และไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังมีเสียงบรรเลงของพิณหรือไม่ เมื่อเมี่ยวอวี่ซักถามฉินเย่ว์เจียว นัยน์ตาฉินเย่ว์เจียวก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งโชคดีที่เฉินฝานขัดขวางไว้ทันผู้หญิงคนนี้อาจจะเก่งเกินกว่าที่เขาคาดเดาไว้ฉินเย่ว์เจียวถือกระบี่ในมือ เลื่อนจากหน้าตรงของเมี่ยวอวี่ไปยังใบหู สุดท้ายหยุดลงตรงเชือกผูกผ้าคลุมหน้านางไม่ได้ฟันเชือกขาดทันทีอีกเช่นเคย กลัวว่าฟันกระบี่ลงไปแล้วจะเกิดความผิดหวังอีกครั้งในใจทั้งกลัวว่าเมี่ยวอวี่คือฉินเย่ว์ฉินและคาดหวังอยากให้เป็นนางด้วยถ้านางคือพี่รอง เช่นนั้นทั้งที่นางมีชีวิตดีเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ตามหาพวกนาง แต่กลับปล่อยพวกนางให้เป็นห่วงนางตลอดเวลายิ่งไปกว่านั้น เหตุใดถึงโหดเหี้ยมเพียงนั้น หลอกใช้นางไปฆ่านายท่านตอนนี้นายท่านเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้วอย่างสิ้นเชิง นางใช้เวลาทำความเข้าใจสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ? เพียงได้พบหน้าก็จะฆ่ากันทันทีฉินเย่ว์เจียวหลับตา กระบี่ที่ถือไว้กระตุกบริเวณเชือกหนึ่งที…แสงกระบี่สาดแสงแวววับ มีร่างคนสองคนบินเข้ามาจากข้างนอกศาลา“เคร้ง!”กระบี่ในมือฉินเย่ว์เจียว ถูกใครบางคนปัดออก“แม่นางเมี่ยวอวี่ รีบหนีไป!”มีคนถือกร
เงาร่างร่อนลงพื้นเบา ๆ เส้นเสียงดังขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยเช่นกัน“ทำไมถึงเป็นเจ้า?”ทอดมองเงาคนชุดเหลืองตรงหน้าผู้นั้น ฉินเย่ว์เจียวตะลึงงันอีกครั้ง“ข้าเอง!”เพียงหันมา ราศีดั่งเทพเซียนที่มาพร้อมแขนเสื้อพลิ้วไสวหายเป็นปลิดทิ้ง เข้ามาแทนที่ด้วยรอยยิ้มมันเยิ้ม เขาใช้นิ้วก้อยเล็บยาวปัดเส้นผมมันเยิ้มที่ตกลงบนจมูกออกชายชุดเหลืองเพียงอ้าปาก ก็เผยฟันเหลืองสองแถวออกมา“ตกใจหรือไม่ ประหลาดใจหรือไม่?”“ตื่นตกใจมากกว่าประหลาดใจ!” เฉินฝานที่พิงตรงไหล่ฉินเย่ว์เจียวกล่าวขึ้นเรียบ ๆบุคคลผู้นี้ให้ความรู้สึกกวนประสาททุกครั้ง ถึงแม้เขายื่นมือช่วยเหลือ แต่ไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งอยากขอบคุณเขาเลยสักครั้ง“เมื่อครู่นี้ข้าดื่มเพิ่มไปสองอึก เลยมาช้า” ชายชุดเหลืองยกสองมือขึ้นปัดเส้นผมบนหน้าผากของตนพร้อมกับกล่าวท่าทางรู้สึกผิดน้อย ๆ ขณะเดียวกันเขายังขยับตัวเข้ามาใกล้เฉินฝานกับฉินเย่ว์เจียว“เจ้าช่วยพวกเราทำไม? มีจุดประสงค์อะไร? แล้วใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”ฉินเย่ว์เจียวตกใจจนรู้สึกกลัว นางพยุงเฉินฝานพร้อมกับก้าวถอยหลัง นางไม่เชื่อหรอกว่าชายชุดเหลืองผู้นี้ทำด้วยเจตนาดีเพียงเท่านั้น“เจ้าเด็กแบนราบ เจ้ายืนไว
ในแววตาถากถางสังคมของเซียนเจี้ยนหวง แสดงไว้ด้วยอาการไม่เป็นตัวของตัวเอง“ผู้หญิงคนนี้ พูดจ้อกแจ้กจอแจมากมายอะไรเช่นนี้ ข้ามาไม่ได้มาพูดคุยกับเจ้า”ขณะพูด เซียนเจี้ยนหวงพลางหันตัวพูดกับกระบี่คู่พิฆาตอวี้กุ่ย “จะสู้หรือไม่สู้ ถ้าจะสู้ก็เร็วเข้า!”กระบี่คู่พิฆาตอวี้กุ่ยมองมือขวาเซียนเจี้ยนหวงพร้อมกันพวกเขาได้ยินเมี่ยวอวี่กล่าวเมื่อครู่ว่าเขาตัดแขนขวาของตนเองเซียนเจี้ยนหวงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “มือขวาของข้า ใช้การไม่ได้จริง แต่ถ้าจัดคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้าสองคน มือขวาก็เพียงพอแล้ว”ขณะพูด เซียนเจี้ยนหวงยื่นมือให้ฉินเย่ว์เจียว“มา!”ฉินเย่ว์เจียวรู้สึกเพียงด้านหน้าตัวนางมีกระแสลมอันแรงกล้าพัดผ่าน ก่อนนางจะรู้สึกตัว กระบี่ในมือได้บินไปอยู่ในมือเซียนเจี้ยนหวงเรียบร้อยเซียนเจี้ยนหวงหันหน้ามั่นใจไปทางกระบี่คู่พิฆาตอวี้กุ่ย “มาสู้เร็วเข้า สู้เสร็จข้าจะได้กลับ!”“กลับ?”เสียงหวานหยดย้อยของเมี่ยวอวี่พลันเปลี่ยนเป็นฉะฉานแหลมคม“ไม่เคยมีผู้ชายเดรัจฉานคนใด สามารถเดินออกจากกระท่อมหิมะของข้าอย่างปลอดภัย”ผู้ชายที่ถูกเมี่ยวอวี่เลือกทุกคน ล้วนเป็นพวกละทิ้งภรรยาและลูกเมี่ยวอวี่พลางยกมือขึ้น
ครั้นเสียงพิณผีพาดังขึ้น นักฆ่าหญิงยี่สิบคนนั้นราวกับกินยาคลุ้มคลั่งเข้าไป แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ พลันพุ่งเข้าหากระบี่เซียนเจี้ยนหวงอย่างไม่ต้องการมีชีวิตแทง กัด ข่วน กอด ขวาง…มีเพียงสิ่งที่คิดไม่ถึง ไม่มีสิ่งที่ทำไม่ได้ตายแล้วหนึ่งคน คนที่สองตามมาทันทีจุดประสงค์ของพวกนาง คือทำให้เซียนเจี้ยนหวงไม่สามารถขยับตัวได้“ใช้ลูกเล่นเด็ก ๆ แบบนี้?”เซียนเจี้ยนหวงพลันตะโกนลั่น มือกำกระบี่หมุนตัวเร็วหนึ่งรอบ ทำนักฆ่าหญิงที่กอดเขา แขนถูกฟันขาดทุกคน จากนั้นถูกพลังกระบี่กระเด็นออกไป“ตึง ตึงตึง!”เมี่ยวอวี่ร่ายรำนิ้วมือ เสียงรีบเร่งของพิณชวนหวาดกลัวภายนอกศาลาพักร้อน เงาร่างของคนเห็นเป็นเลือนรางอีกครั้งมีนักฆ่าหญิงมาเพิ่มอีกหนึ่งชุดท่ามกลางเสียงพิณของเมี่ยวอวี่ พวกนางบ้าระห่ำยิ่งกว่า ไม่ต้องการชีวิตยิ่งกว่าเซียนเจี้ยนหวงกำจัดนักฆ่าหญิงสามกลุ่มติดต่อกันกระท่อมหิมะขนาดย่อม กองเต็มไปด้วยศพถึงแม้เซียนเจี้ยนหวงยังอยู่เหนือกว่า แต่นักฆ่าหญิงโผล่มาชุดแล้วชุดเล่า ทำให้สูญเสียเวลาไปค่อนข้างมากเฉินฝานผู้ไม่สามารถนอนพักบนเตียง ได้แต่พิงอยู่บนตัวฉินเย่ว์เจียว เลือดตรงลำคอไหลออกมามากขึ้นเรื่
“เจ้าดูนั่น” บุรุษชุดครามชี้ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างอาคาร“นั่นคือผู้พิทักษ์หญิงของเฉินฝานไม่ใช่หรือ?”“ใช่ เจ้าไปล่อนางมาที่โรงเตี๊ยม”อาคารไม้สามชั้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้ชายสองคน เป็นโรงเตี๊ยมในเมืองเซียนตูซื่อต้าเผิงจงใจสร้างไว้ข้าง ๆ เรือนเซียนผาสุก เพื่ออำนวยความสะดวกในการผูกมัดข้าราชการขุนนางหลากหลายตำแหน่งของเมืองหลวงที่มาดำเนินเรื่องตรวจสอบเย่ว์หนูไม่อนุญาตให้เข้ากระท่อมหิมะ นางยืนรอข้างนอก รอเป็นเวลานานไม่เห็นเฉินฝานออกมา จึงหาทางเข้ารอบ ๆ กระท่อมหิมะจากเรือนเซียนผาสุกเข้ากระท่อมหิมะนั้นยากเป็นอย่างยิ่ง นางจึงมายังโรงเตี๊ยมเพื่อมองว่ามีโอกาสหรือไม่เย่ว์หนูเพิ่งแอบเข้าโรงเตี๊ยม บุรุษชุดครามก็ออกคำสั่งทันที “ให้ทุกคนถอยออกไปและเปิดประตูทุกบานที่นำไปสู่ลานหลังบ้าน ยกเว้นประตูเหล็กที่กั้นกระท่อมหิมะ”“ท่านพี่ ผู้พิทักษ์หญิงผู้นั้นมีโถสุราระเบิดติดไว้ที่ตัว ประตูเหล็กไม่สามารถขัดขวางนางได้ด้วยซ้ำ”“ข้าต้องการให้นางระเบิดประตูเหล็กนั่นแหละ ประตูเหล็กไม่สามารถระเบิดออกได้ง่าย” บุรุษชุดครามแสดงรอยยิ้มประหลาดไว้บนหน้า“ท่านพี่!” ชายหนุ่มชุดม่วงตะลึงตกใจ “ท่านพี่คิด
เรือนเซียนผาสุกสร้างในสถานที่ถูกภูเขาห้อมล้อมทั้งสี่ทิศ โครงสร้างไม้ที่ผุพังของเรือนเซียนผาสุกและโรงเตี๊ยม สามารถพังทลายลงมาอีกครั้งได้ทุกเมื่อ สถานที่ผู้คนสามารถถอยหนีได้เหลือเพียงกระท่อมหิมะที่เมี่ยวอวี่อาศัยอยู่แล้ว“โอ้แม่เจ้า!”คนจำนวนมากร่ำไห้ด้วยความสิ้นหวังหากจากไป ก็ได้ทำได้เพียงแต่ปล่อยญาติสนิทมิตรสหายจากไปโดยทำอะไรมิได้หากมิจากไป พวกเขาก็อาจจะถูกทับตายอยู่ในซากปรักหักพังนี้จากนั้นทุกคนก็จะจากโลกนี้ไปด้วยกัน“บ้าจริง ข้า ข้า...” เย่ว์หนูริมฝีปากสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง อ้ำอึ้งพูดไม่ออกเป็นเวลานานแล้วนางคิดว่านางได้สร้างความหายนะอันใหญ่หลวงแล้วเป็นเพราะนางระเบิดประตูเหล็กของโรงเตี๊ยม ทำให้โรงเตี๊ยมพังถล่มลงมา จากนั้นผลพวงพ่วงไปถึงเรือนผาสุกด้วยเป็นนางที่ทำร้ายคนมากมายเพียงนั้น“เข้าไปข้างในมิได้!”เหล่าคนที่ชะตายังมิขาดเมื่อครู่พากันเดินมาทางกระท่อมหิมะ เหล่านักฆ่าหญิงรีบใช้ดาบไล่พวกเขาไปทันที“แม่นางทั้งหลาย ด้านนอกนี้หนาวเหน็บยิ่งนัก เจ้าให้พวกเราไปรับความอบอุ่นจากด้านในเสียหน่อยเถอะ”“พวกเราจะเข้าไปแค่ตรงที่ลานบ้าน มิไปรบกวนแม่นางเมี่ยวอวี่แน่นอน”เหล่านักฆ
เซียนเจี้ยนหวงมิได้ใส่ใจคำพูดของเมี่ยวอวี่ เขารีบสาวเท้าแบกเฉินฝานเข้าไป ลากเมี่ยวอวี่โยนทิ้งออกไปจากที่นอน“แม่นาง ๆ!” แม่เล้าหลี่พาหมัวมัวสองคนวิ่งเข้ามากอดรัดเมี่ยวอวี่ที่ถูกเซียนเจี้ยนหวงถูกโยนไปที่ประตูทางเข้า“ไอ้หยา รนหาที่ตายเสียจริง!” แม่เล้าหลี่ชี้หน้าด่าเซียนเจี้ยนหวงอย่างรุนแรง “มาใช้เตียงของแม่นางบ้านข้า และยังโยนแม่นางบ้านข้าออกไปอีก เจ้ามิเกรงกลัวเทพเจ้าลงโทษหรือกระไร?”เซียนเจี้ยนหวงขมวดคิ้วเล็กน้อยหญิงชราผู้นี้ ช่างพูดมากเสียจริง“แม่หลี่ ข้ามิเป็นไร นายท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เอาเตียงให้เขาใช้ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”คำพูดของเมี่ยวอวี่ช่วยชีวิตแม่เล้าหลี่คนนั้นไว้เมี่ยวอวี่ที่นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ อิริยาบถยังคงเหมือนเทพอัปสรที่สวยสง่าเหนือมนุษย์มองไปที่เซียนเจี้ยนหวงที่กำลังวุ่นวายกับการรักษาเฉินฝานที่ริมเตียง ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นแฝงการเยาะเย้ยอย่างรุนแรงทำไปเถอะทำไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดีมิมียาแล้วยังถูกกักขังออกไปไหนมิได้อีก ต่อให้เทพเจ้าต้าหลัวลงมาก็คงจะช่วยมิได้แล้ว“แม่สาวน้อย ยาผงที่เจ้าพกมาล่ะ?” เซียนเจี้ยนหวงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงรีบร้อน“ไ
“เจ้า...”เฉินฝานมองไปทางเมี่ยวอวี่ ร่าวกายอิดโรยยิ่งนัก เขาหยุดไปเป็นเวลานาน จึงกล่าวต่อ “มั่นใจหรือว่าข้าจะไม่รอด?”“แล้วเจ้าคิดว่าตนเองจะมีชีวิตรอดหรือกระไร?”เสียงของเมี่ยวอวี่ช่างไพเราะเสียจริง เฉินฝานที่นอนอยู่เตียงปรากฏรอยยิ้มจางๆน้ำเสียงไพเราะเช่นนี้ กลับกล่าวพูดเย็นชาทิ่มแทงเช่นนี้ออกมาได้ช่างเร้าใจ!จะพูดอันใดเขาก็มิยอมตายมิได้“หากข้ามิตาย เจ้า...” เฉินฝานหยุดไปนาน จึงพูดต่อ “บอกข้ามา ตกลงแล้วหยกที่ห้อยเอวเจ้าใช่ของเจ้าหรือไม่?”“รอให้เจ้ามีชีวิตรอดค่อยว่ากัน เมี่ยวอวี่กล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่งเฉินฝานปรับลมหายใจเป็นเวลานานอีกครั้ง ชี้ไปที่ลำคอของตนเอง “ขอบคุณมาก”คำพูดนี้เขาพูดกับเซียนเจี้ยนหวงเซียนเจี้ยนหวงเพียรพยายามปิดปากแผลให้เขามาโดยตลอด ลดปริมาณเลือดที่ไหลอกมา มิเช่นนั้นตอนนี้ถึงแม้เขาจะมิตาย อาการก็คงจะสาหัสจนคุมสติมิอยู่แล้ว“มิต้องขอบคุณหรอก!” เซียนเจี้ยนหวงเบ้ปากเล็กน้อย เขาไม่เคยชินกับการที่ผู้อื่นกล่าวขอบคุณเขาจริงๆ“ทว่านี้ ทนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ออกไปมิได้ ห้ามเลือดมิได้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องตายงั้นหรือ?” ความหดหู่จางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ