ตั้งแต่เล็ก พวกนางถูกพร่ำสอนให้เชื่อฟังสามีแม้เฉินฝานจะเคลื่อนไม้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไปแล้ว ทว่าพวกนางยังคงไม่กล้าพูดอะไร“เยี่ยม!” เฉินฝานวางไม้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวลง พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด “พวกท่านไม่ต้องเขินอาย ยิ่งไม่ต้องกลัวข้า นับจากนี้พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เข้าใจไหม?”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของท่านหญิงทั้งสองคนราวกับเสียงยุง หลังจากตอบเฉินฝานเสร็จก็รีบก้มหน้าลงทันทีหัวใจของพวกนางเต้นแรงไม่หยุดทั้งเขินอายที่จะสบตากับเฉินฝาน ทั้งสงสัยใคร่รู้ในตัวเฉินฝานสองพี่น้องเงยหน้าขึ้นแอบมองเฉินฝานเป็นครั้งคราว หลังจากเฉินฝานจับได้ ก็รีบก้มหน้าลงความเขินอายต่างๆ ความคิดต่างๆบุรุษตรงหน้าคือสามีของพวกนางเขาแตกต่างจากคุณชายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงผิวขาว ทว่าไม่ดูอ่อนยวบเหมือนคุณชายเหล่านั้นแววตาของเขาลุ่มลึก ให้ความรู้สึกเข้มแข็งมองแล้วมีความสุขุม เสียงอ่อนโยนไพเราะอย่างมาก คำพูดคำจาก็เปี่ยมล้นด้วยมารยาทนับตั้งแต่พวกนางเข้าพิธีปักปิ่น ท่านแม่ก็เคยพร่ำบ่นเสมอสตรีเลือกบุรุษ จงจำให้ดีอย่ามองเพียงรูปร่างภายนอก ยิ่งไม่ต้องให้ความสำคัญกับความร่ำรวยของบุรุษ
“แล้วพวกท่านจะทำหรือไม่?” เฉินฝานย้อนถาม“แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีทางทำ!” สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน“เช่นนั้นก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”“ไม่สั่งสอนก็ได้เจ้าค่ะ!” หลิวหมัวมัวพูดความคิดของเฉินฝานไม่เหมือนคนทั่วไป หลิวหมัวมัวเคยชินแล้ว“นายท่าน ท่านรีบแลกดื่มกับเจ้าสาวทั้งสองเถอะเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะล่วงเลยฤกษ์ยามแล้ว”หลิวหมัวมัวให้เฉินฝานนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างฉินฮวาและฉินเหนียน ทั้งสามคล้องแขนแลกกันดื่ม“ขอให้คู่บ่าวสาว ครองรักกันยืนยาว รักกันตลอดไป มีลูกมีหลานในเร็ววัน!”หลิวหมัวมัวมัดชายเสื้อของทั้งสามคนเข้าด้วยกัน แล้วออกไปห้องหอตกสู่ความเงียบทั้งสามคนในห้องนั่งเงียบ ความตื่นเต้นแผ่ซ่านไปทั่วห้องหอหลังจากนี้ เป็นพิธีสำคัญที่สุดของคืนเข้าหอให้สตรีข้างกายทั้งสองคนเป็นฝ่ายพูด นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้“เอ่อ...”เฉินฝานเพิ่งพูด ฉินฮวาที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวายืนขึ้น “ข้าเป็นพี่ ควรยอมน้องสาว นายท่าน ให้เหนียนเอ๋อร์ปรนนิบัติก่อนเจ้าค่ะ”พูดจบ แก้ชายเสื้อตนเองแล้ววิ่งออกไป“ท่านพี่!”ฉินเหนียนแก้ชายเสื้อแล้ววิ่งไล่ตามไป“ข้าเป็นน้องสาว มีอย่างที่ไหนให้น้องสาวเริ่มก่อนพี่สาว”“
ตอนที่เด็กน้อยยังไม่ได้ดื่มสุรา มีความเป็นกุลสตรี หลังจากดื่มสุราแล้วนั้น กลายเป็นคนที่มีความกล้าเพียงครู่หนึ่ง ก็นั่งบนตักเขาแล้ว“ก่อนออกเรือน ท่านแม่ให้อาหมัวมาอบรมสั่งสอน อาหมัวกล่าวว่า ช่วยสามีถอดอาภรณ์ สิ่งแรกที่ต้องทำ ก็คือ...”เฉินฝานรู้สึกเพียงระหว่างเอวหลวม เข็มขัดของเขาถูกฉินฮวาดึงออกมา เฉินฝานส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม มองไม่ออกจริงๆ มือเรียวบางขาวดั่งหยก จะมีเรี่ยวแรงมากเช่นนี้“หลังจากนั้นก็คือ...”พวงแก้มแดงระเรื่อสีน้ำเมาแดงของฉินฮวา ขยับแนบชิดเฉินฝานไม่หยุด มือทั้งสองจับกระดุมเสื้อของเฉินฝาน ออกแรงจนเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่อาจปลดกระดุมได้“นายท่าน กระดุมของนายท่านทำจากเหล็กหรือ? จึงปลดยากเช่นนี้?” ดวงตาฉินฮวาฉายความเมามาย เบิกกว้างมองเฉินฝานดุเหมือนเด็กน้อย มองแล้วน่ารักยิ่งนัก ความน่ารักนี้เคล้าไปด้วยความเย้ายวนเฉินฝานจับแก้มฉินฮวาเบาๆ “ปลดอย่างตรงไหน เจ้าดื่มเยอะต่างหาก...”เสียงครืดดังขึ้น ขัดคำพูดของเฉินฝานฉินฮวาฉีกชุดแต่งงานที่นางสวมใส่แล้ว ร่างบางเหลือเพียงเสื้อชั้นในปักลายนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งช่วยบดบังเฉินฝานสูดลมหายใจเข้าลึกๆดูไม่ออกจริงๆ ดูไม่ออกจริงๆเรือน
“อ๋องเจิ้นหนานก่อกบฏเช่นนั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เหมยตกใจจนแทบลุกจากบัลลังก์มังกรภายในตำหนัก มีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นเป็นพักๆทหารเตียนตูของอ๋องเจิ้นหนาน ความสามารถเป็นรองเพียงกองทัพหมาป่าของเพ่ยจี้ อ๋องเจิ้นหนานก่อกบฏ เช่นนั้นต้าชิ่งวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก ตกอยู่ในความเสี่ยงเพ่ยจี้อยู่แดนเหนือต้านทานชาวหู ไม่อาจแยกตัวไปรบกับอ๋องเจิ้นหนานเมืองเตียนตูได้“ฝ่าบาท ตอนนี้อ๋องเจิ้นหนานยึดเมืองฝูตูได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังมุ่งหน้าไปเมืองหรงตู!”“ยึดเมืองฝูตูได้แล้ว! เตรียมบุกหรงตู?” เสิ่นหมิงหยวนร้องตะโกนเสียงดัง กอดหยกสมปรารถนาโค้งตัวลงกล่าว “ฝ่าบาท สถานการณ์สงครามในเวลานี้ไม่อาจประมาทได้ ต้องรีบส่งทหารฝ่ายหน้าไปตั้งรับพ่ะย่ะค่ะ”“ขุนนางที่รับ!”สายตาของฉินเย่ว์เหมยมองไปยังขุนนางฝ่ายบู๊ในตำหนัก “มีผู้ใดยินดีต่อสู้กับอ๋องเจิ้นหนานหรือไม่?”“...” ภายในตำหนักเงียบสงัด ไม่มีเสียงตอบรับเวลานี้ในแคว้นต้าชิ่งชายมากหญิงน้อย นอกจากเพ่ยจี้แล้ว ทหารที่เหลือไม่มีผู้ใดมีความสามารถมากพอในการต้านทานอ๋องเจิ้นหนาน“ฝ่าบาท!”เสิ่นหมิงหยวนส่งเสียงอีกครั้ง “กระหม่อมขอเสนอเหอกังเจอ เหอจื่อหลินทหารสองนายน
“พวกท่านสองพ่อลูกไม่ต้องแย่งกัน เสิ่นหมิงหยวนเสนอชื่อพวกท่านทั้งสองในท้องพระโรง ไม่ว่าพวกท่านคนใดอยากอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่อาจเป็นไปได้” เฉินฝานพูด“เสิ่นหมิงหยวนอยากโค่นล้างตระกูลเหอของพวกข้า!” เหอกังกำหมัดแน่น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความแค้น“กล่าวอย่างถูกต้องคือ เสิ่นหมิงหยวนอยากฆ่าพวกเราทั้งหมด ตราบใดที่พวกเราไม่แปรพักตร์ไปอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยพวกเรา ดังนั้น...”เฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเราไม่อาจโอดครวญ พวกเราต้องรักษาชีวิตของตนเอง และต้องกำจัดอ๋องเจิ้นหนานทิ้ง”“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์เหมยยังคงมีสีหน้ากังวล “กำจัดอ๋องเจิ้นหนานเป็นเรื่องยาก ค่ายลาดตระเวนนั่น...”แม้ปฐมจักรพรรดิจะลดจำนวนทหารเตียนตูไปมากแล้ว ทว่ายังมีมากถึงห้าหมื่นนายอ๋องเจิ้นหนานเป็นคนโหดเหี้ยม ยามเขาฝึกทหาร เทียนไม่เห็นทหารเป็นคนภายใต้การฝึกหนักของอ๋องเจิ้นหนาน ทหารเตียนตูแต่ละคนราวกับพยัคฆ์ร้าย โหดเหี้ยมอย่างมากค่ายลาดตระเวนของเหอจื่อหลิน แม้จะมีห้าหมื่นคนเช่นเดียวกัน แต่โดยมากล้วนเป็นบุรุษที่มาจากตระกูลใหญ่ บวกกับเสิ่นหยวนฮวาไม่รู้วิธีฝึกทหาร เวลานี้ทหารห้าหมื่นนายในค่ายลาดตระเวน นอกจากรังแ
“ตนรอใต้เท้าอยู่ก็พูดตามตรง เหตุใดต้องอ้างฮองเฮาด้วย!”หงอิงวิ่งออกไป เพราะว่า...“ปึ้ง!”แท่นบดหมึก ถูกโยนไปตำแหน่งที่หงอิงยืนเมื่อครู่ห่างจากเข้าวังหลวงรอบก่อน ประมาณสิบวันแล้วไม่เจอกันสิบวัน เสิ่นไต้มั่นราวกับหญ้าแห้งในไร่ เมื่อเฉินฝานมา ก็ระดมจูบกอดทางด้านฉินเย่ว์เหมยและขันทีผู้ดูแลกลับไม่สนใจ ปล่อยให้เสิ่นไต้มั่นอยู่กับเฉินฝานจนถึงเช้าตรู่ กว่าเฉินฝานจะได้ออกมาจากตำหนักฮองเฮา“ล่วงเลยยามจื่อแล้ว ไม่สะดวกออกจากวังหลวงแล้ว วันนี้เจ้าอยู่พระตำหนักไท่เหอแล้วกัน!”กลับถึงพระตำหนักไท่เหอ ฉินเย่ว์เหมยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วเดินเข้าไปในตำหนักถอดชุดนางกำนัลออกนี่มันเรื่องอะไรเฉินฝานยืนฉงนอยู่ที่เดิม ไม่ให้เขาออกจากวังหลวงเช่นนั้นหรือ?หลายครั้งก่อนตอนเข้าเฝ้าเหอเสียนเฟย ก็อยู่จนถึงดึก แต่ฉินเย่ว์เหมยยังคงหาวิธีออกจากวังหลวงให้เขาได้ตอนออกมา เห็นเฉินฝานยืนอยู่ที่เดิม จึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดจึงยืนอยู่ข้างนอก ไม่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า”“เฮ้อ เข้าใจแล้ว!” เฉินฝานเบ้ปาก รีบวิ่งเข้าไปในตำหนักตำหนักด้านใน ฉินเย่ว์เหมยไม่ให้เข้ามานานแล้วเมื่อเข้ามาด้านในตำหนัก เฉิ
“นี่คือจานบินโลหิต นี่คือเกาทัณฑ์แขนเสื้อดอกเหมย นี่คือขนนกยูงมรกต...”กลัวเฉินฝานใช้ไม่เป็น ฉินเย่ว์เหมยจึงเริ่มสอนรอบที่สอง“พอได้แล้ว!” เฉินฝานคว้าข้อมือของฉินเย่ว์เหมย ดึงตัวนางมาข้างกาย “หยุดพูดได้แล้ว ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ฝ่าบาทยังต้องเข้าท้องพระโรงแต่เช้า”เฉินฝานอยากอุ้มฉินเย่ว์เหมยไปที่เตียงเดินทางทะลุมิติมาตั้งนาน เขายังไม่เคยนอนกอดภรรยาหลวงคนนี้มาก่อนผลสุดท้ายเฉินฝานเพิ่งอุ้มฉินเย่ว์เหมยเข้าไปในผ้าห่มไม่นาน นางก็ดึงสติกลับมา“คนบ้า!”ฉินเย่ว์เหมยจ้องไปที่แผงอกกว้างของเฉินฝาน แล้วเตะหนึ่งที“อั๊ยโย๊ว!”เฉินฝานเอามือป้องหน้าอก แกล้งทำเป็นเจ็บปวด “ท่านคิดอยากจะลอบสังหารสามีตนเองจริงๆ หรือ เจ็บยิ่งนัก!”“ระมัดระวังคำพูด สามีอะไร ข้าบอกอีกรอบ ข้าไม่มีวันแต่งงานกับใคร!”“ว้าว ท่านแต่งเข้าตระกูลเฉิน คิดไม่ถึงว่าหลังจากได้กันแล้วก็จะไม่รับผิดชอบ ผู้หญิงใจร้าย!”เฉินฝานบิดพลิ้ว คำพูดของเขาทำให้ฉินเย่ว์เหมยเขินอายยิ่งนัก “ข้าไม่รับผิดชอบตอนไหน ตอนนั้นข้าแต่งเข้าตระกูลเจ้า ทว่าพวกเราไม่ได้ ไม่ได้ร่วมหอกันเสียหน่อย!”“แม้ไม่ได้ร่วมหอท่านก็เป็นคนของข้า แต่ตอนน
พ่อลูกตระกูลเหออกรบ สยบกบฏ ฉินเย่ว์เหมยนำขบวนขุนนางนับร้อยออกไปส่งนอกวังหลวง“เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมา!”ตอนเฉินฝานขึ้นรถม้า จู่ๆ ก็ถูกฉินเย่ว์เหมยดึงตัวลงมา“ฝ่าบาท ท่านวางใจเถอะ ข้ายังไม่ได้ดื่มด่ำกับน้ำมังกรมากพอ”" เฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้มความเสน่หาระหว่างเฉินฝานและฉินเย่ว์เหมย บรรดาขุนนางเพียงเบือนหน้าหนี ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใดเพราะถึงอย่างไร เฉินฝานก็เป็นขุนนางคนโปรดของฉินเย่ว์เหมย ทางด้านฉินเย่ว์เหมยก็ชื่นชอบไม้ป่าเดียวกัน“คน...”“โอ๊ย ฝ่าบาท ท่านช่วยเปลี่ยนคำได้หรือไม่ ข้าฟังคำนี้จนเบื่อแล้ว”เฉินฝานอาศัยโอกาสนี้กระโดดขึ้นรถม้าต้องรีบหนี มิเช่นนั้นฉินเย่ว์เหมยเปลี่ยนใจกะทันหันไม่ปล่อยเขาไปทหารสยบกบฏ เดินทางไกลออกไปเรื่อยๆ“ท่านพ่อ กองทัพทหารหญิงร้อยกว่าคนของเฉินฝานตามไปแล้ว” เสิ่นหยวนฮวาเดินไปหาเสิ่นหมิงหยวนแล้วพูดกระซิบเสียงเบา“คิดว่าทหารเตียนตูเป็นโจรภูเขาจริงๆ หรือ?”“ช่างโง่เขลา น่าขันจริงๆ!”หลี่ชิ่งที่ไม่ค่อยพูดจาเพียงส่ายหน้า แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน“เฮ้อ ไม่อาจพูดเช่นนี้ บางทีซื่อหลางกรมพระคลังของพวกเรา อาจจะมีวิธีกลยุทธ์แปลกๆ ก็ได้?” รอยยิ้มบนใ
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ