“นับจากนี้...” นัยน์ตาลุ่มลึกของเฉินฝาน ฉายความหนักแน่น “จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”ตามหลักมาก่อนได้ก่อนมาหลังได้ที่หลัง ชาวบ้านมากมายเริ่มทยอยกันเข้ามาเฉินฝานมองครู่หนึ่ง โถงดนตรีนี้สามารถบรรจุคนได้มากถึงสองพันกว่าคนในยุคสมัยที่ไม่มีการก่อสร้างด้วยคอนกรีต ใช้ไม้ในการสร้างโถงดนตรีขนาดใหญ่เช่นนี้ ถือเป็นเรื่องยากนักหากเศรษฐกิจของต้าชิ่งไม่ได้ย่ำแย่เหมือนตอนนี้ แคว้นไม่ได้อ่อนแอเช่นนี้ เฉินฝานย่อมไม่คัดค้านการสร้างโถงดนตรีเช่นนี้หลังจากนั่งลง ฉินเย่ว์เจียวมองไปรอบๆ ไม่หยุดสตรีทุกคนในงาน นางล้วนมองอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะนักพิณที่กำลังบรรเลงอยู่บนเวทีมารดาของพวกนาง เชี่ยวชาญในการบรรเลงพิณผีพา พี่รองสืบทอดพรสวรรค์ข้อนี้ของท่านแม่ บรรเลงพิณผีพาได้ดีเช่นเดียวกันเพียงแต่ เมื่อก่อนชีวิตของพวกนางลำบากยิ่งนัก ก่อนออกเรือน ต้องทำงานหนักที่ทุ่งนาทุกวัน ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณหลังออกเรือน ยิ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสพิณ เวลานั้นนายท่านยังไม่เปลี่ยนเป็นคนดี เห็นพี่รองกอดพิณ เขาโยนทิ้งทันทีตอนหลังพี่รองถูกไล่ออกไปทำงานหาเงิน ไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่น้อย มีเพียงพิณที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข
“ใต้เท้าของพวกเราสบายดี เป็นลมแดดเมื่อใด?”“เป็นลมแดดท่ามกลางอากาศหนาวเย็นช่างตลกยิ่งนัก เจ้าเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงมาเมืองเซียนตูแล้วรังแกพวกเราเช่นนี้”พวกคนในเรือนเซียนผาสุก แตกต่างกับบรรดาคนด้านนอกเมื่อครู่พวกเขาล้วนจ่ายเงินราคาแพง เพื่อแซงคิวเข้ามา ล้วนเป็นพวกชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย ไม่อาจเพราะคืนเงิน แล้วรู้สึกขอบคุณเฉินฝานตอนนี้พวกเขาหงุดหงิดที่เฉินฝานทำให้พวกเขาไม่ได้ฟังเมี่ยวอวี่บรรเลงพิณผีพา“ดูแล้วอายุไม่มาก เมืองเซียนตูของเราอยู่ใกล้เมืองหลวง คาดว่าน่าจะเป็นคุณชายชนชั้นสูงตระกูลใดตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงกระมัง”“คุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงแล้วอย่างไร? วิ่งแจ้นมาถึงเมืองเซียนตูของเราเพื่อรังแกกันเนี่ยนะ?”“ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของสำนักบัณฑิต แต่ไปด้วยบัณฑิต ข้าให้พวกเขาไปเมืองหลวง ตีกลองร้องทุกข์”“คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ต้องให้บัณฑิตของท่านไปหรอก พวกข้าเอง พวกข้าไปเมืองหลวงเอง”ฟังหญิงงามแต่งกลอนกวีบรรเลงดนตรี คือความชอบของบัณฑิตเวลานี้คนที่โมโหที่สุดในเรือนเซียนผาสุกก็คือพวกบัณฑิตซื่อต้าเผิงมองอยู่ข้างๆ ยิ่งรู้สึกสบายใจเพียงบัณฑิตออกโรง เขาก็ชนะแน่นอนแล้วแคว้น
ขณะพูดอยู่นั้น แม่เล้าหลี่ ให้คนเตรียมกระดาษกับหมึก วางไว้ตรงหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า หลังจากคุณชายท่านนี้เขียนเสร็จ แม่นางเมี่ยวอวี่หวังว่าท่านจะนำไปให้ที่กระท่อมหิมะด้วยตนเอง”กระท่อมหิมะของแม่นางเมี่ยวอวี่ อยู่ในเรือนเซียนผาสุกแสบยิ่งนัก แสบจริงๆเฉินฝานอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชมในใจได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเมี่ยวอวี่ทำเช่นนี้ ทั้งช่วยซื่อต้าเผิงได้ แล้วยังช่วยเขาจากสถานการณ์ตึงเครียดได้ด้วยวิธีการของแม่นางคนนี้ เขาต้องคิดหาวิธีเจอหน้าสักครั้ง“เพลงดีควบคู่กับนักบรรเลงที่ดี ได้!” เฉินฝานนั่งลง จับพู่กัน“นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวรีบย่อตัวลงนั่ง “ให้ข้าช่วยท่านเขียนเองเจ้าค่ะ”ตอนเด็กๆ ท่านแม่เคยสอนนางดีดพิณผีพา นางไม่อยากเรียน จึงดีดไม่เป็น ทว่านางความจำดี มีเพลงพิณผีพาง่ายๆ หลายเพลง ที่กระทั่งตอนนี้นางยังจำได้ นางอยากใช้บทเพลงพวกนั้นรับมือกับพวกเขาแทนเฉินฝานขณะที่ฉินเย่ว์เจียวพยายามหวนนึกถึงเพลงพิณผีพาเหล่านั้นอยู่นั้น เฉินฝานเริ่มตวัดปลายพู่กันแล้ว“หึ”“ฮ่าๆ!”ในโถงดนตรี เริ่มมีคนอดขำไม่ได้ซื่อต้าเผิงที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็กลั้นขำไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งแม่เล้าหลี่ที่ร
“คุณชาย แม่นางเมี่ยวอวี่ของเราเชิญคุณชายไปที่กระท่อมหิมะ แม่นายอยากพูดคุยกับคุณชายเป็นการส่วนตัว แม่นางเมี่ยวอวี่บอกว่าเพลงพิณผีพาของคุณชายท่วงทำนองไพเราะยิ่งนัก มีหลายจุด ที่แม่นางอยากสอบถามคุณชายด้วยตนเอง”แม่เล้าหลี่นึกว่าเฉินฝานไม่เข้าใจในสิ่งที่สาวใช้พูด จึงอธิบายอีกรอบหนึ่งเมื่อแม่เล้าหลี่อธิบาย ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? แม่นางเมี่ยวอวี่บอกว่า อยากเจอเขาเป็นการส่วนตัว?”“ได้ยินแล้ว บอกว่าท่วงทำนองบทเพลงพิณผีพาไพเราะยิ่งนัก เมี่ยวอวี่อยากให้เขาสอน”“บทเพลงพิณผีพาที่เขียนราวกับยันต์กันผีนั้น ไพเราะด้วยหรือ?”“แม่นางเมี่ยวอวี่พูดแล้ว น่าจะไม่มีอะไรผิดเพี้ยน”ภายในโถงดนตรี แววตาเย้ยหยัน แปรเปลี่ยนเป็นอิจฉาทันทีแน่นอน ทั้งยังมีความริษยาและไม่สบอารมณ์มากมายดีดพิณผีพาไม่เป็น ลายมือก็น่าเกลียด ทั้งยังเป็นคนธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรโดดเด่น เหตุใดเขาจึงโชคดีเช่นนี้เฉินฝานหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านไม่ต้องธิบายแล้ว ข้าไม่ไป หากนางไม่เข้าใจตรงไหน ให้นางมาบรรเลงที่นี่ จังหวะใดผิดเพี้ยน ข้าจะบอกนาง”“ใช่ จริงด้วย!” เฉินฝานพูดอีก “ซื่อต้าเผิงนั่นด้วย ตอนท่านเข้
เฉินฝานอดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน เงี่ยหูฟังท่วงทำนองการดีดพิณนี้ ราวกับกล้วยไม้กลางหุบเขากว้างใหญ่ ดั่งหยดน้ำรินไหล เสมือนคลื่นน้ำใส ดังเข้าไปในหัวใจของผู้คนโดยไร้ซึ่งเสียง ฟังแล้ว ทำให้คนผ่อนคลายยิ่งนัก“นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”ฉินเย่ว์เจียวดึงตัวเฉินฝาน เฉินฝานจึงค่อยดึงสติกลับมาเดินหน้าสองสามก่อน เสียงพิณด้านหน้า ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ท่วงทำนองพิณค่อยๆ อบอุ่นการก้าวเดินของเฉินฝาน ช้าลงโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้เสียงพิณผีพาแผ่วเบา ท่วงทำนองไพเราะ ผ่านหูเข้าไปในร่างกายค่อยๆ แผ่ซ่านไปยังแขนขาความรู้สึกอบอุ่นนี้ เคลื่อนตัวในสายเลือด ราวกับลมในฤดูวสันต์ ทำให้ผู้คนลืมความเหน็บหนาวเสียงพิณดังเป็นครั้งครา แผ่วเบาครั้งคราว ช้าเป็นครั้งครา เร็วเป็นครั้งคราว รีบร้อนเป็นครั้งครา เชื่องช้าเป็นครั้งคราวท่ามกลางเสียงพิณที่เปลี่ยนไปมานี้ ทำให้เฉินฝานรู้สึกว่าตนใช้ชีวิตก้าวผ่านสี่ฤดูประเดี๋ยวอบอุ่น ประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวสดชื่น ประเดี๋ยวหนาวเย็นหลังจากเสียงพิณให้ความรู้สึกของสี่ฤดูแล้วนั้น ก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความรู้สึกราวกับบทเพลงเสมือนการบอกกล่าวช่วงเวลาที่งดงามที่ส
จู่ๆ เสียงพิณก็หยุดลง“คุณชาย ท่านมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ?”ราวกับเสียงน้ำรินไหลมาจากหุบเขา ไพเราะยิ่งนักเสียงของนางชวนฟังเหมือนท่วงทำนองพิณของนางมีสาวใช้สองคนเดินออกมา “คุณชาย ฮูหยิน เชิญเจ้าค่ะ!”เพิ่งก้าวเข้าไปในศาลา ความรู้สึกอุ่นๆ ก็แผ่ซ่านมาจากฝ่าเท้าของเฉินฝานที่แท้ศาลานี้มีพื้นอุ่นไม่แปลก ด้านนอกหิมะโปรยปราย ทว่านางยังคงนั่งบรรเลงพิณได้สบาย“จี้หยกเมื่อครู่ ท่านเอามาจากที่ใด?” ฉินเย่ว์เจียวที่เพิ่งเดินเข้าไปในศาลาก็ถามขึ้นในทันทีหญิงสาวไม่รีบร้อนที่จะตอบ ดวงตากลมโตราวเปล่งประกายดั่งดวงดาวที่อยู่นอกผ้าคลุมหน้า ชำเลืองมองมาที่เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว“อากาศแห้งยิ่งนัก คุณชายและฮูหยินคงจะกระหายแล้วกระมัง ดื่มน้ำชาก่อนเจ้าค่ะ”ขณะหญิงสาวพูด สาวใช้สองคนยกเตาเข้ามา บนเตามีน้ำชา ถั่วลิสง ลำไยแห้งเป็นต้นเฉินฝานมองแล้วบ่นในใจ นี่เป็นการต้นน้ำชาในกาไม่ใช่หรือ หลายปีมานี้ในยุคปัจจุบันสตรีเมืองใหญ่ที่มีความสง่าผ่าเผยหลายคน มักจะถ่ายกิจกรรมนี้ลงโซเชี่ยลของตนเองคิดไม่ถึงว่ากิจกรรมที่สตรียุคปัจจุบันรู้สึกว่าเป็นเรื่องสง่างาม กลับเป็นสิ่งที่คนโบราณทิ้งไว้สาวใช้ต้มน้ำชาช้าๆ จาก
ทันใดนั้นเอง เฉินฝานก็มีความรู้สึกบางอย่างกับร่างนี้เขาเกลียด ชิงชัง“ฉึบ!”ฉินเย่ว์เจียวชักดาบสั้นที่เอวออกมาดาบสั้นเล่มนี้ฉินเย่ว์เหมยให้เฉินฝาน เฉินฝานให้ฉินเย่ว์เจียวอีกทีหนึ่ง“เย่ว์เจียว!”เฉินฝานคิดว่าฉินเย่ว์เจียวหงุดหงิดที่เมี่ยวอวี่ดีดพิณไม่หยุด จะฟันเมี่ยวอวี่ ทว่าคิดไม่ถึงเขาเพิ่งหมุนตัวหันหลัง ฉินเย่ว์เจียวก็ชูดาบจะแทงเขา“เย่ว์เจียว เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”ราวกับฉินเย่ว์เจียวไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น นางร้องตะโกนเสียงดัง “ข้าจะสังหารเจ้า เจ้าตบตีพี่สาวและน้องสาวของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”“...!!!”เฉินฝานนึกถึงภาพเหตุการณ์เจ้าของร่างเดิมทำร้ายพี่น้องตระกูลฉินเมื่อครู่หรือว่า?ภาพเหตุการณ์นั้นก็ฉายในความคิดของฉินเย่ว์เจียวเช่นเดียวกันเสียงพิณ ต้องเป็นเพราะฤทธิ์ของเสียงพิณแน่นอนตอนเฉินฝานหันไปมองเมี่ยวอวี่ พบว่าดวงตางดงามครู่นั้น อบอวลไปด้วยไอสังหารนิ้วมือที่กำลังดีดพิณของเมี่ยวอวี่ เร็วขึ้นเรื่อยๆทางด้านฉินเย่ว์เจียวก็บ้าคลั่งไปพร้อมกับเสียงพิณที่เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางแดงก่ำ ชี้ไปทางเฉินฝานแล้วตะโกนเสียงดัง “ข้าจะสังหารเจ้า เจ้าสัตว์เดรัจฉาน ข้าจะฆ่า
“เย่ว์เจียว อย่า!”“ดิ้ง”“ดิ้ง ดิ้ง ดิ้ง!”เสียงพิณผีพา วุ่นวายและเร่งรีบ ราวกับแมลงวันที่บินหึ่งๆ อยู่ข้างหูเฉินฝานรู้สึกคล้ายหน้าอกมีการกดทับที่ไม่อาจระบายออกไปได้ลำแสงสีเงินเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ เฉินฝานยกปืนในมือขึ้นอีกครั้ง เล็งไปที่ฉินเย่ว์เจียว“ปั้ง!”เสียงปืนดังก้องทะลุผ่านหิมะชั้นแล้วชั้นเล่าผู้ชมในโถงดนตรีที่ยังคงรอเมี่ยวอวี่อยู่นั้น ตกใจจนเด้งตัวทุกคนมองหน้ากัน ด้วยความฉงนเกิดเรื่องอะไรขึ้น?ณ กระท่อมหิมะ ในศาลาเสียงบรรเลงพิณหยุดลงกะทันหันปืนในมือของเฉินฝาน เล็งไปที่...เมี่ยวอวี่!วินาทีที่เหนี่ยวไกนั้น เฉินฝานเอนตัวไปทางเมี่ยวอวี่เวลานี้ เมี่ยวอวี่นั่งนิ่งด้วยความตกใจ มองพิณผีพาตรงหน้าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจนับได้หากไม่ใช่เพราะนางอาจจะเป็นฉินเย่ว์ฉิน หรือนางรู้ว่าฉินเย่ว์ฉินอยู่ที่ใด ตอนนี้สิ่งที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่พิณผีพาแล้ว แต่เป็นตัวนางเองฉินเย่ว์เจียวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สุดท้ายค่อยๆ ชูดาบในมือขึ้นฝักดาบ เต็มไปด้วยเลือด“กรี๊ด!”ฉินเย่ว์เจียวโยนดาบในมือทิ้ง วิ่งไปทางเฉินฝานด้วยความเร็วราวกับลม“นายท่าน นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวกอดคอ
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ