ระหว่างที่พูด ชายอาวุโสชุดเหลืองก็แย่งใบไม้ทองคำจากมือสามีภรรยาเฒ่าไป“นี่ เจ้ามาแย่งของคนอื่นได้อย่างไร?” สามีภรรยาเฒ่าลนลานทันที “ใบไม้ทองคำนี้เป็นสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนั้นให้พวกเรามา วานให้พวกเราดูแลเจ้า”“แล้ว...เจ้าดูแลข้าแล้วงั้นหรือ?”“.....”สามีภรรยาเฒ่าถูกถามตกตะลึงทันที“ตอนนี้ข้าฟื้นแล้ว พวกเจ้ามิได้ดูแลข้า เช่นนั้นใบไม้ทองคำนี้ก็เป็นของข้า” กล่าวจบ ผู้อาวุโสชุดเหลืองหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าโยนใส่สามีภรรยาเฒ่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งพวกเจ้าสมควรได้รับ ถ้ายังริพูดพล่ามอีก ก็ระวังกำปั้นของข้าไว้ให้ดี”สิ่งที่ชายอาวุโสยกขึ้นมามิใช่กำปั้น ทว่าเป็นซอสองสายของเขา สามีภรรยาเฒ่าตกใจจนมิกล้าพูดอันใดเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชายอาวุโสชุดเหลืองจึงพึงพอใจ เขาชั่งน้ำหนักใบไม้ทองคำด้วยมือ และวางไว้ตรงริมฝีปากเป่าลมเล็กน้อย “ดูแล้วเป็นของแท้ ช่างเถอะ ดูจากใบไม้ทองคำนี้แล้ว ก็ไม่ถือสาเจ้าหนุ่มนั้นแล้ว”เดินฮัมเพลงมาตลอดทาง ดื่มสุราในน้ำเต้าที่แขวนไว้ตรงเอว ชายอาวุโสชุดเหลืองสีหน้าสบายใจตอนที่เดินมาถึงมุมโค้ง ชายอาวุโสผู้นั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน มองไปทางเรือนเซียนผาสุก พูดพึมพำ “เหล่าซู ซูชิวฉ
“ปีนี้มิรู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่”“ถ้าข้าได้เห็น ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่ง”“แหม เจ้าอย่าพูดเลย สองปีมานี้ผู้โชคดีที่เห็นแม่นางเมี่ยวอวี่ คนหนึ่งก็เสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็เสียสติ”“สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่ สามารถฟังการบรรเลงที่แม่นางเมี่ยวอวี่ทำเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้ายอมตายยอมเสียสติ”ระหว่างที่เดินมาตลอดทาง เฉินฝานได้ยินบทสนทนาที่ชวนขนลุกมากมาย และคนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย เฉินฝานเงี่ยหูตั้งใจฟัง จึงเข้าใจคร่าวๆได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?ตอนที่แม่นางเมี่ยวอวี่ผู้นั้นบรรเลงดนตรี จะสวมหมวกผ้าม่านไว้บนศีรษะ มิเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็นทุกปีนางจะเลือกผู้ฟังไปเป็นผู้โชคดีหนึ่งคนไปที่กระท่อมหิมะของนาง นางจะถอดหมวกผ้าม่านออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง บรรเลงบทเพลงแบบตัวต่อเป็นการส่วนตัวให้ผู้โชคดีผู้นั้นหนึ่งเพลงตามที่ร่ำลือกันมา โฉมหน้าที่แท้จริงของเมี่ยวอวี่ ท่วงท่าเหนือมนุษย์ ราวกับว่าเป็นเทพอัปสร เพียงแค่เคยพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง สตรีใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดทั
ฉินเย่ว์เจียวหันหน้าไปกัดฟันกรอด พูดอย่างมิมั่นใจ “นั้นสิ บทบรรเลงผีผาอันใด”นางเตรียมที่จะทิ้งเฉินฝาน ชิงเอาตัวรอดก่อนคำพูดคุยโวของเขา ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน นางจะมิยอมโดนไปด้วยหรอกอย่างไรเสียตัวเฉินฝานก็สิ่งของที่สามารถยืนตัวตนได้มากมาย หากคนเหล่านี้ต้องการที่จะทำร้ายเขาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเมืองเซียนตูก็ต้องรีบรุดมาปกป้องเขาเพื่อเอาหน้าหลังจากนั้นก็ทำท่าทีนอบน้อมเชิญเขาเข้าไปที่เรือนเซียนผาสุกทันที“โอ้! จริงสิ!” ฉินเย่ว์เจียวแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน?”“เจ้านึกอันใดอออกงั้นหรือ?”เฉินฝานรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกมิถูก“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ!” อยู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็ตะโกนพูดเสียงดัง “บทบรรเลงนั้น อยู่ที่เขา และเขายังเป็นคนประพันธ์เองอีกด้วย เขาคิดเสมอว่าโน้ตเพลงของเขาเป็นสิ่งที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”“คำพูดที่ข้าพูดเมื่อครู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาบังคับให้ข้าพูด”“เย่ว์เจียว...”เฉินฝานมองฉินเย่ว์เจียวด้วยตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความสงสัย ฉินเย่ว์เจียวเพียงแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ก้มหน้าพูดสองสามประโยค“ทนไปก่อนนะ ข้าจะไปหาคนมาช่วยเหลือท่าน”พูดจบ ก็
“ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ให้คนตั้งมากมายสูญเงินไปเสียเปล่า สมควรถูกลงโทษ!”“ท่านผู้ว่าราชการประจำมณฑล!” ซื่อต้าเผิงหันไปทางผู้ว่าราชการจังหวัด “ออกคำสั่งประเดี๋ยวนี้ คืนเงินทั้งหมดให้กับผู้ชมที่ไม่อาจเข้าเรือนเซียนผาสุก”หางตาของซื่อต้าเผิง ชำเลืองมองไปที่เฉินฝานครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงดัง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้เฉียนหงละเลยในหน้าที่ขั้นรุนแรง เอาตัวเข้าคุกหลวง รอฟังคำสั่งต่อไป”“ใต้เท้า!”เฉินฝานมองซื่อต้าเผิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ข้าทำงานด้วยความเที่ยงตรงมาโดยตลอด ผู้ใดกระทำความผิด ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงใหญ่เพียงใด ทำผิดล้วนถูกจับเข้าคุก” ซื่อต้าเผิงกล่าวโดยความทระนง เขาเห็นเฉินฝานยิ้มแก้มปริ คิดว่าเฉินฝานพอใจในการจัดการของเขาเฉินฝานยกนิ้วโป้งขึ้น “ใต้เท้ายอดเยี่ยมจริงๆ ปกปิดความผิดของขุนนางใหญ่ รังแกขุนนางชั้นผู้น้อย ยามเบื้องบนมา จับทุกคนเข้าคุก ยามเบื้องบนไป ก็ปล่อยคนที่อยู่ในคุกออกมา แล้วกระทำความผิดเฉกเช่นเดิม”“ชมเกินไปแล้วขอรับๆ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ นำตัว...” ซื่อต้าผิงเห็นเฉินฝานยกนิ้วโป้งให้ ทั้งยังบอกว่าเขาเก่ง จึงแกล้งทำเป็นถ่อมตัวทันทีแค่ว่าพูดเพียงครึ่งหนึ่ง เข
“เยี่ยม!”เสียงโหร้อง เรียกความสนใจของชายเสื้อเหลืองได้เป็นอย่างดี เขามองไปตามเสียง เห็นสองใบหน้าที่คุ้นเคยในทันที คนที่โหร้อง คือสามีภรรยาคู่นั้นชายชราปรบมือร้องเยี่ยม หญิงชราก็เช่นเดียวกัน“เยี่ยม!”“เยี่ยมๆ!”เสียงปรบมือ ดังก้องนอกเรือนเซียนผาสุก เมื่อสองสามีภรรยาเริ่มต้น ชาวบ้านๆ รอบก็ปรบมือร้องเยี่ยมเช่นเดียวกันทุกครั้งที่แม่นางเมี่ยวอวี่ออกมาแสดง ขุนนางเหล่านี้ก็เริ่มใช้เงินไม่คิดเฉินฝานเพิ่งถูกชายเสื้อเหลืองพามายังถนนเส้นรอง ไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนถนนเส้นหลักมีด่านกั้น ทุกด่านมีคนคอยเรียกเก็บเงิน ยิ่งจ่ายเงินมากเท่าใด ประเดี๋ยวตอนแซงแถวจะยิ่งได้อยู่ด้านหน้ากล่าวได้ว่า อยากเข้าเรือนเซียนผาสุก สุดท้ายเงินที่ต้องจ่าย คือสามเท่าของค่าเสพสุขสำหรับเข้างานเสื้อผ้าของเฉินฝานสกปรก เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปความเป็นจริง แม้เสื้อผ้าของเขาไม่สกปรก หากไม่ได้จ่ายค่าเสพสุขเพิ่มหลายเท่าตัว เขาไม่อาจเข้าแถวได้“ข้าชื่นชอบท่วงทำนองเช่นเดียวกัน เมืองเซียนตูไม่ไกลจากบ้านของข้านัก ใต้เท้า นับจากนี้ข้าจะมาบ่อยๆ หวังว่าทุกคราที่มาท่านจะอยู่”เฉินฝานยิ้มอ่อนๆ ขณะพูดกับซื่อต้าเผิงเฉินฝา
“นับจากนี้...” นัยน์ตาลุ่มลึกของเฉินฝาน ฉายความหนักแน่น “จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”ตามหลักมาก่อนได้ก่อนมาหลังได้ที่หลัง ชาวบ้านมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามาเฉินฝานมองครู่หนึ่ง โถงดนตรีนี้สามารถบรรจุคนได้มากถึงสองพันกว่าคนในยุคสมัยที่ไม่มีการก่อสร้างด้วยคอนกรีต ใช้ไม้ในการสร้างโถงดนตรีขนาดใหญ่เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องยากนักหากเศรษฐกิจของต้าชิ่งไม่ได้ย่ำแย่เหมือนตอนนี้ แคว้นไม่ได้อ่อนแอเช่นนี้ เฉินฝานย่อมไม่คัดค้านการสร้างโถงดนตรีเช่นนี้หลังจากนั่งลง ฉินเย่ว์เจียวมองไปรอบๆ ไม่หยุดสตรีทุกคนในงาน นางล้วนมองอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะนักพิณที่กำลังบรรเลงอยู่บนเวทีมารดาของพวกนาง เชี่ยวชาญในการบรรเลงพิณผีพา พี่รองสืบทอดพรสวรรค์ข้อนี้ของท่านแม่ บรรเลงพิณผีพาได้ดีเช่นเดียวกันเพียงแต่ เมื่อก่อนชีวิตของพวกนางลำบากยิ่งนัก ก่อนออกเรือน ต้องทำงานหนักที่ทุ่งนาทุกวัน ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณหลังออกเรือน ยิ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณ เวลานั้นนายท่านยังไม่เปลี่ยนเป็นคนดี เห็นพี่รองกอดพิณ เขาโยนทิ้งทันทีตอนหลังพี่รองถูกไล่ออกไปทำงานหาเงิน ไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่น้อย มีเพียงพิณที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข
“ใต้เท้าของพวกเราสบายดี เป็นลมแดดเมื่อใด?”“เป็นลมแดดท่ามกลางอากาศหนาวเย็นช่างตลกยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงมาเมืองเซียนตูแล้วรังแกพวกเราเช่นนี้”พวกคนในเรือนเซียนผาสุก แตกต่างกับบรรดาคนด้านนอกเมื่อครู่พวกเขาล้วนจ่ายเงินราคาแพง เพื่อแซงคิวเข้ามา ล้วนเป็นพวกชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย ไม่อาจเพราะคืนเงิน แล้วรู้สึกขอบคุณเฉินฝานตอนนี้พวกเขาหงุดหงิดที่เฉินฝานทำให้พวกเขาไม่ได้ฟังเมี่ยวอวี่บรรเลงพิณผีพา“ดูแล้วอายุไม่มาก เมืองเซียนตูของเราอยู่ใกล้เมืองหลวง คาดว่าน่าจะเป็นคุณชายชนชั้นสูงตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงกระมัง”“คุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงแล้วอย่างไร? วิ่งแจ้นมาถึงเมืองเซียนตูของเราเพื่อรังแกกันเนี่ยนะ?”“ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของสำนักบัณฑิต แต่ไปด้วยบัณฑิต ข้าให้พวกเขาไปเมืองหลวง ตีกลองร้องทุกข์”“คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ต้องให้บัณฑิตของท่านไปหรอก พวกข้าเอง พวกข้าไปเมืองหลวงเอง”ฟังหญิงงามแต่งกลอนกวีบรรเลงดนตรี คือความชอบของบัณฑิตเวลานี้คนที่โมโหที่สุดในเรือนเซียนผาสุกก็คือพวกบัณฑิตซื่อต้าเผิงมองอยู่ข้างๆ ยิ่งรู้สึกสบายใจเพียงบัณฑิตออกโรง เขาก็ชนะแน่นอนแล้วแคว้น
ขณะพูดอยู่นั้น แม่เล้าหลี่ ให้คนเตรียมกระดาษกับหมึก วางไว้ตรงหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า หลังจากคุณชายท่านนี้เขียนเสร็จ แม่นางเมี่ยวอวี่หวังว่าท่านจะนำไปให้ที่กระท่อมหิมะด้วยตนเอง”กระท่อมหิมะของแม่นางเมี่ยวอวี่ อยู่ในเรือนเซียนผาสุกแสบยิ่งนัก แสบจริงๆเฉินฝานอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมในใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเมี่ยวอวี่ทำเช่นนี้ ทั้งช่วยซื่อต้าเผิงได้ แล้วยังช่วยเขาจากสถานการณ์ตึงเครียดได้ด้วยวิธีการของแม่นางคนนี้ เขาต้องคิดหาวิธีเจอหน้าสักครั้ง“เพลงดีควบคู่กับนักบรรเลงที่ดี ได้!” เฉินฝานนั่งลง จับพู่กัน“นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวรีบย่อตัวลงนั่ง “ให้ข้าช่วยท่านเขียนเองเจ้าค่ะ”ตอนเด็กๆ ท่านแม่เคยสอนนางดีดพิณผีพา นางไม่อยากเรียน จึงดีดไม่เป็น ทว่านางความจำดี มีเพลงพิณผีพาง่ายๆ หลายเพลง ที่กระทั่งตอนนี้นางยังจำได้ นางอยากใช้บทเพลงพวกนั้นรับมือกับพวกเขาแทนเฉินฝานขณะที่ฉินเย่ว์เจียวพยายามหวนนึกถึงเพลงพิณผีพาเหล่านั้นอยู่นั้น เฉินฝานเริ่มตวัดปลายพู่กันแล้ว“หึ”“ฮ่าๆ!”ในโถงดนตรี เริ่มมีคนอดขำไม่ได้ซื่อต้าเผิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็กลั้นขำไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งแม่เล้าหลี่ที่ร
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ