ระหว่างที่พูด ชายอาวุโสชุดเหลืองก็แย่งใบไม้ทองคำจากมือสามีภรรยาเฒ่าไป“นี่ เจ้ามาแย่งของคนอื่นได้อย่างไร?” สามีภรรยาเฒ่าลนลานทันที “ใบไม้ทองคำนี้เป็นสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนั้นให้พวกเรามา วานให้พวกเราดูแลเจ้า”“แล้ว...เจ้าดูแลข้าแล้วงั้นหรือ?”“.....”สามีภรรยาเฒ่าถูกถามตกตะลึงทันที“ตอนนี้ข้าฟื้นแล้ว พวกเจ้ามิได้ดูแลข้า เช่นนั้นใบไม้ทองคำนี้ก็เป็นของข้า” กล่าวจบ ผู้อาวุโสชุดเหลืองหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าโยนใส่สามีภรรยาเฒ่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งพวกเจ้าสมควรได้รับ ถ้ายังริพูดพล่ามอีก ก็ระวังกำปั้นของข้าไว้ให้ดี”สิ่งที่ชายอาวุโสยกขึ้นมามิใช่กำปั้น ทว่าเป็นซอสองสายของเขา สามีภรรยาเฒ่าตกใจจนมิกล้าพูดอันใดเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชายอาวุโสชุดเหลืองจึงพึงพอใจ เขาชั่งน้ำหนักใบไม้ทองคำด้วยมือ และวางไว้ตรงริมฝีปากเป่าลมเล็กน้อย “ดูแล้วเป็นของแท้ ช่างเถอะ ดูจากใบไม้ทองคำนี้แล้ว ก็ไม่ถือสาเจ้าหนุ่มนั้นแล้ว”เดินฮัมเพลงมาตลอดทาง ดื่มสุราในน้ำเต้าที่แขวนไว้ตรงเอว ชายอาวุโสชุดเหลืองสีหน้าสบายใจตอนที่เดินมาถึงมุมโค้ง ชายอาวุโสผู้นั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน มองไปทางเรือนเซียนผาสุก พูดพึมพำ “เหล่าซู ซูชิวฉ
“ปีนี้มิรู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่”“ถ้าข้าได้เห็น ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่ง”“แหม เจ้าอย่าพูดเลย สองปีมานี้ผู้โชคดีที่เห็นแม่นางเมี่ยวอวี่ คนหนึ่งก็เสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็เสียสติ”“สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่ สามารถฟังการบรรเลงที่แม่นางเมี่ยวอวี่ทำเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้ายอมตายยอมเสียสติ”ระหว่างที่เดินมาตลอดทาง เฉินฝานได้ยินบทสนทนาที่ชวนขนลุกมากมาย และคนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย เฉินฝานเงี่ยหูตั้งใจฟัง จึงเข้าใจคร่าวๆได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?ตอนที่แม่นางเมี่ยวอวี่ผู้นั้นบรรเลงดนตรี จะสวมหมวกผ้าม่านไว้บนศีรษะ มิเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็นทุกปีนางจะเลือกผู้ฟังไปเป็นผู้โชคดีหนึ่งคนไปที่กระท่อมหิมะของนาง นางจะถอดหมวกผ้าม่านออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง บรรเลงบทเพลงแบบตัวต่อเป็นการส่วนตัวให้ผู้โชคดีผู้นั้นหนึ่งเพลงตามที่ร่ำลือกันมา โฉมหน้าที่แท้จริงของเมี่ยวอวี่ ท่วงท่าเหนือมนุษย์ ราวกับว่าเป็นเทพอัปสร เพียงแค่เคยพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง สตรีใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดทั
ฉินเย่ว์เจียวหันหน้าไปกัดฟันกรอด พูดอย่างมิมั่นใจ “นั้นสิ บทบรรเลงผีผาอันใด”นางเตรียมที่จะทิ้งเฉินฝาน ชิงเอาตัวรอดก่อนคำพูดคุยโวของเขา ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน นางจะมิยอมโดนไปด้วยหรอกอย่างไรเสียตัวเฉินฝานก็สิ่งของที่สามารถยืนตัวตนได้มากมาย หากคนเหล่านี้ต้องการที่จะทำร้ายเขาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเมืองเซียนตูก็ต้องรีบรุดมาปกป้องเขาเพื่อเอาหน้าหลังจากนั้นก็ทำท่าทีนอบน้อมเชิญเขาเข้าไปที่เรือนเซียนผาสุกทันที“โอ้! จริงสิ!” ฉินเย่ว์เจียวแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน?”“เจ้านึกอันใดอออกงั้นหรือ?”เฉินฝานรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกมิถูก“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ!” อยู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็ตะโกนพูดเสียงดัง “บทบรรเลงนั้น อยู่ที่เขา และเขายังเป็นคนประพันธ์เองอีกด้วย เขาคิดเสมอว่าโน้ตเพลงของเขาเป็นสิ่งที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”“คำพูดที่ข้าพูดเมื่อครู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาบังคับให้ข้าพูด”“เย่ว์เจียว...”เฉินฝานมองฉินเย่ว์เจียวด้วยตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความสงสัย ฉินเย่ว์เจียวเพียงแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ก้มหน้าพูดสองสามประโยค“ทนไปก่อนนะ ข้าจะไปหาคนมาช่วยเหลือท่าน”พูดจบ ก็
“ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ให้คนตั้งมากมายสูญเงินไปเสียเปล่า สมควรถูกลงโทษ!”“ท่านผู้ว่าราชการประจำมณฑล!” ซื่อต้าเผิงหันไปทางผู้ว่าราชการจังหวัด “ออกคำสั่งประเดี๋ยวนี้ คืนเงินทั้งหมดให้กับผู้ชมที่ไม่อาจเข้าเรือนเซียนผาสุก”หางตาของซื่อต้าเผิง ชำเลืองมองไปที่เฉินฝานครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงดัง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้เฉียนหงละเลยในหน้าที่ขั้นรุนแรง เอาตัวเข้าคุกหลวง รอฟังคำสั่งต่อไป”“ใต้เท้า!”เฉินฝานมองซื่อต้าเผิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ข้าทำงานด้วยความเที่ยงตรงมาโดยตลอด ผู้ใดกระทำความผิด ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงใหญ่เพียงใด ทำผิดล้วนถูกจับเข้าคุก” ซื่อต้าเผิงกล่าวโดยความทระนง เขาเห็นเฉินฝานยิ้มแก้มปริ คิดว่าเฉินฝานพอใจในการจัดการของเขาเฉินฝานยกนิ้วโป้งขึ้น “ใต้เท้ายอดเยี่ยมจริงๆ ปกปิดความผิดของขุนนางใหญ่ รังแกขุนนางชั้นผู้น้อย ยามเบื้องบนมา จับทุกคนเข้าคุก ยามเบื้องบนไป ก็ปล่อยคนที่อยู่ในคุกออกมา แล้วกระทำความผิดเฉกเช่นเดิม”“ชมเกินไปแล้วขอรับๆ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ นำตัว...” ซื่อต้าผิงเห็นเฉินฝานยกนิ้วโป้งให้ ทั้งยังบอกว่าเขาเก่ง จึงแกล้งทำเป็นถ่อมตัวทันทีแค่ว่าพูดเพียงครึ่งหนึ่ง เข
“เยี่ยม!”เสียงโหร้อง เรียกความสนใจของชายเสื้อเหลืองได้เป็นอย่างดี เขามองไปตามเสียง เห็นสองใบหน้าที่คุ้นเคยในทันที คนที่โหร้อง คือสามีภรรยาคู่นั้นชายชราปรบมือร้องเยี่ยม หญิงชราก็เช่นเดียวกัน“เยี่ยม!”“เยี่ยมๆ!”เสียงปรบมือ ดังก้องนอกเรือนเซียนผาสุก เมื่อสองสามีภรรยาเริ่มต้น ชาวบ้านๆ รอบก็ปรบมือร้องเยี่ยมเช่นเดียวกันทุกครั้งที่แม่นางเมี่ยวอวี่ออกมาแสดง ขุนนางเหล่านี้ก็เริ่มใช้เงินไม่คิดเฉินฝานเพิ่งถูกชายเสื้อเหลืองพามายังถนนเส้นรอง ไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนถนนเส้นหลักมีด่านกั้น ทุกด่านมีคนคอยเรียกเก็บเงิน ยิ่งจ่ายเงินมากเท่าใด ประเดี๋ยวตอนแซงแถวจะยิ่งได้อยู่ด้านหน้ากล่าวได้ว่า อยากเข้าเรือนเซียนผาสุก สุดท้ายเงินที่ต้องจ่าย คือสามเท่าของค่าเสพสุขสำหรับเข้างานเสื้อผ้าของเฉินฝานสกปรก เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปความเป็นจริง แม้เสื้อผ้าของเขาไม่สกปรก หากไม่ได้จ่ายค่าเสพสุขเพิ่มหลายเท่าตัว เขาไม่อาจเข้าแถวได้“ข้าชื่นชอบท่วงทำนองเช่นเดียวกัน เมืองเซียนตูไม่ไกลจากบ้านของข้านัก ใต้เท้า นับจากนี้ข้าจะมาบ่อยๆ หวังว่าทุกคราที่มาท่านจะอยู่”เฉินฝานยิ้มอ่อนๆ ขณะพูดกับซื่อต้าเผิงเฉินฝา
“นับจากนี้...” นัยน์ตาลุ่มลึกของเฉินฝาน ฉายความหนักแน่น “จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”ตามหลักมาก่อนได้ก่อนมาหลังได้ที่หลัง ชาวบ้านมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามาเฉินฝานมองครู่หนึ่ง โถงดนตรีนี้สามารถบรรจุคนได้มากถึงสองพันกว่าคนในยุคสมัยที่ไม่มีการก่อสร้างด้วยคอนกรีต ใช้ไม้ในการสร้างโถงดนตรีขนาดใหญ่เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องยากนักหากเศรษฐกิจของต้าชิ่งไม่ได้ย่ำแย่เหมือนตอนนี้ แคว้นไม่ได้อ่อนแอเช่นนี้ เฉินฝานย่อมไม่คัดค้านการสร้างโถงดนตรีเช่นนี้หลังจากนั่งลง ฉินเย่ว์เจียวมองไปรอบๆ ไม่หยุดสตรีทุกคนในงาน นางล้วนมองอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะนักพิณที่กำลังบรรเลงอยู่บนเวทีมารดาของพวกนาง เชี่ยวชาญในการบรรเลงพิณผีพา พี่รองสืบทอดพรสวรรค์ข้อนี้ของท่านแม่ บรรเลงพิณผีพาได้ดีเช่นเดียวกันเพียงแต่ เมื่อก่อนชีวิตของพวกนางลำบากยิ่งนัก ก่อนออกเรือน ต้องทำงานหนักที่ทุ่งนาทุกวัน ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณหลังออกเรือน ยิ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณ เวลานั้นนายท่านยังไม่เปลี่ยนเป็นคนดี เห็นพี่รองกอดพิณ เขาโยนทิ้งทันทีตอนหลังพี่รองถูกไล่ออกไปทำงานหาเงิน ไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่น้อย มีเพียงพิณที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข
“ใต้เท้าของพวกเราสบายดี เป็นลมแดดเมื่อใด?”“เป็นลมแดดท่ามกลางอากาศหนาวเย็นช่างตลกยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงมาเมืองเซียนตูแล้วรังแกพวกเราเช่นนี้”พวกคนในเรือนเซียนผาสุก แตกต่างกับบรรดาคนด้านนอกเมื่อครู่พวกเขาล้วนจ่ายเงินราคาแพง เพื่อแซงคิวเข้ามา ล้วนเป็นพวกชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย ไม่อาจเพราะคืนเงิน แล้วรู้สึกขอบคุณเฉินฝานตอนนี้พวกเขาหงุดหงิดที่เฉินฝานทำให้พวกเขาไม่ได้ฟังเมี่ยวอวี่บรรเลงพิณผีพา“ดูแล้วอายุไม่มาก เมืองเซียนตูของเราอยู่ใกล้เมืองหลวง คาดว่าน่าจะเป็นคุณชายชนชั้นสูงตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงกระมัง”“คุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงแล้วอย่างไร? วิ่งแจ้นมาถึงเมืองเซียนตูของเราเพื่อรังแกกันเนี่ยนะ?”“ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของสำนักบัณฑิต แต่ไปด้วยบัณฑิต ข้าให้พวกเขาไปเมืองหลวง ตีกลองร้องทุกข์”“คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ต้องให้บัณฑิตของท่านไปหรอก พวกข้าเอง พวกข้าไปเมืองหลวงเอง”ฟังหญิงงามแต่งกลอนกวีบรรเลงดนตรี คือความชอบของบัณฑิตเวลานี้คนที่โมโหที่สุดในเรือนเซียนผาสุกก็คือพวกบัณฑิตซื่อต้าเผิงมองอยู่ข้างๆ ยิ่งรู้สึกสบายใจเพียงบัณฑิตออกโรง เขาก็ชนะแน่นอนแล้วแคว้น
ขณะพูดอยู่นั้น แม่เล้าหลี่ ให้คนเตรียมกระดาษกับหมึก วางไว้ตรงหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า หลังจากคุณชายท่านนี้เขียนเสร็จ แม่นางเมี่ยวอวี่หวังว่าท่านจะนำไปให้ที่กระท่อมหิมะด้วยตนเอง”กระท่อมหิมะของแม่นางเมี่ยวอวี่ อยู่ในเรือนเซียนผาสุกแสบยิ่งนัก แสบจริงๆเฉินฝานอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมในใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเมี่ยวอวี่ทำเช่นนี้ ทั้งช่วยซื่อต้าเผิงได้ แล้วยังช่วยเขาจากสถานการณ์ตึงเครียดได้ด้วยวิธีการของแม่นางคนนี้ เขาต้องคิดหาวิธีเจอหน้าสักครั้ง“เพลงดีควบคู่กับนักบรรเลงที่ดี ได้!” เฉินฝานนั่งลง จับพู่กัน“นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวรีบย่อตัวลงนั่ง “ให้ข้าช่วยท่านเขียนเองเจ้าค่ะ”ตอนเด็กๆ ท่านแม่เคยสอนนางดีดพิณผีพา นางไม่อยากเรียน จึงดีดไม่เป็น ทว่านางความจำดี มีเพลงพิณผีพาง่ายๆ หลายเพลง ที่กระทั่งตอนนี้นางยังจำได้ นางอยากใช้บทเพลงพวกนั้นรับมือกับพวกเขาแทนเฉินฝานขณะที่ฉินเย่ว์เจียวพยายามหวนนึกถึงเพลงพิณผีพาเหล่านั้นอยู่นั้น เฉินฝานเริ่มตวัดปลายพู่กันแล้ว“หึ”“ฮ่าๆ!”ในโถงดนตรี เริ่มมีคนอดขำไม่ได้ซื่อต้าเผิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็กลั้นขำไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งแม่เล้าหลี่ที่ร
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ