หลี่ซานกับอาของเสิ่นหยวนเลี่ยง สู้รบราคารับซื้อน้ำมันมาครึ่งเดือน ในท้ายที่สุดหลี่ซานก็จากลาด้วยความพ่ายแพ้ถึงแม้ว่าจะสู้รบมาครึ่งเดือนนานเพียงนั้น ทว่าหลี่ซานซื้อน้ำมันกลับมาไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าเขาเสนอราคาเท่าใด ฝ่ายตรงข้ามก็จะให้สูงกว่าเขาหนึ่งเท่าเสมอ“ไม่เลว!” เฉินฝานนับธนบัตรบนร่างหลี่ซาน พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“ดีอะไรกันเล่า!” หลี่ซานก้มหน้าสีหน้าเปี่ยมด้วยความหดหู่“จะไม่ดีได้อย่างไร พี่ดูสิ!” เฉินฝานสะบัดธนบัตรปึกใหญ่นี้ไปมา “เงินธนบัตรเยอะกว่าตอนออกไปตั้งหนึ่งหมื่นตำลึง”พ่อค้าน้ำมันแคว้นฉู่คนหนึ่งรับปากหลี่ซานว่าจะให้น้ำมันสนหมื่นเหลียงกับเขา หลังจากที่ฝั่งเสิ่นหยวนเลี่ยงขึ้นราคา พ่อค้าคนนั้นก็เอาเงินธนบัตรคืนให้เขา และคืนให้สองเท่า“น้องฝาน มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้าอย่าทำเป็นเล่น รีบคิดหาวิธีอื่นเถอะ” หลี่ซานร้อนใจจะตายแล้ว ก่อนที่จะมาพบเฉินฝาน เขาไปทำความเข้าใจกับลู่ชุนเยี่ยนมาแล้ว น้ำมันสนที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เหลือใช้เพียงแค่หนึ่งวันแล้ว“ข้าจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้มีเพียงร้านค้าตระกูลมารดาเสิ่นหยวนฮวาที่ขายให้พวกเราแล้ว” เฉินฝานนำเงินธนบัตรในมือส่งให้หลี่ซาน “พี่
“อย่างเห็นได้ชัดว่าข้าเป็นคนเสนอเก้าสิบเก้าหลี่ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเจ้า”“เจ้ามาแล้ว!”เมื่อเห็นเฉินฝาน ฉินเย่ว์เหมยโล่งอกเล็กน้อย นางไม่รู้จะปลอบลู่ชุนเยี่ยนอย่างไรแล้ว“ใต้เท้า!” เมื่อเห็นเฉินฝาน ลู่ชุนเยี่ยนยิ่งรู้สึกผิด “ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายแก้ต่างให้ข้า”หนึ่งเวินแตกต่างกับเก้าสิบเก้าหลี่อย่างไรตอนแรกที่คิดกลยุทธ์นี้ได้ นางภาคภูมิใจในตัวเองอยู่หลายวัน คิดว่าตนจะกลายเป็นผู้ช่วยที่เก่งที่สุดของเฉินฝานทว่าคิดไม่ถึง เพราะความคิดของนาง ดึงเฉินฝานให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เสิ่นหยวนเลี่ยงเอาชนะไปก่อนนางได้ยินขุนนางมากมายหัวเราะเยาะเฉินฝาน หัวเราะเยาะเขาว่าไร้ความสามารถ ทำได้เพียงพึ่งพิงสตรี ตอนนี้เจอปัญหาเข้าแล้ว“ข้าช่วยท่านแก้ต่างอะไร ข้าเป็นคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ เหลือเวลาอีกเก้าวันกว่าจะครบหนึ่งเดือน ท่านเริ่มร้องไห้แล้ว อยากให้ข้ารีบแพ้เช่นนั้นหรือ?” เฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเฉินฝานโมโห ลู่ชุนเยี่ยนไม่รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกประทับใจนางรู้ดี เฉินฝานโมโหก็เพื่อให้นางรู้สึกผิดน้อยลงในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ เขายังคิดถึงความรู้สึกของนาง บุรุษเช่นนี้ หายาก
ขันทีและนางกำนัลที่อยู่ในพระตำหนักไท่เหอพากันหันหลัง ไม่กล้ามองใบหน้าเย็นชาของฉินเย่ว์เหมย ฉายความประหม่าเล็กน้อยพวงแก้มของลู่ชุนเยี่ยนก็แดงระเรื่อ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉายิ่งนัก มีเพียงสามีที่ยามปกติให้เกียรติและรักใคร่ภรรยาเท่านั้น ภรรยาจึงกล้าทำเช่นนี้“จุ๊บ จุ๊บ!”ณ พระตำหนักไท่เหอ ยังคงเต็มไปด้วยเสียงหอมแก้มของฉินเย่ว์เจียว“พอได้แล้ว อยากหอมอยากจูบพวกเจ้ากลับไปทำที่จวนเฉินนู้น!” ฉินเย่ว์เหมยทนไม่ไหว จำต้องเอ่ยปากร้องปรามฉินเย่ว์เจียวปล่อยเฉินฝาน ทั้งยังแลบลิ้น แสดงท่าทีปฏิเสธฉินเย่ว์เหมยถลึงตามองนางครู่หนึ่ง กว่านางจะก้มหน้าลงอย่างว่าง่ายตั้งแต่เล็กจนโต ฉินเย่ว์เจียวกลัวฉินเย่ว์เหมยมาโดยตลอด“ของที่ใต้เท้าเฉินสั่งให้เจ้านำกลับมา เจ้านำกลับมาแล้วหรือยัง?” ฉินเย่ว์เหมยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ“นำกลับมาหมดแล้ว!”“ไม่มีใครสะกดรอยตามเจ้ากระมัง”“แน่นอนว่าไม่มีเจ้าค่ะ คิดอยากสะกดรอยตามข้าฉินเย่ว์เจียว ไม่รักชีวิตแล้วกระมัง?” ใบหน้างดงามของฉินเย่ว์เจียว เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนางไม่ได้คุยโว แต่นางมีความสามารถนี้จริงๆวิชาธนูของนางแม่นยำ ทั้งยังพกระเบิดมือที่เฉินฝานทำไว
“บอกเจ้าแล้ว เจ้าจะแสดงได้สมจริงเช่นนั้นหรือ?” เฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้ม“ใช่เจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์เจียวก็ยิ้มตอบเช่นเดียวกัน “หากไม่สมจริง พวกเสิ่นหยวนเลี่ยงจะเชื่อหรือเจ้าคะ?”“พวกเขาเชื่อแล้ว แต่พวกท่านรู้หรือไม่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตอย่างไร?” หลี่ซานโมโหจนเป่าหนวดถลึงตาเขาเตรียมที่จะนำไหสุราและระเบิดมือทำมือ แขวนติดตัวแล้วตายไปพร้อมกับเสิ่นหยวนเลี่ยงแล้ว“น้องหลี่ ข้าเองก็ถูกพวกเขาปิดเรื่องเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ใจเย็นๆ โมโหไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย” ลู่ชุนเยี่ยนปลอบหลี่ซาน“แม้ท่านจะถูกพวกเขาปิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็รู้ก่อนข้า คิดไม่ถึงว่าข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้”หลี่ซานเศร้าใจมากจริงๆ เขาและเฉินฝานนับถือเป็นพี่เป็นน้องกันมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว ตอนนี้แม้ไม่ใช่ญาติมิตรแต่ก็สนิทกันเหมือนญาติมิตร แต่เขากลับเพิ่งรู้ความจริงตอนนี้ ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก”“เพราะท่านเป็นคนสุดท้ายที่ทราบเรื่อง จึงทำให้พวกเสิ่นหยวนเลี่ยงทำตัวไม่ถ๔ก”เมื่อได้ยินลู่ชุนเยี่ยนวิเคราะห์เช่นนี้ หลี่ซานสบายใจขึ้นมากแล้ว เขาหยุดโมโห หยิบขวดเล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมา“เขามองจักรเย็บผ้าที่ทำงานต
“ไม่ไปแย่งกันซื้อเสื้อผ้าสกุลฉินของเรา แล้วจะทำอะไรได้เจ้าคะ?” ฉินเย่ว์เจียวไม่เข้าใจ“เจ้าดูสิ!” เฉินฝานชี้ไปยังผู้คนบนท้องถนน “ในมือและหัวไหล่ของพวกเขามีถุงกระสอบ แย่งกันซื้อเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องนำถุงกระสอบไปกระมัง อีกอย่าง ตอนนี้เสื้อผ้าร้านสิ่งทอก็ล้วนต้องสั่งจองล่วงหน้า ไม่มีเสื้อผ้าให้พวกเขาสวมใส่”“ที่นายท่านพูดก็ถูกเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เจียวพูดจบ วิ่งไปบนท้องถนน ขวางสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งแล้วถาม “พี่สาว พวกท่านจะไปแย่งอะไรกันหรือ?”“แย่งข้าวสาร ข้าวสารร้านค้าข้าวสกุลหลี่ลดราคากระหน่ำ เพียงเก้าสิบเก้าหลี่เท่านั้น เฮ้อ น้องสาว เจ้าเป็นฮูหยินที่อยู่ในเรือนหลังใหญ่ ไม่เข้าใจความลำบากของชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเรา เจ้าอย่าขวางทางข้า ขืนไปสายข้าก็ไม่ได้แล้ว”หญิงวัยกลางคนวิ่งไปไกล กว่าฉินเย่ว์เจียวจะดึงสติกลับมา“นายท่าน ข้าวสารหนึ่งจินเพียงเก้าสิบเก้าหลี่ เสิ่นหยวนเลี่ยงเล่นใหญ่เกินไปแล้วกระมังเจ้าคะ!”“จริง!” เฉินฝานพยักหน้า “เพื่อรักษาอำนาจในการควบคุมท้องพระคลัง ตระกูลเสิ่นยอมทำทุกอย่างจริงๆ”เสื้อผ้าชำรุดเล็กน้อย เย็บปะแล้วยังสวมใส่ใหม่ได้ แต่ข้าวไม่อาจอดแม้เพียงหนึ่งวันหลังจากข
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ใต้เท้าบอกว่า อาหารเป็นดั่งสวรรค์ของไพร่ฟ้า การค้าขายอาหารและน้ำมันของแคว้นเรา ล้วนอยู่ในกำมือของตระกูลหลี่ซึ่งเป็นครอบครัวของภรรยาเสิ่นหมิงหยวน อยู่ในมือตระกูลหลี่ เช่นนั้นก็เท่ากับอยู่ในมือของเสิ่นหมิงหยวน”“เพราะครอบครองเสบียงอาหารของทุกคนในต้าชิ่ง เสิ่นหมิงหยวนจึงกล้าเหิมเกริมไม่กลัวเกรงสิ่งใดเช่นนี้”“การแข่งขันครั้งนี้ ทุกรายการแข่งขัน สุดท้ายล้วนตกอยู่ภายใต้การดูแลของท้องพระคลัง อนาคตเสบียงอาหารของแคว้นโดยส่วนมาก ก็จะอยู่ในการดูแลของทางการเพคะ”“อีกทั้งการบริหารรายการต่างๆ ที่นำมาใช้จะต้องให้ท้องพระคลังคอยดูแล ข้อนี้เสิ่นหมิงหยวนเป็นผู้เสนอ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชรานั่น อยากรวบกิจการร้านสิ่งทอสกุลฉินของใต้เท้าเฉิน ทว่าคิดไม่ถึงความฉลาดของเขากลับใช้ในทางที่ผิด โยนก้อนหินใส่เท้าตนเอง”“ฮ่าๆ สาแก่ใจจริงๆ ช่างสาแก่ใจจริงๆ!”พูดถึงตอนท้ายๆ ลู่ชุนเยี่ยนดีใจจนน้ำตาไหล“เช่นนั้นก็หมายความว่า คนชนะคือพวกเรา!”“น้องฝาน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทำได้ หากทำไม่ได้เจ้าคงไม่กล่าวออกมา”เหอจื่อหลินและหลี่ซานก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเช่นเดียวกัน“นายท่านของข้าจะแพ้ได้อย่างไร?” ฉินเย่
“เจ้าค่ะ!” ลู่ชุนเยี่ยนลุกขึ้นยืนจากจักรเย็บผ้า ตอบกลับเสียงอ่อนหวาน“...” เฉินฝานบ่นในใจ เหตุใดลู่ชุนเยี่ยนจึงต่างจากเมื่อครู่นางในตอนนี้...อ่อนโยนดั่งน้ำ เคล้าไปด้วยความเขินอาย แววตาที่มองเขา เปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลง เคล้าไปด้วยเสน่หาเฉินฝานชะงักเขาคล้ายจะเข้าใจสิ่งที่ฉินเย่ว์เหมยพูดก่อนกลับแล้วคืนนี้ ถึงคราเปิดป้ายสนมลู่คอเกร็งเล็กน้อย ไม่อาจมองลู่ชุนเยี่ยนด้วยความสงบเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ววไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือดีใจ ตอนลู่ชุนเยี่ยนเดินมาหาเฉินฝาน นางสะดุดล้ม“ระวัง!”ลู่ชุนเยี่ยนล้มลงในอ้อมกอดอบอุ่นเวลานี้ มือข้างหนึ่งของเฉินฝานประคองนาง มืออีกข้างอยู่บนจักรเย็บผ้า พยุงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงสายตาของลู่ชุนเยี่ยนมองไปทางจักรเย็บผ้าไม่ถึงหนึ่งวินาทีตอนถอนสายตากลับมา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมานางไม่อยากรอคืนนี้แล้วในเมื่อวาสนาของนางกับเฉินฝาน มาจากจักรเย็บผ้า เช่นนั้น...“ใต้เท้า!” จู่ๆ ลู่ชุนเยี่ยนก็ยื่นมือไปกอดคอเฉินฝานเฉินฝานไม่ทันสังเกตว่าลู่ชุนเยี่ยนจะมีการกระทำเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้ระวังตัว ถูกลู่ชุนเยี่ยนกอดเอาไว้ลู่ชุนเยี่ยนล้มลงบนจักรเย็บผ้า ร่างกายขอ
สีหน้าของลู่ชุนเยี่ยนฉายความอิ่มเอม หลังจากจัดเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย นางก็เปิดม่าน“ซืออี๋ ลูกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”ลู่ซืออี๋ในเวลานี้ พวงแก้มแดงก่ำ เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้“ท่านแม่ ใต้เท้า”เสียงของลู่ซืออี๋ อ่อนแรงยิ่งกว่า ลู่ชุนเยี่ยนที่ถึงจุดหฤหรรษ์เมื่อครู่เสียอีกเฉินฝานและลู่ชุนเยี่ยนมองหน้ากันครู่หนึ่งไม่ต้องเอ่ยปาก ก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเฉินฝานคว้าเสื้อตัวหนึ่ง เดินไปทางลู่ซืออี๋เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมดแล้ว หากไม่เปลี่ยนต้องเป็นหวัดแน่ๆ“ใต้เท้า ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ!”ลู่ชุนเยี่ยนรับเสื้อผ้ามาจากมือเฉินฝาน“ข้าบอกท่านแล้ว เมื่อครู่ไม่ควรใจร้อนเช่นนั้น ตอนนี้สร้างปัญหาแล้ว” เฉินฝานพูด“จะเป็นการสร้างปัญหาได้อย่างไรเจ้าคะ ให้นางลิ้มรสความรู้สึกนั้นก่อนก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาตอนปรนนิบัติรับใช้นายท่าน กระวนกระวายทำตัวไม่ถูก รบกวนความสุขของนายท่านหมดเจ้าค่ะ” ลู่ชุนเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ“...”เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ?เฉินฝานหมดคำจะโต้เถียง...ระยะเวลาแข่งขันหนึ่งเดือนมาถึงแล้วเพิ่งเริ่มต้นท้องพระโรงเช้า ฉินเย่ว์เหมยก็ป่าวประกาศ
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ
ผ่านไปไม่นาน ฉินฮวากับฉินเหนียนก็ถูกช่วยออกมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เฉินฝานก็ยกทัพออกศึกแล้วฉินฮวากับฉินเหนียนเห็นเฉินฝาน ความตื่นเต้นดีใจไม่ได้น้อยไปกว่าฉินเย่ว์โหรวเลยนี่ก็คือสามีของพวกนาง บุรุษที่เหมือนกับขุนเขาเขาไม่ตาย ไม่ตายช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินจริง ๆ! “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีคำพูดมากมายอยากถามข้า แต่ตอนนี้พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน” “ปัง!” คำพูดของเฉินฝานยังไม่ทันสิ้นสุดลง กำแพงที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกพลันถล่มลงมา เปลวไฟที่ลุกโชน ราวกับมังกรเพลิงพุ่งคำรามจากด้านนอกเข้าไปในลานบ้านตัวแล้วตัวเล่าเฉินฝานขมวดคิ้วไฟไหม้นี้รุนแรงขึ้นกว่าสองเท่าจากตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเฉินฝานสูดจมูก ไม่ใช่ในไฟนี้มีกลิ่นน้ำมันสน“ซ่า!” เฉินฝานมองเห็นจากไกล ๆ ว่ามีทหารนายหนึ่งสาดน้ำถังหนึ่งมาทางลานบ้านกลิ่นน้ำมันสนแรงมากขึ้น แท้จริงแล้วในถังนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำมันสนที่ดูใกล้เคียงกับน้ำ“ซ่า!”‘น้ำ’ อีกถังสาดเข้ามาจากด้านนอก และครั้งนี้ทหารคนนั้นวิ่งเข้าไปในลาน แล้วราดใส่ศีรษะของพวกเขาโดยตรง“หมอบลง!” เย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูได้รับการฝึกอบรมมากแล้ว เข้าใจคำสั่งนี้
บางครั้งสาวงามมักจะโง่งมเล็กน้อย “เจ้าไม่ลืมตา แล้วจะมองเห็นสามีได้อย่างไรเล่า?” เฉินฝานพูดพลางเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของฉินเย่ว์โหรวเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูก็เข้ามาเช่นกัน พวกนางใช้ผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของจินเหยียนไชเป่า ก่อนจะอุ้มพวกเขาไปจากอ้อมกอดของฉินเย่ว์โหรว ฉินเย่ว์โหรวที่ถูกเฉินฝานเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกยังคงไม่มีความคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าทันใดนั้นเองอ้อมกอดก็ว่างเปล่าในฐานะมารดาคนหนึ่ง จู่ ๆ บุตรถูกอุ้มไปเป็นเรื่องที่ตื่นตัวมากที่สุด นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“...”ฉินเย่ว์โหรวมองพวกเฉินฝานด้วยสายตาตะลึงงัน ไม่มีความประหลาดใจยินดี ไม่มีการร้องตะโกน น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอเต็มดวงตา สุดท้ายก็พรั่งพรูออกมา“นายท่าน พี่หญิงสาม เย่ว์หนู ขอบใจนะเจ้าคะที่ยังอดทนรอข้าอยู่บนทางสู่ปรโลก”“ปัง“เพล้ง!” คานไม้ตรงมุมห้องที่ถูกเผาจนหักหล่นลงมา ทำให้กระเบื้องหลังคาร่วงตามลงมาด้วย“ทางสู่ปรโลกอันใด...เฮ้อ เจ้านี่นะ นอกจากตอนนับเงินที่ฉลาดมากแล้ว เวลาอื่น ๆ ช่างโง่งมเสียจริง ข้าไม่พูดมากกับคนโง่งมอย่างเจ้าแล้ว”เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์โหรวขึ้นมาแล้วเดินออกไป ฉิ
ภายในคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า“แค่ก แค่ก แค่ก!”“แง้ แค่ก แง้!”เสียงไอของผู้ใหญ่และเสียงไอผสมร้องไห้ของเด็กดังสลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนมากมายปะปนอยู่ในนี้ด้วยมีคนถูกคานที่หล่นลงมาจากหลังคาและประตูหน้าต่างที่โดนถูกเผา ร่วงทับใส่ไม่หยุด “จินเหยียนไชเป่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่ ๆ” ฉินเย่ว์โหรวกอดบุตรชายทั้งสี่คนไว้ในอ้อมแขนแน่น ๆ เด็กน้อยที่น่าเวทนาทั้งสี่คนเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกว่า แต่ละคนหน้าแดงก่ำเพราะไฟที่เผาไหม้ ฤดูเหมันต์ ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เหยียนเป่ากับไชเป่าร่างกายอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่ว์โหรว พวกเขาก็แทบจะไม่มีสติแล้ว“เหยียนเป่า ไชเป่า พวกเจ้าฟื้นสิ พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาสิ!” ฉินเย่ว์โหรวร้องเรียกชื่อของบุตรชายสองคนด้วยความกังวลใจแต่เหยียนเป่ากับไชเป่าไม่มีการตอบสนองเลย“ช่วยด้วย หมัวมัว หมัวมัว”“แค่ก ๆๆ” ฉินเย่ว์โหรวร้องขอความช่วยเหลือแววตาตื่นตระหนก ตะโกนหาหมัวหมัวที่ดูแลข้างกายนางมาโดยตลอด เมื่อเอ่ยปากก็มีควันเข้ามาในปาก ทำให้นางสำลักจนแทบจะทรงตัวนั่งไม่ได้ไม่มีผู้ใดตอบรับฉิน
ภายใต้เสียงร้องเรียกของคนมากมาย เสิ่นหมิงหยวนปรากฏตัวตรงหน้าฉินเย่ว์เหมย คุกเข่าบนพื้น“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ฟื้นแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนในสภาพหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน คล้ายเพิ่งหนีตายเห็นฉินเย่ว์เหมยมองเรือนที่พักของฉินเย่ว์โหรวด้วยสีหน้ากังวล เขารีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ แม้กระหม่อมจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ก็จะช่วยพวกฮูหยินตระกูลเฉินออกมาจากเพลิงไหม้”“แล้วเจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปช่วยอีก!” ฉินเย่ว์เหมยตะคอกเสียงดังกล่าวว่าทำสุดความสามารถ กล่าวว่าแม้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เสิ่นหมิงหยวนใช้สำหรับถ่วงเวลาก็เท่านั้นหลายวันมานี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่ได้กินข้าวและไม่ได้ดื่มน้ำ เมื่อตะคอกเสียงดัง นางรู้สึกคล้ายดาวลอยอยู่ตรงหน้า“ฝ่าบาท!”หงอิงรีบพยุงฉินเย่ว์เหมยที่กำลังจะล้มลง“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองเสิ่นหมิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน ที่เหลือให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ ไม่สนใจว่าฉินเย่ว์เหมยเห็นด้วยหรือไม่ เขาสั่งให้หลี่ชิ่งเอาตัวฉินเย่ว์เหมยออกไปเวลานี้ทหารรักษาพระองค์ท
“สวรรค์ แคว้นต้าชิ่งของเราเพิ่งสูญเสียท่านใต้เท้าอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ตอนนี้ไฟไหม้เรือนที่พักของท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาอีก สวรรค์กำลังลงโทษหรือ”“ก็ใช่น่ะสิ ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสิ้นใจแล้ว ภรรยาและลูกของท่านยังอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชนอีก”“นายท่าน!”ฉินเย่ว์เจียวทราบดีว่าเฉินฝานฝีมือไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิ่งเร็วเช่นนี้ นางไล่อย่างไรก็ไล่ตามไม่ทันวันนี้ลมแรงยิ่งนักเรือนเหนือและเรือนข้างเคียงภายในจวนเจ้าเมืองเซียนตู ไฟลุกโชนเปลวไฟลุกโชน ภายใต้ลมพัดกระหน่ำที่ช่วยโหมให้เปลวไฟรุนแรงมากขึ้น เสียงลมกลืนกินสรรพสิ่ง ควันโขมงปกคลุมทั่วทั้งจวน เปลวไฟที่แผดเผาทำให้คนหายใจไม่ออก เสียงเพลิงไฟ กรีดร้องและคำรามดังก้อง ราวกับเปลวไฟกำลังจะกลืนกินทุกชีวิตพื้นที่ไฟไหม้ชุลมุนวุ่นวาย ภายใต้เปลวไฟ คนมากมายกำลังร่ำไห้ กำลังวิ่ง แววตากังวลและหวาดกลัว รวมถึงเสียงร้องที่กรีดหัวใจเปลวไฟยังคงลุกโชนรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายกำลังหัวเราะเยาะความพยายามอันไร้ค่าของมนุษย์ตัวเล็กๆ“เร็ว เร็วเข้า ช่วยคนเร็วเข้า!”ฉินเย่ว์เหมยที่ร่างกายอ่อนแอ กระโดดลงจากเกี้ยว ผลักขันทีและนางกำนัลข้างกาย
เฉินฝานเข้าเมืองวันที่สอง ก็คือวันที่สองในการจัด ‘พิธีไว้อาลัย’ ของเขาเช่นเดียวกันฟ้ายังไม่สว่าง เฉินฝานก็ตื่นเพราะเสียงร้องไห้ครวญครางด้านนอกเสียงร้องไห้ของชาวบ้าน ยิ่งฟังก็ยิ่งร้องไห้ด้วยความเสียใจเมื่อถาม จึงได้รู้ว่าต้องเสียใจมากๆ เท่านั้นนักการในศาลาว่าการมาตรวจตราได้ทุกเมื่อ หากร้องไห้ไม่เสียใจมากพอ ภาษีปีนี้ จะต้องจ่ายเพิ่มหนึ่งเท่าตัวหนึ่งเท่าตัวทุกคนล้วนร้องไห้ครวญครางเฉินฝานและพวกฉินเย่ว์เจียวแฝงตัวในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังร้องไห้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดพิธีไว้อาลัย แท่นบูชาสวรรค์ของเมืองเซียนตู“ถอยไป ถอยไป!”ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างจากแท่นบูชาหลายร้อยเมตร ทันใดนั้นเองด้านหน้าก็มีเสียงตะโกนด้วยความรีบร้อนคาดเดาจากประสบการณ์ น่าจะเป็นคนสำคัญสักคนหนึ่งออกมาจากแท่นบูชาคนแรกที่ปรากฏในสายตาของเฉินฝาน คือขุนนางหนวดเคราขาวโพลนสี่ห้าคนคนพวกนั้น เฉินฝานรู้จักพวกเขาไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นหมอหลวงในวังหลวง พวกเขาดูรีบร้อนยิ่งนัก คนสุดท้ายนั่งเกี้ยวไร้หลังคาตามไป“ได้ยินว่าฮูหยินนามเย่ว์โหรวของท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายสลบไปอีกแล้ว”ด้านข้างมีเสียงคนกระซิบกระซาบ
”ที่ว่าแย่มากนั้นแย่เพียงใด”“นับตั้งแต่ข่าวการเสียชีวิตไปถึงเมืองหลวง ฮูหยินเย่ว์โหรวก็กินไม่ได้เลยเพคะ”ฉินเย่ว์เหมยขมวดคิ้วเป็นปม “หงอิง สั่งพวกหมัวมัว ให้พวกนางอุ้มจิน เหยียน ไช เป่าไปที่ห้องของเย่ว์โหรว ให้พวกเด็กๆ ในกับเย่ว์โหรว ห้ามไปไหนแม้แต่วินาทีหนึ่ง”สตรีคนหนึ่งสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก สิ่งเดียวที่ทำให้นางมีชีวิตต่อไปได้ คือลูก...ในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องขวา เสิ่นหมิงหยวนก็พักที่จวนเจ้าเมืองเช่นเดียวกันเขาพักอยู่ในเรือนทางทิศเหนือของจวน เรือนนี้ค่อนข้างไกลจากเรือนหลักเสิ่นหมิงหยวนยังเดินไปไม่ถึงเรือนเหนือ ก็เห็นหลี่ชิ่งยืนรอเขาจากที่ไกลๆ แล้ว“ใต้เท้า!”ทันทีที่เจอเสิ่นหมิงหยวน หลี่ชิ่งรีบเดินมาหาทันทีเสิ่นหมิงหยวนยกมือขึ้นบอกหลี่ชิ่งว่ายังไม่ต้องพูด ตามเขาเข้าไปในเรือนก่อน“ใต้เท้า อาการของฝ่าบาทตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ฟื้นหรือยัง?”เสิ่นหมิงหยวนที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่นั้นชะงักเล็กน้อย แววตาของเขาฉายความไม่สบอารมณ์ “แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าเป็นห่วงมันทำไม?”“ขอรับ ใต้เท้า!” หลี่ชิ่งรีบก้มหน้าลงทันที“ยังไม่เจอตัวอีกหรือ?” เสิ่นหมิงหยวนถามหลี่ชิ
“ฉินเย่ว์เจียวตั้งใจยิงธนูไปที่น่องของหญิงวัยกลางคนทว่าหัวลูกธนูนี้ค่อนข้างทื่อ ทำให้คนล้มลง แต่ไม่ทำให้คนบาดเจ็บสาเหตุที่ฉินเย่ว์เจียวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะทดสอบดูว่า หญิงวัยกลางคนคนนี้มีวรยุทธ์หรือไม่ยามคับขัน ระมัดระวังหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ดีฉินเย่ว์เจียวใช้สายตาส่งสัญญาณให้เย่ว์หนู เย่ว์หนูเข้าใจทันที รีบไปพยุงหญิงวัยกลางคน พร้อมกับขอโทษนางเย่ว์หนูที่เดินกลับมาหาฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าหญิงวัยกลางคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพักเท่านั้น...ณ จวนเจ้าเมืองของซื่อต้าเผิง เมืองเซียนตูห้องนอนใหญ่กลางจวน เดิมทีห้องนี้เป็นห้องของซื่อต้าเผิงแต่ว่า ตอนนี้ซื่อต้าเผิงกำลังก้มหน้าโค้งคำนับ ยืนอยู่ข้างประตู ไม่อาจเข้าไปได้ และไม่มีสิทธิ์เข้าไปเสิ่นหมิงหยวนกลับเข้ามาด้วยความรีบร้อนเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู สีหน้าของเขาฉายความกังวลทันทีเขาเดินมาที่หน้าเตียง มองคนบนเตียงคนบนเตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทว่าซีดขาวคิ้วของเสิ่นหมิงหยวนขยับไปมาอย่างรวดเร็ว ตามด้วยถามชายชราที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง “หมอหลวงสวี เมื่อไหร่ฝ่าบาทจะฟื้น?”หมอหลวงสวีส่ายหน้า