“หนุ่มน้อย ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”ตอนที่รถม้าเคลื่อนผ่านพวกเฉินฝาน คนด้านในเลิกผ้าม่านขึ้นพลางกล่าวถามเฉินฝานหันหน้ากลับไปดู พบว่าเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดบัณฑิตอายุประมาณสามสิบปี ในมือของเขายังถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้อยู่“ขอบคุณพี่ใหญ่ มิต้องช่วยหรอก พวกเราจวนจะทำเสร็จแล้ว” เฉินฝานยิ้มพลางโบกมือ มิใช่ว่าเขาเกรงใจ แต่จวนจะเสร็จแล้วจริง ๆ“ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ” บุรุษผู้นั้นก็มิเซ้าซี้ เฉินฝานกล่าวว่ามิต้องการความช่วยเหลือ ก็จากไปทันทีรถม้าเคลื่อนตัวออกไปสักพัก พี่ใหญ่คนนั้นก็เปิดม่านยื่นหน้าออกมา ตะโกนพูดกับเฉินฝานอีกว่า “หนุ่มน้อย วันนี้ที่เรือนเซียนผาสุกมีการแสดงของแม่นางเมี่ยวอวี๋ พลาดมิได้เชียวนะ ถ้าพลาดไปก็ต้องรอแรกเริ่มวสันตฤดูปีหน้า”“โอ้? ได้เลย ขอบคุณพี่ใหญ่!”เฉินฝานมิรู้จักแม่นางเมี่ยวอวี๋ และมิรู้ว่าแม่นางเมี่ยวอวี๋ท่านนั้นมีความสามารถที่เลิศล้ำอันใด เขาจึงตอบรับไปแบบมิได้ใส่ใจมากนักต้องรีบกลับไปที่เมืองหลวง เขามิได้วางแผนว่าจะไปดู และมิมีเวลาแล้ว “แม่นางเมี่ยวอวี่?” ฉินเย่ว์เจียวที่ก้มหน้าขุดหิมะมาโดยตลอด อยู่ ๆ ก็เด้งตัวขึ้นมา มองรถม้าด้านหน้าที่อยู่ไกล
“แหม สายตาแหลมคนอันใดกันเล่า? มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เจ้ามิได้ถือเครื่องดนตรี เจ้าดูสิ...” ชายผู้นี้ชี้ไปที่คนรอบข้าง “คนที่มิได้ถือเครื่องดนตรี ล้วนมิใช่คนเมืองเซียนตูของพวกเรา มิเชื่อ หนุ่มน้อยก็ลองไปถามดูสิ”“ข้าเชื่อ ๆ” เฉินฝานรีบกล่าวตอบ“หนุ่มน้อยผู้นี้ช่างเป็นกันเองเสียจริง พวกเรารีบไปกันเถอะ มิเช่นนั้นคงจะแทรกตัวเข้าไปในเรือนเซียนมิได้แล้ว ทางนี้ หนุ่มน้อย เจ้าตามข้ามา พวกเราไปทางลัดดีกว่า” ชายอาวุโสชุดเหลืองกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ดึงเฉินฝานไปทางเล็กอีกทางหนึ่งเย่ว์หนูรุดหน้าขึ้นมาทันที มองชายอาวุโสชุดเหลืองท่านนั้นด้วยความระแวดระวัง“นี่ แม่สาวน้อย ไยเจ้ายังลนลานกว่านายท่านของเจ้าเสียอีก?” ชายอาวุโสชุดเหลืองหัวเราะหึ ๆ เขามองมิออกว่าเย่ว์หนูคิดจะที่ฟันเขาเฉินฝานใช้สายตาบอกใบ้ให้เย่ว์หนูถอยไปตอนที่ชายอาวุโสชุดเหลืองลากมือเขาไป เขาได้ลองหยั่งเชิงแล้วว่าชายอาวุโสผู้นี้มิมีวรยุทธ์อันใด“หนุ่มน้อยเอ๋ย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยฟังการบรรเลงบทเพลงผีผาของแม่นางเมี่ยวอวี่หรือไม่?”ชายอาวุโสชุดเหลืองเป็นคนช่างพูด ในขณะที่กำลังเดินทาง ก็ชวนเฉินฝานคุยตลอดเฉินฝานส่ายหน้าไปมา กล่าวตามจ
เฉินฝานจ้องเขม็งทันที กล่าวอย่างจริงจังว่า “คันไม้คันมือ ก็ต้องอดทนไว้ การเป็นคนต้องมีมารยาทเข้าใจกาลเทศะ มิสามารถคว้าคอผู้อื่นมาต่อยตามอำเภอใจได้”“โอ้!” ฉินเย่ว์เจียวสีหน้าน่าสงสารเก็บมือไปด้านหลัง ใช้มือจับยับยั้งมือเย่ว์หนูเอาไว้เย่ว์หนูสีหน้าแดงก่ำเล็กน้อยมิใช่เขินอาย ทว่ารู้สึกทรมานเพราะถูกหยิก“หนุ่มน้อย ทางนี้ๆ!” หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาแล้ว ชายอาวุโสชุดเหลืองก็พาเฉินฝานไปทางที่ขรุขระที่เต็มไปด้วยดินโคลนอีกเส้นทางหนึ่ง“ถึงแม้ว่าทางนี้จะเดินลำบากหน่อย ทว่าคนน้อยและใกล้อีกด้วย ตอนนี้พวกเรายอมลำบากเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะสามารถแย่งชิงแนวหน้าเข้าไปเลือกตำแหน่งที่ดีในเรือนผาสุกก่อนได้”เฉินฝานชำเลืองมองดูรองเท้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน......เอาเถอะ เพื่อที่จะสดับรับฟังดนตรีอันงดงามจะสกปรกเสียหน่อยก็มิเป็นไรไม่นานนักพวกเฉินฝานก็มาถึงเรือนเซียนผาสุกจริงๆ และตอนที่พวกเขามาถึง ก็นับว่าค่อนข้างเร็ว คนที่ต่อแถวรอเข้าไปยังมิมากนักทว่า...ตอนที่พวกเขากำลังจะไปต่อแถว ก็ถูกนักว่าการไล่ออกมากล่าวว่าพวกเขามิสามารถเข้าไปได้เขากำลังคิดที่จะโต้เถียง ชายอาวุโสชุดเหลืองก็ลากเขาออกมา“พี่
ระหว่างที่พูด ชายอาวุโสชุดเหลืองก็แย่งใบไม้ทองคำจากมือสามีภรรยาเฒ่าไป“นี่ เจ้ามาแย่งของคนอื่นได้อย่างไร?” สามีภรรยาเฒ่าลนลานทันที “ใบไม้ทองคำนี้เป็นสิ่งที่หนุ่มน้อยคนนั้นให้พวกเรามา วานให้พวกเราดูแลเจ้า”“แล้ว...เจ้าดูแลข้าแล้วงั้นหรือ?”“.....”สามีภรรยาเฒ่าถูกถามตกตะลึงทันที“ตอนนี้ข้าฟื้นแล้ว พวกเจ้ามิได้ดูแลข้า เช่นนั้นใบไม้ทองคำนี้ก็เป็นของข้า” กล่าวจบ ผู้อาวุโสชุดเหลืองหยิบเศษเงินออกจากกระเป๋าโยนใส่สามีภรรยาเฒ่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งพวกเจ้าสมควรได้รับ ถ้ายังริพูดพล่ามอีก ก็ระวังกำปั้นของข้าไว้ให้ดี”สิ่งที่ชายอาวุโสยกขึ้นมามิใช่กำปั้น ทว่าเป็นซอสองสายของเขา สามีภรรยาเฒ่าตกใจจนมิกล้าพูดอันใดเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชายอาวุโสชุดเหลืองจึงพึงพอใจ เขาชั่งน้ำหนักใบไม้ทองคำด้วยมือ และวางไว้ตรงริมฝีปากเป่าลมเล็กน้อย “ดูแล้วเป็นของแท้ ช่างเถอะ ดูจากใบไม้ทองคำนี้แล้ว ก็ไม่ถือสาเจ้าหนุ่มนั้นแล้ว”เดินฮัมเพลงมาตลอดทาง ดื่มสุราในน้ำเต้าที่แขวนไว้ตรงเอว ชายอาวุโสชุดเหลืองสีหน้าสบายใจตอนที่เดินมาถึงมุมโค้ง ชายอาวุโสผู้นั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน มองไปทางเรือนเซียนผาสุก พูดพึมพำ “เหล่าซู ซูชิวฉ
“ปีนี้มิรู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่”“ถ้าข้าได้เห็น ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่ง”“แหม เจ้าอย่าพูดเลย สองปีมานี้ผู้โชคดีที่เห็นแม่นางเมี่ยวอวี่ คนหนึ่งก็เสียชีวิต อีกคนหนึ่งก็เสียสติ”“สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแม่นางเมี่ยวอวี่ สามารถฟังการบรรเลงที่แม่นางเมี่ยวอวี่ทำเพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้ายอมตายยอมเสียสติ”ระหว่างที่เดินมาตลอดทาง เฉินฝานได้ยินบทสนทนาที่ชวนขนลุกมากมาย และคนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังน้อย เฉินฝานเงี่ยหูตั้งใจฟัง จึงเข้าใจคร่าวๆได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร?ตอนที่แม่นางเมี่ยวอวี่ผู้นั้นบรรเลงดนตรี จะสวมหมวกผ้าม่านไว้บนศีรษะ มิเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็นทุกปีนางจะเลือกผู้ฟังไปเป็นผู้โชคดีหนึ่งคนไปที่กระท่อมหิมะของนาง นางจะถอดหมวกผ้าม่านออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง บรรเลงบทเพลงแบบตัวต่อเป็นการส่วนตัวให้ผู้โชคดีผู้นั้นหนึ่งเพลงตามที่ร่ำลือกันมา โฉมหน้าที่แท้จริงของเมี่ยวอวี่ ท่วงท่าเหนือมนุษย์ ราวกับว่าเป็นเทพอัปสร เพียงแค่เคยพบเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง สตรีใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดทั
ฉินเย่ว์เจียวหันหน้าไปกัดฟันกรอด พูดอย่างมิมั่นใจ “นั้นสิ บทบรรเลงผีผาอันใด”นางเตรียมที่จะทิ้งเฉินฝาน ชิงเอาตัวรอดก่อนคำพูดคุยโวของเขา ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน นางจะมิยอมโดนไปด้วยหรอกอย่างไรเสียตัวเฉินฝานก็สิ่งของที่สามารถยืนตัวตนได้มากมาย หากคนเหล่านี้ต้องการที่จะทำร้ายเขาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเมืองเซียนตูก็ต้องรีบรุดมาปกป้องเขาเพื่อเอาหน้าหลังจากนั้นก็ทำท่าทีนอบน้อมเชิญเขาเข้าไปที่เรือนเซียนผาสุกทันที“โอ้! จริงสิ!” ฉินเย่ว์เจียวแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน?”“เจ้านึกอันใดอออกงั้นหรือ?”เฉินฝานรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกมิถูก“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ!” อยู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็ตะโกนพูดเสียงดัง “บทบรรเลงนั้น อยู่ที่เขา และเขายังเป็นคนประพันธ์เองอีกด้วย เขาคิดเสมอว่าโน้ตเพลงของเขาเป็นสิ่งที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”“คำพูดที่ข้าพูดเมื่อครู่ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาบังคับให้ข้าพูด”“เย่ว์เจียว...”เฉินฝานมองฉินเย่ว์เจียวด้วยตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความสงสัย ฉินเย่ว์เจียวเพียงแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย ก้มหน้าพูดสองสามประโยค“ทนไปก่อนนะ ข้าจะไปหาคนมาช่วยเหลือท่าน”พูดจบ ก็
“ไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ให้คนตั้งมากมายสูญเงินไปเสียเปล่า สมควรถูกลงโทษ!”“ท่านผู้ว่าราชการประจำมณฑล!” ซื่อต้าเผิงหันไปทางผู้ว่าราชการจังหวัด “ออกคำสั่งประเดี๋ยวนี้ คืนเงินทั้งหมดให้กับผู้ชมที่ไม่อาจเข้าเรือนเซียนผาสุก”หางตาของซื่อต้าเผิง ชำเลืองมองไปที่เฉินฝานครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงดัง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้เฉียนหงละเลยในหน้าที่ขั้นรุนแรง เอาตัวเข้าคุกหลวง รอฟังคำสั่งต่อไป”“ใต้เท้า!”เฉินฝานมองซื่อต้าเผิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ข้าทำงานด้วยความเที่ยงตรงมาโดยตลอด ผู้ใดกระทำความผิด ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงใหญ่เพียงใด ทำผิดล้วนถูกจับเข้าคุก” ซื่อต้าเผิงกล่าวโดยความทระนง เขาเห็นเฉินฝานยิ้มแก้มปริ คิดว่าเฉินฝานพอใจในการจัดการของเขาเฉินฝานยกนิ้วโป้งขึ้น “ใต้เท้ายอดเยี่ยมจริงๆ ปกปิดความผิดของขุนนางใหญ่ รังแกขุนนางชั้นผู้น้อย ยามเบื้องบนมา จับทุกคนเข้าคุก ยามเบื้องบนไป ก็ปล่อยคนที่อยู่ในคุกออกมา แล้วกระทำความผิดเฉกเช่นเดิม”“ชมเกินไปแล้วขอรับๆ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ นำตัว...” ซื่อต้าผิงเห็นเฉินฝานยกนิ้วโป้งให้ ทั้งยังบอกว่าเขาเก่ง จึงแกล้งทำเป็นถ่อมตัวทันทีแค่ว่าพูดเพียงครึ่งหนึ่ง เข
“เยี่ยม!”เสียงโหร้อง เรียกความสนใจของชายเสื้อเหลืองได้เป็นอย่างดี เขามองไปตามเสียง เห็นสองใบหน้าที่คุ้นเคยในทันที คนที่โหร้อง คือสามีภรรยาคู่นั้นชายชราปรบมือร้องเยี่ยม หญิงชราก็เช่นเดียวกัน“เยี่ยม!”“เยี่ยมๆ!”เสียงปรบมือ ดังก้องนอกเรือนเซียนผาสุก เมื่อสองสามีภรรยาเริ่มต้น ชาวบ้านๆ รอบก็ปรบมือร้องเยี่ยมเช่นเดียวกันทุกครั้งที่แม่นางเมี่ยวอวี่ออกมาแสดง ขุนนางเหล่านี้ก็เริ่มใช้เงินไม่คิดเฉินฝานเพิ่งถูกชายเสื้อเหลืองพามายังถนนเส้นรอง ไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนถนนเส้นหลักมีด่านกั้น ทุกด่านมีคนคอยเรียกเก็บเงิน ยิ่งจ่ายเงินมากเท่าใด ประเดี๋ยวตอนแซงแถวจะยิ่งได้อยู่ด้านหน้ากล่าวได้ว่า อยากเข้าเรือนเซียนผาสุก สุดท้ายเงินที่ต้องจ่าย คือสามเท่าของค่าเสพสุขสำหรับเข้างานเสื้อผ้าของเฉินฝานสกปรก เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปความเป็นจริง แม้เสื้อผ้าของเขาไม่สกปรก หากไม่ได้จ่ายค่าเสพสุขเพิ่มหลายเท่าตัว เขาไม่อาจเข้าแถวได้“ข้าชื่นชอบท่วงทำนองเช่นเดียวกัน เมืองเซียนตูไม่ไกลจากบ้านของข้านัก ใต้เท้า นับจากนี้ข้าจะมาบ่อยๆ หวังว่าทุกคราที่มาท่านจะอยู่”เฉินฝานยิ้มอ่อนๆ ขณะพูดกับซื่อต้าเผิงเฉินฝา
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ