ทหารทุกนาย รวมถึงพ่อลูกเหอกัง ต่างมองเฉินฝานด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“ในเรือน มีภรรยาและลูกอันเป็นครอบครัวอบอุ่น ใครพูดไม่ว่าอยากกลับล้วนเป็นคนพูดโกหกทั้งนั้น”“แม่ทัพอาวุโสเหอ แม่ทัพเหอน้อย หยุดเสแสร้งเถอะ พวกท่านก็อยากกลับไปมากเช่นกัน”เฉินฝานกล่าวสองประโยคนี้ ยิ่งทำให้เหล่าทหารตะลึงงันพวกเขาต่างรู้ว่า แม้ว่าเฉินฝานเป็นซื่อหลางกรมพระคลัง แต่สถานะของเขาในเวลานี้เปรียบเสมือนกับกุนซือกุนซือมีความคิดเห็นตรงข้ามอย่างเปิดเผยกับผู้นำกองทัพ เป็นครั้งแรกของการพบเห็นตั้งแต่พวกเขาเป็นทหารนานเพียงนี้“ข้าขอถามอีกครั้ง ไม่อยากสู้รบ อยากกลับแล้วจงยกมือ”ตอนเริ่มต้น มีเพียงไม่กี่คนที่ยกมือขึ้นมาครั้นเห็นมีคนยกมือ คนยกมือก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้าย นอกจากพ่อลูกตระกูลเหอ ทหารลาดตระเวนก็ยกมือขึ้นทั้งหมด“ดีมาก!” เฉินฝานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คนนอกต่างพูดว่าทหารค่ายลาดตระเวนเป็นทหารคุณชาย ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วพวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นทหารดีมีเลือดมีเนื้อ”ครั้นเฉินฝานกล่าวชมเช่นนี้ คนส่วนมากกลับเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมาถูกคนอื่นกล่าวหาว่าเป็นทหารคุณชาย เป็นคนไร้ประโยชน์มาเป็นเวล
“ย่อมไม่ยอมแน่!”เหล่าทหารตอบสนอง แต่เป็นเสียงหร็อมแหร็มและเสียงก็ไม่ดัง“เสียงเบาไปแล้ว จงพูดอีกครั้ง พวกเราสามารถยอมได้หรือไม่?” เฉินฝานเอ่ยถามเสียงดังอย่างฮึกเหิมอีกครั้ง“ยอมไม่ได้!”“พวกเจ้าแต่ละคนไม่ได้กินข้าวหรือไร เสียงเบาขนาดนั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคำขวัญของอ๋องเจิ้นหนานคืออะไร?”“คำขวัญของเขาคือ:สู้ให้ถึงเมืองหลวง นอนกับภรรยาของผู้ชายทั้งเมืองหลวง แม่มันเถอะ!” เฉินฝานกล่าวคำหยาบ “ด้วยกำลังของพวกเจ้าเพียงเท่านี้ ก็สมควรแล้วที่ภรรยาถูกผู้อื่นหลับนอนด้วย!”“ยอมไม่ได้!”“ยอมไม่ได้!”คำพูดของเฉินฝาน ปลุกโทสะของเหล่าทหารได้ในที่สุด แต่ละคนต่างคำรามเสียงสูงในที่สุดทหารคุณชายเหล่านี้ก็มีความเป็นผู้ชายขึ้นมาบ้างเฉินฝานยกแขนขึ้นตะโกน “โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!”“โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!” “โค่นล้มกองทัพเตียนตู จับตัวอ๋องเจิ้นหนานทั้งเป็น!” เสียงคำรามประหนึ่งขุนเขาและคลื่นทะเลดังก้องไปทั่วหุบเขาเหอจื่อหลินที่ยืนด้านข้าง นัยน์ตาแผดพร้อมน้ำตาร้อนเป็นครั้งแรกได้ยินเสียงมีพลังขนาดนี้ ตั้งแต่รับทหารคุณชายกลุ่มนี้มาอยู่ในมื
“เมื่อถูกล้อมแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียง…สู้!”เหอกังกล่าวเสียงขรึม “จื่อหลิน!”“ข้าน้อยอยู่ขอรับ!”ข้าน้อยอยู่ขอรับเสียงหนึ่งของเหอจื่อหลิน ทำใบหน้าของเหล่าทหารเริ่มปรากฏสีหน้าต่างๆ นานา สีหน้าของอาการหวาดกลัวเช่นเดิมแสดงบนใบหน้าของพวกเขาอีกครั้งมีคนทำเกินความจริงยิ่งกว่า ขาเริ่มสั่นระริก“แม่ทัพใหญ่เหอ พวกเรายังสู้ตอนนี้ไม่ได้!” เฉินฝานกล่าวเสียงรีบเร่งพวกเขาเดินทางจากเมืองหลวงแดนไกล ถือว่าเป็นทหารที่กำลังเหนื่อยล้าภายใต้สถานะแบบนี้ ต่อให้เป็นกองทัพหมาป่าของเพ่ยจี้ ยังต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองทัพลาดตระเวนที่มีกำลังการต่อสู้ธรรมดาด้วยซ้ำหากตอนนี้ตอบรับการรบ พ่ายแพ้ยังพูดได้เพียงนิยาย เพียงไม่ทันระวัง กองทัพอาจถูกกวาดล้างไปทั้งหมดก็เป็นได้เหอกังกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ “เสี่ยวฝาน ข้าเองก็ไม่อยากรบ แต่กองทัพเตียนตูล้อมทัพเข้ามาแล้ว ไม่รบคงไม่ได้แล้ว จื่อหลิน เจ้าไปจัดวางกำลังทหารเดี๋ยวนี้”“แม่ทัพใหญ่ โปรดช้าก่อน พวกเราน่าจะไม่ต้องสู้ก็ได้”ขณะที่พูด เฉินฝานได้ดึงแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาจากอ้อมอกแผนที่แผ่นนี้คือระหว่างที่เฉินฝานเดินขบวนทหาร เขาวาดตามค
“เจ้าค่ะ!” ไม่รู้ว่าเย่ว์หนูโผล่มาจากที่ใด แต่ถึงอย่างไรเสียงของเฉินฝานเพิ่งดับ นางก็อยู่ตรงหน้าเฉินฝานแล้วตรงคอและเอวของเย่ว์หนู มีขวดสุราแขวนไว้สี่ขวด“นำคนร้อยกว่าคนของเจ้าไปรั้งท้ายขบวน เมื่อพวกเราส่วนมากข้ามแม่น้ำไปแล้ว พวกเจ้าจึงจะถอยทัพได้ นี่คือคำสั่ง!”ร่างกายของเย่ว์หนูพลันยืนหลังตรงและกล่าวดังลั่น “รับรองว่าจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ!”เมื่อกล่าวจบ พลางวิ่งเหยาะกลับไปยังหน่วยพิทักษ์สตรีของนาง“น้องฝาน เจ้าสั่งให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่เพื่อรั้งท้ายขบวนให้กับเรา ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”เหอจื่อหลินมีความใจร้อนบ้างเล็กน้อยเสียงเกือกม้า เสียงร้องยาว เริ่มดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศและดังขึ้นเรื่อยๆกองทัพเตียนตูที่กำลังจะล้อมทัพพวกเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว“ใช่ ใต้เท้าเฉิน ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อพวกเรา แต่จะให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ต่อได้อย่างไรกัน”“ถูกต้อง ผู้หญิงจะสามารถหยุดกองทัพเตียนตูอย่างไรได้!”เหล่าทหารต่างพูดวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงกับการตัดสินใจของเฉินฝาน“ฮึ่ม!” เย่ว์หนูจ้องเขม่นทหารพวกนั้น “ดูถูกหน่วยพิทักษ์สตรีอย่างพวกเรางั้นเรอะ ข้าจะบอกพวกเจ้า พวกเราไม
“ตู้ม!”“ตู้ม ๆ!”“ฮี่!”“อ้าก!”เสียงระเบิด‘เหยือกสุรา’ เสียงร้องคำรามของม้า เสียงคนร้องโอดครวญ ผสมปนเปเข้าด้วยกันเหล่าพลทหารที่นั่งเรือข้ามฝั่งไปแล้วมองไม่เห็น เหล่าทหารที่รอจะขึ้นเรือข้ามฝั่งกลับเห็นอย่างชัดเจนทุกคนล้วนตกตะลึงอ้าปากค้างนี่คือผลการต่อสู้ของกองกำลังหญิงหนึ่งร้อยกว่าคนกลุ่มนั้นจริงหรือ?”“เจ้ารีบไปดูสิ ด้านข้างมีทหารชายช่วยพวกนางหรือไม่?”มีคนที่ไม่เชื่อ จึงกล่าวคนข้างกาย“เหล่าทหารชายถอยทัพไปข้างแม่น้ำนานแล้ว จะมีทหารชายมาช่วยได้อย่างไรกัน!” ฉินเย่ว์เจียวกล่าว“ถึงแม้ว่า ‘เหยือกสุรา’ สามารถระเบิดได้ที่ถืออยู่ในมือจะมีอานุภาพมาก ทว่าเหล่าหญิงสาว ทุกคนล้วนฝีมือแข็งแกร่ง กล้าหาญชาญชัย ทหารชายในกองกำลังลาดตระเวนจำนวนมากของข้าเทียบไม่ได้กับพวกนางแม้แต่น้อย”คำพูดของฉินเย่ว์เจียวและเหอจื่อหลิน ทำให้เหล่าทหารชายกองกำลังลาดตระเวนเหล่านั้นไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าในมือพวกเขามีเหยือกสุราที่สามารถระเบิดได้ ก็ต้ององอาจห้าวหาญเช่นนั้นได้เช่นกัน“นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้พวกนางจะเป็นหญิงสาว ทว่าทุกคนล้วนเป็นคนที่นายท่านข้าพามาด้วยตัวเอง ก็ต้องเก่งกาจอยู่แล้วสิ!” ฉิ
“พูดจาโอ้อวด?”ไม่เพียงแต่เย่ว์หนู เหล่าหญิงสาวทั้งกองกำลังหญิงล้วนกล่าวด้วยความเดือดดาล “คนที่บอกว่าพวกเราพูดโอ้อวด สามารถมานับจำนวนคนให้กระจ่าง!”“เจ้า!”เหอจื่อหลินชี้ไปที่พลทหารที่สูงและผอมแห้ง เมื่อครู่พลทหารผู้นี้เสียงดังที่สุด“ออกมานับจำนวนสิ”“หนึ่ง สอง...หนึ่งร้อยสิบแปดคน!”“จำนวนสุดท้ายคือเท่าใด? เสียงเบาเช่นนั้น สู้ไม่ได้แม้กระทั่งเหล่าหญิงสาว?” เหอจื่อหลินเตะพลทหารผู้นั้นทันที“หนึ่งร้อยสิบแปดคนพ่ะย่ะค่ะ!”พลทหารตะโกนสุดเสียงถึงสามครั้ง เหอจื่อหลินจึงยอมปล่อยเขาไป“เหล่าหญิงสาวไปหนึ่งร้อยสิบแปดคน กลับมาหนึ่งร้อยสิบแปดคน ไม่มีใครได้ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเจ้า...” เหอจื่อหลินกวาดสายตามองพลทหารอย่างเยือกเย็น“ยอมรับหรือไม่?”“รู้สึกละอายใจหรือไม่?”ถึงแม้ไม่ได้ตอบกลับ ทว่าเหล่าพลทหารล้วนก้มหน้าเหล่ากองกำลังหญิงเก่งกาจกว่าพวกเขาเป็นเรื่องจริงทว่าในใจของพวกเขาไม่ยอมรับจริงๆ พวกเขาจะด้อยกว่าสตรีได้อย่างไรกันเหอกังไม่ได้พูดอันใด เพียงอยู่ด้านข้างมองอย่างเงียบๆไม่นานนัก เขาพบว่าสายตาของกองกำลังลาดตระเวนเหล่านี้มีความมุ่งมั่นกว่าตอนที่ไปเมืองหลวงเป็นอย
“นายท่าน ผิดปกติที่ใดกัน? ถูกระเบิดจนลอยขึ้นมากมายเพียงนั้น พวกเขาต้องหวาดกลัวอยู่แล้วสิ!”“ไม่ใช่ จะต้องไม่การหวาดกลัวเพียงอย่างเดียว!” เฉินฝานกระโดดลงรถม้า วิ่งรุดหน้าไปพลางตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพเหอ พี่จื่อหลิน โปรดกระจายคำสั่งออกไปทันที ให้ขบวนทัพหยุดการเคลื่อนพลเข้าไปทั้งหมด!”ได้ยินเสียง เหอจื่อหลินหันหัวม้ามุ่งมาทางเฉินฝาน “น้องฝาน ไยต้องหยุดการเคลื่อนพลเข้าไปทั้งหมด?”“ลู่ทางของกองกำลังเตียนตู ไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว ลู่ทางด้านหน้าอาจจะใหญ่กว่าเมื่อครู่”-ภายในที่ทำการเจ้าเมืองฝู่ตูผู้ที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์เจ้าเมือง มิใช่เจ้าเมืองฝู่ตู ทว่าเป็นบุรุษที่สวมชุดมังกรสีม่วงเข้มผู้หนึ่งบุรุษเอนกายพิงบัลลังก์ สายตาลึกล้ำแฝงไปด้วยรังสีอาฆาตอันโหดเหี้ยมเขาคืออ๋องเจิ้นหนานผู้ก่อกบฏในครั้งนี้เมืองฝู่ตูถูกกองกำลังเตียนตูยึดครองไว้แล้ว“ท่านอ๋อง!”นายทหารผู้หนึ่ง รุดเข้ามาจากด้านนอกด้วยความรีบร้อนอ๋องเจิ้นหนานผายมือทันที “รายงานมา!”“กองกำลังลาดตระเวนข้ามแม่น้ำลวี่สุ่ยไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารกล่าว“อืม!” อ๋องเจิ้นหนานยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้น ดื่มหมดในทีเดียว วางลงแล้วจึงกล
“คุยโวโอ้อวดอีกแล้ว ทหารลาดตระเวนเยอะเพียงนั้นเชียวนะ จะยอมให้เจ้าจับคนไปทันทีงั้นหรือ?” มีคนแย้งกลับ“ข้าคุยโอ้อวดงั้นหรือ? ก็แค่ทหารลาดตระเวนไร้ค่าโง่เง่ากลุ่มนั้น นายทหารผู้นั้นตบม้าสงครามข้างกายตนเองเบาๆ “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ข้าขี่เฉิงเฟิงของข้าเข้าไปทันที จับตัวปัญญาชนหน้าขาวนั้นมา กลุ่มคนไร้ค่าโง่เง่านั้นคงจะไม่ทันได้สติกลับมาหรอกกระมัง?”พลทหารม้ากองกำลังเจิ้นหนานดุร้ายหาสิ่งใดเปรียบเทียบมิได้ ไม่เพียงแต่ในต้าชิ่งเท่านั้น มีชื่อเสียงทั้งแผ่นดินใหญ่เมื่อข่าวที่สามารถจับเป็นเฉินฝานได้รับเงินห้าแสนตำลึงทองแพร่ออกไป กองกำลังเมืองเตียนตูที่ปิดล้อมอำเภอเหออันไว้ก็ฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม ทุกคนล้วนรอคอยเฉินฝานเพื่อที่จะแย่งชิงเงินห้าแสนตำลึงทองนั้นทว่าด้านเฉินฝานขบวนทัพเคลื่อนไปด้านหน้าไม่ถึงห้าลี้ เฉินฝานก็สั่งให้กองกำลังลาดตระเวนหยุดเคลื่อนพลอีกแล้ว“เดิมทีพวกเราก็ต้องสู้รบกับกองกำลังเมืองเตียนตูอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องพบเจอ ที่จริงก็มิมีข้อแตกต่างอันใด หากพวกเขาอยู่ที่อำเภอเหออัน เช่นนั้นไยพวกเราต้องถอย ก็ประจันหน้าสู้กับพวกเขาไปเลย?”เหอจื่อหลินกล่าวหน้าดำหน้าแดง เขาที่นิสัยต
พวกคนด้านหน้าที่หลบไม่ทัน บ้างก็ถูกม้าเหยียบบ้างก็ถูกเตะจนปลิว พวกเขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแต่คนที่นั่งอยู่บนหลังม้า กลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ลดความเร็ว แต่ยังฟาดแส้ม้าในมือแรงขึ้น“จ้า!”“ระวัง!”เฉินฝานที่เดิมทีเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้ว รีบหันกลับมา ดึงตัวเมี่ยวอวี่ที่ยังคงยืนอยู่กลางถนน ด้วยความตกตะลึง“ว้าย!”เมี่ยวอวี่ที่ล้มตัวลงในอ้อมกอดของเมี่ยวอวี่ อุทานตามสัญชาตญาณ“วี้ด!”เสียงเป่าปากดังก้องทหารตรงกลาง ทันใดนั้นเองเขาก็จับแส้ม้าแน่นม้ายกขาหน้าทั้งสองขึ้น ทหารจับแส้ม้าแน่น หันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว“...”เพียงครู่หนึ่งเฉินฝานก็กระจ่างชัด รู้ว่าใครคือคนบนหลังม้าเขาคือหลี่ชิ่งสุนัขรับใช้ผู้แสนซื่อสัตย์ของเสิ่นหมิงหยวน หัวหน้าทหารรักษาการณ์เมืองหลวงเพิ่งหันกลับไป ดวงตาคู่นั้นของหลี่ชิ่งราวกับอินทรีย์ กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วเขาก็มองมาที่เฉินฝานเฉินฝานอ้าแขนทั้งสองข้าง คว้าตัวเย่ว์เจียว เย่ว์หนูและเมี่ยวอวี่เข้าหาตน“ท่าน...”เมี่ยวอวี่เบิกตากว้าง หูของนางแดงก่ำอย่างรวดเร็วเพราะ...มือขวาของเฉินฝาน คลำสะโพกของนางไม่หยุดเฉินฝานก้มหน้าลง พูด
“ตอนนี้พวกเราไม่อาจเข้าเมืองได้!”“เพราะเหตุใด?” สีหน้าของฉินเย่ว์เจียวฉายความฉงน “พวกเราไม่เข้าเมือง แล้วจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้อย่างไร ตอนนี้ฝ่าบาทต้องเสียพระทัยมากแน่นอน”“เมือง!” ดวงตาสีดำดั่งน้ำหมึกของเฉินฝานมองไปที่ประตูเมือง ‘เมืองเซียนตู’ อักษรสามตัวขนาดใหญ่ “พวกเราต้องเข้าไปแน่นอน อีกทั้งต้องเข้าไปให้ได้”โรงเตี๊ยมและเรือนเซียนผาสุกปิดตัวลงกะทันหัน ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน“แต่ว่า พวกเราไม่อาจเข้าไปเช่นนี้”เฉินฝานหันหลังเดินออกไป“เจ้าอย่าคิดหนี ตามพวกข้ามา!”ตอนออกไป ฉินเย่ว์เจียวคว้าตัวเมี่ยวอวี่ “เจ้าเคยรับปากข้า หลังจากออกมาได้สำเร็จ เจ้าจะบอกให้ข้ารับรู้ว่าผู้ใดเป็นคนให้จี้หยกแก่เจ้า”คิ้วของเมี่ยวอวี่เลิกต่ำเล็กน้อย “ข้าไม่คิดจะไปจากพวกเจ้า!”เมี่ยวอวี่มาเพื่อลอบสังหารเขา ตอนนี้ไม่อาจให้ใครคนนั้นในเมืองเซียนตูรู้ว่าเขายังมีชีวิตเฉินฝานใช้ใบไม้ทองซื้อชุดไว้อาลัยสี่ตัวที่นอกเมือง ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาเข้าเมือง“สวรรค์ริษยาความปรีชา ให้ชีวิตมอดม้วย ฮือๆๆ!”เพิ่งเข้าเมือง พวกเฉินฝานก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นถนนสองข้างทาง คนมากมายกำลังคุกเข่าร่ำไห้“
“นายท่าน!” เพิ่งจะเดินไปได้มิกี่ก้าว จู่ ๆ ฉินเย่ว์เจียวก็หยุดชะงัก หันหน้าไปมองเฉินฝานด้วยความมึนงง “อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายใต้เท้าเฉินฝาน คงจะมิได้หมายถึงท่านหรอกกระมัง”“มีโอกาสเป็นได้สูง!” เฉินฝานกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ว้าว ท่านได้เป็นอัครเสนาบดีแล้ว!” ใบหน้าอันงดงามของฉินเย่ว์เจียวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก“ทว่า...” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเอง “ตอนนี้กำลังพิธีศพให้ข้าอย่างยิ่งใหญ่อยู่”“นั้นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจผิด นายท่าน พวกเรารีบไปกันเถอะ เมื่อเจอพวกเราแล้วความเข้าใจผิดก็จะคลี่คลาย” ฉินเย่ว์เจียวรีบสาวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นด้านหน้าเหล่าคนที่มีชีวิตรอดเดินออกมาจากหุบเขาพร้อมกับพวกเฉินฝาน มีคนจำนวนหนึ่งที่เดินไปถึงประตูเมืองแล้วเป็นดั่งที่หญิงชรากล่าว เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าที่สกปรก ทหารที่รักษาเมืองจึงมิยอมให้พวกเขาเข้าไป“ใต้เท้า ได้โปรด! พวกเราเดินมาจากเศษซากทางเรือนเซียนผาสุก บ้านอยู่ในเมืองเซียนตู ให้พวกเราเข้าไปจึงจะสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้”คนที่กล่าววาจาคือจางเซิง“ถูกต้อง พวกเราถูกกักขังอยู่ด้านในมาหลายวันแล้ว กว่าจะออกมาได้มิง่ายเลย เจ้าให้พวกเราเข้าไปเถอะ”คนจำนวนมา
ทางด้านหน้า มีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวมากมาย“มีคนทำพิธีกรรมอันใดงั้นรึ?”“ดูเหมือนว่าจะใช่”นับตั้งแต่ทางเข้าหุบเขามาจนถึงประตูทิศตะวันออกของเมืองเซียนตู ตลอดเส้นทางนี้ล้วนมีเงินกระดาษหยวนเป่าสีขาวตอนที่ฝูงชนเดินมาถึงประตูเมือง ก็พบว่าหอประตูเมืองถูกประดับไปด้วยผ้าสีขาวจำนวนมากหอประตูเมืองที่เดิมทีประดับด้วยโคมไฟสีแดงเป็นทิวแถว ตอนนี้โคมไฟเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้ว แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารรักษาก็ยังแขวนผ้าสีขาว“นี่เป็นพิธีศพ และยังยิ่งใหญ่อีกด้วย แม้กระทั่งตรงช่วงเอวของพลทหารยังแขวนผ้าสีขาวอีกด้วย คงจะมีคนใหญ่คนโตของเมืองเซียนตูเสียชีวิตกระมัง จึงทำให้ทั้งเมืองร่วมไว้อาลัยได้เช่นนี้”ฝูงชนพากันถกเถียงอภิปราย“หรือว่าจะเป็นเจ้าเมืองซื่อต้าเผิง?” ฉินเย่ว์เจียวก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน“สาวน้อย คำพูดนี้มิสามารถพูดมั่วซั่วได้ ท่านเจ้าเมืองยังอยู่ดี เจ้าสาปแช่งใต้เท้าเช่นนี้ ระวังใต้เท้าจับเจ้าเข้าคุก”มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากในเมืองมากล่าวเตือนฉินเย่ว์เจียว “ อีกอย่าง เจ้าเมืองจะมีงานใหญ่โตเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”“โอ้?” เฉินฝานรุดหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ทำมือเคารพให้หญิงชรา “เช่นนั
“เจ้า...โอ๊ย ข้าโมโหจวนจะบ้าแล้ว!”ฉินเย่ว์เจียวค่อยๆลุกขึ้นยืน คิดที่โยนเมียวอวี่ออกไป ปรากฏว่าเมี่ยวอวี่ก็ค่อยๆลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากนั้น...“......”เฉินฝานมองไปที่เมี่ยวอวี่ที่ติดหนึบเรือนร่างเขาราวกับปลาหมึกตัวหนึ่งด้วยความมึนงง“แม่นางเมี่ยวอวี่ รบกวนชีวิตสามีภรรยา เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างมาก”เฉินฝานอุ้มเมี่ยวอวี่ออกไปด้านนอก“อย่าเอาข้าออกไป”แขนของเมี่ยวอวี่โอบรัดคอของเฉินฝานไว้แน่น นำศีรษะฝังแนบกับไหล่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบารีบร้อน“ขอร้องล่ะ!”“ได้สิ” เฉินฝานเริ่มคิดเล่นสนุก “ให้เจ้าอยู่ก็ได้ ทว่าเจ้าต้องเปลื้องผ้าให้หมดและคลานเข้าไปในถุงนอนของข้า”ใบหูที่ขาวผ่องของเมี่ยวอวี่ เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด“มิมีทาง น้ำเสียงของเมี่ยวอวี่นุ่มนวล ทว่าสามารถฟังออกได้ว่ากัดฟันพูด“เหอะ!” เฉินฝานหัวเราะเยาะออกมาทันที “มิมีผลประโยชน์ให้ข้าแม้แต่น้อย ไฉนข้าต้องยอมให้เจ้าอยู่ที่นี้?”“สิ่งนี้!”เมี่ยวอวี่เปิดเสื้อตนเองออกทัศนียภาพที่งดงามพลันปรากฏต่อหน้าเฉินฝานเมี่ยวอวี่ที่ภายนอกที่ดูสูงสง่าราวเทพธิดา ภายในกลับ...“ต้องกล่าวว่าอาหารของกระท่อมหิมะนี้คุณภาพค่อนข้า
“เมื่อซดแกงปลาเรียบร้อยแล้ว ปลาย่างก็จวนจะได้ที่พอดีถึงแม้เครื่องเทศจะมิเยอะ ทว่าเฉินฝานก็โรยบนปลาทุกตัวอย่างละเล็กละน้อยเมื่อเครื่องเทศถูกโปรยลงไป กลิ่นหอมก็กระจายฟุ้งทั่วทุกสารทิศทันทีทุกคนล้วนทำจมูกฟุดฟิดสูดลมหายใจเข้าอย่างต่อเนื่องเพื่อจะดูดซับกลิ่นหอมเข้าไปให้ได้มากที่สุด“ข้าขอเอาไปก่อนแล้วกัน พวกเจ้าก็ค่อยๆแบ่งกันเองนะ!”เป็นเซียนเจี้ยนหวงอีกแล้ว เขาแบกปลาหลีฮื้อที่ตัวที่สุดออกไปทันทีเฉินฝานมอบหน้าที่ในการแบ่งปลาให้ฉินเย่ว์เจียว“มิต้องรีบ ได้ทุกคน”ฉินเย่ว์เจียวชำนาญในการกินปลาอยู่ก่อนแล้วนางมิได้นำท้องปลาที่มีก้างเยอะแบ่งให้เด็กเล็กและคนแก่ตอนที่กินปลายังเน้นย้ำให้ระวังก้างปลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าฉินเย่ว์เจียวที่มิแยแสต่อสิ่งใดกลับละเอียดรอบคอบเช่นนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านซานเหอก้างปลาเคยติดคอของนางจึงทำให้หวาดกลัวหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็ล้วนอิ่มจนท้องป่อง สีหน้าอิ่มอกอิ่มใจพูดคุยสัพเพเหระในกระโจมอย่างสนุกสนานหากมิใช่ว่าด้านหลังมีกระท่อมหิมะและเรือนเซียนผาสุกที่ถล่มลงมา ยังคิดว่าคนเหล่านี้มาเที่ยวพักผ่อนเสียอีกเฉินฝานที่กินอิ่
เสียงของเซียนเจี้ยนหวง ไฉนฟังอย่างไรก็มิเหมือนที่ถูกแกงลวก เหมือน...เสียงซาบซึ้งใจที่ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสเสียมากกว่าเฉินฝานก็รู้สึกได้เช่นกัน“ผู้เฒ่า ยังมีคนอีกมากมายที่รอกินอยู่ ไฉนเจ้าซดคนเดียวมากมายเพียงนั้น?”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงซดน้ำแกงทัพพีที่สี่ เฉินฝานก็แย่งทัพพีไม้ไผ่จากมือเขากลับมา“นี่ ๆ ให้ข้าซดอีกทัพพีมิได้หรือ?”เซียนเจี้ยนหวงมองทัพพีไม้ไผ่ในมือเฉินฝานด้วยสายตาละห้อย“ยังจะซดอีกงั้นหรือ?” เฉินฝานจ้องเขม็งไปที่เซียนเจี้ยนหวง “ถ้าขืนซดต่อไปอีกเจ้าก็คงจะอิ่มจนท้องแตกกันพอดี!”ทัพพีไม้ไผ่นี้ ตักได้ทีละครึ่งชั่งเชียวนะ“ใส่เกลือไปเพียงเล็กน้อย เอร็ดอร่อยเพียงนั้นจริงหรือ?”เฉินฝานพูดพึมพำ“แน่นอนว่าต้องอร่อยอยู่แล้วสิ!”อาศัยช่วงที่เฉินฝานกำลังพึมพำ เซียนเจี้ยนหวงก็แย่งทัพพีไม้ไผ่ไปจากมือเฉินฝานอีกครั้ง“ผู้เฒ่า เจ้า...”ตอนที่เซียนเจี้ยนหวงกลืนแกงปลาลงท้องไปอีกหนึ่งทัพพีเรียบร้อยแล้ว ท้องก็กลมป่อง ดูแล้วอิ่มเอมใจและรู้สึกมิสบายตัวเล็กน้อยเฉินฝานส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูเจ้าสิช่างตะกละเสียจริง ตอนนี้ซดจนหนำใจแล้วกระมัง”“ฮี่ๆ!” เซียนเจี้ยนหวงแยกเขี้ย
ผ่านไปครู่เดียว เซียนเจี้ยนหวงก็สามารถเจาะรูที่กว้างประมาณห้าสิบเซนติเมตรบนพื้นน้ำแข็งได้“เจ้าหนุ่ม ใหญ่ขนาดนี้ใช้ได้หรือไม่?” เซียนเจี้ยนหวงหันหน้าไปถาม“ใช้ได้แล้ว รอให้ปลาว่ายมาแล้วกัน!”ระหว่างที่กล่าว เฉินฝานก็นั่งยองลงไปคนรอบข้างพากันชะเง้อคอดู แค่เจาะรูปลาก็จะว่ายมาเองงั้นหรือ?การจับปลาจะง่ายดายเช่นนั้นจริงหรือ?“มาแล้ว!”ตอนที่ฝูงชนกำลังสงสัย เฉินฝานก็ตะโกนลั่นทันทีเฉินฝานยื่นมือลงในน้ำ จับปลาแล้วก็โยนขึ้นไปบนฝั่งทีละตัว“แปะ!” ปลาหลีฮื้อหนักหกชั่งหนึ่งถูกโยนขึ้นมาบนพื้นน้ำแข็งเสียง “แปะ!” ดังขึ้นอีกครั้ง ปลาที่หนักห้าหกชั่งถูกเฉินฝานโยนขึ้นฝั่งอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นปลาที่ตัวใหญ่เนื้อแน่น “ว้าว!”ทุกคนล้วนตื่นตกใจ ที่แท้การจับปลาง่ายเพียงนี้เชียวหรือ?“พวกเจ้าอย่ามัวแต่ยืนงงอยู่สิ เร็ว รีบไปจับปลาสิ!”“ข้าเอง!”เซียนเจี้ยนหวงนั่งย่อตัวลงไปคนแรกผู้เฒ่าชื่นชอบในการเล่นสนุกอย่างมาก เขามิได้ใช้กำลังภายใน บรรจงใช้มือจับปลาทีละตัว ช่างสนุกยิ่งนัก“ข้าก็จับได้หนึ่งตัวแล้วเช่นกัน!” จางเซิงถือปลาหลีฮื้อด้วยมือสองข้าง ยิ้มราวกับเด็กน้อย“นี่ ๆ ข้าก็จับได้เหมือนกัน
เพื่อเป็นการประหยัดแผ่นหนัง นางจึงทำถุงนอนให้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถุงนอนหนึ่งผืน อย่างน้อยก็ซุกตัวได้เจ็ดแปดคนอย่างไรเสียอากาศก็หนาวเหน็บอยู่แล้ว เบียดเสียดอยู่ด้วยกันก็จะทำให้อุ่นขึ้นได้อีกด้วยนางจางนำปุยนุ่นในเครื่องนอนออกมาทำถุงนอนที่ยัดปุยนุ่นสองสามผืน ถุงนอนเหล่านี้เอาไว้ให้คนแก่และเด็กเล็กใช้ในตอนท้าย นางจางก็ยังเอาใจใส่ทำถุงนอนยัดนุ่นสำหรับสองคนให้เฉินฝานและฉินเย่ว์เจียวกระโจมสร้างเสร็จแล้ว ถุงนอนก็ทำเรียบร้อยแล้ว เตาไฟก็ก่อแล้วลำดับถัดไปก็เป็นเรื่องอาหารแล้วนี่เป็นปัญหาที่ทำให้คนกังวลใจที่สุดเดิมทีเสบียงอาหารก็เหลือเพียงกินไปได้มิกี่วันแล้ว หลังจากที่แผ่นดินไหว ก็ลดทอนลงไปอีก“คนขายเนื้อ!”เฉินฝานตะโกนลั่นทันที“นายท่าน ข้าอยู่นี้ขอรับ!”คนขายเนื้อที่ร่างกายสูงใหญ่วิ่งมาด้านหน้าเฉินฝาน“พกของมีคมทั้งหมดติดตัวมา ไปรวบรวมคนที่ร่างกายค่อนข้างกำยำ แล้วตามข้ามา”“ขอรับ!”“ทำไมล่ะ ครั้งนี้มิพาข้าไปด้วยรึ? เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?” เซียนเจี้ยนหวงสีหน้ามิพอใจเดินโซเซไปด้านหน้าเฉินฝาน“พาไปด้วยสิ!” เฉินฝานฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่เขาจงใจมิเรียก เพราะรอให้