี้ จนป่านนี้ หากข้าไม่มีประโยชน์ไหนเลยจะให้ข้ากลับไป ข้าไม่คาดหวังว่าใครจะดีกับข้ามานานแล้ว แต่หากใครดีมาข้าเพียงแต่ดีตอบ เรื่องขอวันพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้”
หญิงชราพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปยังเรือนนอนของจื่อรั่วจัดการทำธุระสาวนตัวแล้วนำฟูมาปูนอนข้างเตียงเช่นทุกคืน ตอนนี้มีเพียงฟูกนอนที่เหลืออยู่ เพราะข้าวของอื่นๆ ถูกเก็บจนหมดแล้ว หลังจากตื่นนอนรุ่งสางก็เพียงเก็บขึ้นรถม้าออกเดินทางได้เลย การที่คุณหนูยอมกลับไปง่ายๆ ไม่ใช่นางไม่สงสัย ด้วยนิสัยใจคอของคุณหนูนั้นนางล้วนรู้ดีที่สุด แม่นมจางค่อยๆ หลับตาลง วันนี้แม้ไม่ได้หยิบจับช่วยขนสิ่งใด แต่ก็เพลียพอสมควรเนื่องจากที่ผ่านมามีหน้าที่หุ้งหาอาหารและดูแลคุณหนูเท่านั้น
‘ขออย่าถึงขั้นเผาสกุลจื่อเพื่อหนีงานแต่งเลย’
หญิงชราได้แต่เพียงภาวนาคนเดียวในใจ
บทที่4หลังจากเดินทางด้วยรถม้าออกจากเมืองฝู่โจวตั้งแต่ฟ้าส่าง จนจวบช่วงเข้าวันที่ 3 ในที่สุดขบวนรถของคุณหนูใหญ่สกุลจื่อก็เดินทางมาถึงประตูเมืองหลวงจื่อรั่วคล่อยเอื้อมหลังมือรั้งให้ผ้าม่านรถม้าเปิดออก เวลานี้ล่วงเข้าสู่ยามเซิน(เวลา 15.00 - 16.59 น.) ทำให้การตรวจตราเอกสารเข้าออกเมืองเข้มงวด จึงทำให้มีผู้คนออกันแน่นขนัดอยู่ประตูเมือง ตากลมโตกวาดสายตามองผู้คนที่ยืนอยู่นอนกรถม้า มีทั้งชาวบ้าน พ่อค้าวาณิชย์ การแต่งการสีสันสดใสหลากหลาย หากไม่เห็นด้วยตาคงไม่อาจเชื่อได้ว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านพ้นกลียุคมาได้ไม่นาน เนื่องจากการกระทำอันเลวทรามผิดมนุษย์ ตำช้าเกิดที่ใครๆจะรับได้ของฮองเต้องค์ปัจจุบัน แต่ทุกคนเลือกที่จะเงียบ สงบปากสงบคำ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนต่อไป หากอยากมีชีวิตรอดก็ต้องก้มหัวให้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งตอนนี้ผู้ที่กำอำนาจสูงสุดจะไปใครไปไม่ได้‘ฮองเต้เจ้าหลง’ หากขุนนางและราษฎร์ต้องก้มหัวให้คือฮองเต้ ตัวนางเองก็ยังต้องก้มหัวให้บิดา การอาศัยอยู่ที่เมืองฝู่โจ่ว จริงอยู่สิ่งที่ได้คืออิสระเล็กๆน้อยๆ แต่มันคืออิสระที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยซักเท่าไร เมืองฝู่โจวเป็นเพียงเมืองเล็กๆทางต
บทที่5ร่างสูงใหญ่ควบอาชาผ่านป่าและภูเขาโดยไม่สนใจทิวทัศน์สองข้างทางแม้แต่น้อย ใจรีบเร่งไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด หลังจากสอบเข้าเป็นทหารในวังมาเกือบปี ในที่สุดเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 12 องครักษ์เกราะทอง เขาจึงขอลากลับบ้านเกิดเพื่อแจ้งข่าวครอบครัวหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือก ซึ่งโดยปกติแล้วองครักษ์ในวังหลวงจะผลัดเวรยามกันเดือนเว้นเดือน ยกเว้น องครักษ์เกราะทองต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงตลอด ไม่สามารถออกมาได้ตามอำเภอใจ เพราะหน่อยนี้มีหน้าที่ดูแลคุ้มครององค์ฮองเต้ตลอดเวลา เขาจึงขอกลับบ้านเกิดก่อนบรรจุเข้าหน่อยเต็มตัวจะต้องอาศัยอยู่ในวังเป็นระยะเวลานานๆ“ในที่สุดความคุณชายจูก็ทำสำเร็จ”หลิวเสวี่ยอวี้ทำความเคารพผู้มาใหม่อย่างน้อบน้อม แม้ว่าตนเองกับจูล่งจะนับถือกันเป็นสหาย แต่อย่างไรฐานะขออีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา“คุณชายจู” เฉิงตงทักผู้มาใหม่เช่นกัน แต่ก็อดที่จะกรอกตาปะหลับปะเหลือกกำท่าท่างของสหายที่ยืนเคียงข้างไม่ได้“คุณชายหลิว คุณชายเฉิง ข้าขอภัยที่มาช้า”ก่อนจะเมียงมองไปยังต้นผิงกั่วต้นใหญ่ที่ยืนต้นเด่นอยู่ริมเขา“ไม่ต้องกังวล ข้าตรวจสอบแล้วไม่มีผู้ใดอยู่บนนั้น”คุณชายจูรีบเบนสายตากลับ
บทที่6ปลายฤดูหนาวปีที่แล้วสามสหายเดินทางแยกกันมา เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจและสังเกต ด้วยทั้งสามนั้นต่างมีรูปร่างและหน้าตาโดดเด่น เป็นจุดสนใจได้ง่าย จึงเลือกเกี่ยวข้องกันให้น้อยที่สุด แล้วค่อยๆ แสร้งเป็นรู้จักกันและพบกันที่เมืองหลวง วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่คุยกันก่อนจะแยกย้ายเดินทางเข้าเมืองหลวงยามซวี ( คือ 19.00 - 20.59 น.)แม้จะเป็นวัดที่อยู่บนเขา และบริเวณนี้เป็นจุดใกล้หน้าผา แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ทั้งสามบุรุษจึงสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้“ฮองเต้ระวังมากว่าแต่ก่อน การตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดกวดขัน หากไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง คาดว่าพวกท่านทั้งสองคงยากที่จะเข้าไป” บุรุษคนหนึ่งกล่าว ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญที่ทางสกุลเจียวปลอมแปลงและทำขึ้นมาให้บุรุษต่างแค้วนทั้งสองคน“ข้าจะไม่ให้มันผิดพลาดแบบคราวก่อนอีก”หนึ่งในสองบุรุษยื่นมือไปรับหนังสือรับรองมากำไว้แน่น น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง คราวนี้พวกเขาได้ตระกูลขุนนางใหญ่ช่วยเหลือ จะไม่มีทางให้ผิดพลาดแบบครั้งก่อนอีกเป็นอันขาด เหตุการณ์นองเลือดที่สายลับจากแคว้นฉู่ ลูกน้องใต้อานัติของเขาทุกคนต้องสิ้นล้มหายใจ เหลือรอดมาเพียงตัวเขาผู้เดียว ยังวนเวียนอยู่ในความทรง
บทที่7จูล่งสะกดรอยตามสตรีผู้นั้นท่ามการแสงสว่างจากแสงจันทร์ ยิ่งเห็นใบหน้าของนางกระจ่างชัดเท่าใดในหัวใจยิ่งสลักเสลานางไว้ชัดเจนเท่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางถูกเขาจดจำเอาไว้หมดจนเห็นนางเดินหายเข้าไปในจวนหลังหนึ่ง ดูจากเนื้อผ้าและการแต่งการขอนางนั้นเดาได้ไม่ยากว่าเป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่เหลือตัวเขานั้นจะตามหาคำตอบเองเขาจึงสั่งให้องครักษ์ที่สกุลเจียวส่งมาให้ดูแลเขาสืบเรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเรื่องราวชีวิตของนางทั้งหมดก้เรียงรายอยู่ตรงหน้าเขา แม้จะรู้แน่ชัดว่านางเป็นใครและรู้สึกเช่นไรกับนาง ก็ไม่อาจเดินเข้าไปทำความรู้จักเกี้ยวพานางเฉกเช่นบุรุอื่นได้ ด้วยภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่ายามนี้ช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน จึงทำได้เพียง ให้คนดูแลนางอยู่ห่างๆ ทุกครั้งที่เดินทางมายังฝู่โจวก็ทำได้เป็นเพียงแค่เงาแอบดูนางเท่านั้น เขาแล้วมันต่างอะไรกับหลิวเสวี่ยอวี้กันเดิมเคยคิดว่าสตรีที่ตรงใจของตนเองนั้นจะต้องสง่างาม จริตกริยาอ่อนช้อยเฉกเช่นเดียวกับน้องห้า แต่เขากลับมาตกหลุมรักคุณหนูจื่อรั่วตอนที่เห็นนางคายเศษผิงกัวออกจากปากในเวลาเป็นตายเท่ากัน คิดแล้วก็ได้แต่เพียงอมยิ้มออกมา ไม่ว
บทที่8ร่างบางยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลจื่อ ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ริมฝีปากอิ่มไหวระริกยกยิ้มด้วยความยินดี ในที่สุดก็ได้กลับมา“คุณหนู นายท่านรอที่เรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ” แม่บ้านหม่า ออกมายืนรอต้อนรับคุณหนูใหญ่ตามคำสั่งของฮูหยิน ข่าวลือว่าจื่อฮูหยินรังเกียจคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากฮูหยินรอง จนถึงขั้นส่งไปอยู่ต่างเมืองและไม่ยินยอมให้กลับมาอยู่อาศัยร่วมจวน กระทบภาพลักษณ์อ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยจารีตประเพณีของฮูหยินไม่น้อย แม้จะกลบข่าวลือด้วยการบอกใครๆว่าคุณหนูใหญ่นั้นร่างกายอ่อนแอ เลือกที่จะรักษาด้วยอยู่บ้านเกิดมารดา จนในที่สุดวันเวลาก็กลืนข่าวพวกนั้นจนหมดสิ้น แทบไม่เคยมีใครพูดหรือถามถึงคุณหนูจื่อรั่วอีกเลย การเดินทางกลับมาของคุณหนูในครั้งนี้จะทำให้ชื่อเสียงของจื่อฮูหยินแปดเปื้อนอีกครั้งไม่ได้ จึงต้องออกมายืนต้อนรับขับสู้อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงให้ผู้คนภายในและภายนอกได้เห็นว่าตระกูลจื่อนั้นยินดีที่คุณหนูจื่อรั่วกลับมามากมายเพียงใดจื่อรั่วลงรถม้ามาพร้อมแม่นมจาง เดินตามคนสนิทของฮูหยินเข้าจวนไป เมียงมองรอบๆตัวไปตลอดทาง จวนสกุลจื่อนั้นเปลี่ยนไปมากนั้น ใหญ่โตโออ่ากว่าตอนที่นางอยู่จนแทบจะไม่เหลือภาพเดิม ม
บทที่9จื่อรั่วทิ้งตัวลงกับตั่งไม้แทบจะทันทีที่มาถึงเรือนเหมยฮวา เลือกเรือนหลังเล็กสุดและอยู่ลึกที่สุดในจวนสกุลจื่อแห่งนี้ เพิ่งเดินทางมาถึงก็ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับบิดา กว่าจะเข้ามาถึงเรือนนอนก็ขาแทบลากฮูหยินใหญ่ช่างรักนางเสียจริง เล็กๆน้อยๆให้ได้กลั่นแกล้งกันก็ไม่คิดที่จะผ่อนปรน“เดี๋ยว! แม่นม เหตุใดในเรือนไม่มีข้าวของของข้า”เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อยจึงมีเวลาได้สำรวจข้าวของที่นำมาจากฝูโจว ไม่มีชิ้นใดเลยที่คุ้นตา ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่“ของเก่าที่มาจากฝูโจว ฮูหยินใหญ่บอกว่ามันเก่าแล้ว อีกทั้งไม่กี่วันคุณหนูก็จะแต่งออกไปต้องมีเครื่องเรือนติดตัวไปด้วยให้สมฐานะ ของเดิมที่ขนมาจากฝูโจไม่อาจนำไปบ้านสามีได้ เพราะจนจะพังแล้วเจ้าค่ะ”แม่นมจางหยิบจับ ปัดกวาดเช็ดถูเครื่องเรือนใหม่ด้วยรอยยิ้ม แม้ฮูหยินใหญ่จะเกลียดคุณของนางยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน แต่ก็ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดี จัดการเสื้อผ้า เครื่องเรือน และเครื่องประดับใหม่ มาให้เพื่อให้สมเกียรติคุณหนูใหญ่ของตระกูลจื่อ แม้ข้าวของเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่ามากมายเท่าใดนัก แต่ก็ดีกว่าของเก่าหลายสิบเท่า“แล้วของเดิมเล่า เอาไปไว้ไหน” เท่าที่จำได้ขนกลับมาหลาย
บทที่10หลังจากดื่มยาไปเพียงหนึ่งชุด จื่อรั่วก็หายจากอาการท้องร่วง ยกเว้นคนบนเรือนใหญ่ จนป่านนี้ก็ยังวิ่งเข้าสุขา เหตุที่จื่อรั่วและบ่าวไพร่ท้องเสียแค่ไม่กี่ชั่วยามเนื่องจากตัวนางมียาแก้ ส่วนบ่าวไพร่ในจวนล้วนทำงานหนักดื่มน้ำในบ่อที่มีส่วนผสมของยาระบายเพียงเล็กน้อยย่อมท้องเสียเพียงไม่นานก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับคนบนเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยหยิบจับสิ่งใดย่อมมีธาตุไฟที่อ่อนกว่าจึงมีอาการยาวมาจนถึงช่วงบ่ายแค่ท้องเสียยังน้อยไปท่านแม่ใหญ่คุณหนูของนางยอมท้องเสียเหมือนคนอื่นๆในจวนเพื่อจะไม่ให้ผู้ใดสงสัย นางก็คิดอยู่แล้วว่าขาเดินกลับจากโรงครัวคุณหนูโยนห่อผ้าลงบ่อน้ำทำไม นี่แค่วันเดียวยังก่อเรื่องขนาดนี้ อยากให้รีบแต่งออกไปโดนเร็ววันกลัวคุณหนูจะปิดบังนิสัยอันแท้จริงไว้ไม่มิด แต่แม่นมทำเพียงส่ายหน้าเพราะตัวนางเองก็ผิดที่ตามใจ จึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำหลังจากแก้แค้นให้โต๊ะเครื่องแป้งจนสาแก้ใจแล้ว เรื่องต่อไปคือว่าที่สามีในอนาคต ซานซีหาว บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายซ้าย “แม่นมท่านปิดห้องหับให้ดี ข้าจะออกไปหาข่าว”จื่อรั่วใช้อาการท้องเสียเช่นเดียวกับทุกคนในจวนเป็นข้ออ้างในการปิดเรือนเ
บทที่11จูล่งวนเวียนอยู่ภายในจวนสกุลจูตั้งแต่กลับมาถึง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องงานให้กับครอบครัวทราบแล้ว พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่ใจของเขานั้นกลับไปที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ‘นางจะแต่งกับใคร’เขาในตอนนี้แม้อายุจะถึงวัยแต่งงานแล้ว แต่บิดามารดาก็ไม่เคยบังคับ ของเพียงให้แต่กับคนที่รักก็เพียงพอจึงไม่เคยพูดหรือเร่งเร้าใดๆเคยคิดที่จะให้บิดาไปสู่ขอนาง แม้ว่าสกุลจูเป็นคหบดีร่ำรวยไม่น้อยหน้าผู้ใด แต่เท่าที่สืบมา จื่อเหลียงเจ้ากรมอารักษ์บิดาของจื่อรั่วต้องการให้นางแต่งกับขุนนางเพื่อเส้นสายในราชสำนัก อีกข้อคือตัวเขาเองยังไม่พร้อมจะดึงนางมาสู่ทางที่ไม่แน่นอน หากเขายังไม่สามารถกระชากคนผู้นั้นลงมาจากหอคองาช้างได้ เขาก็ไม่ควรจะดึงนางเข้ามาเสี่ยงกับอัตรายที่ผ่านมาเห็นจื่อเหลียงทิ้งขว้างนางไว้ฝูโจ ส่วนนางนั้นก็ไร้ซึ่งบุรุษข้างกาย เขาเลยคิดอ่านไปเองว่าวันที่ทำการสำเร็จจะไปสู่ของนาง และบิดานางจะไม่มีวันปฏิเสธเขาแน่นอนแต่มันผิดพลาดไง ใคร ใครมันไปบังอาจไปสู่ขอนางตัดหน้าเขา“องค์ ชะ… คุณชายจู ม้าเร็วจากเมืองหลวงขอรับ”จูล่งหันขวับไปตามทิศทางของเสียงในเงามืด ขึงตามองคนที่เรียกตนเอง องค์รักษ์เงาแท
บทที่32รถม้าวิ่งเข้าสู่ราชวัง จื่อรั่วถูกมัวมัวประคองลงจากรถม้า ก่อนจะส่งมือของนางทาบลงฝ่ามือใหญ่ จื่อรั่วช้อนสายตามองผ่านผ้าคุลม เอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ล่ง”จูล่งแต่งชุดเจ้าบ่าว จับจูงเจ้าสาวเข้าสู่พิธี จื่อรั่วเดิมตามแรงดึงจากฝ่ามือหนาและแรงประคองจากมัวมัว ไหนราชโองการให้นางแต่งกับฮองเต้ แต่นี้จูล่ง ไม่ผิดแน่จูล่งรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวของสตรีข้างๆจึงเอียงใบหน้ากระซิบลงข้างหู “ไว้เสร็จพิธีข้าจะเล่าทุกอย่างให้รั่วเอ้อร์ ฟังทั้งหมด แต่ตอนนี้เจ้าต้องใจเข้าพิธีแต่งงานของเราสองคนก่อนเถิด”จื่อรั่วช้อนสายตาตามเสียงนั้น บุรุษผู้นี้เป็นจูล่งไม่ผิดแน่ ใบหน้านี้ สายตาที่มองนางอย่างมั่นคงและจริงใจรอยยิ้มละมุนละไมที่มีให้นางเพียงผู้เดียว เป็นจูล่งของนางไม่ผิดแน่ จึงพยักหน้าตอบรับเบาๆ กระชับมือแน่น สื่อให้บุรุษด้านข้างรับรู้ว่านางเชื่อใจเขาแต่กว่าพิธีจะเสร็จสิ้นก็เรัยกว่าแทบจะพรากลมหายใจคันชั่งหยกยื่นมาหมายจะเปิดผ้าคลุมเจ้าสาว“ช้าก่อน ท่านติดค้างข้าหลายเรื่องทีเดียว ข้าควรได้ฟังคำอธิบายก่อน ท่านถึงจะมีสิทธิ์เปิดผ้าคลุมออก” “แต่ข้ากับเจ้าเข้าพิธีกันเรียบร้อยแล้วน่ะ” จูล่งโอดครวญ เขาอยากจะเห็น
บทที่31หุบเขาห่างไกล มีเรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ จื่อรั่วตื่นมาท่ามความงุนงง มือของนางถูกกุมเอาไว้ด้วยมืออันเหี้ยวย่นของแม่นมจาง จื่อรั่วจำวันนั้นได้เป็นอย่างดีเขาพานางออกจากวังมาในสภาพไร้สติ เขาทำตามที่รับปากนางเอาไว้ พานางออกมาจากวังต้องห้ามได้ แต่กลับไร้เงาของเขา แม่นมจางนำจดหมายที่จูล่งฝากเอาไว้ให้‘ขอโทษที่วางยาเจ้า การออกมาจากวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีนี้รวดเร็วที่สุด ข้าต้องภาระกิจใหญ่ ซึ่งอาจหมายถึงชีวิต หากภารกิจสำเร็จข้าจะไปรับเจ้ากลับหยิ่งตู่ไปพบครอบครัวของข้า แต่ถ้าหากไม่ บุรุษที่เดินทางไปกับเจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจ เขาจะดูแลเจ้ากับแม่นมจางเป็นอย่างดี’จื่อรั่วอ่านจดหมายนั้นซ้ำไปซ้ำมา อยู่หลายครั้ง ร้องไห้น้ำตารองหน้าอยู่หลายคืน จนในที่สุดนางก็ลุกขึ้นมาสำรวจรอบๆเรือน พอเบื่อก็ออกสำรวจรอบๆป่า จนได้พบว่า บุรุษที่จูล่งฝากฝังนางเอาไว้ ฝีมือวรยุทธ์ดีเยี่ยมก็แน่ล่ะ จูล่งเก่งขนาดนั้น ลูกน้องจะกระจอกงอกง่อยได้อย่างไร “ข้าจะรอท่าน”ดวงหน้างามทอดสายตาทองไปยังทางขึ้นเขา นางไม่ร้องไห้คร่ำครวญ แต่จะรอคอยบุรุษที่นางรักด้วยหัวใจที่เชื่อหมั่นว่าเขาจะทำภารกิจสำเร็จลุล่วง ไม่เป็
บทที่30ปั้ง!ฝ่ามือหนามือหนาตบลงบนพนักวางแขน บัลลังก์ทองสั่นสะเทือน“ข้าจะแต่งกับนาง ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาขวาง” จูล่งฮองเต้ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง หัวข้อถกเถียงในท้องพระโรงวันนี้คือ การรับสนมเข้าวัง “แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลจื่อ ไม่เหมาะสมจะเป็นฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” แม้เจียวก้านและขุนนางฝ่ายเจียวก้าวจะสนับสนุนเขาเต็มกำลัง แต่ก็ทีขุนนางอีกหลายคนที่มองว่าคุณหนูจื่อรั่วไม่เหมาะกับตำแหน่งแม่ของแผ่นดิน“ถ้าอย่างไร รับคุณหนูใหญ่ตระกูลจื่อเข้ามาเป็นพระสนมก่อนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนรีบเสนอ เพราะหลายวันที่ผ่านมาถดเถียงกันอยู่เพียงเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรฮองเต้ก็จะรับนางเข้ามาเป็นฮองเฮา“ข้าบอกแล้วข้าไม่รับสนม ไม่ว่าตำแหน่งใดๆก็ไม่รับ ข้าจะรับจื่อรั่วมาเป็นฮองเฮาเพียงผู้เดียว” ไม่ว่าอย่างไร จูล่งก็ไม่มีทางรับสตรีใดเข้าวัง“ฝ่าบาท ราชวงศ์จำเป็นต้องแตกสาขา เพื่อความมั่นคงของแคว้น ตอนนี้เชื่อพระวงค์โดยสายเลือดมีเพียงพระองค์ เหล่าอ๋องทั้งสามและองค์หญิงที่อภิเษกไปอยู่แคว้นฉู่”กงกงเดินเข้ามากระซิบกระซาบ จูล่งฮองเต้พยักหน้า ไม่ช้าก็มีบุรุษสวมชุดเกราะเดินองอาจเข้ามาภายในท้องพระโรง แม่ทัพใหญ่ซ่งเว่ยหลง เป็นคนคุ
บทที่29จูล่งสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจูล่งฮองเต้ โดยใช้ยังคงใช้พระนามเดิมที่บิดามารดาตั้งให้ ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรโดยที่ขุนนางไม่มีใครคิดที่จะจะขัดขวาง วังหลังก็ถูกกวาดล้าง จูล่งฮองเต้สั่งให้ถอดถอนสนมทุกนางให้กลับบ้านเก่าพร้อมจ่ายเบี้ยรายปีให้เป็นครั้งสุดท้าย ส่วนองค์หญิงองค์ชายทุกคนถูกถอดถอนบรรดาศักดิ์พร้อมเบี้ยรายปีครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน ทุกคนโชคดีที่จำนวนเหล่าองค์หญิงองค์ชายมีจำนวนไม่มาก เพราะฮองเต้หลงมีรับสั่งให้สนมตั้งแต่ขั้นผินลงไปดื่มยาห้ามครรภ์ทุกครั้งที่ทำการรับใช้พระองค์ ทรงไม่โปรดให้สนมชั้นต่ำตั้งครรภ์มังกรจูไป๋เสวี่ยขี่ม้าตามหลังคุณชายสี่และรองแม่ทัพไป๋ชู่จากเมืองลี่เจียงกลับเมืองหลวงแคว้นเว่ยทันทีหลังจากพี่สี่รีบควบม้ากลับมาส่งข่าวด่วน การยึดบัลลังก์คืนจากฮองเต้หลงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พี่ๆ ทั้งสี่คนได้แผลกันคนละเล็กละน้อยเท่านั้น แต่แม่ทัพหลิวเสวี่ยอวี้ บาดเจ็บสาหัสเป็นตายเท่ากัน หลังจากที่คุณชายรองดึงกระบี่ออกจากอก จนวันนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาจูกูกัดกิ่นและจูฮูหยินตัดสินใจขอเดินทางแยกกับบุตรชายและบุตรสาวเพราะทั้งสองเดินทางด้วยรถม้าต้องใช้เวลา จูไปเสวี่ยขี่ม้าไปคงเดินทางถึงไ
บทที่28แม้จะต้องสังหารคนที่เคยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่มาก่อน จูล่งก็ไม่ลังเล เขารู้ฝีมือองครักษ์ของฮองเต้ทุกคนเป็นอย่างดี แต่องครักษ์ทุกคนก็รู้ฝีมือเขาเช่นกันเมื่อถูกลุมล้อม จูล่งจึงพลาดพรั้ง ถูกปลายกระบี่จองฮองเต้แทงเข้าที่หัวไหล่ขวา ฮองเต้หลงหมายจะซ้ำอีกดาบสังหารกบฏแท่ทัพหลิวเห็นจูล่งพลาดพลั้ง จึงกระโดดเอาตัวเข้าบังจูล่งเอาไว้ แทงกระบี่สวนออกไปยังทิศทางที่ฮองเต้แทงหมายจะสังหารจูล่งกระบี่ทั้งสองเล่นจึงปักที่อกข้างซ้ายของทั้งสองฝ่ายพอดี ทั้งคู่ตึงทรุดลงไปนั่งกับพื้น“อย่าอาฆาตแค้นกันเลย คิดซะว่ามันคือเวรกรรมที่พระองค์สังหารคนที่เลี้ยงดูพระองค์” จูล่งตวัดปลายกระบี่ตัดศีรษะของฮองเต้หลงหลุดจากบ่าในกระบี่เดียวรีบไปประคองแม่ทัพหลิวเพื่อดูอาการและให้คนไปตามน้องรองมาดูอาการแม่ทัพทันทีส่วนองครักษ์ที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่ เมื่อเห็นฮองเต้สิ้นพระชนม์จึงวางดาบยอมจำนวน ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อไปอีกแล้วคุณชายรองจูเหวินจางรีบฝ่าเข้ามาดูอาการแม่ทัพหลิวในทันที“แม่ทัพเอาตัวบังให้ข้า ไม่งั้นคนที่นอนอยู่ตรงนั้นอาจเป็นข้าเอง” จูล่งกล่าวบอกน้องชายเสียงเบา เขาเป็นหนี้ชีวิตแม่ทัพหลิวแล้ว หากไม่ได้แม่ทัพ คง
บทที่27หลังจากที่สำรวจเส้นทางตามแผนที่ พบกุญแจและทางเข้าตามที่จูไป๋เสวี่ยบอกอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม่ทัพหลิวจึงวางแผนนำกองกำลังเขาเมืองหลวง โดยการเดินทางเจ้าเมืองหลวงหลายๆ เส้นทาง แยกกันมากลุ่มล่ะ 1-2คนเท่านั้น เพื่อจะได้ไม่เป็นการผิดสังเกต ผู้นำตระกูลอย่างเจียวเจี้ยก็สนับสนุนอาวุธและเสบียงอาหาร ยอมเปิดคลังเสบียงของตระกูลเพื่อช่วยเหลือในครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้พี่น้องทั้งสี่ของสกุลจูและเขาตกใจก็คือ นอกจากจะเชื่อมไปยังพระราชวังยังมีอาวุธมากมายเก็บซ่อนเอาไว้ หากดูผิวเผินเส้นทางนี้ไม่เคยมีการใช้งานมาก่อนเพราะไม่มีรอยเท้าใดๆ เลยเงาสายหนึ่งวิ่งฝ่าท่ามกลางความมืดไปมุ่งตรงไปยังปลายทางอย่างไม่หยุดพัก บนไหล่หนามีร่างสลบไสลของสตรีนางหนึ่ง “เจ้าไม่คิดจะบอกความจริงกับนาง” หลิวเสวี่ยอวี้มองสหายที่แบกร่างจื่อรั่วที่สลบออกมาจากอุโมงค์ลับ จูล่งค่อยๆว่างร่างของนางลงบนรถม้าแผ่วเบา จุมพิตลงบนหน้าผาก ก่อนจะพยักหน้าให้องครักษ์เงาบังคับรถม้าลงจากเขาไป“ข้าฝากจดหมายไว้กับองครักษ์มู่แล้ว” นั้นคือชื่อขององครักษ์เงาที่คอยตามดูแลนางมาตลอดหลายปีอีกไม่เพียงชั่วยามจะเริ่มแผนการทั้งหมด แม้จะฝากนางไว้กับเจียวเฟย แต่กร
บทที่26จูล่งและน้องชายทั้งสามเก็บตัวอยู่ภายในจวน รอเวลาให้แม่ทัพหลิวเสวี่ยอวี้ไปส่งบิดา มารดาและน้องห้ายังแคว้นฉู่อย่างปลอดภัย แต่ก็ต้องโมโหจนลมออกหูเพียงไม่กี่วันหลิวเสวี่ยอวี้ก็กลับมาที่เมืองหยิ่งตู่“ว่าไงน่ะ น้องห้าอยู่ลี่เจียง! ทำไมไม่ไปส่งในเมืองหลวง ที่วางแผนเอาไว้ไม่ใช่แบบนี้ หมายความว่าอย่างไรคุณชายหลิว” จูล่งให้คนทุบกำแพงเชื่อมระหว่างจวนของสกุลจูกับจวนของเฉิงตง เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่ไม่ให้คนภายนอกสงสัย พอเขารู้ว่าแม่ทัพหลิวกลับมาแล้วจึงรีบหามาเพื่อสอบถามเรื่องครอบครัวที่ฝากฝังให้ไปส่งที่แคว้นฉู่ ระหว่างทางเจอรองแม่ทัพถึงได้รู้ว่า น้องห้าและบิดามารดาอาศัยอยู่ที่หัวเมืองใกล้ๆ นี้เอง มิน้าถึงกลับมาเร็วนัก “น้องห้าอยู่ลี่เจียง! ทำไมไม่ไปส่งในเมืองหลวง ที่วางแผนเอาไว้ไม่ใช่แบบนี้ หมายความว่าอย่างไรคุณชายหลิว” จูล่งให้คนทุบกำแพงเชื่อมระหว่างจวนของสกุลจูกับจวนของเฉิงตง เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่ไม่ให้คนภายนอกสงสัย พอเขารู้ว่าแม่ทัพหลิวกลับมาแล้วจึงรีบหามาเพื่อสอบถามเรื่องครอบครัวที่ฝากฝังให้ไปส่งที่แคว้นฉู่ ระหว่างทางเจอรองแม่ทัพถึงได้รู้ว่า น้องห้าและบิดามารดาอาศัยอยู่ที่หัวเมือ
บทที่25จูล่งเดินทางกลับหยิ่งตู่ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากฮองเต้ เขาแสร้งว่าจะมากีดกันไม่ให้น้องห้ากับคู่หมั้นแต่งงานและให้ถอนหมั้นกัน ที่จริงแล้วเขาเพียงหาทางออกจากวังโดยที่ฮองเต้ไม่สงสัยต่างหากจูล่งควบม้าจากเมิงหลงมุ่งหน้าหยิ่งตู่โดยไปไม่หยุดพัก ระหว่างทางก็มีสายเงาดำคอยตามอยู่ไม่ไกล เขารู้จักลมปราณเหล่านั้นเป็นอย่างดี เหล่าองครักษ์เงาของเขาเองเมื่อมาถึงหยิ่งตู่ จึงเรียกสหายออกมาสอบสวน“เจ้ากล้าดียังไง ถึงมาสู่หมั้นหมายกับน้องห้าโดยที่ไม่บอกข้าก่อน” หลังจากมาถึงจวนสกุลจู จูล่งก็บุกมายังจวนของเฉิงตง สหายรักของหลิวเสวี่ยอวี้ ที่ปลอดตัวเป็นพ่อค้าในเมืองหยิ่งตู่“นางขอข้าแต่งงาน” หลิวเสวี่ยอวี้ตอบออกไปทันที“เจ้าจะโกหกจูล่ง ก็รอตอนข้าไม่อยู่ไม่ได้เหรอ” เฉิงตงกล่าว เพราะเข้าอยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด จูไป๋เสวี่ยกลัวต้องถูดคัดตัวเข้าวัง บุกมาหาเขายามวิกาล ขอให้เข้าหมั้นหมายกับนาง ตัวเขานั้นรู้ดีแก่ใจว่าหลิวเสวี่ยอวี้ปักใจรักรางมาหลายปี เป็นมดแดงแผงพวงมะม่วงทำได้เพียงมองนางอยู่ในที่ไกลๆ จึงปฏิเสธนาง แต่สหายเขานั้นกลับเห็นสบโอกาสรีบอาสาขอแต่งงานแทน“ไม่ว่าใครจะขอแต่ง ตอนนี้คนทั้งหยิ่งตู่ก็รับรู้
บทที่24ช่วงสายของวัน เจียวเฟย นั่งชอบดอกบัวที่เก๋งในอุทยาน จื่อรั่วค่อยพัดวีดให้อยู่ไม่ห่าง หากมองด้วยสายตาคนนอกแล้ว สตรีที่เจียวเฟยนำเข้าวังมาชุบเลี้ยง เติบโตงดงามขึ้นกว่าวันแรกที่เข้ามาวังมากหนัก กริยาของนางยามสะบัดข้อมือขวนมองเสียเหลือเกิน“รั่วเอ้อร์” “พี่ล่ง” จื่อรั่วแทบจะทำพัดหลุดจากมือ นางกับจูล่งไม่เคยพบกันต่อหน้าผู้คนแบบนี้ เหตุจูล่งจึงเข้ามาหานางทั้งๆที่นางยังรับใช้พระสนมอยู่เช่นนี้เจียวเฟยโบกพระหัตถ์ให้ขันทีละสาวใช้คนอื่นๆออกไปจากเก๋ง เหลือเพียงนางและจื่อรั่ว บุรุษผู้มาใหม่เสียหน้าเคร่งเครียด“เจ้ามาตอนกลางกลางแบบนี้ ไม่กลัวใครเห็นงั้นเหรอ” เจียวเฟย หรี่ตามองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะทอดสายตากลับไปยังบัวอยู่ที่อยู่ในสระ“ข้าน้อยไม่มีเวลาแล้ว เจียวเฟย ข้าน้อยขอยืมตัวนางซักครู่ขอรับ” ไม่รอคำตอบจูล่งก็คว้าแขนของจื่อรั่วออกจากเก๋ง จื่อรั่วกวาดสายตามองก็พบว่าขันทีและสาวใช้ทั้งหมดที่อยู่นอกเก๋งก้มหน้ามองเพียงปลายเท้าของตนเท่านั้น“รั่วเอ้อร์” เมื่อลับสายตาคนจูล่งก็รีบบอกข้อความสำคัญ “ฟังข้าให้ดี”“ท่านหายไปไหนมา ข้ารอท่านทุกคืน” แม้จะบอกให้เชื่อใจบุรุษตรงหน้า แต่นางเคยคาดหวังกับบิดา