“บอกเจ้าแล้ว เจ้าจะแสดงได้สมจริงเช่นนั้นหรือ?” เฉินฝานพูดด้วยรอยยิ้ม“ใช่เจ้าค่ะ!” ฉินเย่ว์เจียวก็ยิ้มตอบเช่นเดียวกัน “หากไม่สมจริง พวกเสิ่นหยวนเลี่ยงจะเชื่อหรือเจ้าคะ?”“พวกเขาเชื่อแล้ว แต่พวกท่านรู้หรือไม่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตอย่างไร?” หลี่ซานโมโหจนเป่าหนวดถลึงตาเขาเตรียมที่จะนำไหสุราและระเบิดมือทำมือ แขวนติดตัวแล้วตายไปพร้อมกับเสิ่นหยวนเลี่ยงแล้ว“น้องหลี่ ข้าเองก็ถูกพวกเขาปิดเรื่องเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ใจเย็นๆ โมโหไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย” ลู่ชุนเยี่ยนปลอบหลี่ซาน“แม้ท่านจะถูกพวกเขาปิดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็รู้ก่อนข้า คิดไม่ถึงว่าข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้”หลี่ซานเศร้าใจมากจริงๆ เขาและเฉินฝานนับถือเป็นพี่เป็นน้องกันมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว ตอนนี้แม้ไม่ใช่ญาติมิตรแต่ก็สนิทกันเหมือนญาติมิตร แต่เขากลับเพิ่งรู้ความจริงตอนนี้ ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก”“เพราะท่านเป็นคนสุดท้ายที่ทราบเรื่อง จึงทำให้พวกเสิ่นหยวนเลี่ยงทำตัวไม่ถ๔ก”เมื่อได้ยินลู่ชุนเยี่ยนวิเคราะห์เช่นนี้ หลี่ซานสบายใจขึ้นมากแล้ว เขาหยุดโมโห หยิบขวดเล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมา“เขามองจักรเย็บผ้าที่ทำงานต
“ไม่ไปแย่งกันซื้อเสื้อผ้าสกุลฉินของเรา แล้วจะทำอะไรได้เจ้าคะ?” ฉินเย่ว์เจียวไม่เข้าใจ“เจ้าดูสิ!” เฉินฝานชี้ไปยังผู้คนบนท้องถนน “ในมือและหัวไหล่ของพวกเขามีถุงกระสอบ แย่งกันซื้อเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องนำถุงกระสอบไปกระมัง อีกอย่าง ตอนนี้เสื้อผ้าร้านสิ่งทอก็ล้วนต้องสั่งจองล่วงหน้า ไม่มีเสื้อผ้าให้พวกเขาสวมใส่”“ที่นายท่านพูดก็ถูกเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เจียวพูดจบ วิ่งไปบนท้องถนน ขวางสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งแล้วถาม “พี่สาว พวกท่านจะไปแย่งอะไรกันหรือ?”“แย่งข้าวสาร ข้าวสารร้านค้าข้าวสกุลหลี่ลดราคากระหน่ำ เพียงเก้าสิบเก้าหลี่เท่านั้น เฮ้อ น้องสาว เจ้าเป็นฮูหยินที่อยู่ในเรือนหลังใหญ่ ไม่เข้าใจความลำบากของชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเรา เจ้าอย่าขวางทางข้า ขืนไปสายข้าก็ไม่ได้แล้ว”หญิงวัยกลางคนวิ่งไปไกล กว่าฉินเย่ว์เจียวจะดึงสติกลับมา“นายท่าน ข้าวสารหนึ่งจินเพียงเก้าสิบเก้าหลี่ เสิ่นหยวนเลี่ยงเล่นใหญ่เกินไปแล้วกระมังเจ้าคะ!”“จริง!” เฉินฝานพยักหน้า “เพื่อรักษาอำนาจในการควบคุมท้องพระคลัง ตระกูลเสิ่นยอมทำทุกอย่างจริงๆ”เสื้อผ้าชำรุดเล็กน้อย เย็บปะแล้วยังสวมใส่ใหม่ได้ แต่ข้าวไม่อาจอดแม้เพียงหนึ่งวันหลังจากข
“ฝ่าบาท เมื่อครู่ใต้เท้าบอกว่า อาหารเป็นดั่งสวรรค์ของไพร่ฟ้า การค้าขายอาหารและน้ำมันของแคว้นเรา ล้วนอยู่ในกำมือของตระกูลหลี่ซึ่งเป็นครอบครัวของภรรยาเสิ่นหมิงหยวน อยู่ในมือตระกูลหลี่ เช่นนั้นก็เท่ากับอยู่ในมือของเสิ่นหมิงหยวน”“เพราะครอบครองเสบียงอาหารของทุกคนในต้าชิ่ง เสิ่นหมิงหยวนจึงกล้าเหิมเกริมไม่กลัวเกรงสิ่งใดเช่นนี้”“การแข่งขันครั้งนี้ ทุกรายการแข่งขัน สุดท้ายล้วนตกอยู่ภายใต้การดูแลของท้องพระคลัง อนาคตเสบียงอาหารของแคว้นโดยส่วนมาก ก็จะอยู่ในการดูแลของทางการเพคะ”“อีกทั้งการบริหารรายการต่างๆ ที่นำมาใช้จะต้องให้ท้องพระคลังคอยดูแล ข้อนี้เสิ่นหมิงหยวนเป็นผู้เสนอ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชรานั่น อยากรวบกิจการร้านสิ่งทอสกุลฉินของใต้เท้าเฉิน ทว่าคิดไม่ถึงความฉลาดของเขากลับใช้ในทางที่ผิด โยนก้อนหินใส่เท้าตนเอง”“ฮ่าๆ สาแก่ใจจริงๆ ช่างสาแก่ใจจริงๆ!”พูดถึงตอนท้ายๆ ลู่ชุนเยี่ยนดีใจจนน้ำตาไหล“เช่นนั้นก็หมายความว่า คนชนะคือพวกเรา!”“น้องฝาน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทำได้ หากทำไม่ได้เจ้าคงไม่กล่าวออกมา”เหอจื่อหลินและหลี่ซานก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเช่นเดียวกัน“นายท่านของข้าจะแพ้ได้อย่างไร?” ฉินเย่
“เจ้าค่ะ!” ลู่ชุนเยี่ยนลุกขึ้นยืนจากจักรเย็บผ้า ตอบกลับเสียงอ่อนหวาน“...” เฉินฝานบ่นในใจ เหตุใดลู่ชุนเยี่ยนจึงต่างจากเมื่อครู่นางในตอนนี้...อ่อนโยนดั่งน้ำ เคล้าไปด้วยความเขินอาย แววตาที่มองเขา เปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลง เคล้าไปด้วยเสน่หาเฉินฝานชะงักเขาคล้ายจะเข้าใจสิ่งที่ฉินเย่ว์เหมยพูดก่อนกลับแล้วคืนนี้ ถึงคราเปิดป้ายสนมลู่คอเกร็งเล็กน้อย ไม่อาจมองลู่ชุนเยี่ยนด้วยความสงบเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ววไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นเต้นหรือดีใจ ตอนลู่ชุนเยี่ยนเดินมาหาเฉินฝาน นางสะดุดล้ม“ระวัง!”ลู่ชุนเยี่ยนล้มลงในอ้อมกอดอบอุ่นเวลานี้ มือข้างหนึ่งของเฉินฝานประคองนาง มืออีกข้างอยู่บนจักรเย็บผ้า พยุงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงสายตาของลู่ชุนเยี่ยนมองไปทางจักรเย็บผ้าไม่ถึงหนึ่งวินาทีตอนถอนสายตากลับมา ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมานางไม่อยากรอคืนนี้แล้วในเมื่อวาสนาของนางกับเฉินฝาน มาจากจักรเย็บผ้า เช่นนั้น...“ใต้เท้า!” จู่ๆ ลู่ชุนเยี่ยนก็ยื่นมือไปกอดคอเฉินฝานเฉินฝานไม่ทันสังเกตว่าลู่ชุนเยี่ยนจะมีการกระทำเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้ระวังตัว ถูกลู่ชุนเยี่ยนกอดเอาไว้ลู่ชุนเยี่ยนล้มลงบนจักรเย็บผ้า ร่างกายขอ
สีหน้าของลู่ชุนเยี่ยนฉายความอิ่มเอม หลังจากจัดเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย นางก็เปิดม่าน“ซืออี๋ ลูกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”ลู่ซืออี๋ในเวลานี้ พวงแก้มแดงก่ำ เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้“ท่านแม่ ใต้เท้า”เสียงของลู่ซืออี๋ อ่อนแรงยิ่งกว่า ลู่ชุนเยี่ยนที่ถึงจุดหฤหรรษ์เมื่อครู่เสียอีกเฉินฝานและลู่ชุนเยี่ยนมองหน้ากันครู่หนึ่งไม่ต้องเอ่ยปาก ก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเฉินฝานคว้าเสื้อตัวหนึ่ง เดินไปทางลู่ซืออี๋เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมดแล้ว หากไม่เปลี่ยนต้องเป็นหวัดแน่ๆ“ใต้เท้า ข้าจัดการเองเจ้าค่ะ!”ลู่ชุนเยี่ยนรับเสื้อผ้ามาจากมือเฉินฝาน“ข้าบอกท่านแล้ว เมื่อครู่ไม่ควรใจร้อนเช่นนั้น ตอนนี้สร้างปัญหาแล้ว” เฉินฝานพูด“จะเป็นการสร้างปัญหาได้อย่างไรเจ้าคะ ให้นางลิ้มรสความรู้สึกนั้นก่อนก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาตอนปรนนิบัติรับใช้นายท่าน กระวนกระวายทำตัวไม่ถูก รบกวนความสุขของนายท่านหมดเจ้าค่ะ” ลู่ชุนเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ“...”เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ?เฉินฝานหมดคำจะโต้เถียง...ระยะเวลาแข่งขันหนึ่งเดือนมาถึงแล้วเพิ่งเริ่มต้นท้องพระโรงเช้า ฉินเย่ว์เหมยก็ป่าวประกาศ
หลิวเกาจัวอยากใช้คำพูดประชดประชันเฉินฝาน แต่กลับถูกเสิ่นหยวนเลี่ยงพูดแทรก “กำลังบาดเจ็บ ก็กลับไปนอนพัก มาเข้าท้องพระโรงเช้าอะไรกัน!”“ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของใต้เท้าเสี่ยวเสิ่น!” หลิวเกาจัวฟังออกว่าเสิ่นหยวนเลี่ยงไม่พอใจ แต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสิ่นหยวนเลี่ยงจึงไม่พอใจเสิ่นหยวนเลี่ยงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเลขากรมการ ตามหลักปฏิบัติในอดีตที่ผ่านมา ตระกูลเสิ่นควรจัดงานเลี้ยงฉลองพวกพ้องของเสิ่นหมิงหยวน เตรียมของขวัญแล้ว รอเทียบเชิญจากตระกูลเสิ่นแต่พวกเขารออยู่นาน ยังคงไม่ได้รับเทียบเชิญบุคคลเฉกเช่นหลิวเกาจัว นึกว่าตนถูกลืม จึงวิ่งแจ้นไปจวนเสิ่น ตั้งใจแสดงความจงรักภักดี แต่กลับพบว่านอกจวนเสิ่นเงียบสงัดขณะที่พวกเขาฉงนสงสัย ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่นั้นภายในจวนเสิ่น...สามพ่อลูกตระกูลเสิ่น นั่งอยู่ในห้องหนังสือ คนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดกว่าอีกคนหนึ่งสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง กลัวจะทำให้หนึ่งในสามพ่อลูกตระกูลเสิ่นไม่พอใจ แล้วถูกประหาร“ตึ้ง!”ดวงตาทั้งสองข้างของเสิ่นหมิงหยวน เขาปล่อยหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง “ช่างเป็นแผนการที่ร้ายกาจจ
“ไปรับเสี่ยวฉู่ เสี่ยวฉู่ไม่อยู่ในเรือนหรือ?” สีหน้าของเฉินฝานฉายความฉงน“เสี่ยวฉู่ไปร่ำเรียนในโรงเย็บปักแล้วเจ้าค่ะ ช่วงที่ผ่านมานี้นายท่านงานยุ่ง ข้าจึงไม่ได้บอกท่านเจ้าค่ะ!”โรงเย็บปัก สถานที่ร่ำเรียนของคุณหนูตระกูลใหญ่ในอดีตไม่เพียงวิชาเย็บปักถักร้อย ศิลปวิทยาทั้งสี่ก็เช่นเดียวกัน รวมถึงมารยาทในพิธีการต่างๆ“นายท่าน ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ เวลานี้เสี่ยวฉู่น่าจะเลิกเรียนแล้ว ข้าต้องรีบไปเจ้าค่ะ”“ให้ข้าไปเถอะ!”เฉินฝานดึงตัวฉินเย่ว์โหรวกลับมาตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับพ่อลูกตระกูลเสิ่นมาโดยตลอด ชีวิตในทุกวันงานยุ่งยิ่งนัก ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับฉินเย่ว์ฉู่มานานแล้วเจ้าเด็กนั่นต้องโกรธเขามากแน่นอน...โรงเย็บปักตวนหย่าโรงเย็บปักที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง โรงเย็บปักที่ดีที่สุดในเมืองหลวง มัวมัวที่สอนเย็บปักถักร้อยในนี้ ล้วนเป็นซางกงที่เกษียณอายุออกมาจากวังหลวงซางกงเหล่านี้ ในอดีตพวกเขาคอยสอนมารยาทและพิธีการต่างๆ ให้กับสนมและองค์หญิงทั้งหลายแม้จะรีบเพียงใด สุดท้ายเฉินฝานก็มาสายเห็นรถม้าจวนเฉินจากที่ไกลๆ เสาเย่ารีบวิ่งมาทันที เมื่อเห็นว่าคนที่ลงจา
“เป็นความจริงที่ว่ามองแล้วสบายตากว่าพวกคุณชายในเมืองหลวงมาก”ฉินอวี่จวิ้นจู่คนโตพูดความจริงจวิ้นจูคนโตอายุยังมามาก นางอายุมากกว่าฉินเยียนเพิ่งครึ่งชั่วยามเท่านั้น“ใต้เท้าเฉินมารับเสี่ยวฉู่ด้วยตนเอง อีกทั้งเขายังอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกสงสารเสี่ยวฉู่ อายุน้อยๆ ก็แต่งงานออกเรือน ตอนนี้เห็นใต้เท้าเฉินแสนดีเช่นนี้ ข้ารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย”บรรดาพี่สาวของพวกนาง เป็นถึงจวิ้นจู่ ทว่าสามีของพวกนางไม่เคยพูดจาอ่อนโยนเช่นนี้กับพวกนางมาก่อน ไม่ตะคอกเสียงดังก็ดีมากแล้วฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ยินว่าเฉินฝานพูดอะไร คิดว่าเขาบอกให้นางรีบเดินจึงถลกกระโปรงขึ้นสูงกว่าเดิม แล้วเริ่มวิ่งแสงอาทิตย์อัสดง ส่องกระทบบนตัวนาง เผยให้เห็นลำแสงสีส้มอ่อนโยนภาพนี้ เฉินฝานมองจนใจลอยใบหน้าแปดเปื้อนเมื่อสองปีก่อน เด็กสาวที่มองเขาด้วยความเกลียดชังและหวาดกลัว โตขึ้นไม่น้อยนางในวัยสิบสอง มีความเป็นสตรีไม่น้อย“ตึ้ง!”ฉินเย่ว์ฉู่ที่กำลังวิ่งอยู่นั้น ชนกับใครบางคนคนตรงหน้าเป็นผู้ใหญ่ นางเป็นเด็ก เมื่อชนกันเช่นนี้นางจึงกระเด็นออกไป“เสี่ยวฉู่!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไป โชคดีที่เขาเป็นคนมีฝีมือ รับฉินเย่ว์ฉู่ไว้ได
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ