วันถัดไปหลังจากที่ทำเรื่องอย่างว่าเสร็จทุกครั้ง เฉินฝานก็จะให้นางดื่มยาหม้อเขากล่าวว่าการทำเรื่องอย่างว่านั้นเผาผลาญกำลังวังชาได้มากที่สุด บุคคลที่ฝึกศิลปะการต่อสู้เช่นนาง ต้องบำรุงกำลังทันที หากมิบำรุงพลังโดยกำเนิดอาจจะได้รับความเสียหายอย่างหนักก่อนที่ออกจากเมืองหลวง เฉินฝานยังตั้งใจนำยาสมุนไพรจำนวนมากมาด้วยนาง...นางยังรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ตั้งนาน“นี่ เฉินฝาน!”ในรถม้า มีแม่แมวสาวตัวนี้กำลังโมโหเย่ว์หนูหันกลับไปเหลือบมองเล็กน้อย มิได้แสดงท่าทีอันใดนางชินแล้ว นายท่านสองคนนี้ทะเลาะกันบนรถม้าก็มีให้เห็นหลายครั้งแล้ว อย่างไรเสียมิว่าช่วงแรกจะทะเลาะกันรุนแรงเพียงใด เมื่อถึงตอนท้ายก็...“อ่า~”“เร็วเข้า...”เย่ว์หนูหยิบสำลีสองชิ้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่รูหูด้วยความเคยชินรถม้าที่โคลงเคลงไปมาอย่างคาดมิถึง ผ่านไปเนิ่นนานจึงสงบลงเย่ว์หนูส่งกาน้ำสองหม้อเข้าไปด้วยความเคยชินอีกครั้งเหงื่อออกมากมายเพียงนั้น ต้องทดแทนน้ำเสียหน่อย‘สู้’กันแล้วหนึ่งรอบ ฉินเย่ว์เจียวค่อนข้างสงบเงียบแล้ว เฉินฝานกอดนางไว้ในอ้อมอก อธิบายกับนางอย่างใจเย็นถึงสาเหตุที่เขามิยอมให้นางตั้งท้องตอนนี้ท
ก็แค่กองกำลังลาดตระเวนไร้ประโยชน์เหล่านั้น ระหว่างทางยังหลบหนีไปจวนจะเทียบเท่าหนึ่งกองกำลัง กองกำลังเมืองเตียนตูมีทั้งหมดหนึ่งแสนสามหมื่นนายและเขาลอบส่งคนไปเตือนอ๋องเจิ้งหนานล่วงหน้าแล้วว่าเฉินฝานมีอาวุธที่สามารถระเบิดได้ และยังบอกเส้นการเคลื่อนทัพของกองกำลังลาดตระเวนอีกด้วยในสถานการณ์เช่นนี้ อ๋องเจิ้งหนานก็ยังจะสามารถพ่ายแพ้ได้อีก อย่าว่าแต่เสิ่นหมิงหยวนเลย ตอนแรกฉินเย่ว์เหมยก็มิปักใจเชื่อเช่นกันยามค่ำคืนณ ห้องหนังสือตระกูลเสิ่นบนโต๊ะหนังสือ มีเศษกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนมากมาย ไม่ว่าอย่างไรเสิ่นหมิงหยวนก็มิพอใจกับตัวหนังสือของตนเอง โยนทิ้งไปทุกแผ่นเสิ่นหยวนเลี่ยงที่อยู่ด้านข้าง มิกล้าส่งเสียง เกรงว่าจะทำให้เสิ่นหมิงหยวนโมโหแผนการยืมมือผู้อื่นสังหารนี้ พวกเจ้าจัดแจงอย่างละเอียดรอบคอบเพียงนั้น ให้เฉินฝานนำกลุ่มคนไร้ประโยชน์ไปต่อกรกับกองกำลังเมืองเตียนตูหนึ่งแสนสามหมื่นคนจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีโอกาสรอดกลับมา ?ตอนนี้เฉินฝานมิเพียงมีชีวิตรอดกลับมาเท่านั้น ยังได้รับชนะยิ่งใหญ่กลับมาอีกด้วยอย่าว่าเสิ่นหมิงหยวนรับความจริงเรื่องนี้มิได้เลย เสิ่นหยวนเลี่ยงและพรรคพวกขุนนางขอ
“สั่งคนไปสืบให้ชัดเจน หาก...”เสิ่นหมิงหยวนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตาโหดเหี้ยม “เป็นจริงดังที่อ๋องตวนกล่าว พวกเราก็ต้องรอต้อนรับให้ดีเสียแล้ว!”-เขามิได้เดินทางเมืองหลวงพร้อมกับทัพใหญ่ ตอนที่ผ่านอำเภอผิงอัน เฉินฝานแวะกลับไปดูบ้านที่อำเภอผิงอันผลักประตูไม้ที่คุ้นเคยบานนั้น มองดูบ้านอิฐสีเทาด้านหน้า เฉินฝานอดมิได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้าสายตาของเขาหยุดมองไปที่ม่านประตูของเรือนหลักสองปีก่อน มีสาวน้อยผู้ยลโฉม แข้งขาไม่ดีนางหนึ่ง ใช้มือสองข้างถืออ่างน้ำที่เก่าคร่ำครึ ยืนอยู่ด้านหน้าเตียงเตากล่าวถามเขาด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง——นายท่าน ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?การเดินทางข้ามมิติที่อัศจรรย์และน่าตื่นเต้นนี้เริ่มเปิดฉากโดยคำพูดประโยคนั้นของหญิงสาวไม่สิเฉินฝานส่ายหัวไปมา ชายชาตรีอย่างเขาจะมาซาบซึ้งใจอันใดกัน?หญิงสาวที่ยกอ่างน้ำเช็ดหน้าให้เขาในตอนนั้น ปัจจุบันกลายเป็นภรรยาที่มีลูกสี่คนแล้ว ตอนนี้นางอยู่เมืองหลวงเฝ้าคอยให้เขากลับไปหา“พ่อแม่ ไยประตูใหญ่ในบ้านถูกเปิดออก โจรบุกเข้าไปแล้วงั้นหรือ?”ด้านนอกลานบ้านมีเสียงใสกังวานดังขึ้นเฉินฝานอมยิ้มเล็กน้อย นั้นคือเอ้อร์ยาร่างกายของเ
เสื้อคลุมสีขาวส่องสะท้านเข้าตาเฉินฝาน หญิงสาวผู้ยลโฉมลงมาจากรถม้า ในอ้อมอกของนางยังอุ้มเด็กชายอายุราวหนึ่งขวบไว้หนึ่งคนตอนที่เฉินฝานกำลังเหม่อลอย หญิงงามอุ้มเด็กรีบวิ่งมาหาเฉินฝานด้วยความรวดเร็ว ตอนที่ห่างจากเขาประมาณสองสามเมตร หญิงสาวก็หยุดชะงักทันที ยืนตัวตรงอย่างสง่างามอยู่ตรงนั้น ทั้งตื่นเต้นและประหม่าขานเรียกอย่างเหนียมอาย “นายท่าน”“ลูกสาวคนที่แปด?!”ตอนนี้เฉินฝานจำหญิงสาวได้แล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์แยกจากกันไปปีกว่า ลูกสาวคนที่แปดที่เป็นแม่คนแล้ว เปลี่ยนจากสาวน้อยกลายเป็นหญิงสาวที่สง่างามแล้ว“นายท่าน ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ”ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ หยดน้ำตาแวววับเอ่อล้นออกมาด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง“มาสิ!” เฉินฝานยืนขึ้น อ้าแขนไปทางลูกสาวคนที่แปดลูกสาวคนที่แปดขยับตัวไปแล้ว ในท้ายที่สุดก็ยังคงมิได้โน้มตัวไปหาในอ้อมอกของเฉินฝานอยู่ดีนางรู้สึกว่าตนเองมิได้เรื่องเลย ระหว่างที่เดินทางมา นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะกระโจนเข้าไปในอ้อมอกเฉินฝานทันที เรื่องราวในใจเป็นหมื่นล้านคำ ต้องเล่าให้เขาฟังโดยละเอียดทว่าเมื่อเจอเฉินฝาน ฝีเท้าหนักอึ้ง คำ
“นายท่าน ท่านว่าพี่รองคงจะไม่ได้...”ตายไปแล้วประโยคหลัง ฉินเย่ว์เจียวมิกล้าพูดออกมาอยู่ดีในตอนนั้น นางเป็นคนแรกที่ถูกเจ้าของร่างเดิมไล่ออกไปหาเงิน คนที่ไร้ข่าวคราวเป็นคนแรกก็คือนางเช่นกันสตรีที่ร่างกายอ่อนแอนางหนึ่ง ในปีที่ข้าวยากหมากแพง ใช้ชีวิตอยู่แผ่นดินที่มีคนดีและคนเลวผสมปนเปกันไป จะมิลำบากได้อย่างไร?ความแค้นเคืองที่หายไปนาน ปรากฏขึ้นในแววตาของฉินเย่ว์เจียวอีกครั้งถึงแม้ตอนนี้เฉินฝานจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดีเลิศแล้ว ทว่าเป็นความผิดที่เขาเคยทำ ทำให้สูญเสียพี่สาวคนนี้ไปตลอดกาล“ขอโทษด้วย!”เฉินฝานดีงฉินเย่ว์เจียวเข้ามากอด ถึงแม้จะเป็นความผิดของเจ้าของร่างเดิม ทว่าเขาใช้ร่างเจ้าของเดิม ความผิดเหล่านั้น ก็ต้องรับผิดชอบด้วย“พวกเจ้าเหล่าพี่น้อง ล้วนมีสายเลือดราชวงศ์ ชีวิตล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด พี่รองของพวกเจ้าจะต้องยังอยู่ดีเป็นแน่ พวกเราจะต้องหานางให้เจอ”“นายท่าน ท่านมิจำเป็นต้องปลอบใจข้าน้อยเพียงนี้หรอก ชีวิตล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดอะไรกัน ข้ารู้แก่ใจดีว่าพวกเรามิได้สูงค่าเช่นนั้น”ฉินเย่ว์เจียวยังคงกลัดกลุ้มใจถึงแม้ตอนนี้พวกนางจะมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าคนทั่วไปแล้ว ทว่าอยู่
“หนุ่มน้อย ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”ตอนที่รถม้าเคลื่อนผ่านพวกเฉินฝาน คนด้านในเลิกผ้าม่านขึ้นพลางกล่าวถามเฉินฝานหันหน้ากลับไปดู พบว่าเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดบัณฑิตอายุประมาณสามสิบปี ในมือของเขายังถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้อยู่“ขอบคุณพี่ใหญ่ มิต้องช่วยหรอก พวกเราจวนจะทำเสร็จแล้ว” เฉินฝานยิ้มพลางโบกมือ มิใช่ว่าเขาเกรงใจ แต่จวนจะเสร็จแล้วจริง ๆ“ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ” บุรุษผู้นั้นก็มิเซ้าซี้ เฉินฝานกล่าวว่ามิต้องการความช่วยเหลือ ก็จากไปทันทีรถม้าเคลื่อนตัวออกไปสักพัก พี่ใหญ่คนนั้นก็เปิดม่านยื่นหน้าออกมา ตะโกนพูดกับเฉินฝานอีกว่า “หนุ่มน้อย วันนี้ที่เรือนเซียนผาสุกมีการแสดงของแม่นางเมี่ยวอวี๋ พลาดมิได้เชียวนะ ถ้าพลาดไปก็ต้องรอแรกเริ่มวสันตฤดูปีหน้า”“โอ้? ได้เลย ขอบคุณพี่ใหญ่!”เฉินฝานมิรู้จักแม่นางเมี่ยวอวี๋ และมิรู้ว่าแม่นางเมี่ยวอวี๋ท่านนั้นมีความสามารถที่เลิศล้ำอันใด เขาจึงตอบรับไปแบบมิได้ใส่ใจมากนักต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวง เขามิได้วางแผนว่าจะไปดู และมิมีเวลาแล้ว “แม่นางเมี่ยวอวี่?” ฉินเย่ว์เจียวที่ก้มหน้าขุดหิมะมาโดยตลอด อยู่ ๆ ก็เด้งตัวขึ้นมา มองรถม้าด้านหน้าที่อยู่ไกล
“แหม สายตาแหลมคนอันใดกันเล่า? มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เจ้ามิได้ถือเครื่องดนตรี เจ้าดูสิ...” ชายผู้นี้ชี้ไปที่คนรอบข้าง “คนที่มิได้ถือเครื่องดนตรี ล้วนมิใช่คนเมืองเซียนตูของพวกเรา มิเชื่อ หนุ่มน้อยก็ลองไปถามดูสิ”“ข้าเชื่อ ๆ” เฉินฝานรีบกล่าวตอบ“หนุ่มน้อยผู้นี้ช่างเป็นกันเองเสียจริง พวกเรารีบไปกันเถอะ มิเช่นนั้นคงจะแทรกตัวเข้าไปในเรือนเซียนมิได้แล้ว ทางนี้ หนุ่มน้อย เจ้าตามข้ามา พวกเราไปทางลัดดีกว่า” ชายอาวุโสชุดเหลืองกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ดึงเฉินฝานไปทางเล็กอีกทางหนึ่งเย่ว์หนูรุดหน้าขึ้นมาทันที มองชายอาวุโสชุดเหลืองท่านนั้นด้วยความระแวดระวัง“นี่ แม่สาวน้อย ไยเจ้ายังลนลานกว่านายท่านของเจ้าเสียอีก?” ชายอาวุโสชุดเหลืองหัวเราะหึ ๆ เขามองมิออกว่าเย่ว์หนูคิดจะที่ฟันเขาเฉินฝานใช้สายตาบอกใบ้ให้เย่ว์หนูถอยไปตอนที่ชายอาวุโสชุดเหลืองลากมือเขาไป เขาได้ลองหยั่งเชิงแล้วว่าชายอาวุโสผู้นี้มิมีวรยุทธ์อันใด“หนุ่มน้อยเอ๋ย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยฟังการบรรเลงบทเพลงผีผาของแม่นางเมี่ยวอวี่หรือไม่?”ชายอาวุโสชุดเหลืองเป็นคนช่างพูด ในขณะที่กำลังเดินทาง ก็ชวนเฉินฝานคุยตลอดเฉินฝานส่ายหน้าไปมา กล่าวตามจ
เฉินฝานจ้องเขม็งทันที กล่าวอย่างจริงจังว่า “คันไม้คันมือ ก็ต้องอดทนไว้ การเป็นคนต้องมีมารยาทเข้าใจกาลเทศะ มิสามารถคว้าคอผู้อื่นมาต่อยตามอำเภอใจได้”“โอ้!” ฉินเย่ว์เจียวสีหน้าน่าสงสารเก็บมือไปด้านหลัง ใช้มือจับยับยั้งมือเย่ว์หนูเอาไว้เย่ว์หนูสีหน้าแดงก่ำเล็กน้อยมิใช่เขินอาย ทว่ารู้สึกทรมานเพราะถูกหยิก“หนุ่มน้อย ทางนี้ๆ!” หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาแล้ว ชายอาวุโสชุดเหลืองก็พาเฉินฝานไปทางที่ขรุขระที่เต็มไปด้วยดินโคลนอีกเส้นทางหนึ่ง“ถึงแม้ว่าทางนี้จะเดินลำบากหน่อย ทว่าคนน้อยและใกล้อีกด้วย ตอนนี้พวกเรายอมลำบากเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะสามารถแย่งชิงแนวหน้าเข้าไปเลือกตำแหน่งที่ดีในเรือนผาสุกก่อนได้”เฉินฝานชำเลืองมองดูรองเท้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน......เอาเถอะ เพื่อที่จะสดับรับฟังดนตรีอันงดงามจะสกปรกเสียหน่อยก็มิเป็นไรไม่นานนักพวกเฉินฝานก็มาถึงเรือนเซียนผาสุกจริงๆ และตอนที่พวกเขามาถึง ก็นับว่าค่อนข้างเร็ว คนที่ต่อแถวรอเข้าไปยังมิมากนักทว่า...ตอนที่พวกเขากำลังจะไปต่อแถว ก็ถูกนักว่าการไล่ออกมากล่าวว่าพวกเขามิสามารถเข้าไปได้เขากำลังคิดที่จะโต้เถียง ชายอาวุโสชุดเหลืองก็ลากเขาออกมา“พี่
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ