“สั่งคนไปสืบให้ชัดเจน หาก...”เสิ่นหมิงหยวนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แววตาโหดเหี้ยม “เป็นจริงดังที่อ๋องตวนกล่าว พวกเราก็ต้องรอต้อนรับให้ดีเสียแล้ว!”-เขามิได้เดินทางเมืองหลวงพร้อมกับทัพใหญ่ ตอนที่ผ่านอำเภอผิงอัน เฉินฝานแวะกลับไปดูบ้านที่อำเภอผิงอันผลักประตูไม้ที่คุ้นเคยบานนั้น มองดูบ้านอิฐสีเทาด้านหน้า เฉินฝานอดมิได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้าสายตาของเขาหยุดมองไปที่ม่านประตูของเรือนหลักสองปีก่อน มีสาวน้อยผู้ยลโฉม แข้งขาไม่ดีนางหนึ่ง ใช้มือสองข้างถืออ่างน้ำที่เก่าคร่ำครึ ยืนอยู่ด้านหน้าเตียงเตากล่าวถามเขาด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง——นายท่าน ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?การเดินทางข้ามมิติที่อัศจรรย์และน่าตื่นเต้นนี้เริ่มเปิดฉากโดยคำพูดประโยคนั้นของหญิงสาวไม่สิเฉินฝานส่ายหัวไปมา ชายชาตรีอย่างเขาจะมาซาบซึ้งใจอันใดกัน?หญิงสาวที่ยกอ่างน้ำเช็ดหน้าให้เขาในตอนนั้น ปัจจุบันกลายเป็นภรรยาที่มีลูกสี่คนแล้ว ตอนนี้นางอยู่เมืองหลวงเฝ้าคอยให้เขากลับไปหา“พ่อแม่ ไยประตูใหญ่ในบ้านถูกเปิดออก โจรบุกเข้าไปแล้วงั้นหรือ?”ด้านนอกลานบ้านมีเสียงใสกังวานดังขึ้นเฉินฝานอมยิ้มเล็กน้อย นั้นคือเอ้อร์ยาร่างกายของเ
เสื้อคลุมสีขาวส่องสะท้านเข้าตาเฉินฝาน หญิงสาวผู้ยลโฉมลงมาจากรถม้า ในอ้อมอกของนางยังอุ้มเด็กชายอายุราวหนึ่งขวบไว้หนึ่งคนตอนที่เฉินฝานกำลังเหม่อลอย หญิงงามอุ้มเด็กรีบวิ่งมาหาเฉินฝานด้วยความรวดเร็ว ตอนที่ห่างจากเขาประมาณสองสามเมตร หญิงสาวก็หยุดชะงักทันที ยืนตัวตรงอย่างสง่างามอยู่ตรงนั้น ทั้งตื่นเต้นและประหม่าขานเรียกอย่างเหนียมอาย “นายท่าน”“ลูกสาวคนที่แปด?!”ตอนนี้เฉินฝานจำหญิงสาวได้แล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจมองสตรีตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์แยกจากกันไปปีกว่า ลูกสาวคนที่แปดที่เป็นแม่คนแล้ว เปลี่ยนจากสาวน้อยกลายเป็นหญิงสาวที่สง่างามแล้ว“นายท่าน ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ”ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ หยดน้ำตาแวววับเอ่อล้นออกมาด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง“มาสิ!” เฉินฝานยืนขึ้น อ้าแขนไปทางลูกสาวคนที่แปดลูกสาวคนที่แปดขยับตัวไปแล้ว ในท้ายที่สุดก็ยังคงมิได้โน้มตัวไปหาในอ้อมอกของเฉินฝานอยู่ดีนางรู้สึกว่าตนเองมิได้เรื่องเลย ระหว่างที่เดินทางมา นางคิดเอาไว้แล้วว่าจะกระโจนเข้าไปในอ้อมอกเฉินฝานทันที เรื่องราวในใจเป็นหมื่นล้านคำ ต้องเล่าให้เขาฟังโดยละเอียดทว่าเมื่อเจอเฉินฝาน ฝีเท้าหนักอึ้ง คำ
“นายท่าน ท่านว่าพี่รองคงจะไม่ได้...”ตายไปแล้วประโยคหลัง ฉินเย่ว์เจียวมิกล้าพูดออกมาอยู่ดีในตอนนั้น นางเป็นคนแรกที่ถูกเจ้าของร่างเดิมไล่ออกไปหาเงิน คนที่ไร้ข่าวคราวเป็นคนแรกก็คือนางเช่นกันสตรีที่ร่างกายอ่อนแอนางหนึ่ง ในปีที่ข้าวยากหมากแพง ใช้ชีวิตอยู่แผ่นดินที่มีคนดีและคนเลวผสมปนเปกันไป จะมิลำบากได้อย่างไร?ความแค้นเคืองที่หายไปนาน ปรากฏขึ้นในแววตาของฉินเย่ว์เจียวอีกครั้งถึงแม้ตอนนี้เฉินฝานจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดีเลิศแล้ว ทว่าเป็นความผิดที่เขาเคยทำ ทำให้สูญเสียพี่สาวคนนี้ไปตลอดกาล“ขอโทษด้วย!”เฉินฝานดีงฉินเย่ว์เจียวเข้ามากอด ถึงแม้จะเป็นความผิดของเจ้าของร่างเดิม ทว่าเขาใช้ร่างเจ้าของเดิม ความผิดเหล่านั้น ก็ต้องรับผิดชอบด้วย“พวกเจ้าเหล่าพี่น้อง ล้วนมีสายเลือดราชวงศ์ ชีวิตล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด พี่รองของพวกเจ้าจะต้องยังอยู่ดีเป็นแน่ พวกเราจะต้องหานางให้เจอ”“นายท่าน ท่านมิจำเป็นต้องปลอบใจข้าน้อยเพียงนี้หรอก ชีวิตล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดอะไรกัน ข้ารู้แก่ใจดีว่าพวกเรามิได้สูงค่าเช่นนั้น”ฉินเย่ว์เจียวยังคงกลัดกลุ้มใจถึงแม้ตอนนี้พวกนางจะมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าคนทั่วไปแล้ว ทว่าอยู่
“หนุ่มน้อย ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”ตอนที่รถม้าเคลื่อนผ่านพวกเฉินฝาน คนด้านในเลิกผ้าม่านขึ้นพลางกล่าวถามเฉินฝานหันหน้ากลับไปดู พบว่าเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดบัณฑิตอายุประมาณสามสิบปี ในมือของเขายังถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้อยู่“ขอบคุณพี่ใหญ่ มิต้องช่วยหรอก พวกเราจวนจะทำเสร็จแล้ว” เฉินฝานยิ้มพลางโบกมือ มิใช่ว่าเขาเกรงใจ แต่จวนจะเสร็จแล้วจริง ๆ“ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ” บุรุษผู้นั้นก็มิเซ้าซี้ เฉินฝานกล่าวว่ามิต้องการความช่วยเหลือ ก็จากไปทันทีรถม้าเคลื่อนตัวออกไปสักพัก พี่ใหญ่คนนั้นก็เปิดม่านยื่นหน้าออกมา ตะโกนพูดกับเฉินฝานอีกว่า “หนุ่มน้อย วันนี้ที่เรือนเซียนผาสุกมีการแสดงของแม่นางเมี่ยวอวี๋ พลาดมิได้เชียวนะ ถ้าพลาดไปก็ต้องรอแรกเริ่มวสันตฤดูปีหน้า”“โอ้? ได้เลย ขอบคุณพี่ใหญ่!”เฉินฝานมิรู้จักแม่นางเมี่ยวอวี๋ และมิรู้ว่าแม่นางเมี่ยวอวี๋ท่านนั้นมีความสามารถที่เลิศล้ำอันใด เขาจึงตอบรับไปแบบมิได้ใส่ใจมากนักต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวง เขามิได้วางแผนว่าจะไปดู และมิมีเวลาแล้ว “แม่นางเมี่ยวอวี่?” ฉินเย่ว์เจียวที่ก้มหน้าขุดหิมะมาโดยตลอด อยู่ ๆ ก็เด้งตัวขึ้นมา มองรถม้าด้านหน้าที่อยู่ไกล
“แหม สายตาแหลมคนอันใดกันเล่า? มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เจ้ามิได้ถือเครื่องดนตรี เจ้าดูสิ...” ชายผู้นี้ชี้ไปที่คนรอบข้าง “คนที่มิได้ถือเครื่องดนตรี ล้วนมิใช่คนเมืองเซียนตูของพวกเรา มิเชื่อ หนุ่มน้อยก็ลองไปถามดูสิ”“ข้าเชื่อ ๆ” เฉินฝานรีบกล่าวตอบ“หนุ่มน้อยผู้นี้ช่างเป็นกันเองเสียจริง พวกเรารีบไปกันเถอะ มิเช่นนั้นคงจะแทรกตัวเข้าไปในเรือนเซียนมิได้แล้ว ทางนี้ หนุ่มน้อย เจ้าตามข้ามา พวกเราไปทางลัดดีกว่า” ชายอาวุโสชุดเหลืองกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ดึงเฉินฝานไปทางเล็กอีกทางหนึ่งเย่ว์หนูรุดหน้าขึ้นมาทันที มองชายอาวุโสชุดเหลืองท่านนั้นด้วยความระแวดระวัง“นี่ แม่สาวน้อย ไยเจ้ายังลนลานกว่านายท่านของเจ้าเสียอีก?” ชายอาวุโสชุดเหลืองหัวเราะหึ ๆ เขามองมิออกว่าเย่ว์หนูคิดจะที่ฟันเขาเฉินฝานใช้สายตาบอกใบ้ให้เย่ว์หนูถอยไปตอนที่ชายอาวุโสชุดเหลืองลากมือเขาไป เขาได้ลองหยั่งเชิงแล้วว่าชายอาวุโสผู้นี้มิมีวรยุทธ์อันใด“หนุ่มน้อยเอ๋ย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยฟังการบรรเลงบทเพลงผีผาของแม่นางเมี่ยวอวี่หรือไม่?”ชายอาวุโสชุดเหลืองเป็นคนช่างพูด ในขณะที่กำลังเดินทาง ก็ชวนเฉินฝานคุยตลอดเฉินฝานส่ายหน้าไปมา กล่าวตามจ
เฉินฝานจ้องเขม็งทันที กล่าวอย่างจริงจังว่า “คันไม้คันมือ ก็ต้องอดทนไว้ การเป็นคนต้องมีมารยาทเข้าใจกาลเทศะ มิสามารถคว้าคอผู้อื่นมาต่อยตามอำเภอใจได้”“โอ้!” ฉินเย่ว์เจียวสีหน้าน่าสงสารเก็บมือไปด้านหลัง ใช้มือจับยับยั้งมือเย่ว์หนูเอาไว้เย่ว์หนูสีหน้าแดงก่ำเล็กน้อยมิใช่เขินอาย ทว่ารู้สึกทรมานเพราะถูกหยิก“หนุ่มน้อย ทางนี้ๆ!” หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาแล้ว ชายอาวุโสชุดเหลืองก็พาเฉินฝานไปทางที่ขรุขระที่เต็มไปด้วยดินโคลนอีกเส้นทางหนึ่ง“ถึงแม้ว่าทางนี้จะเดินลำบากหน่อย ทว่าคนน้อยและใกล้อีกด้วย ตอนนี้พวกเรายอมลำบากเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะสามารถแย่งชิงแนวหน้าเข้าไปเลือกตำแหน่งที่ดีในเรือนผาสุกก่อนได้”เฉินฝานชำเลืองมองดูรองเท้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน......เอาเถอะ เพื่อที่จะสดับรับฟังดนตรีอันงดงามจะสกปรกเสียหน่อยก็มิเป็นไรไม่นานนักพวกเฉินฝานก็มาถึงเรือนเซียนผาสุกจริงๆ และตอนที่พวกเขามาถึง ก็นับว่าค่อนข้างเร็ว คนที่ต่อแถวรอเข้าไปยังมิมากนักทว่า...ตอนที่พวกเขากำลังจะไปต่อแถว ก็ถูกนักว่าการไล่ออกมากล่าวว่าพวกเขามิสามารถเข้าไปได้เขากำลังคิดที่จะโต้เถียง ชายอาวุโสชุดเหลืองก็ลากเขาออกมา“พี่
ระหว่างที่พูด ชายอาวุโสชุดเหลืองก็แย่งใบไม้ทองคำจากมือสามีภรรยาเฒ่าไป“นี่ เจ้ามาแย่งของคนอื่นได้อย่างไร?” สามีภรรยาเฒ่าลนลานทันที “ใบไม้ทองคำนี้เป็นสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนั้นให้พวกเรามา วานให้พวกเราดูแลเจ้า”“แล้ว...เจ้าดูแลข้าแล้วงั้นหรือ?”“.....”สามีภรรยาเฒ่าถูกถามตกตะลึงทันที“ตอนนี้ข้าฟื้นแล้ว พวกเจ้ามิได้ดูแลข้า เช่นนั้นใบไม้ทองคำนี้ก็เป็นของข้า” กล่าวจบ ผู้อาวุโสชุดเหลืองหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าโยนใส่สามีภรรยาเฒ่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งพวกเจ้าสมควรได้รับ ถ้ายังริพูดพล่ามอีก ก็ระวังกำปั้นของข้าไว้ให้ดี”สิ่งที่ชายอาวุโสยกขึ้นมามิใช่กำปั้น ทว่าเป็นซอสองสายของเขา สามีภรรยาเฒ่าตกใจจนมิกล้าพูดอันใดเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชายอาวุโสชุดเหลืองจึงพึงพอใจ เขาชั่งน้ำหนักใบไม้ทองคำด้วยมือ และวางไว้ตรงริมฝีปากเป่าลมเล็กน้อย “ดูแล้วเป็นของแท้ ช่างเถอะ ดูจากใบไม้ทองคำนี้แล้ว ก็ไม่ถือสาเจ้าหนุ่มนั้นแล้ว”เดินฮัมเพลงมาตลอดทาง ดื่มสุราในน้ำเต้าที่แขวนไว้ตรงเอว ชายอาวุโสชุดเหลืองสีหน้าสบายใจตอนที่เดินมาถึงมุมโค้ง ชายอาวุโสผู้นั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน มองไปทางเรือนเซียนผาสุก พูดพึมพำ “เหล่าซู ซูชิวฉ
“ปีนี้มิรู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่”“ถ้าข้าได้เห็น ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่ง”“แหม เจ้าอย่าพูดเลย สองปีมานี้ผู้โชคดีที่เห็นแม่นางเมี่ยวอวี่ คนหนึ่งก็เสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็เสียสติ”“สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่ สามารถฟังการบรรเลงที่แม่นางเมี่ยวอวี่ทำเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้ายอมตายยอมเสียสติ”ระหว่างที่เดินมาตลอดทาง เฉินฝานได้ยินบทสนทนาที่ชวนขนลุกมากมาย และคนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย เฉินฝานเงี่ยหูตั้งใจฟัง จึงเข้าใจคร่าวๆได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?ตอนที่แม่นางเมี่ยวอวี่ผู้นั้นบรรเลงดนตรี จะสวมหมวกผ้าม่านไว้บนศีรษะ มิเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็นทุกปีนางจะเลือกผู้ฟังไปเป็นผู้โชคดีหนึ่งคนไปที่กระท่อมหิมะของนาง นางจะถอดหมวกผ้าม่านออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง บรรเลงบทเพลงแบบตัวต่อเป็นการส่วนตัวให้ผู้โชคดีผู้นั้นหนึ่งเพลงตามที่ร่ำลือกันมา โฉมหน้าที่แท้จริงของเมี่ยวอวี่ ท่วงท่าเหนือมนุษย์ ราวกับว่าเป็นเทพอัปสร เพียงแค่เคยพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง สตรีใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดทั
“เงื่อนไขที่เสียเอกราชและเสียเกียรติของแคว้นเช่นนี้ ต้าชิ่งของเราไม่อาจยอมรับได้เป็นอันขาด!”เสิ่นหมิงหยวนพลันแข็งกร้าวขึ้นมาเช่นกัน ตะโกนคำขวัญดังสนั่น“หากยอมรับ แล้วพวกเราจะสู้หน้าบรรพกษัตริย์ต้าชิ่งได้อย่างไร? จะสู้หน้าประชาชนชาวต้าฉิงมากมายของเราได้อย่างไร?”“ออกรบ! รบกับแคว้นหลู่จนตายไปข้างหนึ่ง!”เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ เสิ่นหมิงหยวนพลันดีอกดีใจอย่างยิ่งให้กองทัพลาดตระเวนไปสู้กับกองทัพสามแสนนายของแคว้นหลู่จนแตกพ่ายกันไปข้างหนึ่ง นั่นช่างเป็นเรื่องดีเหลือเกินจริง ๆ หากกองทัพลาดตระเวนต่อสู้จนถูกทำลายหมดแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงเฉินฝานแล้ว“ออกรบ! สู้กับแคว้นหลู่จนตายไปข้างหนึ่ง!”“ออกรบ! สู้กับแคว้นหลู่จนตายไปข้างหนึ่ง!”พรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวนตะโกนตามขึ้นมาเช่นกัน“ไสหัวกลับแคว้นหลู่ของท่านเสีย ต้าชิ่งของเราไม่ต้อนรับท่าน!”เหล่าขุนนางต้าชิ่งที่กำลังโกรธเกรี้ยวเริ่มขับไล่โอวหยางน่าหลันออกไป“ฮึ! ต้าชิ่งปฏิบัติกับแขกเช่นนี้หรือ? ดีมาก!” โอวหยางน่าหลันเอ่ยอย่างแข็งกระด้างทันที “เช่นนั้นก็...”“องค์หญิงทรงตรัสถูกต้องแล้ว ทรงตรัสได้ถูกต้อง!” เฉิน
“เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายลงแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาคุยเรื่องสำคัญกันต่อเถิด!”ถึงอย่างไรในฐานะผู้ปกครองแคว้นหนึ่ง โอวหยางน่าหลันใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว กลับมามีท่าทางหยิ่งยโสโอหังดังเดิม“ใช่ ๆ คุยเรื่องสำคัญ ๆ” เสิ่นหมิงหยวนรีบเอ่ยตามทันที “การที่องค์หญิงเสด็จมาในครานี้ หลัก ๆ ก็ด้วยเรื่องการสั่งซื้ออาวุธอันล่าช้าระหว่างสองแคว้น บัดนี้ลงมือเสียเลยดีกว่าจะมัวรอเลือกวันดี แคว้นเราจะสั่งซื้อในตอนนี้เลย”“จากอาวุธหนึ่งแสนห้าหมื่นชิ้นแต่เดิม เปลี่ยนเป็นสามแสนชิ้น ของทุกชิ้นจากแคว้นหลู่ล้วนเป็นของชั้นเลิศ องค์หญิงสามารถส่งของมาได้ตามพระราชอัธยาศัย ทรงคิดเห็นอย่างไร?”ส่งของได้ตามใจ นั่นก็หมายความว่าแคว้นหลู่สามารถส่งขยะมาได้เรื่อย ๆ ทุกคนในท้องพระโรงรวมถึงฉินเย่ว์เหมยล้วนเป็นชาวต้าชิ่ง ฟังแล้วก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวในใจไม่หยุด ทว่าก็ทำได้เพียงข่มกลั้นไว้ใครใช้ให้...ตอนนี้ชายฉกรรจ์ของต้าชิ่งร่วงโรยลงเล่า“เป็นอย่างไร?”ดวงหน้าของโอวหยางน่าหลันมีรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูบิดเบี้ยวดุร้ายน่ากลัว“หากตอนที่ข้าเพิ่งมา พวกท่านเสนอมาเช่นนี้ ข้ายังคงพิจารณาดูได้บ้าง แต่ทว่าตอนนี้...”โอวหยางน่าหล
แต่เป็นเพราะแคว้นหลู่ยกทัพโจมตีเมืองลู่ตู ไม่ส่งผลดีใดๆ ต่อเขาเมืองลู่ตูคือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของต้าชิ่ง ทั้งยังเป็นฐานสำคัญที่มั่นคงที่สุดของเสิ่นหมิงหยวน หากแคว้นหลู่ยึดครองเมืองลู่ตู เช่นนั้นก็เท่ากับว่าฐานของเขาถูกทำลายอีกเรื่องหนึ่ง โอวหยางน่าหลันเกลียดเสิ่นหมิงหยวนมากโอวหยางน่าหลันในฐานะผู้ครองอำนาจแท้จริงของแคว้นหลู่ เช่นเดียวกับฉินเย่ว์เหมย เกลียดขุนนางชั่วอย่างเสิ่นหมิงหยวนเป็นที่สุดหากว่า ถ้าหาก สุดท้ายแคว้นหลู่ถูกต้าชิ่งยึดครอง คนแรกที่โอวหยางน่าหลันจะจัดการก็คือเสิ่นหมิงหยวน“องค์หญิงโอวหยางเข้าใจความหมายของข้าผิดแล้ว ทำให้องค์หญิงโอวหยางเข้าใจผิด ข้าต้องขอโทษด้วย”ตอนพูดถ้อยคำนี้ ริมฝีปากของฉินเย่ว์เหมยขยับอย่างไม่เป็นตัวเองหากบุรุษแคว้นต้าชิ่งมากกว่านี้เล็กน้อย นางจะท้าชนกับโอวหยางน่าหลันแล้ว“เข้าใจผิดหรือ? ข้าว่าไม่ใช่กระมัง” จุดประสงค์ของโอวหยางน่าหลันในครั้งนี้ คือเมืองลู่ตูของแคว้นต้าชิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเหตุผลประกาศสงคราม นางไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปง่ายๆนอกเสียจากว่า แคว้นต้าชิ่งจะเป็นฝ่ายยกเมืองลู่ตูให้นางเอง“องค์หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้
“ใต้เท้าเสิ่น อาวุธสงครามของแคว้นหลู่คุณภาพดี แต่แคว้นหลู่ไม่ได้ขายอาวุธดีๆ ให้กับพวกเรา” ฟางซินฮุ่ยพูดด้วยความจนปัญญา“เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้ แคว้นหลู่ตั้งใจขายอาวุธที่ขึ้นสนิม ไม่อาจใช้งานได้มาให้ต้าชิ่งของเรา”เหอจื่อหลินไม่อาจทนต่อความร้ายกาจของโอวหยางน่าหลันมานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสพูดหลังกลับมาถึงเมืองหลวง เหอจื่อหลินไปหาฟางซินฮุ่ยเพื่อเติมอาวุธเพิ่ม แต่ฟางซินฮุ่ยกลับไม่อาจนำออกมาให้เขาเมื่อร้อนใจ เหอจื่อหลินจึงไปที่คลังอาวุธด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นอาวุธที่แคว้นหลู่ส่งมา ล้วนเป็นอาวุธขึ้นสนิมเรื่องนี้เหอจื่อหลินอยากบอกเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยมานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เฉินฝานและฉินเย่ว์เหมยง่วนอยู่กับเรื่องจำนวนบุรุษปัญหาเรื่องบุรุษนั้นร้ายแรง เหอจื่อหลินจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้พูดออกไป“ฝ่าบาท ท่านดูสิเพคะ!”หงอิงหยิบดาบเล่มหนึ่งและลูกธนูดอกหนึ่งมาตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยเมื่อครู่ฟางซินฮุ่ยกล่าวว่าอาวุธที่แคว้นหลู่ส่งมาไม่อาจใช้งานได้ นางก็แอบไปคลังเก็บอาวุธแล้วดาบและธนูในมือหงอิงเต็มไปด้วยสนิม ไม่อาจใช้งานได้“หงอิง เจ้าเพิ่งนำมาจากคลังเก็บ
“แค่ขุนนางคนหนึ่งเท่านั้น ท่านไม่อาจยกให้ได้ ดูเหมือนว่า...” โอวหยางน่าหลันทำสีหน้าเข้าใจ“ว่ากันว่า จักรพรรดิต้าชิ่งชื่นชอบพรรณไม้เดียวกัน เวลานี้ดูแล้ว คล้ายข่าวลือนี้จะเป็นความจริง เฮ้อ!”โอวหยางน่าหลันถอนหายใจ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ของเล่นที่ผู้อื่นเล่นแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากเล่น จักรพรรดิต้าชิ่ง เมื่อครู่ท่านบอกว่าหากข้ามีธุระก็ให้เข้าประเด็น ใช่หรือไม่?”พูดถึงตอนท้าย สีหน้าของโอวหยางน่าหลันเย็นชา“จักรพรรดิต้าชิ่ง สัญญาสั่งซื้ออาวุธของแคว้นต้าชิ่งของพวกท่านในปีนี้เล่า?”เมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อนของต้าชิ่งประชวรหนัก แคว้นหลู่อาศัยจังหวะช่วงที่ต้าชิ่งชุลมุนวุ่นวาย ส่งทูตมายังต้าชิ่ง บังคับให้ต้าชิ่งสั่งอาวุธอย่างน้อยปีละสิบล้านตำลึงเงินในเวลานั้นจักรพรรดิต้าชิ่งทำได้เพียงตอบตกลง เพราะหากไม่ตกลง แคว้นหลู่จะนำทัพเข้าโจมตีตอนนั้น แคว้นต้าชิ่งไม่เพียงได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จำนวนชายหญิงก็อยู่ในขั้นวิกฤต บุรุษเริ่มลดน้อยลง อีกทั้งชาวหูทางตอนเหนือ ก็เริ่มร้ายกาจขึ้น ราวกับสุนัขจิ้งจอกหิวโซจ้องจะเขมือบดินแดนทางเหนือของแคว้นต้าชิ่งฉินเย่ว์เหมยมองหน้าฟางซินฮุ่ย “ฟางซ
“เป็นถึงจักรพรรดิ แต่กลับพูดพร่ามร่ายยาว ไม่แปลกที่ตอนนี้ต้าชิ่งตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!”โอวหยางน่าหลันยิ่งพูดก็ยิ่งเหิมเกริม การกระทำของนางไม่ได้เป็นการหยามเกียรติฉินเย่ว์เหมยแล้ว แต่เป็นการดูแคลนจักรพรรดิต้าชิ่งณ ท้องพระโรงต้าชิ่ง ต่อหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โอวหยางน่าหลันที่เป็นเพียงองค์หญิงจากแคว้นอื่น ดูหมิ่นจักรพรรดิต้าชิ่งโอวหยางน่าหลันไม่กลัว ในทางตรงกันข้ามนางลำพองใจยิ่งนัก นางมั่นใจว่า แม้นางจะด่าทอด้วยวาจาหยาบคายกว่านี้ พวกขุนนางต้าชิ่งก็ทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าพูดสิ่งใดเป็นจริงตามคาด...โอวหยางน่าหลันกวาดสายตาไปยังรอบๆ ท้องพระโรง จากนั้นถอนสายตากลับด้วยความพอใจในท้องพระโรง หลายต่อหลายคนเคืองขุ่น โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายบุ๊น แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงเงียบแม้แคว้นหลู่จะมีขนาดเล็ก แต่กลับเป็นแคว้นที่ไม่ขาดแคลนบุรุษที่สุด แคว้นหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ อีกทั้งแคว้นหลู่เต็มไปด้วยเหมืองเหล็ก การตีเหล็กของแคว้นหลู่ล้ำเลิศ อาวุธสงครามเป็นหนึ่งหลังจากบุรุษแคว้นต้าชิ่งลดน้อยลง แคว้นหลู่ก็จ้องจะเขมิบพื้นที่ของแคว้นต้าชิ่ง หลายปีมานี้พวกเขาบีบต้อนต้าชิ่งทุกทาง ตั้งแต่จักรพรรดิ จวบจนถึงสา
การกระทำของนายกองเกณฑ์ทหารคนนี้น่าโมโหยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ฟางซินฮุ่ยสั่งปลดนายกองเกณฑ์ทหารหลายต่อหลายคน โดยเหตุผลในการสั่งปลดแทบจะเหมือนกันทุกคน ซึ่งก็คือจำนวนทหารเกณฑ์ไม่ถึงเป้าเปลี่ยนทหารกลุ่มใหม่มาทำงาน ทว่าปัญหาที่พบเจอยังคงเหมือนเดิมความเป็นจริงฟางซินฮุ่ยรู้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของนายกองเกณฑ์ทหาร เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะจนปัญญาจริงๆหากไม่ปลดพวกเขา ยามราชสำนักกล่าวโทษ พวกเขาไม่เพียงจะเสียงาน แต่ยังต้องถูกลงโทษอีก“เฮ้อ!”เสิ่นหมิงหยวนถอนหายใจ “แม้จะลงโทษนายกองเกณฑ์ทหารคนนี้ ทว่าอนาคตย่อมมีนายกองเกณฑ์ทหารเช่นนี้อีกหลายคนต้องโดนลงโทษ ท้ายที่สุดแล้ว เป็นเพราะแคว้นของเราประสบปัญหาขาดแคลนผู้ชาย”“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงคุกเข่าอย่างกะทันหัน “ก่อนหน้านี้กระหม่อมทำหน้าที่ได้ไม่ดี ไม่ดูแลผู้ใต้บัญชาการให้ดี นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กระหม่อมจะดูแลท้องพระคลังด้วยตนเอง ใช้เงินครึ่งหนึ่งของท้องพระคลัง แก้ปัญหาขาดแคลนบุรุษ”“เรื่องเงินไม่มีปัญหาแล้ว เรื่องต่อไปคือ...” หลิวเกาจัวชำเลืองมองซื่อหลางกรมขุนนางเหลยชางเจียน “เรื่องของกรมขุนนาง”เสิ่นหมิงหยวน “เหลยซื
“ปัจจุบันการเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องยาก ทุกเมืองและทุกอำเภอ บวกกับกองทัพหมาป่า ตอนนี้มีกำลังพลไม่ถึงห้าแสนนาย กองทัพหมาป่าทำสงครามกับชาวหูทางตอนเหนือมานาน เวลานี้สูญเสียกำลังทหารไปกว่าห้าหมื่นนายแล้ว ต้องการกำลังเพิ่มอย่างเร่งด่วน เกณฑ์ในการเกณฑ์ทหารก็เปลี่ยนจากอายุสิบเจ็ดถึงสามสิบปี เป็นอายุสิบห้าถึงสามสิบห้าปี แต่ว่า...”น้ำเสียงของฟางซินฮุ่ยหนักแน่น “ไม่มีทางจากสิบสองถึงห้าสิบปีแน่นอน”“ฟางซินฮุ่ย เจ้า...พูดเช่นนี้ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ?” หญิงวัยกลางคนพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ชี้หน้าฟางซินฮุ่ยพร้อมกับด่าทอ“ประกาศการเกณฑ์ทหาร ข้าต้องการบุคคลที่อายุไม่เกินเกณฑ์” ฟางซินฮุ่ยพูดไม่เก่ง ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย”“ข้าเชื่อท่านเลขาธิการ!” จู่ๆ เสิ่นหมิงหยวนก็พูดเข้าข้างฟางซินฮุ่ย “ทว่าเวลานี้แคว้นของเราภายในไม่สงบและยังถูกภายนอกรุกราน กรมกลาโหมงานค่อนข้างหนัก หรือว่านายกองเกณฑ์ทหารภายใต้การดูแลของกรมกลาโหมกระทำการนี้ เพื่อปฏิบัติกิจให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย?”“พี่สาวท่านนี้” เสิ่นหมิงหยวนเดินไปตรงหน้าหญิงวัยกลางคน โน้มตัวลงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “บ้านของท่านอยู่ที่ใด?”หญิงวัยกลางคนเพิ่งบอกว่า
สตรีวัยกลางคนสะอึกสะอื้น นัยน์ตาของนางเปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้น“ลูกชายของข้า รอขุนนางชั่วถูกประหาร แก้แค้นให้ลูกสำเร็จ แม่จะตามลูกและพ่อของลูกไปนะ!”“อั๊ยย๊า!” หลิวเกาจัวกระเด้งตัวออกมาพูด “คนหนึ่งอายุห้าสิบ? อีกคนอายุสิบสอง? คนหนึ่งแก่ชราไร้เรี่ยวแรง อีกคนยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กลับถูกบังคับไปเป็นทหาร นี่เป็นการฆ่ากันชัดๆ ไม่ใช่หรือ? ใต้เท้าฟาง ใต้เท้าฟาง ท่านกระทำเกินไปแล้ว”“เกินไปจริงๆ”ภายในท้องพระโรง ขุนนางจำนวนไม่น้อยเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวเกาจัว“ปัจจุบันแคว้นของเราบุรุษน้อย การเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องยากลำบาก ทว่าบังคับให้คนแก่วัยห้าสิบและเด็กวัยสิบสองไปเป็นทหารเช่นนี้เกินไปเล็กน้อย”“ฝ่าบาท ท่านคือจักรพรรดิแคว้นต้าชิ่ง รักปวงประชาดั่งลูก ฝ่าบาทโปรดทวงคืนความยุติธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”“พู่...”หญิงวัยกลางคนอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง“ตึ้ง!”นางล้มลงบนพื้นอย่างแรง นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น“เร็วเข้า!” ฉินเย่ว์เหมยร้องเรียกหลี่เต๋อฉวนเร็วควัน “เอาตัวนางลงไป ให้หมอหลวงดูอาการ”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”หลี่เต๋อฉวนเดินนำหมอลวงสองคนวิ่งไปทางหญิงวัยกลางคน“อย่า!”หมอหลวงเพิ่งแ