เฉินฝานล้วงเงินที่เหลือ และเงินจากการขายปลาในวันนี้ออกมาจากกระเป๋า เดินเข้าไปในห้องครัวสองพี่น้องตั้งหน้าตั้งตานับเงิน เฉินฝานเดินเข้ามาพวกนางยังไม่รู้ตัวเวลานี้ พวกนางนับเกือบถึงครึ่งหนึ่งแล้วเฉินฝานยืนมองอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา“เคล้ง เคล้ง เคล้ง!”เฉินฝานนำเงินในมือทั้งหมด เทลงบนโต๊ะ รวมกับเงินทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะ“เฮ้อ พี่สาม เจ้าทำอะไร ปนกันหมดแล้ว ต้องนับใหม่อีกแล้ว”ฉินเย่ว์โหรวเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ว์เจียวด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่กลับเห็นเฉินฝานกลั้นหัวเราะ“ไม่ใช่...”เวลาเดียวกันฉินเย่ว์เจียวที่อยากอธิบายให้ฉินเย่ว์โหรวฟัง ว่าไม่ใช่ตนเองเงยหน้าขึ้น“นายท่าน!”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกันเฉินฝานขยับริมฝีปาก “ข้าเอง”“นายท่าน พวกข้าจะนับเสร็จแล้ว” ฉินเย่ว์โหรวกระทืบเท้าด้วยความออดอ้อน“เช่นนั้นก็นับอีกรอบ รวมกับที่ข้าเพิ่งเทลงไปเมื่อครู่ด้วย”“เช่นนั้นท่านก็ควรให้ข้าเร็วกว่านี้ เช่นนั้นพวกข้าไม่ต้องนับใหม่แล้ว”ฉินเย่ว์โหรวทำปากจู๋เล็กน้อย แสงแดดนอกหน้าต่างส่องกระทบปากกระจับที่กำลังทำปากจู๋ของนางพอดี ส่องระยิบระยับเฉินฝานมองจนเหม่อลอยเล็กน้อย ถ้อยค
พี่สาม หาเงินได้ เจ้าอยากซื้ออะไรมากที่สุด?”“ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าซื้อธนู”สองพี่น้องที่กำลังทำงาน เริ่มคิดแล้วว่าวันข้างหน้ามีเงินแล้วจะซื้ออะไร“ข้าอยากซื้อสีชาดหนึ่งกล่อง”“นอกจากสีชาดแล้ว ข้ายังอยาก...”“เจ้ายังอยากอะไร?”จู่ๆ ฉินเย่ว์โหรวก็ไม่พูดแล้ว เฉินฝานฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกอึดอัด เอ่ยถามนาง“ไม่ ไม่มีอะไร!”ฉินเย่ว์โหรวส่ายหน้าติดต่อกัน อาจจะเป็นเพราะกลัวเฉินฝานถามต่อ นางพูดเสริมหนึ่งถ้อยคำ “ข้าเพียงแค่ยังคิดไม่ออก”เฉินฝานมองเพียงปราดหนึ่งก็ดูออกว่าฉินเย่ว์โหรวโกหกไม่ใช่แค่อารมณ์ของฉินเย่ว์โหรวเปลี่ยนแปลง ฉินเย่ว์เจียวก็เช่นเดียวกันพี่น้องสองคนนี้ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ อารมณ์เวลานี้หดหู่ยิ่งนักเฉินฝานก็พอจะนึกขึ้นได้ มีเรื่องหนึ่งต้องจัดการ แต่ชั่วขณะหนึ่งนึกไม่ออกว่าคืออะไรวันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สว่างเฉินฝานเคาะประตูบ้านลุงใหญ่เฉินผิงเมื่อวานจับปลาได้ทั้งหมดสองร้อยสามสิบสามตัว แม้ตัวหนึ่งจะหนักแค่สามสี่เหลียง แต่สองร้อยกว่าตัวก็เกือบหนึ่งร้อยจินเดินทางไกลเช่นนั้น อาศัยแค่กำลังในการแบกของมนุษย์ เช่นนั้นไม่เพียงเดินช้า ทั้งยังเหนื่อยมากไปถึงอำเภอ ขายปล
ข้าไม่อาจทำใจเห็นอนาคตของลูกสาวเป็นเหมือนสองพี่น้องตระกูลฉินแบบนั้นจริงๆ”เฉินผิงพูดพึมพำ แม้เสียงจะเบามากๆ แต่เฉินฝานได้ยินอย่างชัดเจนเขามองเฉินผิงด้วยความตกตะลึง พูดไม่ออกอยู่นานเฉินผิงกำลังบอกว่าเขาไม่ดีอย่างชัดเจน แต่เฉินฝานฟังแล้วกลับไม่โกรธแม้แต่น้อยตรงกันข้าม หัวใจของเขาบีบรัดอย่างมากในความทรงจำของเขา ภาพสองพี่น้องตระกูลฉินถูกเจ้าของร่างเดิมทุบตีทำร้าย ด่าทอ โดยเฉพาะภาพที่ฉินเย่ว์โหรวถูกทุบตีจนเท้าหัก“เสี่ยวฝาน!”นางเจิ้งได้ยินเสียงจึงเดินออกมา“ป้าขอร้องเจ้าล่ะ ไว้ชีวิตน้องสาวของเจ้าเถอะ”นางเจิ้งพูด และจะคุกเข่า“ท่านป้า!”เฉินฝานรีบรั้งนางเจิ้งทันทีสวรรค์ เรื่องที่เขาพบเจอในวันนี้คืออะไรกันเขาเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของเฉินผิงและภรรยา แต่ตอนนี้พวกเขากลับคุกเข่าตรงหน้าเขาเพื่อลูกสาวสงสารพ่อแม่ทุกคนบนโลกนี้จริงๆเพื่อคลายความกังวลของสองสามีภรรยา เฉินฝานนำเงินออกมาสิบเหวิน ยัดใส่มือนางเจิ้ง“ท่านป้า นี่คือเงินที่ข้ายืมรถลากในวันนี้”“เอ่อ ไม่ต้องมากขนาดนี้ วันละสามเหวินก็พอแล้ว” เฉินผิงมองเงินในมือนางเจิ้ง พูดด้วยความซื่อเขาไปช่วยงานร้านขายข้าวสารในอำเภอ ตั
เฉินฝานไปร้านขายเหล็กจ่ายเงินเก้าสิบเหวินที่เหลือ รับตะแกรงเหล็กและโครงเหล็ก หลังจากนั้นไปซื้อยี่หร่าและพริกไทยเพิ่มก็กลับเข้าตลาดวันนี้แผงขายปลาเผายังไม่ทันได้ตั้งเสร็จดีๆ ก็มีคนมากมายมายืนล้อมวงแล้วเมื่อวานมีคนมากมายที่ไม่ทันซื้อ วันนี้มารอแต่เช้า คนที่เมื่อวานซื้อทัน วันนี้ก็อยากได้อีก ดังนั้นจึงมากันหมดโดยเฉพาะพวกคนตระกูลใหญ่ ให้พ่อบ้านยกกล่องอาหารมา เอ่ยปากก็เอาสิบตัวปลาเผาสิบตัว เท่ากับสามสิบเหวิน สำหรับตระกูลใหญ่ เงินสามสิบเหวินขนหน้าแข้งไม่ร่วงไม่ถึงบ่าย ปลาก็ขายหมดแล้วยุ่งมาทั้งเช้า ทั้งสามคนหิวกันหมดแล้วเฉินฝานพาฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์เจียวไปกินบะหมี่ที่ร้านบะหมี่ สั่งบะหมี่แห้งสามถ้วย ทั้งยังกำชับเถ้าแก่ให้เพิ่มเนื้อ“บะหมี่แห้งก็แพงพอแล้ว ยังเพิ่มเนื้ออีก ตอนนี้สามถ้วยบวกกัน สิบห้าเหวินแล้ว แม้สองวันนี้จะหาเงินได้บ้าง แต่หากใช้จ่ายเช่นนี้ แม้จะมีเงินมากเพียงใดก็ไม่พอใช้จ่าย”เพิ่งนั่งลง ฉินเย่ว์โหรวก็บ่นเพียงคิดว่าบะหมี่สามถ้วยสิบห้าเหวิน ปวดใจราวกับถูกกรีดเนื้ออย่างไรอย่างนั้นสำหรับนางแล้ว ไม่ต้องกินผักดอง ก็ดีมากแล้ว เหตุใดจึงมากินบะหมี่แห้ง กินบะหมี่แ
เมื่อวานที่เรือนของเฉินเจียงมีคนมามากมาย ชาวบ้านชอบนินทาที่สุด มีอะไรเกิดขึ้นเล็กน้อย ก็ลือกันทั่วหมู่บ้าน ตอนนี้เขามีสามร้อยเหวินแล้ว คาดว่าทั้งหมู่บ้านคงรู้แล้ว“กริ๊ง กริ๊ง!”กระดิ่งบนคอวัวส่งเสียงใส ตามการเดินของวัวชาวบ้านที่ได้ยินเสียงบนท้องถนน เดินออกมาจากเรือนว้าว วัวตัวใหญ่จัง เกวียนด้านหลังของมันเต็มไปด้วยฟืนหนึ่งคันรถฟืนตลอดหนึ่งปี ครัวเรือนใดใช้จ่ายมากเช่นนี้หมู่บ้านซานเหอนอกจากไม่กี่ครัวเรือนที่ฐานะค่อนข้างดีจะซื้อฟืนมาเผาแล้ว โดยส่วนมากล้วนขึ้นเขาไปตัดเอง คนอื่นๆ ไม่ใช่ไม่อยากซื้อ แต่ว่าไม่มีปัญญาซื้อ ฟืนหนึ่งมัด สิบเหวินคนมากมายยังหิวโหย จะมีเงินซื้อฟืนได้อย่างไร“ข้าเห็นบนเกวียน มีหน้าต่างไม้และกระดาษมัน!” ชาวบ้านตาดี อย่างรวดเร็วก็เห็นหน้าต่างไม้และกระดาษมันบนเกวียน“สวรรค์ กระดาษมัน? หมู่บ้านของเราคล้ายมีเพียงหน้าต่างบ้านผู้ใหญ่บ้านเท่านั้นที่ติดกระดาษมันกระมัง”“เช่นนั้นไม่ต้องคิด วัวตัวนี้ต้องไปบ้านผู้ใหญ่บ้านแน่นอน”“ไม่ใช่ พวกเจ้ามองสตรีบนเกวียน ใช่พิการฉินเย่ว์โหรวของเฉินฝานหรือไม่”“จริงด้วย ด้านหลังเกวียนคือเฉินฝานและฉินเย่ว์เจียว”“ของบนเกวี
ไม่มีผู้ใดตอบสนองคำพูดของจูต้าอัน ตามอุปนิสัยของเฉินฝานก่อนหน้านี้ เมื่อใดที่มีเงิน เขาจะเอาไปดื่มกิน หรือไม่ก็เล่นการพนัน ไม่แยแสเรื่องที่บ้าน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพี่น้องตระกูลฉินจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดปฏิเสธตน จูต้าอันก็รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อย “ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านนี้รู้จักเจ้าหนุ่มเฉินฝานดีไปกว่าข้า ไม่สังเกตเห็นบ้างเลยหรือ? สาวน้อยสองคนจากตระกูลฉิน มีสีหน้าขมขื่น เฉินฝานจะต้องพาพวกนางออกไปขายแน่ๆ " “ข้าไม่เห็นสีหน้าขมขื่นของพี่น้องตระกูลฉิน ข้าคิดว่าพวกนางกำลังยิ้มเสียอีก” ชาวบ้านผู้หนึ่งออกมาตอบโต้จูต้าอัน "เจ้าจะไปรู้อะไร?" “รู้อะไร? ครั้งล่าสุดที่เจ้าบอกว่าภายในสามวัน เฉินฝานจะส่งฉินเย่ว์โหรวไปที่หอนางโลมอี๋ชุนย่วน นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ฉินเย่ว์โหรวยังอยู่ในหมู่บ้านซานเหออยู่เลย?” หลังจากเฉินฝานทุบตีจูต้าอัน ผู้คนในหมู่บ้านก็เริ่มหวาดกลัวจูต้าอันน้อยลง “ครั้งที่แล้ว ก็...” สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งก่อนไม่ต่างจากพบเจอกับทางตัน แต่แล้วจู่ๆ เฉินฝานก็สามารถคลี่คลายมันได้ จูต้าอันครุ่นคิดเรื่องนี้มาหลายวันแต่ก็ยังคิดไม่ตก เหตุใดหลี่ซานถึงปล่อยเฉิ
ก่อนจูต้าอันจะทันได้กล่าวจบ เฉินฝานก็ใช้ฟืนในมือฟาดเข้าใส่ศีรษะของจูต้าอันอย่างแรงเมื่อเขานึกถึงจูต้าอันที่มองภรรยาของเขาด้วยท่าทางลามก เฉินฝานรู้สึกว่าแค่ทุบตียังไม่สามารถบรรเทาความเกลียดชังได้จูต้าอันต้องการหลบ แต่เฉินฝานเคลื่อนไหวเร็วกว่า ราวกับว่าเขาสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของจูต้าอันได้ ไม่ว่าจูต้าอันหลบเลี่ยงไปที่ใด เขาก็จะฟาดเข้าใส่ตรงนั้นสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่บ้านของเฉินฝานเมื่อไม่กี่วันก่อน จูต้าอันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระหว่างถูกทุบตี จูต้าอันพยายามต่อสู้กลับ ทว่าก่อนหมัดของเขาจะถูกชกออกไป เฉินฝานก็สวนกลับอย่างแรงเฉินฝานกระชากบาดแผลเก่าบนศีรษะของจูต้าอันแล้วทุบตีเขา สักพักเลือดก็เริ่มไหลใบหน้าของจูต้าอันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด จนต้องขอความเมตตาจากเฉินฝาน“พี่ชายแสนดี หยุดตีข้าเถอะ หยุดตีข้า!”“ถ้าอยากให้ข้าหยุดก็เรียกข้าว่าท่านปู่!” “ท่านปู่ ท่านปู่ผู้แสนดี” “อะไรนะ?” เฉินฝานก้มศีรษะลงแล้วฟัง “ข้าไม่ได้ยิน เจ้าช่วยพูดให้ดังๆ กว่านี้หน่อย”"ท่านปู่!"“เสียงของเจ้าเบาเกินไป ดูเหมือนว่าการทุบตีของข้าจะยังไม่แรงพอ!” ฟืนในมือของเฉินฝ
"ไม่นะ!"ฉินเย่ว์โหรวกรีดร้อง ทรุดเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบ นางพึมพำกับตัวเองว่า "นายท่าน อย่านะ อย่าตีข้าเลย"ยุคปัจจุบัน ในฐานะทหารบนสนามรบ เขารู้เรื่องโรคเครียดที่เกิดจากความสะเทือนใจอย่างรุนแรง เขาเพิ่งสั่งสอนจูต้าอัน ซึ่งอาจจะไปย้ำเตือนความทรงจำที่ฉินเย่ว์โหรวเคยถูกเจ้าของร่างเดิมทุบตีอย่างรุนแรง“เย่ว์โหรว!”เฉินฝานก้มลงอุ้มฉินเย่ว์โหรว ไว้ในอ้อมแขนของเขา"นายท่าน!"ฉินเย่ว์โหรวพยายามดิ้นรนตามสัญชาตญาณ แต่เฉินฝานไม่คิดที่จะปล่อยนางไป ยิ่งนางดิ้นรนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งกอดรัดนางแน่นมากขึ้นเท่านั้นดังคำกล่าวที่ว่าเรียนผูกต้องเรียนแก้ปมในใจของฉินเย่ว์โหรว เขาจะต้องแก้ไขด้วยตนเองเฉินฝานกอดฉินเย่ว์โหรว จูบลงบนหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว มันจบแล้ว มันจบแล้ว”ขณะเฉินฝานพยายามปลอบประโลมนางครั้งแล้วครั้งเล่า ฉินเย่ว์โหรวก็ค่อยๆ สงบลงภายในอ้อมแขนของเขา“เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่” เฉินฝานดันฉินเย่ว์โหรวออกไปเล็กน้อยแล้วถามอย่างอ่อนโยน"อื้ม!"“นายท่าน...”ขณะนี้ฉินเย่ว์โหรวกลับมามีสติอีกครั้ง เฉินฝานยังคงกอดนางไว้ฉินเย่ว์โหรวที่ได้สติ เขินอายอย่างยิ่ง “ท่านปล่อยข
เถียนเสี่ยวอวี่ก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกต้องแล้ว ปกติแล้วประตูบานนั้นจะไม่เปิดออก และยังล็อกกลอนไว้ด้วย จู่ ๆก็บังเอิญ...” เถียนเสี่ยวอวี่หยุดพูดทันที สีหน้าค่อย ๆ มืดมนลง“หรือว่าคนจงใจเปิดออกงั้นรึ? มีคนที่ไม่อยากเจ้าอาวาสพูดต่อ ดูแล้ว อาของคงจิ้งจะต้องทำเรื่องหายนะอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่”“เสี่ยวอวี่!” เฉินฝานหยุดชะงักฝีเท้าทันที สีหน้าเคร่งเครียด “สวี่ซื่อเจี๋ยเป็นผู้ว่าการมณฑลเมืองหรงตู เป็นขุนนางขั้นหกระดับสูงในราชสำนัก เรื่องนี้จะคาดเดาส่งเดชไม่ได้”“ใต้เท้า ข้า...”“พอเถอะ ช่างเรื่องนี้ก่อน”เฉินฝานพูดตัดบทเถียนเสี่ยวอวี่อย่างไม่เกรงใจหลิงอวี้ไม่ให้เถียนเสี่ยวอวี่รู้เรื่องของสวี่ซื่อเจี๋ย ก็เพื่อที่จะปกป้องนางเรื่องบางเรื่อง ไม่รู้จึงปลอดภัยที่สุดเฉินฝานอยากรักษาความพยายามที่หวังดีของหลิงอวี้ให้คงอยู่ต่อไปไม่ว่าสวี่ซื่อเจี๋ยจะทำเรื่องอันใด จะเกี่ยวข้องกับเถียนเสี่ยวอวี่หรือไม่ เฉินฝานก็ไม่ยอมให้นางเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดี“ชิงหนิง พานางกลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ!”ชิงหนิงรีบหิ้วตัวเถียนเสี่ยวอวี่ที่ไม่ยอมกลับจากไปทันที นางคิดเหมือนกับเฉินฝานคือ ไม่อยากให้เถียนเสี่
“มีเรื่องอันใดซื่อไท่พูดออกมาตรง ๆ เถิด แก้ปัญหาทุกเรื่องเพื่อราษฎรเพื่อขุนนางอย่างถูกทำนองคลองธรรม ไม่จำเป็นต้องขอร้อง”ได้ยินเฉินฝานพูดเช่นนี้ หลิงอวี้ยืนตัวแข็งทื่อน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากตาของนางคำพูดของเฉินฝาน นางไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดเช่นนี้มานานแล้วใช่แล้ว เดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แก้ปัญหาทุกเรื่องเพื่อราษฎรเพื่อขุนนางอย่างถูกทำนองคลองธรรมทว่า ขุนนางส่วนใหญ่ของต้าชิ่งลืมคำพูดนี้ไปนานแล้ว หลายปีผ่านมานี้เสิ่นหมิงหยวนขุนนางกังฉินกุมอำนาจ ขุนนางต้าชิ่งส่วนใหญ่คิดเพียงว่าจะใช้อำนาจรังแกประชาชนอย่างไรเท่านั้น“ใต้เท้า ท่านโปรดจัดการผู้ว่าการมณฑลสวี่ซื่อเจี๋ยด้วยตนเองนะเจ้าค่ะ เขาเป็นคนที่...”“แค่ก ๆ ๆ ๆ”เฉินฝานไออย่างรุนแรงทันที จู่ ๆ ประตูฝั่งตะวันตกของพระตำหนักก็ถูกลมพัดจนเปิดออก ลมพัดโชยควันธูปมาปะทะหน้าเฉินฝานและหลิงอวี้ขนาดเฉินฝานยังทนไม่ไหว นับประสาอันใดกับหลิงอวี้ที่ป่วยหนัก“แค่ก...”หลังจากที่ไอออกมาอย่างรุนแรง หลิงอวี้ก็รู้ตัวว่าอ่อนแอลงอย่างมาก“แม่นางหวง เจ้ายังมียาอายุวัฒนะอีกหรือไม่” เฉินฝานตะโกนไปด้านนอกตำหนักด้วยน้ำเสียงรีบร้อน เขารู้อยู่แล้วห
เฉินฝานโบกมือ “เอาล่ะ คารวะเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดจงกลับไปเถอะ”กลุ่มคนโหวกเหวกโวยวาย เฉินฝานไม่ชอบเสียงดังหากไม่ใช่เพราะเถียนเสี่ยวอวี่ เขาคงจะไม่ให้คนเหล่านี้รู้ว่าเขามาที่แห่งนี้มีผู้พิทักษ์สองสามคนติดตามเฉินฝานมาโดยตลอด พวกเขาคือทหารรักษาพระองค์ที่ได้รับคำสั่งจากฉินเย่ว์เหมยให้มาปกป้องเฉินฝานอย่างลับ ๆก่อนรุ่งสาง เขาเรียกผู้พิทักษ์คนหนึ่งออกมา ให้เขาไปป่าวประกาศเส้นทางของตนเองในเมืองหรงตูเฉินฝานคะเนไว้ว่าขุนนางกลุ่มนั้นคงจะมาอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าจะมาเร็วปานนี้“ใต้เท้า พักที่สำนักชีคงไม่สะดวกนัก ท่านตามข้าน้อยกลับไปพักในเมืองหรงตูจะดีกว่าขอรับ”จางหย่งเชาและขุนนางเมืองหรงตูคนอื่น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และไม่ยินยอม ในกลุ่มขุนนางเหล่านี้นอกจากจางหย่งเชาที่มาจากเมืองหลวงแล้ว คนอื่นล้วนไม่เคยออกจากเมืองหรงตูไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านอัครเสนาบดีมาเยือน พวกเขาพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะโผล่หน้ามาให้เฉินฝานเห็น เพื่อเพิ่มโอกาสเลื่อนตำแหน่งของตนเองแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี“ถูกต้องแล้ว ใต้เท้าจางพูดถูก ท่านอัครเสนาบดีท่านกลับเมืองหรงตูไปกับพวกเราเถอะ”“ปกติท่านทำ
จางหย่งเชาเจ้าเมืองหรงตูพุ่งตัววิ่งด้วยความเร็วดั่งวิ่งแข่งร้อยเมตรมาเฉินฝาน ด้านหลังเขามีขุนนางเมืองหรงตูกลุ่มหนึ่งตามมาด้วยขุนนางเมืองหรงตูกลุ่มนี้เป็นขุนนางที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่หลังจากที่เฉินฝานไปเมืองหลวงแล้ว เฉินฝานรู้จักเพียงจางหย่งเชา เขารู้จักจางหย่งเชาเพราะก่อนที่ออกจากเมืองหลวงมาไม่นาน ฉินเย่ว์เหมยรับสั่งให้เขามาทำภารกิจที่เมืองหรงตูจึงเคยเห็นเขาคนที่ตามหลังจางหย่งเชามาติด ๆคือ ผู้ว่าการมณฑลเมืองหรงตู สวี่ซื่อเจี๋ย เพียงครู่เดียวคงจิ้งก็สามารถมองเห็นอาตนเองได้ นางรีบรุดหน้าเข้าไปหาทันที“ท่านอา!”เห็นคงจิ้งวิ่งมาเช่นนี้ สวี่ซื่อเจี๋ยเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก นางตาบอดหรือกระไร? ต่อให้นางไม่รู้จักเฉินฝาน เช่นนั้นนางไม่เห็นจางหย่งเชารึ?เขาร้อนรนใจดั่งไฟสุมอกดึงคงจิ้งลงมาด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็ตวาดลั่นไปด้วย “มาทางนี้!”คงจิ้งสีหน้างงงันทันที ผ่านไปครู่เดียวก็วิ่งออกมาอีกแล้ว“ท่านอา คนผู้นั้น!” คงจิ้งยกมือชี้นิ้วออกไป “ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด บอกว่าตนเองเป็นสามัญชนมาก่อความวุ่นวายที่สำนักชีชิงเมี่ยว ทำร้ายร่างกายเหล่าแม่ชีในสำนัก หลานก็ถูกทำร้ายเช่นกัน ท่านดูสิ...
“ใต้เท้า ท่านสบายดีหรือไม่?” หลูเฉิงกวงถูมือด้วยความตื่นเต้นอยู่นาน จึงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างทุลักทุเล“ข้าสบายดี!” เมื่อเจอคนสนิท เฉินฝานก็ยินดีมากเช่นกันหลิงอวี้พากลุ่มแม่ชีสำนักชีชิงเมี่ยวมาคุกเข่าต่อหน้าเหล่าขุนนางเมืองหรงตูเฉินฝานเดิมอ้อมมา คนด้านข้างจึงยังไม่มีผู้ใดเห็นเขา“พี่หญิงใหญ่ ท่านดูสิ” ชิงผิงตาดี เพียงครู่เดียวก็สังเกตเห็นได้ว่าหลูเฉิงกวงวิ่งมาด้านหน้าเฉินฝานคงจิ้งมองตาม นางขมวดคิ้ว “นั้นคือนายกองหลูเฉิงกวงไม่ใช่รึ?”“คิดว่าใช่นะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ นายกองเคารพนอบน้อมให้ชายผู้นั้นตลอด ชายผู้นั้นคงจะไม่ใช่สามัญชนแล้วกระมัง?”เมื่อฟังคำพูดของชิงผิงแล้ว ใจของคงจิ้งตึงเครียดทันทีชายผู้นี้ที่เถียนเสี่ยวอวี่พามา เป็นเสนาบดีใหญ่จริงหรือ?ทางเฉินฝาน“ใต้เท้า ข้าจะรายงานท่านเจ้าเมืองจางให้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้” หลูเฉิงกวงกำลังจะไปแจ้งข่าวเจ้าเมืองหรงตูด้วยความยินดี“ตอนนี้ยังไม่ต้อง!” เฉินฝานโบกมือ เขารีบก้าวเท้าฉับเดินไปทางมุมซ้ายของพระอุโบสถมีคนที่เขาอยากเจออย่างมากอยู่ที่นั่น“พี่ฝาน”เป็นต้ายาและสามีของนางโจวถง“ท่านพี่ เร็วเข้าสิ รีบมาคารวะใต้เท้า” ต้ายาท
“เจ้าอาวาส เหล่าท่านผู้ว่าการมณฑลมาเจ้าค่ะ” คงจิ้งตอบกลับหลิงอวี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูไม่ใจและหยิ่งผยอง“ท่านผู้ว่าการมณฑลมางั้นรึ?” หลิงอวี้ตกตะลึงทันที ความหดหู่และความรังเกียจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจากนั้นก็จางหายไป ฝีเท้าที่เร่งรีบเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนความเร็วลงหลิงอวี้ไม่ชอบผู้ว่าการมณฑลคนนี้อย่างมาก คงจิ้งอาศัยการที่อาของนางเป็นผู้ว่าการมณฑล มาโอ้อวดอำนาจตัวเองที่สำนักชี ทำให้บรรยากาศในสำนักชีชิงเมี่ยวอึมครึมยิ่งนักหลิงอวี้ป่วยหนักไร้ทางรักษาอยู่ก่อนแล้ว นางพยายามยื้อชีวิตไว้ เพราะไม่อยากให้ตัวเองจากไปเร็วนัก ไม่อยากให้สำนักชีชิงเมี่ยวตกไปเป็นของคงจิ้งเช่นนี้หลิงอวี้คิดว่าเรื่องที่ตนเองทำผิดมหันต์ที่สุดในชีวิตนี้คือการให้คงจิ้งเข้ามาในสำนักชีชิงเมี่ยวคงจิ้งหน้าตาสะสวย ภูไม่หลังครอบครัวดี กลับไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แม่ของนางกลับส่งนางมาที่สำนักชีชิงเมี่ยว แต่ไม่ได้ให้อยากให้คงจิ้งถือศีลกินเจแต่อย่างใด เป้าหมายที่แท้จริงคือ...เมื่อคิดถึงกลุ่มคนวิปริตเหล่านั้น แววตาที่เมตตาอ่อนโยนทอประกาย พลันปรากฏความเดือดดาลทันทีเพื่อจะเติมเต็มความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีสิ้นสุดขอ
“ช่างเป็นพวกที่ชอบรนหาที่ตายเสียจริง!” เสียงเดือดดาลดังขึ้น ชิงหนิงผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย นางทะยานตัวบินไปด้านนอกบ้าน ฝูงชนไม่ทันมีการตอบสนองใด นางก็บินกลับมาแล้ว ตอนที่กลับมา นางก็ถือแส้หนังหนึ่งเส้นมาด้วยชิงหนิงยกมือขึ้นสะบัดแส้หนังออกไป“เพียะ!”เสียงกังวานดังขึ้นจากพื้นที่ถูกแส้หนังฟาดลงไป“อ้าก!”คงจิ้งส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป นางจับหน้าตนเองกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด“โถ่เว้ย...”คงจิ้งยังคิดที่จะออกคำสั่งให้แม่ชีเหล่านั้นใช้กำลังบีบบังคับชิงหนิง ปรากฏว่านางเพิ่งจะปริปาก ก็มีเสียงฟาดแส้หนังลงมาอีกหลายครั้ง“อ้าก ๆ ๆ ๆ!”แม่ชีสิบกว่าคนส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป พวกนางล้มลงกลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้าง ๆ คงจิ้ง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วรยุทธ์ของชิงหนิงไม่ธรรมดาหลังจากที่โกนหัวบวชชีแล้ว ชิงหนิงก็เชื่อฟังคำพูดเถียนเสี่ยวอวี่มาโดยตลอด ละทิ้งอาวุธ ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน ละทิ้งความแค้น ตั้งใจศึกษาพระธรรมด้วยจิตใจแน่วแน่หากไม่ใช่เพราะคงจิ้งยั่วโมโหเช่นนี้ ทั้งชีวิตนี้ชิงหนิงคงไม่คิดจะแตะต้องแส้หนังของนางอีก“ชิงหยวน เจ้าจงรีบไปในเมืองเดี๋ยวนี้ ไปบอกท่านอาข้า
เฉินฝานสีหน้าถมึงทึงทันที ปกติแล้วหากเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาย่อมไม่ถือสา ทว่าทำให้เสบียงอาหารได้รับเสียหาย เช่นนั้นก็...“เพียะๆ!”เฉินฝานกำลังเตรียมจะยกเท้าถีบออกไป ก็มีเสียงดังกังวานสองครั้งดังขึ้น“เจ้าคนไร้ประโยชน์!”ตามมาด้วยเสียงเดือดดาลของชิงหนิง ชิงผิงล้มลงต่อหน้านางด้วยความเร็วประดุจแสง“โอ๊ย!” ชิงผิงที่ล้มลงไปอย่างรุนแรง โอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันที“ชิงหนิง!” ชิงผิงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ชี้นิ้วกัดฟันกรอดด่าทอชิงหนิง “เจ้ากล้าเตะข้ารึ ข้าจะไปฟ้องศิษย์พี่หญิงของเจ้า”ชิงหนิงกวาดสายตามองชิงผิง “ไปสิ เจ้าให้คงจิ้งมาด้วย ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว!”ชิงผิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้างั้นรึ?”ชิงหนิงยกยิ้มมุมปาก “ไฉนข้าจะไม่กล้า? เจ้าไม่กล้าไปเรียกเองล่ะสิ หรือจะบอกว่านางไม่กล้ามาดีล่ะ?”“หึ ช่างปากดียิ่งนัก อยู่กับคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นั้น จึงกลายเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกันไปแล้ว”คงจิ้งมาพร้อมกับแม่ชีสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่อลังการตอนที่เดินผ่านชิงผิง คงจิ้งหยุดฝีเท้ากล่าวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“พี่หญิงใหญ่ พวกเขา...” ชิงผิงมองไปที่เฉินฝานและชิงหนิง ค
“...แม่นางหวง?”เฉินฝานที่พลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง มองไปยังข้างเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนอย่างตะลึงงันถ้าไม่ใช่เพราะม่านประตูส่ายไหว เฉินฝานยังนึกว่าเมื่อครู่นี้เขาตาฝาดไปเฉินฝานเหลือบมองม่านประตูที่สั่นไหว แล้วแย้มยิ้ม “ก็แค่สาวน้อยปากแข็ง”ไม่สนนางแล้ว เฉินฝานดึงเสื้อผ้าท่อนล่างขึ้นมา แล้วล้มตัวลงไปนอนต่อนอนเร็วก็เลยตื่นเช้าฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินฝานก็ตื่นแล้ว เมื่อเขาพลิกตัวขึ้นมา เฉินฝานรู้สึกว่าความเจ็บที่บั้นท้ายหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว เฉินฝานพอใจมาก ยาสมุนไพรของสำนักชีชิงเมี่ยวนี้มีประสิทธิภาพมากเลย วันนี้ก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงเถิดหวงหวั่นเอ๋อร์รีบร้อนไปเมืองหลวง เขาเองก็รีบเช่นกันแคว้นต้าฉิ่งเป็นแคว้นที่บุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อยอย่างยิ่ง ยามนี้ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงอีกครั้ง ขุนนางเหล่านั้นจะต้องลอบกัดนางทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม...แววตาของเฉินฝานดูลุ่มลึกเย็นชา เขาต้องจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะจากไปขณะที่สวมเสื้อผ้า ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้อง“เข้ามาสิ”“เสี่ยวอวี่เจ้ามาได้เวลาพอดี รีบมาช่วยข้าหน่อยเถิด” เฉินฝานเอ่ยกับค