“ใต้เท้าของพวกเราสบายดี เป็นลมแดดเมื่อใด?”“เป็นลมแดดท่ามกลางอากาศหนาวเย็นช่างตลกยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงมาเมืองเซียนตูแล้วรังแกพวกเราเช่นนี้”พวกคนในเรือนเซียนผาสุก แตกต่างกับบรรดาคนด้านนอกเมื่อครู่พวกเขาล้วนจ่ายเงินราคาแพง เพื่อแซงคิวเข้ามา ล้วนเป็นพวกชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย ไม่อาจเพราะคืนเงิน แล้วรู้สึกขอบคุณเฉินฝานตอนนี้พวกเขาหงุดหงิดที่เฉินฝานทำให้พวกเขาไม่ได้ฟังเมี่ยวอวี่บรรเลงพิณผีพา“ดูแล้วอายุไม่มาก เมืองเซียนตูของเราอยู่ใกล้เมืองหลวง คาดว่าน่าจะเป็นคุณชายชนชั้นสูงตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงกระมัง”“คุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงแล้วอย่างไร? วิ่งแจ้นมาถึงเมืองเซียนตูของเราเพื่อรังแกกันเนี่ยนะ?”“ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของสำนักบัณฑิต แต่ไปด้วยบัณฑิต ข้าให้พวกเขาไปเมืองหลวง ตีกลองร้องทุกข์”“คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ต้องให้บัณฑิตของท่านไปหรอก พวกข้าเอง พวกข้าไปเมืองหลวงเอง”ฟังหญิงงามแต่งกลอนกวีบรรเลงดนตรี คือความชอบของบัณฑิตเวลานี้คนที่โมโหที่สุดในเรือนเซียนผาสุกก็คือพวกบัณฑิตซื่อต้าเผิงมองอยู่ข้างๆ ยิ่งรู้สึกสบายใจเพียงบัณฑิตออกโรง เขาก็ชนะแน่นอนแล้วแคว้น
ขณะพูดอยู่นั้น แม่เล้าหลี่ ให้คนเตรียมกระดาษกับหมึก วางไว้ตรงหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า หลังจากคุณชายท่านนี้เขียนเสร็จ แม่นางเมี่ยวอวี่หวังว่าท่านจะนำไปให้ที่กระท่อมหิมะด้วยตนเอง”กระท่อมหิมะของแม่นางเมี่ยวอวี่ อยู่ในเรือนเซียนผาสุกแสบยิ่งนัก แสบจริงๆเฉินฝานอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมในใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเมี่ยวอวี่ทำเช่นนี้ ทั้งช่วยซื่อต้าเผิงได้ แล้วยังช่วยเขาจากสถานการณ์ตึงเครียดได้ด้วยวิธีการของแม่นางคนนี้ เขาต้องคิดหาวิธีเจอหน้าสักครั้ง“เพลงดีควบคู่กับนักบรรเลงที่ดี ได้!” เฉินฝานนั่งลง จับพู่กัน“นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวรีบย่อตัวลงนั่ง “ให้ข้าช่วยท่านเขียนเองเจ้าค่ะ”ตอนเด็กๆ ท่านแม่เคยสอนนางดีดพิณผีพา นางไม่อยากเรียน จึงดีดไม่เป็น ทว่านางความจำดี มีเพลงพิณผีพาง่ายๆ หลายเพลง ที่กระทั่งตอนนี้นางยังจำได้ นางอยากใช้บทเพลงพวกนั้นรับมือกับพวกเขาแทนเฉินฝานขณะที่ฉินเย่ว์เจียวพยายามหวนนึกถึงเพลงพิณผีพาเหล่านั้นอยู่นั้น เฉินฝานเริ่มตวัดปลายพู่กันแล้ว“หึ”“ฮ่าๆ!”ในโถงดนตรี เริ่มมีคนอดขำไม่ได้ซื่อต้าเผิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็กลั้นขำไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งแม่เล้าหลี่ที่ร
“คุณชาย แม่นางเมี่ยวอวี่ของเราเชิญคุณชายไปที่กระท่อมหิมะ แม่นายอยากพูดคุยกับคุณชายเป็นการส่วนตัว แม่นางเมี่ยวอวี่บอกว่าเพลงพิณผีพาของคุณชายท่วงทำนองไพเราะยิ่งนัก มีหลายจุด ที่แม่นางอยากสอบถามคุณชายด้วยตนเอง”แม่เล้าหลี่นึกว่าเฉินฝานไม่เข้าใจในสิ่งที่สาวใช้พูด จึงอธิบายอีกรอบหนึ่งเมื่อแม่เล้าหลี่อธิบาย ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? แม่นางเมี่ยวอวี่บอกว่า อยากเจอเขาเป็นการส่วนตัว?”“ได้ยินแล้ว บอกว่าท่วงทำนองบทเพลงพิณผีพาไพเราะยิ่งนัก เมี่ยวอวี่อยากให้เขาสอน”“บทเพลงพิณผีพาที่เขียนราวกับยันต์กันผีนั้น ไพเราะด้วยหรือ?”“แม่นางเมี่ยวอวี่พูดแล้ว น่าจะไม่มีอะไรผิดเพี้ยน”ภายในโถงดนตรี แววตาเย้ยหยัน แปรเปลี่ยนเป็นอิจฉาทันทีแน่นอน ทั้งยังมีความริษยาและไม่สบอารมณ์มากมายดีดพิณผีพาไม่เป็น ลายมือก็น่าเกลียด ทั้งยังเป็นคนธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรโดดเด่น เหตุใดเขาจึงโชคดีเช่นนี้เฉินฝานหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านไม่ต้องธิบายแล้ว ข้าไม่ไป หากนางไม่เข้าใจตรงไหน ให้นางมาบรรเลงที่นี่ จังหวะใดผิดเพี้ยน ข้าจะบอกนาง”“ใช่ จริงด้วย!” เฉินฝานพูดอีก “ซื่อต้าเผิงนั่นด้วย ตอนท่านเข้
เฉินฝานอดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน เงี่ยหูฟังท่วงทำนองการดีดพิณนี้ ราวกับกล้วยไม้กลางหุบเขากว้างใหญ่ ดั่งหยดน้ำรินไหล เสมือนคลื่นน้ำใส ดังเข้าไปในหัวใจของผู้คนโดยไร้ซึ่งเสียง ฟังแล้ว ทำให้คนผ่อนคลายยิ่งนัก“นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์เจียวดึงตัวเฉินฝาน เฉินฝานจึงค่อยดึงสติกลับมาเดินหน้าสองสามก่อน เสียงพิณด้านหน้า ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ท่วงทำนองพิณค่อยๆ อบอุ่นการก้าวเดินของเฉินฝาน ช้าลงโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้เสียงพิณผีพาแผ่วเบา ท่วงทำนองไพเราะ ผ่านหูเข้าไปในร่างกายค่อยๆ แผ่ซ่านไปยังแขนขาความรู้สึกอบอุ่นนี้ เคลื่อนตัวในสายเลือด ราวกับลมในฤดูวสันต์ ทำให้ผู้คนลืมความเหน็บหนาวเสียงพิณดังเป็นครั้งครา แผ่วเบาครั้งคราว ช้าเป็นครั้งครา เร็วเป็นครั้งคราว รีบร้อนเป็นครั้งครา เชื่องช้าเป็นครั้งคราวท่ามกลางเสียงพิณที่เปลี่ยนไปมานี้ ทำให้เฉินฝานรู้สึกว่าตนใช้ชีวิตก้าวผ่านสี่ฤดูประเดี๋ยวอบอุ่น ประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวสดชื่น ประเดี๋ยวหนาวเย็นหลังจากเสียงพิณให้ความรู้สึกของสี่ฤดูแล้วนั้น ก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความรู้สึกราวกับบทเพลงเสมือนการบอกกล่าวช่วงเวลาที่งดงามที่ส
จู่ๆ เสียงพิณก็หยุดลง“คุณชาย ท่านมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ?”ราวกับเสียงน้ำรินไหลมาจากหุบเขา ไพเราะยิ่งนักเสียงของนางชวนฟังเหมือนท่วงทำนองพิณของนางมีสาวใช้สองคนเดินออกมา “คุณชาย ฮูหยิน เชิญเจ้าค่ะ!”เพิ่งก้าวเข้าไปในศาลา ความรู้สึกอุ่นๆ ก็แผ่ซ่านมาจากฝ่าเท้าของเฉินฝานที่แท้ศาลานี้มีพื้นอุ่นไม่แปลก ด้านนอกหิมะโปรยปราย ทว่านางยังคงนั่งบรรเลงพิณได้สบาย“จี้หยกเมื่อครู่ ท่านเอามาจากที่ใด?” ฉินเย่ว์เจียวที่เพิ่งเดินเข้าไปในศาลาก็ถามขึ้นในทันทีหญิงสาวไม่รีบร้อนที่จะตอบ ดวงตากลมโตราวเปล่งประกายดั่งดวงดาวที่อยู่นอกผ้าคลุมหน้า ชำเลืองมองมาที่เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว“อากาศแห้งยิ่งนัก คุณชายและฮูหยินคงจะกระหายแล้วกระมัง ดื่มน้ำชาก่อนเจ้าค่ะ”ขณะหญิงสาวพูด สาวใช้สองคนยกเตาเข้ามา บนเตามีน้ำชา ถั่วลิสง ลำไยแห้งเป็นต้นเฉินฝานมองแล้วบ่นในใจ นี่เป็นการต้นน้ำชาในกาไม่ใช่หรือ หลายปีมานี้ในยุคปัจจุบันสตรีเมืองใหญ่ที่มีความสง่าผ่าเผยหลายคน มักจะถ่ายกิจกรรมนี้ลงโซเชี่ยลของตนเองคิดไม่ถึงว่ากิจกรรมที่สตรียุคปัจจุบันรู้สึกว่าเป็นเรื่องสง่างาม กลับเป็นสิ่งที่คนโบราณทิ้งไว้สาวใช้ต้มน้ำชาช้าๆ จาก
ทันใดนั้นเอง เฉินฝานก็มีความรู้สึกบางอย่างกับร่างนี้เขาเกลียด ชิงชัง“ฉึบ!”ฉินเย่ว์เจียวชักดาบสั้นที่เอวออกมาดาบสั้นเล่มนี้ฉินเย่ว์เหมยให้เฉินฝาน เฉินฝานให้ฉินเย่ว์เจียวอีกทีหนึ่ง“เย่ว์เจียว!”เฉินฝานคิดว่าฉินเย่ว์เจียวหงุดหงิดที่เมี่ยวอวี่ดีดพิณไม่หยุด จะฟันเมี่ยวอวี่ ทว่าคิดไม่ถึงเขาเพิ่งหมุนตัวหันหลัง ฉินเย่ว์เจียวก็ชูดาบจะแทงเขา“เย่ว์เจียว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”ราวกับฉินเย่ว์เจียวไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น นางร้องตะโกนเสียงดัง “ข้าจะสังหารเจ้า เจ้าตบตีพี่สาวและน้องสาวของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”“...!!!”เฉินฝานนึกถึงภาพเหตุการณ์เจ้าของร่างเดิมทำร้ายพี่น้องตระกูลฉินเมื่อครู่หรือว่า?ภาพเหตุการณ์นั้นก็ฉายในความคิดของฉินเย่ว์เจียวเช่นเดียวกันเสียงพิณ ต้องเป็นเพราะฤทธิ์ของเสียงพิณแน่นอนตอนเฉินฝานหันไปมองเมี่ยวอวี่ พบว่าดวงตางดงามครู่นั้น อบอวลไปด้วยไอสังหารนิ้วมือที่กำลังดีดพิณของเมี่ยวอวี่ เร็วขึ้นเรื่อยๆทางด้านฉินเย่ว์เจียวก็บ้าคลั่งไปพร้อมกับเสียงพิณที่เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางแดงก่ำ ชี้ไปทางเฉินฝานแล้วตะโกนเสียงดัง “ข้าจะสังหารเจ้า เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ข้าจะฆ่า
“เย่ว์เจียว อย่า!”“ดิ้ง”“ดิ้ง ดิ้ง ดิ้ง!”เสียงพิณผีพา วุ่นวายและเร่งรีบ ราวกับแมลงวันที่บินหึ่งๆ อยู่ข้างหูเฉินฝานรู้สึกคล้ายหน้าอกมีการกดทับที่ไม่อาจระบายออกไปได้ลำแสงสีเงินเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ เฉินฝานยกปืนในมือขึ้นอีกครั้ง เล็งไปที่ฉินเย่ว์เจียว“ปั้ง!”เสียงปืนดังก้องทะลุผ่านหิมะชั้นแล้วชั้นเล่าผู้ชมในโถงดนตรีที่ยังคงรอเมี่ยวอวี่อยู่นั้น ตกใจจนเด้งตัวทุกคนมองหน้ากัน ด้วยความฉงนเกิดเรื่องอะไรขึ้น?ณ กระท่อมหิมะ ในศาลาเสียงบรรเลงพิณหยุดลงกะทันหันปืนในมือของเฉินฝาน เล็งไปที่...เมี่ยวอวี่!วินาทีที่เหนี่ยวไกนั้น เฉินฝานเอนตัวไปทางเมี่ยวอวี่เวลานี้ เมี่ยวอวี่นั่งนิ่งด้วยความตกใจ มองพิณผีพาตรงหน้าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจนับได้หากไม่ใช่เพราะนางอาจจะเป็นฉินเย่ว์ฉิน หรือนางรู้ว่าฉินเย่ว์ฉินอยู่ที่ใด ตอนนี้สิ่งที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่พิณผีพาแล้ว แต่เป็นตัวนางเองฉินเย่ว์เจียวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สุดท้ายค่อยๆ ชูดาบในมือขึ้นฝักดาบ เต็มไปด้วยเลือด“กรี๊ด!”ฉินเย่ว์เจียวโยนดาบในมือทิ้ง วิ่งไปทางเฉินฝานด้วยความเร็วราวกับลม“นายท่าน นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวกอดคอ
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังมีเสียงบรรเลงของพิณหรือไม่ เมื่อเมี่ยวอวี่ซักถามฉินเย่ว์เจียว นัยน์ตาฉินเย่ว์เจียวก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งโชคดีที่เฉินฝานขัดขวางไว้ทันผู้หญิงคนนี้อาจจะเก่งเกินกว่าที่เขาคาดเดาไว้ฉินเย่ว์เจียวถือกระบี่ในมือ เลื่อนจากหน้าตรงของเมี่ยวอวี่ไปยังใบหู สุดท้ายหยุดลงตรงเชือกผูกผ้าคลุมหน้านางไม่ได้ฟันเชือกขาดทันทีอีกเช่นเคย กลัวว่าฟันกระบี่ลงไปแล้วจะเกิดความผิดหวังอีกครั้งในใจทั้งกลัวว่าเมี่ยวอวี่คือฉินเย่ว์ฉินและคาดหวังอยากให้เป็นนางด้วยถ้านางคือพี่รอง เช่นนั้นทั้งที่นางมีชีวิตดีเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ตามหาพวกนาง แต่กลับปล่อยพวกนางให้เป็นห่วงนางตลอดเวลายิ่งไปกว่านั้น เหตุใดถึงโหดเหี้ยมเพียงนั้น หลอกใช้นางไปฆ่านายท่านตอนนี้นายท่านเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้วอย่างสิ้นเชิง นางใช้เวลาทำความเข้าใจสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ? เพียงได้พบหน้าก็จะฆ่ากันทันทีฉินเย่ว์เจียวหลับตา กระบี่ที่ถือไว้กระตุกบริเวณเชือกหนึ่งที…แสงกระบี่สาดแสงแวววับ มีร่างคนสองคนบินเข้ามาจากข้างนอกศาลา“เคร้ง!”กระบี่ในมือฉินเย่ว์เจียว ถูกใครบางคนปัดออก“แม่นางเมี่ยวอวี่ รีบหนีไป!”มีคนถือกร
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ