“ไม่ถึงสามหมื่นคนแล้ว?”คนเกือบครึ่งหนึ่ง!เฉินฝานประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้ว่าหนีไปจำนวนมาก แต่คิดไม่ถึงว่าหนีไปมากขนาดนี้“คนที่ไม่หนีเหล่านั้นแต่ละคนวิตกหวาดกลัว ไม่มีกำลังสู้แม้แต่ครึ่งหนึ่ง เผชิญหน้ากับกองทัพเตียนตูขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงถอดชุดเกราะทันทีเช่นกัน แล้วสงครามนี้จะสู้ต่ออย่างไร”เหอจื่อหลินผ่านศึกร้อยรบเช่นกัน ปีนั้นเขานำทัพทหารพันนายเผชิญหน้ากับทหารและม้าศึกของศัตรูหมื่นนาย ก็ยังไม่เคยเกรงกลัวตอนนี้…ในใจกลับไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย“เพียะ!”“อ๊าก!”“อ๊าก! หยุดตีเถอะ หยุดตีเถอะ!”ในช่วงเวลานี้ รองแม่ทัพของเหอจื่อหลินกำลังตวัดแส้ฟาดทหารสองสามคนทหารเหล่านั้นที่ถูกแส้ฟาดลงไป โอดร้องอย่างเจ็บปวดไม่หยุดครั้นเหอจื่อหลินเดินหน้าเอ่ยถาม แท้จริงแล้วทหารสองสามคนเหล่านั้นคิดจะหนี แต่รองแม่ทัพจับได้เลยถูกนำตัวกลับมาเหอจื่อหลินถอดใจแล้วเล็กน้อยได้ฟัง ก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม เขารับแส้จากรองแม่ทัพมาแล้ว ยกขึ้นสูง…“พี่จื่อหลิน!”เฉินฝานกระโดดลงจากรถม้า คว้ามือเหอจื่อหลิน แล้วส่ายหน้าให้สัญญาณกับเขาว่าอย่าตี“น้องฝาน คนพวกนี้คิดจะหนี ไม่ให้บทเรียนแก่พวกเขาได้อย่างไร
ทหารทุกนาย รวมถึงพ่อลูกเหอกัง ต่างมองเฉินฝานด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“ในเรือน มีภรรยาและลูกอันเป็นครอบครัวอบอุ่น ใครพูดไม่ว่าอยากกลับล้วนเป็นคนพูดโกหกทั้งนั้น”“แม่ทัพอาวุโสเหอ แม่ทัพเหอน้อย หยุดเสแสร้งเถอะ พวกท่านก็อยากกลับไปมากเช่นกัน”เฉินฝานกล่าวสองประโยคนี้ ยิ่งทำให้เหล่าทหารตะลึงงันพวกเขาต่างรู้ว่า แม้ว่าเฉินฝานเป็นซื่อหลางกรมพระคลัง แต่สถานะของเขาในเวลานี้เปรียบเสมือนกับกุนซือกุนซือมีความคิดเห็นตรงข้ามอย่างเปิดเผยกับผู้นำกองทัพ เป็นครั้งแรกของการพบเห็นตั้งแต่พวกเขาเป็นทหารนานเพียงนี้“ข้าขอถามอีกครั้ง ไม่อยากสู้รบ อยากกลับแล้วจงยกมือ”ตอนเริ่มต้น มีเพียงไม่กี่คนที่ยกมือขึ้นมาครั้นเห็นมีคนยกมือ คนยกมือก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้าย นอกจากพ่อลูกตระกูลเหอ ทหารลาดตระเวนก็ยกมือขึ้นทั้งหมด“ดีมาก!” เฉินฝานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คนนอกต่างพูดว่าทหารค่ายลาดตระเวนเป็นทหารคุณชาย ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วพวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นทหารดีมีเลือดมีเนื้อ”ครั้นเฉินฝานกล่าวชมเช่นนี้ คนส่วนมากกลับเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมาถูกคนอื่นกล่าวหาว่าเป็นทหารคุณชาย เป็นคนไร้ประโยชน์มาเป็นเวล
“ย่อมไม่ยอมแน่!”เหล่าทหารตอบสนอง แต่เป็นเสียงหร็อมแหร็มและเสียงก็ไม่ดัง“เสียงเบาไปแล้ว จงพูดอีกครั้ง พวกเราสามารถยอมได้หรือไม่?” เฉินฝานเอ่ยถามเสียงดังอย่างฮึกเหิมอีกครั้ง“ยอมไม่ได้!”“พวกเจ้าแต่ละคนไม่ได้กินข้าวหรือไร เสียงเบาขนาดนั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคำขวัญของอ๋องเจิ้นหนานคืออะไร?”“คำขวัญของเขาคือ:สู้ให้ถึงเมืองหลวง นอนกับภรรยาของผู้ชายทั้งเมืองหลวง แม่มันเถอะ!” เฉินฝานกล่าวคำหยาบ “ด้วยกำลังของพวกเจ้าเพียงเท่านี้ ก็สมควรแล้วที่ภรรยาถูกผู้อื่นหลับนอนด้วย!”“ยอมไม่ได้!”“ยอมไม่ได้!”คำพูดของเฉินฝาน ปลุกโทสะของเหล่าทหารได้ในที่สุด แต่ละคนต่างคำรามเสียงสูงในที่สุดทหารคุณชายเหล่านี้ก็มีความเป็นผู้ชายขึ้นมาบ้างเฉินฝานยกแขนขึ้นตะโกน “โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!”“โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!” “โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!” เสียงคำรามประหนึ่งขุนเขาและคลื่นทะเลดังก้องไปทั่วหุบเขาเหอจื่อหลินที่ยืนด้านข้าง นัยน์ตาแผดพร้อมน้ำตาร้อนเป็นครั้งแรกได้ยินเสียงมีพลังขนาดนี้ ตั้งแต่รับทหารคุณชายกลุ่มนี้มาอยู่ในมื
“เมื่อถูกล้อมแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียง…สู้!”เหอกังกล่าวเสียงขรึม “จื่อหลิน!”“ข้าน้อยอยู่ขอรับ!”ข้าน้อยอยู่ขอรับเสียงหนึ่งของเหอจื่อหลิน ทำใบหน้าของเหล่าทหารเริ่มปรากฏสีหน้าต่างๆ นานา สีหน้าของอาการหวาดกลัวเช่นเดิมแสดงบนใบหน้าของพวกเขาอีกครั้งมีคนทำเกินความจริงยิ่งกว่า ขาเริ่มสั่นระริก“แม่ทัพใหญ่เหอ พวกเรายังสู้ตอนนี้ไม่ได้!” เฉินฝานกล่าวเสียงรีบเร่งพวกเขาเดินทางจากเมืองหลวงแดนไกล ถือว่าเป็นทหารที่กำลังเหนื่อยล้าภายใต้สถานะแบบนี้ ต่อให้เป็นกองทัพหมาป่าของเพ่ยจี้ ยังต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพลาดตระเวนที่มีกำลังการต่อสู้ธรรมดาด้วยซ้ำหากตอนนี้ตอบรับการรบ พ่ายแพ้ยังพูดได้เพียงนิยาย เพียงไม่ทันระวัง กองทัพอาจถูกกวาดล้างไปทั้งหมดก็เป็นได้เหอกังกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ “เสี่ยวฝาน ข้าเองก็ไม่อยากรบ แต่กองทัพเตียนตูล้อมทัพเข้ามาแล้ว ไม่รบคงไม่ได้แล้ว จื่อหลิน เจ้าไปจัดวางกำลังทหารเดี๋ยวนี้”“แม่ทัพใหญ่ โปรดช้าก่อน พวกเราน่าจะไม่ต้องสู้ก็ได้”ขณะที่พูด เฉินฝานได้ดึงแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาจากอ้อมอกแผนที่แผ่นนี้คือระหว่างที่เฉินฝานเดินขบวนทหาร เขาวาดตามค
“เจ้าค่ะ!” ไม่รู้ว่าเย่ว์หนูโผล่มาจากที่ใด แต่ถึงอย่างไรเสียงของเฉินฝานเพิ่งดับ นางก็อยู่ตรงหน้าเฉินฝานแล้วตรงคอและเอวของเย่ว์หนู มีขวดสุราแขวนไว้สี่ขวด“นำคนร้อยกว่าคนของเจ้าไปรั้งท้ายขบวน เมื่อพวกเราส่วนมากข้ามแม่น้ำไปแล้ว พวกเจ้าจึงจะถอยทัพได้ นี่คือคำสั่ง!”ร่างกายของเย่ว์หนูพลันยืนหลังตรงและกล่าวดังลั่น “รับรองว่าจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ!”เมื่อกล่าวจบ พลางวิ่งเหยาะกลับไปยังหน่วยพิทักษ์สตรีของนาง“น้องฝาน เจ้าสั่งให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่เพื่อรั้งท้ายขบวนให้กับเรา ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”เหอจื่อหลินมีความใจร้อนบ้างเล็กน้อยเสียงเกือกม้า เสียงร้องยาว เริ่มดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศและดังขึ้นเรื่อยๆกองทัพเตียนตูที่กำลังจะล้อมทัพพวกเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว“ใช่ ใต้เท้าเฉิน ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อพวกเรา แต่จะให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ต่อได้อย่างไรกัน”“ถูกต้อง ผู้หญิงจะสามารถหยุดกองทัพเตียนตูอย่างไรได้!”เหล่าทหารต่างพูดวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงกับการตัดสินใจของเฉินฝาน“ฮึ่ม!” เย่ว์หนูจ้องเขม่นทหารพวกนั้น “ดูถูกหน่วยพิทักษ์สตรีอย่างพวกเรางั้นเรอะ ข้าจะบอกพวกเจ้า พวกเราไม
“ตู้ม!”“ตู้ม ๆ!”“ฮี่!”“อ้าก!”เสียงระเบิด‘เหยือกสุรา’ เสียงร้องคำรามของม้า เสียงคนร้องโอดครวญ ผสมปนเปเข้าด้วยกันเหล่าพลทหารที่นั่งเรือข้ามฝั่งไปแล้วมองไม่เห็น เหล่าทหารที่รอจะขึ้นเรือข้ามฝั่งกลับเห็นอย่างชัดเจนทุกคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้างนี่คือผลการต่อสู้ของกองกำลังหญิงหนึ่งร้อยกว่าคนกลุ่มนั้นจริงหรือ?”“เจ้ารีบไปดูสิ ด้านข้างมีทหารชายช่วยพวกนางหรือไม่?”มีคนที่ไม่เชื่อ จึงกล่าวคนข้างกาย“เหล่าทหารชายถอยทัพไปข้างแม่น้ำนานแล้ว จะมีทหารชายมาช่วยได้อย่างไรกัน!” ฉินเย่ว์เจียวกล่าว“ถึงแม้ว่า ‘เหยือกสุรา’ สามารถระเบิดได้ที่ถืออยู่ในมือจะมีอานุภาพมาก ทว่าเหล่าหญิงสาว ทุกคนล้วนฝีมือแข็งแกร่ง กล้าหาญชาญชัย ทหารชายในกองกำลังลาดตระเวนจำนวนมากของข้าเทียบไม่ได้กับพวกนางแม้แต่น้อย”คำพูดของฉินเย่ว์เจียวและเหอจื่อหลิน ทำให้เหล่าทหารชายกองกำลังลาดตระเวนเหล่านั้นไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าในมือพวกเขามีเหยือกสุราที่สามารถระเบิดได้ ก็ต้ององอาจห้าวหาญเช่นนั้นได้เช่นกัน“นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้พวกนางจะเป็นหญิงสาว ทว่าทุกคนล้วนเป็นคนที่นายท่านข้าพามาด้วยตัวเอง ก็ต้องเก่งกาจอยู่แล้วสิ!” ฉิ
“พูดจาโอ้อวด?”ไม่เพียงแต่เย่ว์หนู เหล่าหญิงสาวทั้งกองกำลังหญิงล้วนกล่าวด้วยความเดือดดาล “คนที่บอกว่าพวกเราพูดโอ้อวด สามารถมานับจำนวนคนให้กระจ่าง!”“เจ้า!”เหอจื่อหลินชี้ไปที่พลทหารที่สูงและผอมแห้ง เมื่อครู่พลทหารผู้นี้เสียงดังที่สุด“ออกมานับจำนวนสิ”“หนึ่ง สอง...หนึ่งร้อยสิบแปดคน!”“จำนวนสุดท้ายคือเท่าใด? เสียงเบาเช่นนั้น สู้ไม่ได้แม้กระทั่งเหล่าหญิงสาว?” เหอจื่อหลินเตะพลทหารผู้นั้นทันที“หนึ่งร้อยสิบแปดคนพ่ะย่ะค่ะ!”พลทหารตะโกนสุดเสียงถึงสามครั้ง เหอจื่อหลินจึงยอมปล่อยเขาไป“เหล่าหญิงสาวไปหนึ่งร้อยสิบแปดคน กลับมาหนึ่งร้อยสิบแปดคน ไม่มีใครได้ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้า...” เหอจื่อหลินกวาดสายตามองพลทหารอย่างเยือกเย็น“ยอมรับหรือไม่?”“รู้สึกละอายใจหรือไม่?”ถึงแม้ไม่ได้ตอบกลับ ทว่าเหล่าพลทหารล้วนก้มหน้าเหล่ากองกำลังหญิงเก่งกาจกว่าพวกเขาเป็นเรื่องจริงทว่าในใจของพวกเขาไม่ยอมรับจริงๆ พวกเขาจะด้อยกว่าสตรีได้อย่างไรกันเหอกังไม่ได้พูดอันใด เพียงอยู่ด้านข้างมองอย่างเงียบๆไม่นานนัก เขาพบว่าสายตาของกองกำลังลาดตระเวนเหล่านี้มีความมุ่งมั่นกว่าตอนที่ไปเมืองหลวงเป็นอย
“นายท่าน ผิดปกติที่ใดกัน? ถูกระเบิดจนลอยขึ้นมากมายเพียงนั้น พวกเขาต้องหวาดกลัวอยู่แล้วสิ!”“ไม่ใช่ จะต้องไม่การหวาดกลัวเพียงอย่างเดียว!” เฉินฝานกระโดดลงรถม้า วิ่งรุดหน้าไปพลางตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพเหอ พี่จื่อหลิน โปรดกระจายคำสั่งออกไปทันที ให้ขบวนทัพหยุดการเคลื่อนพลเข้าไปทั้งหมด!”ได้ยินเสียง เหอจื่อหลินหันหัวม้ามุ่งมาทางเฉินฝาน “น้องฝาน ไยต้องหยุดการเคลื่อนพลเข้าไปทั้งหมด?”“ลู่ทางของกองกำลังเตียนตู ไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว ลู่ทางด้านหน้าอาจจะใหญ่กว่าเมื่อครู่”-ภายในที่ทำการเจ้าเมืองฝู่ตูผู้ที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์เจ้าเมือง มิใช่เจ้าเมืองฝู่ตู ทว่าเป็นบุรุษที่สวมชุดมังกรสีม่วงเข้มผู้หนึ่งบุรุษเอนกายพิงบัลลังก์ สายตาลึกล้ำแฝงไปด้วยรังสีอาฆาตอันโหดเหี้ยมเขาคืออ๋องเจิ้นหนานผู้ก่อกบฏในครั้งนี้เมืองฝู่ตูถูกกองกำลังเตียนตูยึดครองไว้แล้ว“ท่านอ๋อง!”นายทหารผู้หนึ่ง รุดเข้ามาจากด้านนอกด้วยความรีบร้อนอ๋องเจิ้นหนานผายมือทันที “รายงานมา!”“กองกำลังลาดตระเวนข้ามแม่น้ำลวี่สุ่ยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารกล่าว“อืม!” อ๋องเจิ้นหนานยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้น ดื่มหมดในทีเดียว วางลงแล้วจึงกล
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ