เฉินฝานความทรงจำดีมาก เมื่อครู่ฉินเย่ว์โหรวพูดเพียงรอบเดียว เขาจำชื่อและแซ่ของคนเหล่านี้ได้หมดแล้วอาหารบนโต๊ะของผู้ชาย มีมากมายและหลากหลายยิ่งกว่าบนโต๊ะของผู้หญิงแม้เวลานี้เฉินเจียงอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่คนที่นั่งเก้าอี้ตัวหลักก็คือบิดาของเขา เฉินฟู่มองดูแล้วอายุของเฉินฟู่ มากกว่านางโจวภรรยาของเขา คาดว่าประมาณหกสิบแล้ว แต่ว่าสุขภาพร่างกายยังถือว่าแข็งแรงดีทางด้านซ้ายและด้านขวาของเฉินฟู่ แบ่งเป็นหลี่เจิ้งและผู้ใหญ่บ้านนั่งเวลานี้รวมตัวกัน แน่นอนว่าเป็นเพราะจางเหลียนฮวาให้กำเนิดลูกชาย แต่เหตุผลที่มากไปกว่านั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะคำทำนายของนักพรตวัดซานชิงกวนใครบ้างที่ไม่อยากประจบ ขุนนางใหญ่ก่อนที่จะกลายเป็นขุนนางใหญ่ รอวันที่เขาประสบความสำเร็จได้เป็นขุนนางใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้วเฉินเจียงนั่งข้างหลี่เจิ้ง วันนี้เขาสวมชุดชิงจินตัวใหม่ชิงจิน คือเสื้อสีน้ำเงินคอปกไขว้กัน เป็นชุดเครื่องแบบของนักเรียนในสมัยโบราณ สื่อให้รู้ว่าเป็นนักเรียนราชวงศ์ต้าชิงมีกฎว่า มีเพียงนักเรียนที่ผ่านการสอบระดับท้องถิ่นเท่านั้นจึงจะสวมชุดชิงจินได้การสอบระดับท้องถิ่น คือปัญญาชนที่ยังสอบซิ่วไฉไม่
เขาคือเฉินเฟยอวี๋ลูกชายของอาสามในมือเฉินเฟยอวี๋ถือตำรา ‘บทกวี’ น้ำเสียงและท่าทีโอหังมาก ในฐานะรุ่นเด็กคนหนึ่ง ไม่เคารพเฉินฝานและเฉินผิงแม้แต่น้อย“ขอโทษด้วย ขอโทษ พวกเราหลีกทางให้เดี๋ยวนี้ หลีกให้เดี๋ยวนี้” ใบหน้าแก่ชราของเฉินผิง เผยรอยยิ้มอ่อนน้อม เขาดึงเฉินฝานขยับถอยหลัง“คนไม่เอาไหนไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ตระกูลเฉินขายหน้า!”ขณะเดินผ่านเฉินฝานและเฉินผิง เฉินเฟยอวี๋ยังด่าทอ“ไอ้หนู เจ้าพูดอะไร?” เฉินฝานลุกพรวดขึ้นมา“ข้าพูดอะไร หึ!” เฉินเฟยอวี๋หัวเราะเยาะอย่างไร้เยื่อใย “งานเลี้ยงดำเนินมาถึงเวลานี้ ก็จะเริ่มโต้วาทีบทกวีแล้ว ไม่ไสหัวไป เจ้าเข้าใจหรือ?”“พวกทำตัวขายขี้หน้า ไสหัวไป!”เฉินฝานยังไม่ทันพูด เฉินฟู่โมโหด่าทอเฉินฝานเสียงดัง“เสี่ยวฝาน อย่าสร้างปัญหา พวกเราถอยไปอยู่อีกที่หนึ่งกันเถอะ” เฉินผิงรีบพาเฉินฝานไปยังมุมหนึ่งที่ต่ำกว่าโต๊ะอาหารของพวกผู้หญิงเฉินเฟยอวี๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “แบบนี้สิถึงจะถูก พวกคนไม่เอาไหนควรจะอยู่มุมๆ”สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางเฉินฝาน เฉินเจียงนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจ มองด้วยความเหนือกว่าหัวข้อหลักในวันนี้คือบทกวี รุ่นผ
เจ้าหมอนี่ใจกล้าเกินไปแล้วคำพูดของเขาไม่ได้เย้ยหยันแค่เฉินเฟยอวี๋ แต่เย้ยหยันเฉินเจียงด้วยการเรียนของเฉินเจียงไม่เพียงเป็นอันดับหนึ่งของตระกูล ในสถานศึกษาก็เป็นอันดับต้นๆ เช่นเดียวกันแต่เฉินฝาน คือคนไม่รู้หนังสือ คนไม่เอาไหนที่เที่ยวเล่นไปวันๆคนไม่เอาไหนบอกว่าคนเรียนดีสอนผิดเนี่ยนะคนที่สีหน้าย่ำแย่ที่สุดคือเฉินฟู่ เขาโยนแก้วน้ำชาลงบนพื้นอย่างแรง “สารเลว พวกอาเจียงกำลังพูดคุยเรื่องบทกวี เจ้าจะเข้าใจอะไร ขัดจังหวะมั่วซั่ว”“ข้าไม่เข้าใจอะไร แต่หน้าที่ยี่สิบ...”“ฮ่าๆ หน้าที่ยี่สิบอะไร นั่นคือบทที่ยี่สิบ แค่คำว่าบทยังอ่านไม่ออก”“ไม่รู้หนังสืออยู่แล้ว ยังจะแกล้งทำเป็นรู้อีก” เฉินฝานเพิ่งพูด พวกเด็กหนุ่มในตระกูลก็เริ่มหัวเราะเยาะเขาทุกคนในตระกูลเฉินมั่นใจว่าเฉินฝานเป็นคนผิด ไม่มีใครสืบหาความจริง“ไสหัวไป ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้ข้าขายหน้า” เฉินฟู่ที่รังเกียจเฉินฝาน เริ่มขับไล่เขา“เสี่ยวฝาน เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ วันนี้อาชวนเจ้ามา เดิมทีอยากให้เจ้าเปิดหูเปิดตา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้าดีเดือดเช่นนี้”เฉินเจียงทำสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ไม่เอาไหนด้วยความปวดใจ“เหมือนว่าเขาจ
ไม่ควรชวนเขา จะทำให้เสียเรื่อง!”“ตระกูลของพวกเรามีอันธพาลไม่เอาไหนเช่นนี้ ทำให้คนในตระกูลขายหน้าจริงๆ!”“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ยามออกไป เมื่อพูดถึงตระกูลเฉิน ผู้อื่นก็จะถาม ใช่ตระกูลเฉินอันธพาลเฉินฝานหรือไม่ ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร” “เขาคือปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง”คนในตระกูลที่อยู่รอบๆ เฉินฝาน เริ่มกระซิบกระซาบพวกเขาตำหนิเฉินฝานที่ทำให้พวกเขาต้องลำบากอย่างไม่มีข้อยกเว้นเฉินเจียงขมวดคิ้วเป็นปม วันนี้เขาชวนเฉินฝานมา อยากโอ้อวดเท่านั้น ให้เฉินฝานคำนับเขาคิดไม่ถึงสุดท้ายเจ้าเด็กนี่จะทำให้เขาขายหน้า เรื่องขายหน้าที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขายังไม่คิดบัญชีก่อน หากเฉินฝานก่อเรื่องอีก เช่นนั้นซวยจริงๆ แล้ว“คนไม่เอาไหน คุกเข่าซะ ไม่ว่าเจ้าทำเรื่องอะไร รีบขอโทษหลี่เจิ้งเดี๋ยวนี้”เฉินฟู่หันไปตำหนิเฉินฝาน“ข้าทำอะไร ให้ข้าคุกเข่า ท่านผิดปกติหรือไม่!” เฉินฝานมองเฉินฟู่อย่างหมดคำจะพูด โต้กลับทันทีท่าทีของเฉินฝาน ทำให้ทุกคนในตระกูลเฉินตกตะลึงเมื่อก่อนตอนอยู่ข้างนอกไม่ว่าเขาจะใจกล้าเพียงใด เมื่อกลับถึงตระกูลเฉิน เขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมกลัวเฉินฟู่และเฉินเจียงมาก“เฉินฝาน พูดแบบนี้กับท่านปู
เจ้านี่ กล้าส่งเสียงเวลานี้เนี่ยนะเฉินเจียงมองเฉินฝานอย่างตักเตือนเฉินฝานลืมตากว้าง ทำทีใสซื่อ เขายิ้มแล้วเผชิญหน้ากับสายตาของเฉินเจียง คำตักเตือนในแววตาของเฉินเจียง เขามองไม่เห็นแม้แต่น้อย“ก็จริงขอรับ!” เฉินฝานไม่รอเฉินเจียงตอบ พูดต่อ “อาเจียงเป็นปัญญาชน ทั้งยังสวมชุดชิงจิน จะหลอกกันได้อย่างไร”เฉินฝานพูด ยื่นมือไปให้เฉินเจียงเฉินเจียงขมวดคิ้วมองมือของเฉินฝานที่ยื่นมาให้เขา “อะไร?”“เงินอย่างไรขอรับ!” เฉินเจียงเขย่าฝ่ามือของตนเอง “อาเจียง เวลานี้หลานชายต้องการเงินสามร้อยเหวินเพื่อผ่านฤดูเหมันต์”เฉินเจียงอยากอาเจียนเป็นเลือดก่อนหน้านี้เบี้ยหวัดของเขาเดือนละแค่ยี่สิบเหวิน วันนี้หลี่เจิ้งบอกเขาว่า นายอำเภอบอกว่าเขาทำงานดี เพิ่มให้เป็นหนึ่งร้อยเหวิน สามร้อยเหวินเท่ากับเบี้ยหวัดสามเดือนของเขาสายตาของเฉินเจียงจับจ้องไปที่เฉินฝาน พูดลอดไรฟัน “เจ้าหนู เจ้าอย่าเรียกร้องเกินเหตุ!”รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินฝานกว้างขึ้น สบตาเฉินเจียงอย่างไม่หวาดกลัวสามร้อยเหวินมากหรือ? ไม่มากแม้แต่น้อยก่อนจะมา ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวบอกเขาว่า เฉินเจียงปลูกเรือนเมื่อปีกลาย เงินไม่พอ เฉินฟู่บอกใ
ร่างเดิมในอดีตยามอยู่ต่อหน้าคนตระกูลเฉิน ไม่กล้าแม้กระทั่งผายลม แต่ยามอยู่ข้างนอกกับจูต้าอัน โอหังในหมู่บ้านอย่างมากคนในหมู่บ้านลับหลังเรียกเขาว่าเทพแห่งโรคระบาด“คนที่จะเข้าร่วมการสอบขุนนาง พบเจอเทพแห่งโรคระบาดอย่างพวกข้า คงไม่ดีแน่!”เฉินฝานเองก็คิดไม่ถึงว่า จูต้าอันช่วยเขาทางอ้อมครั้งใหญ่ หากไม่มีจูต้าอัน คนในหมู่บ้านจะกลัวร่างเดิมได้อย่างไร ร่างเดิมก็คงไม่มีฉายาเทพแห่งโรคระบาดนี้แล้ว และเขาในตอนนี้คงไม่อาจได้ เงินสินเดิมและเงินน้ำพักน้ำแรงของฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวเป็นจริงตามคาด เมื่อได้ยินคำว่าเทพแห่งโรคระบาด สีหน้าของเฉินเจียงและเฉินฟู่แปรเปลี่ยนทันทีคนสมัยโบราณงมงายจางเหลียนฮวาที่อยู่ไกลๆ อุ้มลูกพร้อมกับสาวเท้ามา“ให้เจ้าสามร้อยเหวิน เสี่ยวฝาน เพื่ออาเจียงของเจ้า และเพื่อตระกูลเฉินของเรา ก่อนอาเจียงสอบระดับท้องถิ่น วันข้างหน้าหากในเรือนข้ามีงาน เจ้าและน้องสะใภ้ไม่ต้องมาช่วยงานแล้ว”“ขอบคุณอาสะใภ้ขอรับ!” เฉินฝานรับเงินที่จางเหลียนฮวายื่นให้อย่างมีความสุขสีหน้าของเฉินเจียง เหยเกราวกับกินแมลงวันเข้าไปเบี้ยหวัดสามเดือนแต่...เทพแห่งโรคระบาดเขาเองก็กลัว“ห้
หึ!แล้วอย่างไรเล่า ชีวิตของเฉินฝาน ไม่ว่าจะเป็นลำดับตระกูล หรือว่าหน้าที่การงาน ชีวิต ล้วนถูกลิขิตให้ต่ำต้อยกว่าเขา“อื้ม!”หลี่เจิ้งพยักหน้า ตามเฉินเจียงออกไปนอกประตูมีรถม้าจอดไว้หนึ่งคัน เป็นรถม้าที่เฉินเจียงจ้างมาส่งหลี่เจิ้งหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพียงเล็กน้อย คนทั้งหมู่บ้านล้วนรู้กันหมด ยิ่งไปกว่านั้นหลี่เจิ้งมาด้วยตนเอง ทั้งยังนำเงินขวัญถุงจากทางราชสำนักมาให้หน้าเรือนเฉินเจียง มีคนมาล้อมวงดูส่งไปถึงประตูใหญ่ คนส่วนมากกลับเข้าไปในเรือนของเฉินเจียงแล้ว มีเพียงเฉินเจียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนกรานจะส่งไปถึงหน้าหมู่บ้าน“เฉินเจียงเก่งจริงๆ”“ได้ลูกชายสองคนติดต่อกัน วาสนาดีจริงๆ”“ไม่เพียงแค่นี้ ไม่เพียงได้ลูกชาย ทั้งยังเรียนเก่งอีกด้วย!”“นักพรตวัดซานชิงกวน เคยโกหกเมื่อไหร่”นี่คือเหตุผลที่เฉินเจียงยืนกรานส่งหลี่เจิ้งถึงหน้าหมู่บ้าน ไม่ส่งไปถึงหน้าหมู่บ้าน จะได้รับสายตาอิจฉาจากชาวบ้านมากขึ้นได้อย่างไร“เฮ้อ ด้านวิชาการ ข้าพยายามเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงดูเรื่องลูกชาย เทียบเฉินเจียงได้หรือไม่“เจ้าช่างโลภมากจริงๆ เฉินเจียงมีลูกชายสองคน ข้าไ
เฉินฝานเพิ่งหันหน้ากลับไป เฉินฟู่สั่งเขาทันที “คืนเงินสามร้อยเหวินนั้นให้อาเจียง อันธพาลคนหนึ่ง ไม่คู่ควรที่จะมีเงินมากขนาดนั้น”“ไม่ให้!”เฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเรื่องนี้ไม่อาจต่อรองได้แม้แต่น้อยเพราะเงินสามร้อยเหวินนี้ เป็นของฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวเขาเพียงช่วยพวกนางทวงคืนกลับมาเท่านั้นเฉินฟู่ชี้หน้าเฉินฝานด้วยความโมโห “เจ้า!”เฉินฝานผลักมือของเฉินฟู่ที่ชี้เขา “ปู่ทวดและย่าทวดของข้าไม่เคยสอนท่านหรือ? ชี้หน้าคนเช่นนี้ไร้มารยาทยิ่งนัก”คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลานชายของตนเองด่าว่าไม่มีมารยาท เฉินฟู่โมโหจนหน้าแดงก่ำ “สารเลว ทิ้งเงินไว้เดี๋ยวนี้”“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” เฉินฝานกำหมัด เขาออกแรงเล็กน้อยนิ้วมือส่งเสียงดัง“เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าเป็นปู่ของเจ้า” เฉินฟู่ถอยหลังหลังจากหลานคนนี้ตกหน้าผา กลายเป็นต่อสู้เก่ง เรื่องนี้เขาได้ยินมาเมื่อหลายวันก่อน จูต้าอันถูกเฉินฝานทำร้ายจนลุกไม่ขึ้น ต้องยกออกจากเรือน“ไม่มีอะไร แค่ว่าหลายวันนี้ข้าทำงานเยอะ ก็เลยเจ็บนิ้วเท่านั้น”“ท่านปู่ ข้ายังมีงานที่เรือน ไปล่ะ!”กระทั่งเฉินฝานเดินไปไกล เฉินฟู่เพิ่งดึงสติกลับมาเจ็บใจ
เถียนเสี่ยวอวี่ก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกต้องแล้ว ปกติแล้วประตูบานนั้นจะไม่เปิดออก และยังล็อกกลอนไว้ด้วย จู่ ๆก็บังเอิญ...” เถียนเสี่ยวอวี่หยุดพูดทันที สีหน้าค่อย ๆ มืดมนลง“หรือว่าคนจงใจเปิดออกงั้นรึ? มีคนที่ไม่อยากเจ้าอาวาสพูดต่อ ดูแล้ว อาของคงจิ้งจะต้องทำเรื่องหายนะอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่”“เสี่ยวอวี่!” เฉินฝานหยุดชะงักฝีเท้าทันที สีหน้าเคร่งเครียด “สวี่ซื่อเจี๋ยเป็นผู้ว่าการมณฑลเมืองหรงตู เป็นขุนนางขั้นหกระดับสูงในราชสำนัก เรื่องนี้จะคาดเดาส่งเดชไม่ได้”“ใต้เท้า ข้า...”“พอเถอะ ช่างเรื่องนี้ก่อน”เฉินฝานพูดตัดบทเถียนเสี่ยวอวี่อย่างไม่เกรงใจหลิงอวี้ไม่ให้เถียนเสี่ยวอวี่รู้เรื่องของสวี่ซื่อเจี๋ย ก็เพื่อที่จะปกป้องนางเรื่องบางเรื่อง ไม่รู้จึงปลอดภัยที่สุดเฉินฝานอยากรักษาความพยายามที่หวังดีของหลิงอวี้ให้คงอยู่ต่อไปไม่ว่าสวี่ซื่อเจี๋ยจะทำเรื่องอันใด จะเกี่ยวข้องกับเถียนเสี่ยวอวี่หรือไม่ เฉินฝานก็ไม่ยอมให้นางเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดี“ชิงหนิง พานางกลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ!”ชิงหนิงรีบหิ้วตัวเถียนเสี่ยวอวี่ที่ไม่ยอมกลับจากไปทันที นางคิดเหมือนกับเฉินฝานคือ ไม่อยากให้เถียนเสี่
“มีเรื่องอันใดซื่อไท่พูดออกมาตรง ๆ เถิด แก้ปัญหาทุกเรื่องเพื่อราษฎรเพื่อขุนนางอย่างถูกทำนองคลองธรรม ไม่จำเป็นต้องขอร้อง”ได้ยินเฉินฝานพูดเช่นนี้ หลิงอวี้ยืนตัวแข็งทื่อน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากตาของนางคำพูดของเฉินฝาน นางไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดเช่นนี้มานานแล้วใช่แล้ว เดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แก้ปัญหาทุกเรื่องเพื่อราษฎรเพื่อขุนนางอย่างถูกทำนองคลองธรรมทว่า ขุนนางส่วนใหญ่ของต้าชิ่งลืมคำพูดนี้ไปนานแล้ว หลายปีผ่านมานี้เสิ่นหมิงหยวนขุนนางกังฉินกุมอำนาจ ขุนนางต้าชิ่งส่วนใหญ่คิดเพียงว่าจะใช้อำนาจรังแกประชาชนอย่างไรเท่านั้น“ใต้เท้า ท่านโปรดจัดการผู้ว่าการมณฑลสวี่ซื่อเจี๋ยด้วยตนเองนะเจ้าค่ะ เขาเป็นคนที่...”“แค่ก ๆ ๆ ๆ”เฉินฝานไออย่างรุนแรงทันที จู่ ๆ ประตูฝั่งตะวันตกของพระตำหนักก็ถูกลมพัดจนเปิดออก ลมพัดโชยควันธูปมาปะทะหน้าเฉินฝานและหลิงอวี้ขนาดเฉินฝานยังทนไม่ไหว นับประสาอันใดกับหลิงอวี้ที่ป่วยหนัก“แค่ก...”หลังจากที่ไอออกมาอย่างรุนแรง หลิงอวี้ก็รู้ตัวว่าอ่อนแอลงอย่างมาก“แม่นางหวง เจ้ายังมียาอายุวัฒนะอีกหรือไม่” เฉินฝานตะโกนไปด้านนอกตำหนักด้วยน้ำเสียงรีบร้อน เขารู้อยู่แล้วห
เฉินฝานโบกมือ “เอาล่ะ คารวะเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดจงกลับไปเถอะ”กลุ่มคนโหวกเหวกโวยวาย เฉินฝานไม่ชอบเสียงดังหากไม่ใช่เพราะเถียนเสี่ยวอวี่ เขาคงจะไม่ให้คนเหล่านี้รู้ว่าเขามาที่แห่งนี้มีผู้พิทักษ์สองสามคนติดตามเฉินฝานมาโดยตลอด พวกเขาคือทหารรักษาพระองค์ที่ได้รับคำสั่งจากฉินเย่ว์เหมยให้มาปกป้องเฉินฝานอย่างลับ ๆก่อนรุ่งสาง เขาเรียกผู้พิทักษ์คนหนึ่งออกมา ให้เขาไปป่าวประกาศเส้นทางของตนเองในเมืองหรงตูเฉินฝานคะเนไว้ว่าขุนนางกลุ่มนั้นคงจะมาอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าจะมาเร็วปานนี้“ใต้เท้า พักที่สำนักชีคงไม่สะดวกนัก ท่านตามข้าน้อยกลับไปพักในเมืองหรงตูจะดีกว่าขอรับ”จางหย่งเชาและขุนนางเมืองหรงตูคนอื่น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และไม่ยินยอม ในกลุ่มขุนนางเหล่านี้นอกจากจางหย่งเชาที่มาจากเมืองหลวงแล้ว คนอื่นล้วนไม่เคยออกจากเมืองหรงตูไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านอัครเสนาบดีมาเยือน พวกเขาพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะโผล่หน้ามาให้เฉินฝานเห็น เพื่อเพิ่มโอกาสเลื่อนตำแหน่งของตนเองแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี“ถูกต้องแล้ว ใต้เท้าจางพูดถูก ท่านอัครเสนาบดีท่านกลับเมืองหรงตูไปกับพวกเราเถอะ”“ปกติท่านทำ
จางหย่งเชาเจ้าเมืองหรงตูพุ่งตัววิ่งด้วยความเร็วดั่งวิ่งแข่งร้อยเมตรมาเฉินฝาน ด้านหลังเขามีขุนนางเมืองหรงตูกลุ่มหนึ่งตามมาด้วยขุนนางเมืองหรงตูกลุ่มนี้เป็นขุนนางที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่หลังจากที่เฉินฝานไปเมืองหลวงแล้ว เฉินฝานรู้จักเพียงจางหย่งเชา เขารู้จักจางหย่งเชาเพราะก่อนที่ออกจากเมืองหลวงมาไม่นาน ฉินเย่ว์เหมยรับสั่งให้เขามาทำภารกิจที่เมืองหรงตูจึงเคยเห็นเขาคนที่ตามหลังจางหย่งเชามาติด ๆคือ ผู้ว่าการมณฑลเมืองหรงตู สวี่ซื่อเจี๋ย เพียงครู่เดียวคงจิ้งก็สามารถมองเห็นอาตนเองได้ นางรีบรุดหน้าเข้าไปหาทันที“ท่านอา!”เห็นคงจิ้งวิ่งมาเช่นนี้ สวี่ซื่อเจี๋ยเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก นางตาบอดหรือกระไร? ต่อให้นางไม่รู้จักเฉินฝาน เช่นนั้นนางไม่เห็นจางหย่งเชารึ?เขาร้อนรนใจดั่งไฟสุมอกดึงคงจิ้งลงมาด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็ตวาดลั่นไปด้วย “มาทางนี้!”คงจิ้งสีหน้างงงันทันที ผ่านไปครู่เดียวก็วิ่งออกมาอีกแล้ว“ท่านอา คนผู้นั้น!” คงจิ้งยกมือชี้นิ้วออกไป “ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด บอกว่าตนเองเป็นสามัญชนมาก่อความวุ่นวายที่สำนักชีชิงเมี่ยว ทำร้ายร่างกายเหล่าแม่ชีในสำนัก หลานก็ถูกทำร้ายเช่นกัน ท่านดูสิ...
“ใต้เท้า ท่านสบายดีหรือไม่?” หลูเฉิงกวงถูมือด้วยความตื่นเต้นอยู่นาน จึงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างทุลักทุเล“ข้าสบายดี!” เมื่อเจอคนสนิท เฉินฝานก็ยินดีมากเช่นกันหลิงอวี้พากลุ่มแม่ชีสำนักชีชิงเมี่ยวมาคุกเข่าต่อหน้าเหล่าขุนนางเมืองหรงตูเฉินฝานเดิมอ้อมมา คนด้านข้างจึงยังไม่มีผู้ใดเห็นเขา“พี่หญิงใหญ่ ท่านดูสิ” ชิงผิงตาดี เพียงครู่เดียวก็สังเกตเห็นได้ว่าหลูเฉิงกวงวิ่งมาด้านหน้าเฉินฝานคงจิ้งมองตาม นางขมวดคิ้ว “นั้นคือนายกองหลูเฉิงกวงไม่ใช่รึ?”“คิดว่าใช่นะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ นายกองเคารพนอบน้อมให้ชายผู้นั้นตลอด ชายผู้นั้นคงจะไม่ใช่สามัญชนแล้วกระมัง?”เมื่อฟังคำพูดของชิงผิงแล้ว ใจของคงจิ้งตึงเครียดทันทีชายผู้นี้ที่เถียนเสี่ยวอวี่พามา เป็นเสนาบดีใหญ่จริงหรือ?ทางเฉินฝาน“ใต้เท้า ข้าจะรายงานท่านเจ้าเมืองจางให้ทราบว่าท่านอยู่ที่นี้” หลูเฉิงกวงกำลังจะไปแจ้งข่าวเจ้าเมืองหรงตูด้วยความยินดี“ตอนนี้ยังไม่ต้อง!” เฉินฝานโบกมือ เขารีบก้าวเท้าฉับเดินไปทางมุมซ้ายของพระอุโบสถมีคนที่เขาอยากเจออย่างมากอยู่ที่นั่น“พี่ฝาน”เป็นต้ายาและสามีของนางโจวถง“ท่านพี่ เร็วเข้าสิ รีบมาคารวะใต้เท้า” ต้ายาท
“เจ้าอาวาส เหล่าท่านผู้ว่าการมณฑลมาเจ้าค่ะ” คงจิ้งตอบกลับหลิงอวี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูไม่ใจและหยิ่งผยอง“ท่านผู้ว่าการมณฑลมางั้นรึ?” หลิงอวี้ตกตะลึงทันที ความหดหู่และความรังเกียจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะจากนั้นก็จางหายไป ฝีเท้าที่เร่งรีบเมื่อครู่จึงเริ่มผ่อนความเร็วลงหลิงอวี้ไม่ชอบผู้ว่าการมณฑลคนนี้อย่างมาก คงจิ้งอาศัยการที่อาของนางเป็นผู้ว่าการมณฑล มาโอ้อวดอำนาจตัวเองที่สำนักชี ทำให้บรรยากาศในสำนักชีชิงเมี่ยวอึมครึมยิ่งนักหลิงอวี้ป่วยหนักไร้ทางรักษาอยู่ก่อนแล้ว นางพยายามยื้อชีวิตไว้ เพราะไม่อยากให้ตัวเองจากไปเร็วนัก ไม่อยากให้สำนักชีชิงเมี่ยวตกไปเป็นของคงจิ้งเช่นนี้หลิงอวี้คิดว่าเรื่องที่ตนเองทำผิดมหันต์ที่สุดในชีวิตนี้คือการให้คงจิ้งเข้ามาในสำนักชีชิงเมี่ยวคงจิ้งหน้าตาสะสวย ภูไม่หลังครอบครัวดี กลับไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แม่ของนางกลับส่งนางมาที่สำนักชีชิงเมี่ยว แต่ไม่ได้ให้อยากให้คงจิ้งถือศีลกินเจแต่อย่างใด เป้าหมายที่แท้จริงคือ...เมื่อคิดถึงกลุ่มคนวิปริตเหล่านั้น แววตาที่เมตตาอ่อนโยนทอประกาย พลันปรากฏความเดือดดาลทันทีเพื่อจะเติมเต็มความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีสิ้นสุดขอ
“ช่างเป็นพวกที่ชอบรนหาที่ตายเสียจริง!” เสียงเดือดดาลดังขึ้น ชิงหนิงผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย นางทะยานตัวบินไปด้านนอกบ้าน ฝูงชนไม่ทันมีการตอบสนองใด นางก็บินกลับมาแล้ว ตอนที่กลับมา นางก็ถือแส้หนังหนึ่งเส้นมาด้วยชิงหนิงยกมือขึ้นสะบัดแส้หนังออกไป“เพียะ!”เสียงกังวานดังขึ้นจากพื้นที่ถูกแส้หนังฟาดลงไป“อ้าก!”คงจิ้งส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป นางจับหน้าตนเองกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด“โถ่เว้ย...”คงจิ้งยังคิดที่จะออกคำสั่งให้แม่ชีเหล่านั้นใช้กำลังบีบบังคับชิงหนิง ปรากฏว่านางเพิ่งจะปริปาก ก็มีเสียงฟาดแส้หนังลงมาอีกหลายครั้ง“อ้าก ๆ ๆ ๆ!”แม่ชีสิบกว่าคนส่งเสียงแล้วจึงล้มลงไป พวกนางล้มลงกลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่ข้าง ๆ คงจิ้ง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า วรยุทธ์ของชิงหนิงไม่ธรรมดาหลังจากที่โกนหัวบวชชีแล้ว ชิงหนิงก็เชื่อฟังคำพูดเถียนเสี่ยวอวี่มาโดยตลอด ละทิ้งอาวุธ ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน ละทิ้งความแค้น ตั้งใจศึกษาพระธรรมด้วยจิตใจแน่วแน่หากไม่ใช่เพราะคงจิ้งยั่วโมโหเช่นนี้ ทั้งชีวิตนี้ชิงหนิงคงไม่คิดจะแตะต้องแส้หนังของนางอีก“ชิงหยวน เจ้าจงรีบไปในเมืองเดี๋ยวนี้ ไปบอกท่านอาข้า
เฉินฝานสีหน้าถมึงทึงทันที ปกติแล้วหากเป็นเรื่องเล็กน้อยเขาย่อมไม่ถือสา ทว่าทำให้เสบียงอาหารได้รับเสียหาย เช่นนั้นก็...“เพียะๆ!”เฉินฝานกำลังเตรียมจะยกเท้าถีบออกไป ก็มีเสียงดังกังวานสองครั้งดังขึ้น“เจ้าคนไร้ประโยชน์!”ตามมาด้วยเสียงเดือดดาลของชิงหนิง ชิงผิงล้มลงต่อหน้านางด้วยความเร็วประดุจแสง“โอ๊ย!” ชิงผิงที่ล้มลงไปอย่างรุนแรง โอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันที“ชิงหนิง!” ชิงผิงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ชี้นิ้วกัดฟันกรอดด่าทอชิงหนิง “เจ้ากล้าเตะข้ารึ ข้าจะไปฟ้องศิษย์พี่หญิงของเจ้า”ชิงหนิงกวาดสายตามองชิงผิง “ไปสิ เจ้าให้คงจิ้งมาด้วย ข้าจะได้จัดการพร้อมกันทีเดียว!”ชิงผิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากล้างั้นรึ?”ชิงหนิงยกยิ้มมุมปาก “ไฉนข้าจะไม่กล้า? เจ้าไม่กล้าไปเรียกเองล่ะสิ หรือจะบอกว่านางไม่กล้ามาดีล่ะ?”“หึ ช่างปากดียิ่งนัก อยู่กับคนที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีผู้นั้น จึงกลายเป็นคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกันไปแล้ว”คงจิ้งมาพร้อมกับแม่ชีสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่อลังการตอนที่เดินผ่านชิงผิง คงจิ้งหยุดฝีเท้ากล่าวถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”“พี่หญิงใหญ่ พวกเขา...” ชิงผิงมองไปที่เฉินฝานและชิงหนิง ค
“...แม่นางหวง?”เฉินฝานที่พลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง มองไปยังข้างเตียงที่ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนอย่างตะลึงงันถ้าไม่ใช่เพราะม่านประตูส่ายไหว เฉินฝานยังนึกว่าเมื่อครู่นี้เขาตาฝาดไปเฉินฝานเหลือบมองม่านประตูที่สั่นไหว แล้วแย้มยิ้ม “ก็แค่สาวน้อยปากแข็ง”ไม่สนนางแล้ว เฉินฝานดึงเสื้อผ้าท่อนล่างขึ้นมา แล้วล้มตัวลงไปนอนต่อนอนเร็วก็เลยตื่นเช้าฟ้าเพิ่งสว่าง เฉินฝานก็ตื่นแล้ว เมื่อเขาพลิกตัวขึ้นมา เฉินฝานรู้สึกว่าความเจ็บที่บั้นท้ายหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว เฉินฝานพอใจมาก ยาสมุนไพรของสำนักชีชิงเมี่ยวนี้มีประสิทธิภาพมากเลย วันนี้ก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวงเถิดหวงหวั่นเอ๋อร์รีบร้อนไปเมืองหลวง เขาเองก็รีบเช่นกันแคว้นต้าฉิ่งเป็นแคว้นที่บุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อยอย่างยิ่ง ยามนี้ฉินเย่ว์เหมยเพิ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงอีกครั้ง ขุนนางเหล่านั้นจะต้องลอบกัดนางทั้งในที่ลับและที่แจ้งอย่างแน่นอนอย่างไรก็ตาม...แววตาของเฉินฝานดูลุ่มลึกเย็นชา เขาต้องจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะจากไปขณะที่สวมเสื้อผ้า ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้อง“เข้ามาสิ”“เสี่ยวอวี่เจ้ามาได้เวลาพอดี รีบมาช่วยข้าหน่อยเถิด” เฉินฝานเอ่ยกับค