เฉินฝานมองจนใจลอยภรรยาผู้มีรูปโฉมงดงาม สวยสะพรั่งดั่งดอกไม้ ทั้งยังเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายที่ทางการส่งมาให้ กล่าวว่าเฉินฝานไม่หวั่นไหวคงเป็นเรื่องโกหกแต่ว่าเท้าของฉินเย่ว์โหรวในเวลานี้ห่อด้วยสมุนไพร มิหนำซ้ำนางเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อปีกลาย อายุยังน้อยนักเลี้ยง...อีกหน่อยเถอะอย่างน้อยต้องรอหลังจากที่เท้าของนางหายดีก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฉินฝานหันไปมองนอกประตู “เย่ว์เจียว เจ้าเดินวนไปมาด้านนอกทำไม รีบกลับมาพักผ่อน”เฉินฝานมัวแต่ไม่อาจทำใจ เขาไม่ทันสังเกตเห็น แววตาเสียใจของร่างบางในผ้าห่มสุดท้าย นายท่านก็รังเกียจนางหลังจากฉินเย่ว์เจียวเข้ามา มองเฉินฝานแล้วมองฉินเย่ว์โหรว ขยับริมฝีปาก สุดท้ายไม่ได้พูดอะไร คลานขึ้นเตียงเตา นอนอีกฟากหนึ่งซึ่งไกลจากเฉินฝานที่สุด“นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยอุ่นใต้ผ้าห่มให้แล้วเจ้าค่ะ”ตอนฉินเย่ว์โหรวออกมาจากใต้ผ้าห่มของเฉินฝาน น้ำเสียงของนางแผ่วเบา ไม่มีความโมโห นางกลับไปอีกฟากหนึ่งของเตียง ซุกตัวเข้าในผ้าห่ม มุดหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของฉินเย่ว์เจียวเฉินฝานคิดว่านางเขินอาย ไม่ได้คิดอะไรมากกลางดึกเวลาประมาณตีสองตีสาม เฉินฝานลืมตาขึ้นตอนหัน
ไม่ทันสังเกตเห็นว่าน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าตนเอง เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเสียงแครกดังขึ้น ชั้นน้ำแข็งแตก เฉินฝานตกลงไปในน้ำทันทีโชคดีที่เขาว่ายน้ำเก่ง เพียงครู่หนึ่งก็ว่ายขึ้นมาได้ตอนอยู่ในน้ำไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น หลังโผล่พ้นน้ำ ลมเหนือพัดผ่านร่างกาย เฉินฝานหนาวจนตัวสั่นอุณหภูมิบนหุบเขาต่ำ เขาต้องรีบกลับไป มิเช่นนั้นหากเป็นไข้ขึ้นมา เขาเกรงว่าตนไปเฝ้าพระอินทร์เหมือนเจ้าของร่างเดิมแล้วตกลงไปในน้ำ มือจับตะกร้าไว้ ทำให้ปลาตกกระจัดกระจายไปครึ่งหนึ่ง พลั่วก็ตกลงไปในน้ำเช่นเดียวกันปลาครึ่งตะกร้าก็ครึ่งตะกร้าแล้วกัน ก็ไม่น้อยแล้ว ส่วนพลั่วก็ไม่เอาแล้วเฉินฝานสะพายปลาครึ่งตะกร้า คล้ายเมื่อก่อนสมัยฝึกทหารในค่าย วิ่งเหยาะๆ กลับเรือนไม่อาจวิ่งเร็วเกินไปได้ วิ่งเร็วเกินไปหมดแรง วิ่งเหยาะๆ ก็กลับถึงเรือนอย่างรวดเร็วได้ ทั้งยังทำให้ร่างกายอบอุ่น...ฉินเย่ว์เจียวที่อยู่บนเตียงเตาเด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาจับจ้องไปที่ม่านประตูบอกว่าไปเพียงประเดี๋ยวเดียวไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้จึงนานเช่นนี้ยามค่ำคืนมืดมิดทุกแห่งหน อากาศก็หนาว เขาจะไปที่ใด ทำอะไร?รออีกครู่หนึ่งจู่ๆ ฉินเย่ว์เจ
ปลา...เผา...”ฉินเย่ว์โหรวอยากจะพูดแล้วเงียบไป“เย่ว์โหรว เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”“ปลาเผาที่นายท่านทำอร่อยมากเจ้าค่ะ แต่ว่า หากจะนำไปขายจริงๆ...อาจจะขายไม่ออกก็ได้ หรือแม้จะขาย ก็ขายไม่ได้ราคาดีเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์โหรวพยายามพูดเบาที่สุด เพราะไม่อยากให้สะเทือนใจเฉินฝานพวกนางชอบกิน เป็นเพราะทานผักป่ามานาน“เรื่องนี้เจ้าวางใจ ข้าคิดหาวิธีปรับสูตรปลาเผาเรียบร้อยแล้ว”ตอนกลับมา เปียกไปทั้งตัว จึงไม่ได้เก็บหญ้าชิงเฮาจริงด้วย คนที่นี่เรียกชิงเฮาว่าหญ้าเซียนนู๋เข้าเมืองตาหลิ่วต้องลิ่วตาตาม เขาเองก็เรียกว่าหญ้าเซียนนู๋ก็แล้วกันเฉินฝานบอกให้ฉินเย่ว์โหรวไปเก็บหญ้าเซียนนู๋ หญ้าเซียนนู๋ในฤดูเหมันต์ แม้คุณภาพไม่ดีเท่าฤดูคิมหันต์ แต่ก็ไม่แย่นักหญ้าเซียนนู๋มีอยู่ทุกที่ ฉินเย่ว์โหรวไม่ต้องไปไกลนัก หุบเขาหลังหมู่บ้านก็มีแล้วในหมู่บ้าน ถึงหุบเขาหลังหมู่บ้าน ค่อนข้างปลอดภัยเฉินฝานเดินไปที่ลานกว้าง เทปลาในตะกร้าออกมา นับปลา พยักหน้าด้วยความพอใจครั้งนี้เฉินฝานไม่ได้เลือกใช้ปลาเฉาฮื้อเพราะหากกินปลาเผาจานใหญ่เหมือนยุคปัจจุบัน ต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างปลาจานใหญ่เช่นนั้น ต้องนั่งล้อมวง
ออกมาจากร้านขายเหล็ก เฉินฝานไปซื้อถ่านหนึ่งถุงที่ร้านขายฟืนหลังจากนั้นไปร้านขายยาซื้อยี่หราและพริกไทยสองเหลียง ยี่หราและพริกไทยต้องร้องขอให้เด็กในร้านขายยาบดเป็นผง ยุคสมัยนี้ยังไม่มีพริก น่าเสียดายเล็กน้อยของทั้งหมดที่ซื้อเก้าสิบเหวินวันนี้แม้จะขายปลาทั้งหมดได้ เมื่อนำไปหักลบต้นทุน ได้กำไรเพียงเล็กน้อย แต่ค้าขายวันแรก ไม่ขาดทุนก็ถือว่ากำไรแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องซื้อเหล็กแท่ง ก็ดีแล้วเงินเก้าสิบเหวินที่ซื้อเมื่อครู่ มีเจ็ดสิบเหวินมาจากค่าเหล็กสองแท่งกลับถึงตลาด ฟ้าสว่างจ้าแล้วมีค่ามาเก็บค่าแผงลอย แผงลอยเล็กๆ อย่างของเฉินฝานต้องจ่ายสองเหวินแม้แต่ผู้แข็งแกร่งก็ยากจะเอาชนะเจ้าถิ่นได้ ค้าขายวันแรก เฉินฝานไม่อยากให้มีปัญหาตลาดเริ่มครึกครื้นแล้วเช่นเดียวกัน เฉินฝานนำฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวตั้งแผงลอยเฉินฝานตั้งเตาเผา เผาถ่านฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวนำหญ้าเซียนนู๋ไปถูท้องปลาเตาเผาไม่ใหญ่นัก ครั้งหนึ่งเผาปลาได้แค่สามตัวสองสามีภรรยาที่ขายขนมเปี๊ยะข้างๆ ขายของในตลาดมานานหลายสิบปี ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน“พ่อหนุ่ม เจ้าขายปลาหรือ?” ชายชราอดไม่ได้ที่จะถาม“ขอรับ ขายปลา
ปลาบนเตาเผา หนังปลาด้านนอกเริ่มเหลืองแล้ว เฉินฝานทาน้ำมันลงบนหนังปลาไม่ต้องทาเยอะ ตัวปลาก็มีไขมัน โดยเฉพาะส่วนท้องของปลาปลาเผาที่ทาน้ำมันแล้ว กลิ่นหอมอบอวลคนที่ล้อมวงดู หลังจากได้กลิ่นหอม สูดลมหายใจฟุดฟิดอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้คนที่หัวเราะเยาะ คนที่มาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปฉงนงุนงง แปลกใจ“วิธีการทำปลาแบบนี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่ข้าคิด ดูเหมือนจะอร่อยมาก”“ข้าเองก็รู้สึกว่าอร่อยมาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะขจัดกลิ่นคาวของปลาได้”“ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย ดมแล้วก็หอมมาก ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”เมื่อพูดถึงรสชาติ ผู้คนดึงสติมาจากกลิ่นหอมยั่วยวน“ข้าเคยกินปลา ไม่อร่อยจริงๆ!”“ข้าเองก็เคยกิน ไม่ใช่แค่ไม่อร่อย ก้างก็เยอะ”“พูดถึงก้าง ก้างปลาเคยติดคอข้าด้วย ปวดไปตั้งหลายวัน”“ข้าเองก็เคยเหมือนกัน ให้กินโดยไม่เสียสักแดงข้าก็ไม่กิน”ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ทำให้ผู้คนเริ่มหมดความสนใจปลาเผาของเฉินฝาน มีคนเริ่มเดินออกไปหนังปลาเหลืองอร่ามงดงาม ใกล้จะสุกแล้ว เฉินฝานเร่งมือ โรยผงพริกไทยและผงยี่หราลงบนปลาที่อยู่บนเตาเผาผงพริกไทย ผงยี่หรา น้ำมัน ปลา มาเจ
“อร่อยจริงๆ พวกเจ้าลองดูสิ!”“ลองดูสิ ลองกันให้หมด!”“หากไม่อร่อย ข้าหลิวต้าชุ่ยวันนี้จะเปลี่ยนชื่อเป็นหลิวเสี่ยวชุ่ยเลย!”โบราณกล่าวไว้ รับของผู้อื่นมืออ่อน กินของผู้อื่นปากหวานยิ่งไปกว่านั้นปลาเผาอร่อยจริงๆ หลิวต้าชุ่ยตะโกนขายของขึ้นมา ตั้งใจยิ่งกว่าเฉินฝาน คนไม่รู้ นึกว่าเขาเป็นคนขายปลาเผาเสียอีก“นี่ หลิวต้าชุ่ย เจ้าเป็นหน้าม้าที่พ่อหนุ่มจ้างมาหรือเปล่า? พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า?”เห็นผู้คนเริ่มหวั่นไหว อยากชิมปลาของเฉินฝาน หลี่ซื่อร้องตะโกนเสียงดังผู้คนลังเลอีกแล้ว หลี่ซื่อรีบใส่สีตีไข่ “ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ยังเป็นปลา ทุกคนล้วนมีช่วงเวลายากลำบาก ใครบ้างที่ไม่เคยถูกบังคับให้กินปลา! แค่ใส่น้ำมันไม่กี่หยด บวกกับส่วนผสมต่างๆ ก็กลายเป็นอาหารของเทพเซียนเชียวหรือ?”“คิดว่าพวกข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร?”“หลี่ซื่อ”หลิวต้าชุ่ยไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน เขาเอาร่างอ้วนท้วมของเขา เดินไปตรงหน้าหลี่ซื่อ“อย่าคิดว่าเจ้ากับหลี่ฟาคนดูแลสถานที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เจ้าคิดอยากจะทำอะไรในตลาดนี้ก็ได้ ข้าหลิวต้าชุ่ยคนนี้ไม่กลัวเจ้า”แม้หลิวต้าชุ่ยกับหลี่ซื่อไม่ได้อยู่หมู่บ้านเดีย
ตัวละสามเหวิน เหตุใด...”เฉินฝานยังพูดไม่จบ หลี่ซื่อโยนเงินสี่เหวินที่เมื่อครู่เฉินฝานให้เขากลับมา เฉินฝานรับไว้ตามสัญชาตญาณ“ข้าเอาหนึ่งตัว หนึ่งเหวินที่เกินมานี้ ไม่ต้องทอนแล้ว!”“ขอรับ ขอบคุณพี่หลี่!”ไม่ทอนก็ไม่ทอน คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างหลี่ซื่อ หากทอนให้เขาจริงๆ เขาคงอึดอัด“เย่ว์โหรว ยืนนิ่งอยู่ทำไม ห่อให้พี่หลี่หนึ่งตัว”เฉินฝานเองก็คิดไม่ถึง การค้าขายแรกของเขาจะสำเร็จด้วยรูปแบบนี้ อีกทั้งคนที่ซื้อปลาของเขากลับเป็นหลี่ซื่อที่ขับไล่เขา“น้องชาย” หลิวต้าชุ่ยหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสามเหวิน “ปลาของเจ้าข้าก็ไม่อาจเอามาโดยไม่จ่ายเงิน นี่เงิน!”เฉินฝานโบกมือติดต่อกัน “พี่หลิว ข้าบอกแล้วว่าให้ท่าน!”เมื่อหลิวต้าชุ่ยได้ฟัง เขาก็ไม่สบอารมณ์ “เจ้าพูดอะไรเนี่ย ข้าหลิวต้าชุ่ยไม่ใช่คนกินแล้วไม่จ่ายเงิน เจ้ารับเงินไว้ เงินสามเหวินข้าหลิวต้าชุ่ยคนนี้จ่ายไหว”หลี่ซื่อให้แล้ว เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร“เช่นนั้น...ขอบคุณพี่หลิวมากขอรับ”เฉินฝานจำต้องรับเงินของหลิวต้าชุ่ย“อร่อยจริงๆ พวกเจ้าก็ชิมดู!”จ่ายเงินเฉินฝานเสร็จ หลิวต้าชุ่ยนำเนื้อปลาเผาที่แยกเป็นชิ้นๆจากมือเฉินฝานยื่นไปตรงหน้าฝู
ยุคสมัยนี้ไม่มีการเชื่อมเหล็ก ไม่อาจทำเตาเผาเหมือนยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน แต่ว่าน่าจะทำตะแกรงเหล็กได้กระมังเฉินฝานถามว่าจ่ายค่ามัดจำก่อนสิบเหวินได้หรือไม่เงินที่หาในวันนี้ ไม่พอซื้อตะแกรงเหล็กแน่นอน อีกทั้งไม่ได้เห็นสินค้า แม้จะมีเงินมากพอ เฉินฝานก็ไม่อยากจ่ายหมดในครั้งเดียวยุคสมัยนี้ ยังไม่มีแนวคิดเรื่องการจ่ายค่ามัดจำ แต่เถ้าแก่ตอบตกลงทันทีล้วนเป็นคนทำการค้า ปลาเผาของเฉินฝานขายดีในตลาด เถ้าแก่ได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าแล้วอีกทั้งเขาก็ซื้อแล้ว ปลาเผาของเฉินฝานอร่อยจริงๆ ตัวเขาเองก็ดูเป็นคนซื่อตรง เขาไม่กลัวว่าเฉินฝานจะไม่จ่ายเงินตอนเฉินฝานกลับมาจากร้านขายเหล็ก พบว่าสองพี่น้องเก็บทุกอย่างเสร็จแล้ว เวลานี้กำลังนั่งกระซิบกระซาบคุยกันเห็นเฉินฝานกลับมา รีบหยุดทันที ลุกขึ้นต้อนรับเฉินฝาน“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”“อื้ม เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเจ้าพูดคุยกันอย่างมีความสุข กำลังคุยอะไร?”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรววิ่งไปตรงหน้าเฉินฝาน หลังจากมองซ้ายมองขวาพูดกระซิบเสียงเบา “นายท่านเจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้เราได้เงินเท่าไหร่?”“เท่าไหร่?”ในตอนหลังมีลูกค้าให้ราคาปลาเผาเพิ่ม ฉินเ
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ