บทที่3
“ระวัง..โอ้ยช้าๆ เจ้าคะ” แม่นมจางลุ้นจนตัวโก่งแทบทุกการเคลื่อนไหวของจื่อรั่ว ทำเอาใจหายใจคว่ำตลอดเวลา รู้ดีว่าเนื้อแท้จริงแล้วคุณหนูของนางเป็นเยี่ยงไร แต่ก็ไม่เคยทำใจได้ซักหน ก่อนจะฟู่ลมหายใจออกจากปากยาวเหยียดหลังจากเห็นเท้าเรียวเล็กๆ ก้าวสัมผัสพื้นดิน
“คิกๆ ข้าปีนขึ้นปีนลงแบบนี้มาไม่รู้กี่ร้อยรอบ ให้หลับตาปีนลงมายังได้เลย” จื่อรั่วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ อดที่จะขำกับท่าทางเป็นกังวลจนเกิดเหตุของแม่นมไม่ได้
“แต่ข้าไม่ชินเลย” หญิงชรารีบถลาเข้ามาปัดเศษใบไม้และกิ่งไม้เล็กๆ ออกจากเสื้อคลุมของจื่อรั่ว
“เอาน้าๆ ไปอยู่เมืองหลวงใช่ว่าจะมีต้นไม้ให้ข้าปีนแบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน อีกทั้งต่อไปเราก็คงไม่ได้อยู่กันเพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ต้องกลับไปอยู่ที่จวนของท่านพ่อ ดีๆ ไม่ดีอาจจะต้องย้ายไปอยู่จวนเจ้าบ่าว”
“คุณหนูเหตุใดจึงดูไม่กังวลเรื่องงานแต่ง” แม่นมจางรีบดึงมือจื่อรั่วให้เดินตามเพื่อกลับจวนตอนนี้ฟ้าใกล้มือสนิทแล้วถึงแม้จะเดินเส้นทางนี้จนคุ้นชินและทุกคนต่างรูจักกันเป็นอย่างดีเนื่องด้วยเป็นเมืองเล็กๆ แต่สตรี2นางเดินกันเพียงลำพังเวลานี้ใช่ว่าจะไม่อันตราย
“ช้าเร็วก็ต้องแต่ง หากจะว่าไปตามอายุแล้ว สำหรับข้าก็ถือว่าช้ากว่าสตรีคนอื่นทีเดียว” ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าบิดาจะรอให้นางอายุจน 18 ถึงจับคู่ให้
“ท่านไม่เสียใจ?” เมื่อช่วงบ่ายยังร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่เลย
“แม่นมคิดว่าข้าจะยอมอยู่เฉยๆ เยี่ยงนั้นเลยหรอ คิกๆ”
เสียงหัวเราะเล็กจากลำคอขาวผ่อง ทำเอาแม่นมจางหวั่น
“คุณหนูเมืองหลวงไม่เหมือนกับเมืองฝูโจวนะ ท่านจะทำตัวแบบที่ผ่านมาไม่ได้”
“สกุลจื่อไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงข้าเป็นคนเยี่ยงไร ทุกคนต้องคิดและคาดว่าข้าก็เป็นเชกเช่นเดียวกับคุณหนูในห้องหอตระกูลอื่นๆ ท่านไม่พูดข้าไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้จริงหรือไม่”
จื่อรั่วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในสายตาคนอื่นนางคือคุณใหญ่สกุลจื่อ บุตรสาวคนโตของเจ้ากรมอารักษ์ แต่กลับถูกฮูหยินใหญ่ขับออกจากจวนทันทีที่มารดาเสียชีวิต บางคนอาจมองว่านางนั้นไร้ค่าถูกบิดาทอดทิ้ง บางคนอาจจะสงสาร แม้ว่าบิดาจะให้นางมาอยู่ห่างไกล แต่ใช่ว่านางจะไม่ได้รับการอบรบเหตุสตรีสกุลใหญ่คนอื่นๆ บิดาของนางส่งคนมาสอนหนังสือนางตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี้ ไม่ว่าจะอ่านเขียนบทกลอน วาดพู่กันจีน ดนตรีดีดสายจื่อรั่วล้วนเป็นหมด แต่การมาอยู่ไกลหูไกลตา ห่างไกลจากจากควบคุมแบบนี้ก็เป็นเรื่องดี ทำให้จื่อรั่วตกกรอบ เพราะหลังจากมาอาศัยอยู่ได้เพียงปีเดียว ด้วยอายุยังน้อยอยู่ในวัยซุกซน จึงแอบหนีแม่นมออกมาข้างนอกคนเดียวบ่อยๆ กว่าแม่นมจะรู้ตัว นางก็ปีนต้นไม้เล่นน้ำในแม่น้ำกับลูกชาวบ้านในตลาดแล้ว ชีวิตของจื่อรั่วที่เมืองฝู่วโจว ไม่เคยไร้เสียงหัวเราะ นางมีเพื่อนมากมาย น้อยเนื้อตำใจที่ได้เบี้ยหวัดเพียงแค่พอยังชีพแล้วอย่างไร จริงอยู่หากเทียงเคียงคุณหนูคนอื่นนางนั้นเรียกว่าไร้ค่า แต่จื่อรั่วกลับมองว่าตัวนางนั้นยังสบายกว่าคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ วัยเล่นสนุกมีเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจาก เริ่มปักปิ่นสวมกวานสตรีก็ต้องออกเรือน ชายหนุ่มต้องทำงานหนัก จื่อรั่วเพียงแค่มีหน้าที่เรียนศิลปะต่างๆ และท่องตำราสบายกว่าเพื่อนที่เล่นน้ำด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตมากนัก อยู่กับผู้คนมากมายหลายแบบ ทำให้นางเติบโตมาด้วยความคิดอิสระ เรื่องของคนในสกุลจึงเป็นเพียงตะกอนที่ตกข้างอยู่ในใจลึกๆ เท่านั้น
“ข้าหวังว่าคุณหนูจะไม่เผาสกุลจื่อทันทีที่ไปถึง”
“แม่นมท่านว่าอย่างไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด” จื่อรั่วหันมาถามแม่นมจาง เพราะได้ยินเสียงงึมงำจากสตรีที่เดินเคียงข้างแต่ไม่ชัดเจนจนต้องถามอีกครั้ง
“เปล่าเจ้าคะ ข้าแค่บ่นว่าหวังว่าคนในสกุลจื่อคงไม่ใจร้ายกับคุณหนู”
“ข้าเชื่อว่าหากพวกเขาคิดจะใจดีกับข้า คงไม่ทิ้งข้าที่อายุเพียง 8 หนาวเอาไว้ที่นี้ จนป่านนี้ หากข้าไม่มีประโยชน์ไหนเลยจะให้ข้ากลับไป ข้าไม่คาดหวังว่าใครจะดีกับข้ามานานแล้ว แต่หากใครดีมาข้าเพียงแต่ดีตอบ เรื่องขอวันพรุ่งนี้ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้”
หญิงชราพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปยังเรือนนอนของจื่อรั่วจัดการทำธุระสาวนตัวแล้วนำฟูมาปูนอนข้างเตียงเช่นทุกคืน ตอนนี้มีเพียงฟูกนอนที่เหลืออยู่ เพราะข้าวของอื่นๆ ถูกเก็บจนหมดแล้ว หลังจากตื่นนอนรุ่งสางก็เพียงเก็บขึ้นรถม้าออกเดินทางได้เลย การที่คุณหนูยอมกลับไปง่ายๆ ไม่ใช่นางไม่สงสัย ด้วยนิสัยใจคอของคุณหนูนั้นนางล้วนรู้ดีที่สุด แม่นมจางค่อยๆ หลับตาลง วันนี้แม้ไม่ได้หยิบจับช่วยขนสิ่งใด แต่ก็เพลียพอสมควรเนื่องจากที่ผ่านมามีหน้าที่หุ้งหาอาหารและดูแลคุณหนูเท่านั้น
‘ขออย่าถึงขั้นเผาสกุลจื่อเพื่อหนีงานแต่งเลย’
หญิงชราได้แต่เพียงภาวนาคนเดียวในใจ
บทที่4หลังจากเดินทางด้วยรถม้าออกจากเมืองฝู่โจวตั้งแต่ฟ้าส่าง จนจวบช่วงเข้าวันที่ 3 ในที่สุดขบวนรถของคุณหนูใหญ่สกุลจื่อก็เดินทางมาถึงประตูเมืองหลวงจื่อรั่วคล่อยเอื้อมหลังมือรั้งให้ผ้าม่านรถม้าเปิดออก เวลานี้ล่วงเข้าสู่ยามเซิน(เวลา 15.00 - 16.59 น.) ทำให้การตรวจตราเอกสารเข้าออกเมืองเข้มงวด จึงทำให้มีผู้คนออกันแน่นขนัดอยู่ประตูเมือง ตากลมโตกวาดสายตามองผู้คนที่ยืนอยู่นอนกรถม้า มีทั้งชาวบ้าน พ่อค้าวาณิชย์ การแต่งการสีสันสดใสหลากหลาย หากไม่เห็นด้วยตาคงไม่อาจเชื่อได้ว่าบ้านเมืองเพิ่งจะผ่านพ้นกลียุคมาได้ไม่นาน เนื่องจากการกระทำอันเลวทรามผิดมนุษย์ ตำช้าเกิดที่ใครๆจะรับได้ของฮองเต้องค์ปัจจุบัน แต่ทุกคนเลือกที่จะเงียบ สงบปากสงบคำ ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนต่อไป หากอยากมีชีวิตรอดก็ต้องก้มหัวให้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งตอนนี้ผู้ที่กำอำนาจสูงสุดจะไปใครไปไม่ได้‘ฮองเต้เจ้าหลง’ หากขุนนางและราษฎร์ต้องก้มหัวให้คือฮองเต้ ตัวนางเองก็ยังต้องก้มหัวให้บิดา การอาศัยอยู่ที่เมืองฝู่โจ่ว จริงอยู่สิ่งที่ได้คืออิสระเล็กๆน้อยๆ แต่มันคืออิสระที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยซักเท่าไร เมืองฝู่โจวเป็นเพียงเมืองเล็กๆทางต
บทที่5ร่างสูงใหญ่ควบอาชาผ่านป่าและภูเขาโดยไม่สนใจทิวทัศน์สองข้างทางแม้แต่น้อย ใจรีบเร่งไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด หลังจากสอบเข้าเป็นทหารในวังมาเกือบปี ในที่สุดเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 12 องครักษ์เกราะทอง เขาจึงขอลากลับบ้านเกิดเพื่อแจ้งข่าวครอบครัวหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือก ซึ่งโดยปกติแล้วองครักษ์ในวังหลวงจะผลัดเวรยามกันเดือนเว้นเดือน ยกเว้น องครักษ์เกราะทองต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงตลอด ไม่สามารถออกมาได้ตามอำเภอใจ เพราะหน่อยนี้มีหน้าที่ดูแลคุ้มครององค์ฮองเต้ตลอดเวลา เขาจึงขอกลับบ้านเกิดก่อนบรรจุเข้าหน่อยเต็มตัวจะต้องอาศัยอยู่ในวังเป็นระยะเวลานานๆ“ในที่สุดความคุณชายจูก็ทำสำเร็จ”หลิวเสวี่ยอวี้ทำความเคารพผู้มาใหม่อย่างน้อบน้อม แม้ว่าตนเองกับจูล่งจะนับถือกันเป็นสหาย แต่อย่างไรฐานะขออีกฝ่ายก็ไม่ธรรมดา“คุณชายจู” เฉิงตงทักผู้มาใหม่เช่นกัน แต่ก็อดที่จะกรอกตาปะหลับปะเหลือกกำท่าท่างของสหายที่ยืนเคียงข้างไม่ได้“คุณชายหลิว คุณชายเฉิง ข้าขอภัยที่มาช้า”ก่อนจะเมียงมองไปยังต้นผิงกั่วต้นใหญ่ที่ยืนต้นเด่นอยู่ริมเขา“ไม่ต้องกังวล ข้าตรวจสอบแล้วไม่มีผู้ใดอยู่บนนั้น”คุณชายจูรีบเบนสายตากลับ
บทที่6ปลายฤดูหนาวปีที่แล้วสามสหายเดินทางแยกกันมา เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจและสังเกต ด้วยทั้งสามนั้นต่างมีรูปร่างและหน้าตาโดดเด่น เป็นจุดสนใจได้ง่าย จึงเลือกเกี่ยวข้องกันให้น้อยที่สุด แล้วค่อยๆ แสร้งเป็นรู้จักกันและพบกันที่เมืองหลวง วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่คุยกันก่อนจะแยกย้ายเดินทางเข้าเมืองหลวงยามซวี ( คือ 19.00 - 20.59 น.)แม้จะเป็นวัดที่อยู่บนเขา และบริเวณนี้เป็นจุดใกล้หน้าผา แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ทั้งสามบุรุษจึงสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้“ฮองเต้ระวังมากว่าแต่ก่อน การตรวจคนเข้าเมืองเข้มงวดกวดขัน หากไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง คาดว่าพวกท่านทั้งสองคงยากที่จะเข้าไป” บุรุษคนหนึ่งกล่าว ก่อนจะยื่นเอกสารสำคัญที่ทางสกุลเจียวปลอมแปลงและทำขึ้นมาให้บุรุษต่างแค้วนทั้งสองคน“ข้าจะไม่ให้มันผิดพลาดแบบคราวก่อนอีก”หนึ่งในสองบุรุษยื่นมือไปรับหนังสือรับรองมากำไว้แน่น น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง คราวนี้พวกเขาได้ตระกูลขุนนางใหญ่ช่วยเหลือ จะไม่มีทางให้ผิดพลาดแบบครั้งก่อนอีกเป็นอันขาด เหตุการณ์นองเลือดที่สายลับจากแคว้นฉู่ ลูกน้องใต้อานัติของเขาทุกคนต้องสิ้นล้มหายใจ เหลือรอดมาเพียงตัวเขาผู้เดียว ยังวนเวียนอยู่ในความทรง
บทที่7จูล่งสะกดรอยตามสตรีผู้นั้นท่ามการแสงสว่างจากแสงจันทร์ ยิ่งเห็นใบหน้าของนางกระจ่างชัดเท่าใดในหัวใจยิ่งสลักเสลานางไว้ชัดเจนเท่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางถูกเขาจดจำเอาไว้หมดจนเห็นนางเดินหายเข้าไปในจวนหลังหนึ่ง ดูจากเนื้อผ้าและการแต่งการขอนางนั้นเดาได้ไม่ยากว่าเป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่เหลือตัวเขานั้นจะตามหาคำตอบเองเขาจึงสั่งให้องครักษ์ที่สกุลเจียวส่งมาให้ดูแลเขาสืบเรื่องราวทั้งหมด เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเรื่องราวชีวิตของนางทั้งหมดก้เรียงรายอยู่ตรงหน้าเขา แม้จะรู้แน่ชัดว่านางเป็นใครและรู้สึกเช่นไรกับนาง ก็ไม่อาจเดินเข้าไปทำความรู้จักเกี้ยวพานางเฉกเช่นบุรุอื่นได้ ด้วยภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่ายามนี้ช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน จึงทำได้เพียง ให้คนดูแลนางอยู่ห่างๆ ทุกครั้งที่เดินทางมายังฝู่โจวก็ทำได้เป็นเพียงแค่เงาแอบดูนางเท่านั้น เขาแล้วมันต่างอะไรกับหลิวเสวี่ยอวี้กันเดิมเคยคิดว่าสตรีที่ตรงใจของตนเองนั้นจะต้องสง่างาม จริตกริยาอ่อนช้อยเฉกเช่นเดียวกับน้องห้า แต่เขากลับมาตกหลุมรักคุณหนูจื่อรั่วตอนที่เห็นนางคายเศษผิงกัวออกจากปากในเวลาเป็นตายเท่ากัน คิดแล้วก็ได้แต่เพียงอมยิ้มออกมา ไม่ว
บทที่8ร่างบางยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลจื่อ ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ริมฝีปากอิ่มไหวระริกยกยิ้มด้วยความยินดี ในที่สุดก็ได้กลับมา“คุณหนู นายท่านรอที่เรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ” แม่บ้านหม่า ออกมายืนรอต้อนรับคุณหนูใหญ่ตามคำสั่งของฮูหยิน ข่าวลือว่าจื่อฮูหยินรังเกียจคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากฮูหยินรอง จนถึงขั้นส่งไปอยู่ต่างเมืองและไม่ยินยอมให้กลับมาอยู่อาศัยร่วมจวน กระทบภาพลักษณ์อ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยจารีตประเพณีของฮูหยินไม่น้อย แม้จะกลบข่าวลือด้วยการบอกใครๆว่าคุณหนูใหญ่นั้นร่างกายอ่อนแอ เลือกที่จะรักษาด้วยอยู่บ้านเกิดมารดา จนในที่สุดวันเวลาก็กลืนข่าวพวกนั้นจนหมดสิ้น แทบไม่เคยมีใครพูดหรือถามถึงคุณหนูจื่อรั่วอีกเลย การเดินทางกลับมาของคุณหนูในครั้งนี้จะทำให้ชื่อเสียงของจื่อฮูหยินแปดเปื้อนอีกครั้งไม่ได้ จึงต้องออกมายืนต้อนรับขับสู้อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงให้ผู้คนภายในและภายนอกได้เห็นว่าตระกูลจื่อนั้นยินดีที่คุณหนูจื่อรั่วกลับมามากมายเพียงใดจื่อรั่วลงรถม้ามาพร้อมแม่นมจาง เดินตามคนสนิทของฮูหยินเข้าจวนไป เมียงมองรอบๆตัวไปตลอดทาง จวนสกุลจื่อนั้นเปลี่ยนไปมากนั้น ใหญ่โตโออ่ากว่าตอนที่นางอยู่จนแทบจะไม่เหลือภาพเดิม ม
บทที่9จื่อรั่วทิ้งตัวลงกับตั่งไม้แทบจะทันทีที่มาถึงเรือนเหมยฮวา เลือกเรือนหลังเล็กสุดและอยู่ลึกที่สุดในจวนสกุลจื่อแห่งนี้ เพิ่งเดินทางมาถึงก็ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับบิดา กว่าจะเข้ามาถึงเรือนนอนก็ขาแทบลากฮูหยินใหญ่ช่างรักนางเสียจริง เล็กๆน้อยๆให้ได้กลั่นแกล้งกันก็ไม่คิดที่จะผ่อนปรน“เดี๋ยว! แม่นม เหตุใดในเรือนไม่มีข้าวของของข้า”เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อยจึงมีเวลาได้สำรวจข้าวของที่นำมาจากฝูโจว ไม่มีชิ้นใดเลยที่คุ้นตา ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่“ของเก่าที่มาจากฝูโจว ฮูหยินใหญ่บอกว่ามันเก่าแล้ว อีกทั้งไม่กี่วันคุณหนูก็จะแต่งออกไปต้องมีเครื่องเรือนติดตัวไปด้วยให้สมฐานะ ของเดิมที่ขนมาจากฝูโจไม่อาจนำไปบ้านสามีได้ เพราะจนจะพังแล้วเจ้าค่ะ”แม่นมจางหยิบจับ ปัดกวาดเช็ดถูเครื่องเรือนใหม่ด้วยรอยยิ้ม แม้ฮูหยินใหญ่จะเกลียดคุณของนางยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน แต่ก็ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดี จัดการเสื้อผ้า เครื่องเรือน และเครื่องประดับใหม่ มาให้เพื่อให้สมเกียรติคุณหนูใหญ่ของตระกูลจื่อ แม้ข้าวของเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่ามากมายเท่าใดนัก แต่ก็ดีกว่าของเก่าหลายสิบเท่า“แล้วของเดิมเล่า เอาไปไว้ไหน” เท่าที่จำได้ขนกลับมาหลาย
บทที่10หลังจากดื่มยาไปเพียงหนึ่งชุด จื่อรั่วก็หายจากอาการท้องร่วง ยกเว้นคนบนเรือนใหญ่ จนป่านนี้ก็ยังวิ่งเข้าสุขา เหตุที่จื่อรั่วและบ่าวไพร่ท้องเสียแค่ไม่กี่ชั่วยามเนื่องจากตัวนางมียาแก้ ส่วนบ่าวไพร่ในจวนล้วนทำงานหนักดื่มน้ำในบ่อที่มีส่วนผสมของยาระบายเพียงเล็กน้อยย่อมท้องเสียเพียงไม่นานก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับคนบนเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยหยิบจับสิ่งใดย่อมมีธาตุไฟที่อ่อนกว่าจึงมีอาการยาวมาจนถึงช่วงบ่ายแค่ท้องเสียยังน้อยไปท่านแม่ใหญ่คุณหนูของนางยอมท้องเสียเหมือนคนอื่นๆในจวนเพื่อจะไม่ให้ผู้ใดสงสัย นางก็คิดอยู่แล้วว่าขาเดินกลับจากโรงครัวคุณหนูโยนห่อผ้าลงบ่อน้ำทำไม นี่แค่วันเดียวยังก่อเรื่องขนาดนี้ อยากให้รีบแต่งออกไปโดนเร็ววันกลัวคุณหนูจะปิดบังนิสัยอันแท้จริงไว้ไม่มิด แต่แม่นมทำเพียงส่ายหน้าเพราะตัวนางเองก็ผิดที่ตามใจ จึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำหลังจากแก้แค้นให้โต๊ะเครื่องแป้งจนสาแก้ใจแล้ว เรื่องต่อไปคือว่าที่สามีในอนาคต ซานซีหาว บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายซ้าย “แม่นมท่านปิดห้องหับให้ดี ข้าจะออกไปหาข่าว”จื่อรั่วใช้อาการท้องเสียเช่นเดียวกับทุกคนในจวนเป็นข้ออ้างในการปิดเรือนเ
บทที่11จูล่งวนเวียนอยู่ภายในจวนสกุลจูตั้งแต่กลับมาถึง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องงานให้กับครอบครัวทราบแล้ว พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่ใจของเขานั้นกลับไปที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ‘นางจะแต่งกับใคร’เขาในตอนนี้แม้อายุจะถึงวัยแต่งงานแล้ว แต่บิดามารดาก็ไม่เคยบังคับ ของเพียงให้แต่กับคนที่รักก็เพียงพอจึงไม่เคยพูดหรือเร่งเร้าใดๆเคยคิดที่จะให้บิดาไปสู่ขอนาง แม้ว่าสกุลจูเป็นคหบดีร่ำรวยไม่น้อยหน้าผู้ใด แต่เท่าที่สืบมา จื่อเหลียงเจ้ากรมอารักษ์บิดาของจื่อรั่วต้องการให้นางแต่งกับขุนนางเพื่อเส้นสายในราชสำนัก อีกข้อคือตัวเขาเองยังไม่พร้อมจะดึงนางมาสู่ทางที่ไม่แน่นอน หากเขายังไม่สามารถกระชากคนผู้นั้นลงมาจากหอคองาช้างได้ เขาก็ไม่ควรจะดึงนางเข้ามาเสี่ยงกับอัตรายที่ผ่านมาเห็นจื่อเหลียงทิ้งขว้างนางไว้ฝูโจ ส่วนนางนั้นก็ไร้ซึ่งบุรุษข้างกาย เขาเลยคิดอ่านไปเองว่าวันที่ทำการสำเร็จจะไปสู่ของนาง และบิดานางจะไม่มีวันปฏิเสธเขาแน่นอนแต่มันผิดพลาดไง ใคร ใครมันไปบังอาจไปสู่ขอนางตัดหน้าเขา“องค์ ชะ… คุณชายจู ม้าเร็วจากเมืองหลวงขอรับ”จูล่งหันขวับไปตามทิศทางของเสียงในเงามืด ขึงตามองคนที่เรียกตนเอง องค์รักษ์เงาแท
บทที่16หลังจากทานอาหารเรียบร้อยจูล่งจึงอาสาไปส่งจื่อรั่ว แต่นางไม่อยากให้คนในสกุลจื่อรู้ว่านางรู้จักคนในเมื่อหลวงไวขนาดนี้ แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ ขนาดเรื่องนางถูกยกเลิกหมั้นหมาย เพียง 1วันก็เป็นข่าวไปทั่วเมืองหลวง เหลาอาหารคือจึดกระจายข่าวสารยิ่งกล่าวตลาดเสียอีก มิน่าเล่าพี่หลิวจึงเปิดสำนักขายข่าวด้วย ทำหลายอย่างหัวการค้าเสียจริง “งั้นข้าส่งเจ้าตรงนี้” ข้าส่งเจ้าที่หน้าเหลา แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าแอบตามไปส่งเจ้าไม่ได้ บุรุษที่ได้ฉายาแป๊ะยิ้มจากสตรีในดวงใจ ยืนเคียงคู่กับสหายอยู่หน้าเหลา สาวๆน้อยใหญ่ต่างพากันส่งสายตาให้ หวังให้คุณชายหลิวหรือองค์รักษ์จูหันมาสบตา วันนี้ก็กินข้าวอิ่มทิพย์แล้วคล้อยหลังจากที่จื่อรั่วเดินออกไปไม่นาน จูล่งก็หายไปไม่ต้องเดาให้อยาก จากหน้าทางเข้าเหลา คงแอบตามไปส่งนางกลับให้ถึงจวนอย่างปลอดภัยหลิวเสวี่ยอวี้ ทำเพียงยักไหล่แล้วเดินขึ้นไปชั้นสามของเหลา ตัวเขานั้นไม่ใช่เจ้าของเหลาตงฟางหรอก เจ้าของที่แทนจริงคือสกุลจูต่างหาก จูล่งให้น้องชายมาว่าแบบแปนและวางแผนธุรกิจเอาไว้ให้ทั้งหมด แม้กระทั้งผูดูแลเหลาก็เป็นคนที่ผ่านการฝึกมาจากเหลาของสกุลจู เพียงแค่ออกหน้า เพราะคนในเมือง
บทที่15สตรีนางหนึ่งก้าวเข้ามายังเหลาตงฟาง เสี่ยวเอ้อรีบรีบเข้ามาต้อนรับ ดูเหมือนการต้อนรับแขกทั่วไปหากเสี่ยเอ้อไม่เรียกชื่อเสียงเรียงนามของนางถูกต้อง“คุณหนูจื่อ คุณชายหลิวรอท่านที่ห้องชั้นสอง เชิญทางนี้”จื่อรั่วขมวดคิ้วจนหน้านิ้ว เหตุใดมีคนรู้จักนางโดยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว อีกทั้งวันนี้นางเดินออกทางประตูใหญ่โดยขออนุญาตบิดาว่าจะมาโรงหมอกับแม่นม จึงใช้ผ้าปิดหน้าครึ่งหนึ่ง ส่วนบริเวณที่พ้นผ้าออกไปนางแปะเอากาวไม้ตุ่มเอาไว้ 4-5อัน จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของคนในจวน“เสี่ยวเอ้อ รู้จักข้าด้วยหรือ”“คุณหนูที่ถูกยกเลิกการหมั้นหมายเพราะมีตุ่มหนองขึ้นบนใบหน้า ในเมืองหลวงมีเพียงคุณหนูตระกูลจื่อ จื่อรั่วเพียงคนเดียว” นิ้วหยาบกร้าน ชี้ไปยังหน้าผากที่มีตุ่มหน้าเกลียดหลายจุด ก่อนจะมองด้วยแววตาเวทนา ได้ข่าวว่าเดิมนางนั้นงดงามจนคุณชายซานซีหาวเพ้อหา บุรุษที่ไม่คิดจะแต่งฮูหยินเอก กลับยอมส่งเทียบหมั้นหมายไปหานาง ไม่คิดว่านางจะวาสนาน้อยล้มป่วยมีตุ่มขึ้นตามร่างกายจนน่าเกลียด เลยถูกถอนหมั้น จะโทษคุณชายซานก็ไม่ได้ หากเป็นเขาเองให้มีเมียอัปลักษณ์ไม่มียังจะดีกว่า“ข่าวลื่อช่างน่ากลัว” ร่างบางเดินตามเสี่ยเอ้อข
บทที่14“ข้าตีบทแตกใช่ไหม”ทันทีที่ก้าวขาเข้าประตูเรือนนอนก็พบบุรุษร่างยักษ์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จูล่งไม่ได้เพิ่งมาแต่ยังไม่กลับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก ช่วยนางแต่งแผลตามใบหน้าและแขนจนรุ่งสาง พอเรียบร้อย เชิญให้กลับไปนอนก็ไม่ยอม บอกจะรอดูว่าแผนการทั้งหมดจะสำเร็จหรือไม่ ส่วนคุณชายหลิวพอฟ้าส่างก็ขอตัวกลับไปนอนทันที“ตอนเจ้าเกาแขน สมจริงมากทีเดียว ก็เล่นไม่อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน มันก็ต้องคันเป็นธรรมดา” จูล่งยกชาจิบราวกับว่าเรือนนอนนี้เป็นของตน ส่วนผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่เป็นเพียงแขก ข้าเพิ่งเข้ามาก่อนนางเพียงนิดเดียว เพราะตามไปลุ้นอยู่บนต้นไม้ข้างเรือนรับรอง กว่าแผนเสียโฉมจะไม่สำเร็จ“บ้าเสีย ท่านอยู่กับข้าทั้งคืนก็ไม่อาบน้ำเหมือนกันล่ะ” จื่อรั่วก้าวฉับๆ มานั่งเคียงข้างบุรุษร่างยักษ์ มาว่านางคันเพราะไม่อาบน้ำได้ยังไง นางเกาตามบทหรอก อาจจะมีคันจริงบ้างก็ไอ้กาวบ้านี้คันน้อยเสียเมื่อไร หยุยหยับไปทั้งตัว มือบางรับผ้าชุบน้ำอุ่นจากแม่นมมาเช็ดตามใบหน้าและแขน เพื่อให้กาวที่ทาไว้ละลายง่ายต่อการแกะ“ตอนแผลแตกสมจริงมากนะเจ้าค่ะ ข้ายังตกใจเลย” แม่นมจางถืออ่างน้ำอุ่นพร้อมผ้าขาวบางเดิมตามหลังเข้ามา
บทที่13“นางเป็นใคร” ซานชีหาวแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้ หลังจากที่ได้พบจื่อรั่วอีกครั้ง“จื่อรั่ว บุตรสาวคนโตของข้าเอง” เป็นจื่อเหลียงที่ตั้งสติได้กาอนใครแม้จะตกใจใบหน้าของบุตรสาว แต่ก็ต้องเอ่ยแนะนำตามธรรมเนียม “แต่ๆ..ตอนที่ข้าพบนางที่ฝูโจ นางไม่ได้มีตุ่มหนองตามใบหน้าแบบนี้” คุณชายซานมองใบหน้าสตรีตรงหน้าอีกเพียงชั่วแวบก่อนจะเบื่อนหน้าหนี สยอดสยองเกินทน นั้นๆน้ำเหลืองใช่ไหมที่ไหลออกมาจากตุ่มบนหน้านาง “คุณชายซาน” จื่อรั่วหยอบกายลงอย่างงดงาม คลี่ยิ้มให้แขกฝ่ายชายและแม่สื่อ “กะ..เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า”“ข้าดื่มน้ำในจวน เช่นเดียวกับทุกคนในจวน ท่านพ่อท่านแม่ใหญ่และบ่าวพากันท้องร่วง ขอเองก็ท้องร่วงเช่นกันแต่ไม่คิดว่าข้านั้นจะอาการหนักกว่าคนอื่น พอตื่นมาก็เกิดคันตามร่างกาย จนเป็นตุ่มขึ้นไปทั้งตัวแบบนี้” จื่อรั่วเดินตามแรงประคองของแม่นมจางไปนั่งยังเก้าอี้ประจำตัวก่อนจะเกาเบาๆที่ข้างแก้ม ราวกับว่าคันจนอดไม่ไหว“เจ้าเป็นขนาดนี้ทำไมไม่รีบมาบอก” จื่อเหลียงแทบจะทุบโต๊ะ นางป่วยจนใบหน้าเน่าเฟะแต่ไม่ให้คนมาบอก มาพูดอะไรตอนนี้ต่อหน้าแขก ใครได้ยินจะหาว่าเขานั้นไม่ดูแลหาหมอมารักษาบุตรสาว“ท่านพ่อ ท
บทที่12จื่อรั่วมองขวาทีซ้ายทีอยู่เป็นนานสองนาน พรุ่งนี้เช้าสกุลซานจะส่งแม่สื่อมายังจวนของนาง แต่ที่นางกำลังสงสัยอยู่ในตอนนี้ก็คือ เหตุใดจึงมีบุรุษร่างยักษ์ถึง 2 คนนั่งอยู่ในเรือนของนาง “คุณชายหลิว ข้าว่าไปคุยที่โรงน้ำชาจะดีกว่า” ก็….มันรู้สึกพิลึกอย่างไรก็ไม่รู้สิ ถึงจะมีแม่นมอยู่แต่นางก็ไม่ได้สนิทกับบุรุษทั้งสองตรงหน้าขนาดนั้น แล้วที่สำคัญทั้งสองยังไม่ได้เข้าทางประตูจวน แต่กระโดดข้ามกำแพงเข้ามานะสิหลังจากหลายวันก่อนออกไปสืบข่าวว่าที่สามีทำให้ได้รู้จักกับคุณชายหลิวเสวี่ยอวี้ ด้วยความที่อยากรู้เรื่องของคุณชายซานอีกทั้งคนโรงน้ำชาคนก็พลุกพล่าน จึงยอมตามไป ได้รู้เรื่องของตระกูลซานอีกมากมาย จึงรู้ว่าตนนั้นหากแต่งเข้าไปชีวิตหามีความสงบสุขไม่ นอกจากอนุหลายคนแล้ว แม่สามียังเป็นถึงป้าของพระสนมนางหนึ่งของฮองเต้อองค์ปปัจจุบันเจ้ายศเจ้าอย่าง สนทนาปราศรัยกันอยู่ครู่ใหญ่ ก็รู้สึกถูกคอจึง อีกทั้งคุณชายหลิวยังอาสาจะช่วยนางคิดวิธีที่ไม่ต้องออกเรือนไป ฝแต่งงานกับชายมักมากเช่นนั้นแถมนางยังไม่ต้องคิดหาวิธีผ่านกลับเข้ามาทางประตูจวนอีกด้วย เพราะคุณชายหลิวนอกจากจะเป็นพ่อค้าแล้วยังมีวรยุทธ พานางกระโดดข้า
บทที่11จูล่งวนเวียนอยู่ภายในจวนสกุลจูตั้งแต่กลับมาถึง หลังจากแจ้งข่าวเรื่องงานให้กับครอบครัวทราบแล้ว พรุ่งนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่ใจของเขานั้นกลับไปที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว ‘นางจะแต่งกับใคร’เขาในตอนนี้แม้อายุจะถึงวัยแต่งงานแล้ว แต่บิดามารดาก็ไม่เคยบังคับ ของเพียงให้แต่กับคนที่รักก็เพียงพอจึงไม่เคยพูดหรือเร่งเร้าใดๆเคยคิดที่จะให้บิดาไปสู่ขอนาง แม้ว่าสกุลจูเป็นคหบดีร่ำรวยไม่น้อยหน้าผู้ใด แต่เท่าที่สืบมา จื่อเหลียงเจ้ากรมอารักษ์บิดาของจื่อรั่วต้องการให้นางแต่งกับขุนนางเพื่อเส้นสายในราชสำนัก อีกข้อคือตัวเขาเองยังไม่พร้อมจะดึงนางมาสู่ทางที่ไม่แน่นอน หากเขายังไม่สามารถกระชากคนผู้นั้นลงมาจากหอคองาช้างได้ เขาก็ไม่ควรจะดึงนางเข้ามาเสี่ยงกับอัตรายที่ผ่านมาเห็นจื่อเหลียงทิ้งขว้างนางไว้ฝูโจ ส่วนนางนั้นก็ไร้ซึ่งบุรุษข้างกาย เขาเลยคิดอ่านไปเองว่าวันที่ทำการสำเร็จจะไปสู่ของนาง และบิดานางจะไม่มีวันปฏิเสธเขาแน่นอนแต่มันผิดพลาดไง ใคร ใครมันไปบังอาจไปสู่ขอนางตัดหน้าเขา“องค์ ชะ… คุณชายจู ม้าเร็วจากเมืองหลวงขอรับ”จูล่งหันขวับไปตามทิศทางของเสียงในเงามืด ขึงตามองคนที่เรียกตนเอง องค์รักษ์เงาแท
บทที่10หลังจากดื่มยาไปเพียงหนึ่งชุด จื่อรั่วก็หายจากอาการท้องร่วง ยกเว้นคนบนเรือนใหญ่ จนป่านนี้ก็ยังวิ่งเข้าสุขา เหตุที่จื่อรั่วและบ่าวไพร่ท้องเสียแค่ไม่กี่ชั่วยามเนื่องจากตัวนางมียาแก้ ส่วนบ่าวไพร่ในจวนล้วนทำงานหนักดื่มน้ำในบ่อที่มีส่วนผสมของยาระบายเพียงเล็กน้อยย่อมท้องเสียเพียงไม่นานก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับคนบนเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยหยิบจับสิ่งใดย่อมมีธาตุไฟที่อ่อนกว่าจึงมีอาการยาวมาจนถึงช่วงบ่ายแค่ท้องเสียยังน้อยไปท่านแม่ใหญ่คุณหนูของนางยอมท้องเสียเหมือนคนอื่นๆในจวนเพื่อจะไม่ให้ผู้ใดสงสัย นางก็คิดอยู่แล้วว่าขาเดินกลับจากโรงครัวคุณหนูโยนห่อผ้าลงบ่อน้ำทำไม นี่แค่วันเดียวยังก่อเรื่องขนาดนี้ อยากให้รีบแต่งออกไปโดนเร็ววันกลัวคุณหนูจะปิดบังนิสัยอันแท้จริงไว้ไม่มิด แต่แม่นมทำเพียงส่ายหน้าเพราะตัวนางเองก็ผิดที่ตามใจ จึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำหลังจากแก้แค้นให้โต๊ะเครื่องแป้งจนสาแก้ใจแล้ว เรื่องต่อไปคือว่าที่สามีในอนาคต ซานซีหาว บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายซ้าย “แม่นมท่านปิดห้องหับให้ดี ข้าจะออกไปหาข่าว”จื่อรั่วใช้อาการท้องเสียเช่นเดียวกับทุกคนในจวนเป็นข้ออ้างในการปิดเรือนเ
บทที่9จื่อรั่วทิ้งตัวลงกับตั่งไม้แทบจะทันทีที่มาถึงเรือนเหมยฮวา เลือกเรือนหลังเล็กสุดและอยู่ลึกที่สุดในจวนสกุลจื่อแห่งนี้ เพิ่งเดินทางมาถึงก็ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับบิดา กว่าจะเข้ามาถึงเรือนนอนก็ขาแทบลากฮูหยินใหญ่ช่างรักนางเสียจริง เล็กๆน้อยๆให้ได้กลั่นแกล้งกันก็ไม่คิดที่จะผ่อนปรน“เดี๋ยว! แม่นม เหตุใดในเรือนไม่มีข้าวของของข้า”เมื่อนั่งพักจนหายเหนื่อยจึงมีเวลาได้สำรวจข้าวของที่นำมาจากฝูโจว ไม่มีชิ้นใดเลยที่คุ้นตา ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่“ของเก่าที่มาจากฝูโจว ฮูหยินใหญ่บอกว่ามันเก่าแล้ว อีกทั้งไม่กี่วันคุณหนูก็จะแต่งออกไปต้องมีเครื่องเรือนติดตัวไปด้วยให้สมฐานะ ของเดิมที่ขนมาจากฝูโจไม่อาจนำไปบ้านสามีได้ เพราะจนจะพังแล้วเจ้าค่ะ”แม่นมจางหยิบจับ ปัดกวาดเช็ดถูเครื่องเรือนใหม่ด้วยรอยยิ้ม แม้ฮูหยินใหญ่จะเกลียดคุณของนางยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน แต่ก็ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดี จัดการเสื้อผ้า เครื่องเรือน และเครื่องประดับใหม่ มาให้เพื่อให้สมเกียรติคุณหนูใหญ่ของตระกูลจื่อ แม้ข้าวของเหล่านี้จะไม่ได้ล้ำค่ามากมายเท่าใดนัก แต่ก็ดีกว่าของเก่าหลายสิบเท่า“แล้วของเดิมเล่า เอาไปไว้ไหน” เท่าที่จำได้ขนกลับมาหลาย
บทที่8ร่างบางยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลจื่อ ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ริมฝีปากอิ่มไหวระริกยกยิ้มด้วยความยินดี ในที่สุดก็ได้กลับมา“คุณหนู นายท่านรอที่เรือนรับรองแล้วเจ้าค่ะ” แม่บ้านหม่า ออกมายืนรอต้อนรับคุณหนูใหญ่ตามคำสั่งของฮูหยิน ข่าวลือว่าจื่อฮูหยินรังเกียจคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากฮูหยินรอง จนถึงขั้นส่งไปอยู่ต่างเมืองและไม่ยินยอมให้กลับมาอยู่อาศัยร่วมจวน กระทบภาพลักษณ์อ่อนโยนเพียบพร้อมไปด้วยจารีตประเพณีของฮูหยินไม่น้อย แม้จะกลบข่าวลือด้วยการบอกใครๆว่าคุณหนูใหญ่นั้นร่างกายอ่อนแอ เลือกที่จะรักษาด้วยอยู่บ้านเกิดมารดา จนในที่สุดวันเวลาก็กลืนข่าวพวกนั้นจนหมดสิ้น แทบไม่เคยมีใครพูดหรือถามถึงคุณหนูจื่อรั่วอีกเลย การเดินทางกลับมาของคุณหนูในครั้งนี้จะทำให้ชื่อเสียงของจื่อฮูหยินแปดเปื้อนอีกครั้งไม่ได้ จึงต้องออกมายืนต้อนรับขับสู้อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงให้ผู้คนภายในและภายนอกได้เห็นว่าตระกูลจื่อนั้นยินดีที่คุณหนูจื่อรั่วกลับมามากมายเพียงใดจื่อรั่วลงรถม้ามาพร้อมแม่นมจาง เดินตามคนสนิทของฮูหยินเข้าจวนไป เมียงมองรอบๆตัวไปตลอดทาง จวนสกุลจื่อนั้นเปลี่ยนไปมากนั้น ใหญ่โตโออ่ากว่าตอนที่นางอยู่จนแทบจะไม่เหลือภาพเดิม ม