ยุคสมัยนี้ไม่มีการเชื่อมเหล็ก ไม่อาจทำเตาเผาเหมือนยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน แต่ว่าน่าจะทำตะแกรงเหล็กได้กระมังเฉินฝานถามว่าจ่ายค่ามัดจำก่อนสิบเหวินได้หรือไม่เงินที่หาในวันนี้ ไม่พอซื้อตะแกรงเหล็กแน่นอน อีกทั้งไม่ได้เห็นสินค้า แม้จะมีเงินมากพอ เฉินฝานก็ไม่อยากจ่ายหมดในครั้งเดียวยุคสมัยนี้ ยังไม่มีแนวคิดเรื่องการจ่ายค่ามัดจำ แต่เถ้าแก่ตอบตกลงทันทีล้วนเป็นคนทำการค้า ปลาเผาของเฉินฝานขายดีในตลาด เถ้าแก่ได้ยินเรื่องนี้ตั้งแต่เช้าแล้วอีกทั้งเขาก็ซื้อแล้ว ปลาเผาของเฉินฝานอร่อยจริงๆ ตัวเขาเองก็ดูเป็นคนซื่อตรง เขาไม่กลัวว่าเฉินฝานจะไม่จ่ายเงินตอนเฉินฝานกลับมาจากร้านขายเหล็ก พบว่าสองพี่น้องเก็บทุกอย่างเสร็จแล้ว เวลานี้กำลังนั่งกระซิบกระซาบคุยกันเห็นเฉินฝานกลับมา รีบหยุดทันที ลุกขึ้นต้อนรับเฉินฝาน“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”“อื้ม เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเจ้าพูดคุยกันอย่างมีความสุข กำลังคุยอะไร?”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์โหรววิ่งไปตรงหน้าเฉินฝาน หลังจากมองซ้ายมองขวาพูดกระซิบเสียงเบา “นายท่านเจ้าคะ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้เราได้เงินเท่าไหร่?”“เท่าไหร่?”ในตอนหลังมีลูกค้าให้ราคาปลาเผาเพิ่ม ฉินเ
งานในฤดูเหมันต์น้อยจริงๆ หลี่เจิ้งว่างแล้ว นับประสาอะไรกับผู้ช่วยอย่างเฉินเจียงตั้งแต่เมื่อวาน จวบจนเข้าสู่ฤดูวสันต์ หลี่เจิ้งบอกให้เฉินเจียงไม่ต้องไปทำงานแล้ว ให้เขาไปตั้งใจเรียนในสถานศึกษา เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบระดับท้องถิ่นสอบระดับท้องถิ่นผ่านจึงจะสามารถสอบระดับซิ่วไฉได้ การสอบระดับท้องถิ่นไม่จำกัดอายุความจริงเฉินเจียงอายุไม่มากคนสมัยโบราณแต่งงานเร็ว เฉินเจียงและเฉินฝานเกิดปีเดียวกัน ปีนี้ทั้งสองเพิ่งอายุสิบเก้าวันนี้ได้รับเบี้ยหวัด หลี่เจิ้งนำเบี้ยหวัดและเงินขวัญถุงที่เขาได้ลูกชายไปให้เฉินเจียงที่หมู่บ้านซานเหอเป็นพิเศษ ตอนเขาออกมากลับถูกภรรยาหัวเราะเยาะ “ท่านหลี่เจิ้งนำเบี้ยหวัดและเงินไปให้ผู้ช่วยด้วยตนเอง ไม่รู้สึกขายหน้าหรือเจ้าคะ?”หลี่เจิ้งตำหนิทันที “เจ้าเป็นแค่สตรีในเรือน จะเข้าใจอะไร ปกติเจ้าชอบออกไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านไม่ใช่หรือ หรือเจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่นักพรตวัดซานชิงกวนพูด”“ได้ยินสิ บอกว่าตระกูลเฉินฟู่หมู่บ้านซานเหอ ในสิบปีจะมีขุนนางใหญ่ที่ได้ทั้งบุ๋นและบู๊ปรากฎตัว” ฮูหยินหลี่เจิ้งพูดอย่างไม่ใส่ใจ“รู้แล้วเจ้ายังจะพูดมากอีก!”“แต่นักพรกไม่ได้บอกว
ฉินเย่ว์โหรวก้มหน้าลง ท่าทีอ่อนน้อมเฉินฝานเห็นเช่นนั้น เปลวไฟแห่งความโมโหภายในจิตใจปะทุขึ้นมาสตรีคนนี้เป็นใคร? เหตุใดวิ่งแจ้นมาเอะอะโวยวายที่เรือนของเขา“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”เห็นเฉินฝานเปิดประตูเข้ามา ฉินเย่ว์โหรวคล้ายได้รับการช่วยเหลือนางวิ่งไปหาเฉินฝานสตรีเชิดหน้าแสนโอหังคนนั้นเป็นใคร ฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ด้านหลังของเขาพูดก่อนที่เขาจะถาม“อาสะใภ้หง!”“หึ!” จ้าวเสี่ยวหงทำเสียงฮึดฮัด วางมาดยิ่งใหญ่ไม่คลอดลูกชาย จ้าวเสี่ยวหงถูกจางเหลียนฮวารังแกเป็นเวลานาน จ้าวเสี่ยวหงที่ถูกรังแกมักจะใช้ฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์เจียวเป็นที่รองรับอารมณ์เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่เอาถ่าน ตำแหน่งของเขาในตระกูลเฉินจึงต่ำต้อย แม้จ้าวเสี่ยวหงและจางเหลียนฮวาจะรังแกสองพี่น้องตระกูลฉินมาโดยตลอด เจ้าของร่างเดิมก็ทำเป็นมองไม่เห็นหากสองพี่น้องตระกูลฉินบ่น คร่ำครวญไม่กี่ประโยค เจ้าของร่างเดิมยังทุบตีพวกนาง ให้พวกนางเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาสะใภ้อาสะใภ้?เฉินฝานควานหาความทรงจำเกี่ยวกับจ้าวเสี่ยวหงในความคิด จ้าวเสี่ยวหงพูดอีก “ตอนกลางคืนมากินข้าวที่เรือนข้า พวกเจ้า...”สายตาของจ้าวเสี่ยวหงมองไปยังตะกร้าท
“ครอบครัวเฉินฝาน มาถึงแล้ว มัยยืนนิ่งอยู่ข้างผู้ชายทำไม รีบไปช่วยงานในครัวเร็วเข้า!”สตรีคนหนึ่ง ตะคอกใส่ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวคนๆ นี้คือนางโจวย่าของเฉินฝาน“เจ้าค่ะ ท่านย่า หลานสะใภ้ไปช่วยงานเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวรีบไปจากเฉินฝาน มุ่งหน้าไปที่ครัวเฉินฝานไม่ห้าม ยุคสมัยนี้ คำพูดของผู้อาวุโสยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ สลึกลึกอยู่ในใจของทุกคน สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาที่เพิ่งมาถึง ทำตัวกลืนกับทุกคนก่อนหลังจากพวกภรรยาไป เฉินฝานสังเกตย่าของตนหน้าตาประมาณห้าสิบกว่า หน้าผาก หางตา ล้วนมีริ้วรอยที่เกิดจากกาลเวลา มือทั้งสองข้างมีร่องรอยการทำงานหนักสมัยสาวๆ แต่ว่าแต่งเนื้อแต่งตัวได้สะอาดสะอ้านสวมเสื้อและโปรงโทนสีเทาเป็นหลัก คอเสื้อปักลายด้วยสีเหลือง บนผม ปักปิ่นทองคำหนึ่งอันด้วยดูออกว่า นางโจวให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงในวันนี้มากในฐานะชาวนาคนหนึ่ง นี่คือทรงผมที่ดีที่สุดเท่าที่นางทำได้แล้วคนโบราณอายุสั้น อายุสิบกว่าก็แต่งงานแล้ว นางโจวอายุห้าสิบกว่าก็ได้เป็นย่าถือเป็นเรื่องปกติเฉินเจียงเป็นลูกหลงของเฉินฟู่และนางโจว อายุเท่าเฉินฝานทั้งสองอายุสิบเก้าเฉินเ
เฉินฝานความทรงจำดีมาก เมื่อครู่ฉินเย่ว์โหรวพูดเพียงรอบเดียว เขาจำชื่อและแซ่ของคนเหล่านี้ได้หมดแล้วอาหารบนโต๊ะของผู้ชาย มีมากมายและหลากหลายยิ่งกว่าบนโต๊ะของผู้หญิงแม้เวลานี้เฉินเจียงอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่คนที่นั่งเก้าอี้ตัวหลักก็คือบิดาของเขา เฉินฟู่มองดูแล้วอายุของเฉินฟู่ มากกว่านางโจวภรรยาของเขา คาดว่าประมาณหกสิบแล้ว แต่ว่าสุขภาพร่างกายยังถือว่าแข็งแรงดีทางด้านซ้ายและด้านขวาของเฉินฟู่ แบ่งเป็นหลี่เจิ้งและผู้ใหญ่บ้านนั่งเวลานี้รวมตัวกัน แน่นอนว่าเป็นเพราะจางเหลียนฮวาให้กำเนิดลูกชาย แต่เหตุผลที่มากไปกว่านั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะคำทำนายของนักพรตวัดซานชิงกวนใครบ้างที่ไม่อยากประจบ ขุนนางใหญ่ก่อนที่จะกลายเป็นขุนนางใหญ่ รอวันที่เขาประสบความสำเร็จได้เป็นขุนนางใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้วเฉินเจียงนั่งข้างหลี่เจิ้ง วันนี้เขาสวมชุดชิงจินตัวใหม่ชิงจิน คือเสื้อสีน้ำเงินคอปกไขว้กัน เป็นชุดเครื่องแบบของนักเรียนในสมัยโบราณ สื่อให้รู้ว่าเป็นนักเรียนราชวงศ์ต้าชิงมีกฎว่า มีเพียงนักเรียนที่ผ่านการสอบระดับท้องถิ่นเท่านั้นจึงจะสวมชุดชิงจินได้การสอบระดับท้องถิ่น คือปัญญาชนที่ยังสอบซิ่วไฉไม่
เขาคือเฉินเฟยอวี๋ลูกชายของอาสามในมือเฉินเฟยอวี๋ถือตำรา ‘บทกวี’ น้ำเสียงและท่าทีโอหังมาก ในฐานะรุ่นเด็กคนหนึ่ง ไม่เคารพเฉินฝานและเฉินผิงแม้แต่น้อย“ขอโทษด้วย ขอโทษ พวกเราหลีกทางให้เดี๋ยวนี้ หลีกให้เดี๋ยวนี้” ใบหน้าแก่ชราของเฉินผิง เผยรอยยิ้มอ่อนน้อม เขาดึงเฉินฝานขยับถอยหลัง“คนไม่เอาไหนไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ตระกูลเฉินขายหน้า!”ขณะเดินผ่านเฉินฝานและเฉินผิง เฉินเฟยอวี๋ยังด่าทอ“ไอ้หนู เจ้าพูดอะไร?” เฉินฝานลุกพรวดขึ้นมา“ข้าพูดอะไร หึ!” เฉินเฟยอวี๋หัวเราะเยาะอย่างไร้เยื่อใย “งานเลี้ยงดำเนินมาถึงเวลานี้ ก็จะเริ่มโต้วาทีบทกวีแล้ว ไม่ไสหัวไป เจ้าเข้าใจหรือ?”“พวกทำตัวขายขี้หน้า ไสหัวไป!”เฉินฝานยังไม่ทันพูด เฉินฟู่โมโหด่าทอเฉินฝานเสียงดัง“เสี่ยวฝาน อย่าสร้างปัญหา พวกเราถอยไปอยู่อีกที่หนึ่งกันเถอะ” เฉินผิงรีบพาเฉินฝานไปยังมุมหนึ่งที่ต่ำกว่าโต๊ะอาหารของพวกผู้หญิงเฉินเฟยอวี๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “แบบนี้สิถึงจะถูก พวกคนไม่เอาไหนควรจะอยู่มุมๆ”สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางเฉินฝาน เฉินเจียงนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจ มองด้วยความเหนือกว่าหัวข้อหลักในวันนี้คือบทกวี รุ่นผ
เจ้าหมอนี่ใจกล้าเกินไปแล้วคำพูดของเขาไม่ได้เย้ยหยันแค่เฉินเฟยอวี๋ แต่เย้ยหยันเฉินเจียงด้วยการเรียนของเฉินเจียงไม่เพียงเป็นอันดับหนึ่งของตระกูล ในสถานศึกษาก็เป็นอันดับต้นๆ เช่นเดียวกันแต่เฉินฝาน คือคนไม่รู้หนังสือ คนไม่เอาไหนที่เที่ยวเล่นไปวันๆคนไม่เอาไหนบอกว่าคนเรียนดีสอนผิดเนี่ยนะคนที่สีหน้าย่ำแย่ที่สุดคือเฉินฟู่ เขาโยนแก้วน้ำชาลงบนพื้นอย่างแรง “สารเลว พวกอาเจียงกำลังพูดคุยเรื่องบทกวี เจ้าจะเข้าใจอะไร ขัดจังหวะมั่วซั่ว”“ข้าไม่เข้าใจอะไร แต่หน้าที่ยี่สิบ...”“ฮ่าๆ หน้าที่ยี่สิบอะไร นั่นคือบทที่ยี่สิบ แค่คำว่าบทยังอ่านไม่ออก”“ไม่รู้หนังสืออยู่แล้ว ยังจะแกล้งทำเป็นรู้อีก” เฉินฝานเพิ่งพูด พวกเด็กหนุ่มในตระกูลก็เริ่มหัวเราะเยาะเขาทุกคนในตระกูลเฉินมั่นใจว่าเฉินฝานเป็นคนผิด ไม่มีใครสืบหาความจริง“ไสหัวไป ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้ข้าขายหน้า” เฉินฟู่ที่รังเกียจเฉินฝาน เริ่มขับไล่เขา“เสี่ยวฝาน เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ วันนี้อาชวนเจ้ามา เดิมทีอยากให้เจ้าเปิดหูเปิดตา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้าดีเดือดเช่นนี้”เฉินเจียงทำสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ไม่เอาไหนด้วยความปวดใจ“เหมือนว่าเขาจ
ไม่ควรชวนเขา จะทำให้เสียเรื่อง!”“ตระกูลของพวกเรามีอันธพาลไม่เอาไหนเช่นนี้ ทำให้คนในตระกูลขายหน้าจริงๆ!”“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ยามออกไป เมื่อพูดถึงตระกูลเฉิน ผู้อื่นก็จะถาม ใช่ตระกูลเฉินอันธพาลเฉินฝานหรือไม่ ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร” “เขาคือปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง”คนในตระกูลที่อยู่รอบๆ เฉินฝาน เริ่มกระซิบกระซาบพวกเขาตำหนิเฉินฝานที่ทำให้พวกเขาต้องลำบากอย่างไม่มีข้อยกเว้นเฉินเจียงขมวดคิ้วเป็นปม วันนี้เขาชวนเฉินฝานมา อยากโอ้อวดเท่านั้น ให้เฉินฝานคำนับเขาคิดไม่ถึงสุดท้ายเจ้าเด็กนี่จะทำให้เขาขายหน้า เรื่องขายหน้าที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขายังไม่คิดบัญชีก่อน หากเฉินฝานก่อเรื่องอีก เช่นนั้นซวยจริงๆ แล้ว“คนไม่เอาไหน คุกเข่าซะ ไม่ว่าเจ้าทำเรื่องอะไร รีบขอโทษหลี่เจิ้งเดี๋ยวนี้”เฉินฟู่หันไปตำหนิเฉินฝาน“ข้าทำอะไร ให้ข้าคุกเข่า ท่านผิดปกติหรือไม่!” เฉินฝานมองเฉินฟู่อย่างหมดคำจะพูด โต้กลับทันทีท่าทีของเฉินฝาน ทำให้ทุกคนในตระกูลเฉินตกตะลึงเมื่อก่อนตอนอยู่ข้างนอกไม่ว่าเขาจะใจกล้าเพียงใด เมื่อกลับถึงตระกูลเฉิน เขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมกลัวเฉินฟู่และเฉินเจียงมาก“เฉินฝาน พูดแบบนี้กับท่านปู
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ