ฉินเย่ว์โหรวก้มหน้าลง ท่าทีอ่อนน้อมเฉินฝานเห็นเช่นนั้น เปลวไฟแห่งความโมโหภายในจิตใจปะทุขึ้นมาสตรีคนนี้เป็นใคร? เหตุใดวิ่งแจ้นมาเอะอะโวยวายที่เรือนของเขา“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”เห็นเฉินฝานเปิดประตูเข้ามา ฉินเย่ว์โหรวคล้ายได้รับการช่วยเหลือนางวิ่งไปหาเฉินฝานสตรีเชิดหน้าแสนโอหังคนนั้นเป็นใคร ฉินเย่ว์เจียวที่อยู่ด้านหลังของเขาพูดก่อนที่เขาจะถาม“อาสะใภ้หง!”“หึ!” จ้าวเสี่ยวหงทำเสียงฮึดฮัด วางมาดยิ่งใหญ่ไม่คลอดลูกชาย จ้าวเสี่ยวหงถูกจางเหลียนฮวารังแกเป็นเวลานาน จ้าวเสี่ยวหงที่ถูกรังแกมักจะใช้ฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์เจียวเป็นที่รองรับอารมณ์เพราะเจ้าของร่างเดิมไม่เอาถ่าน ตำแหน่งของเขาในตระกูลเฉินจึงต่ำต้อย แม้จ้าวเสี่ยวหงและจางเหลียนฮวาจะรังแกสองพี่น้องตระกูลฉินมาโดยตลอด เจ้าของร่างเดิมก็ทำเป็นมองไม่เห็นหากสองพี่น้องตระกูลฉินบ่น คร่ำครวญไม่กี่ประโยค เจ้าของร่างเดิมยังทุบตีพวกนาง ให้พวกนางเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาสะใภ้อาสะใภ้?เฉินฝานควานหาความทรงจำเกี่ยวกับจ้าวเสี่ยวหงในความคิด จ้าวเสี่ยวหงพูดอีก “ตอนกลางคืนมากินข้าวที่เรือนข้า พวกเจ้า...”สายตาของจ้าวเสี่ยวหงมองไปยังตะกร้าท
“ครอบครัวเฉินฝาน มาถึงแล้ว มัยยืนนิ่งอยู่ข้างผู้ชายทำไม รีบไปช่วยงานในครัวเร็วเข้า!”สตรีคนหนึ่ง ตะคอกใส่ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวคนๆ นี้คือนางโจวย่าของเฉินฝาน“เจ้าค่ะ ท่านย่า หลานสะใภ้ไปช่วยงานเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวรีบไปจากเฉินฝาน มุ่งหน้าไปที่ครัวเฉินฝานไม่ห้าม ยุคสมัยนี้ คำพูดของผู้อาวุโสยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ สลึกลึกอยู่ในใจของทุกคน สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาที่เพิ่งมาถึง ทำตัวกลืนกับทุกคนก่อนหลังจากพวกภรรยาไป เฉินฝานสังเกตย่าของตนหน้าตาประมาณห้าสิบกว่า หน้าผาก หางตา ล้วนมีริ้วรอยที่เกิดจากกาลเวลา มือทั้งสองข้างมีร่องรอยการทำงานหนักสมัยสาวๆ แต่ว่าแต่งเนื้อแต่งตัวได้สะอาดสะอ้านสวมเสื้อและโปรงโทนสีเทาเป็นหลัก คอเสื้อปักลายด้วยสีเหลือง บนผม ปักปิ่นทองคำหนึ่งอันด้วยดูออกว่า นางโจวให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงในวันนี้มากในฐานะชาวนาคนหนึ่ง นี่คือทรงผมที่ดีที่สุดเท่าที่นางทำได้แล้วคนโบราณอายุสั้น อายุสิบกว่าก็แต่งงานแล้ว นางโจวอายุห้าสิบกว่าก็ได้เป็นย่าถือเป็นเรื่องปกติเฉินเจียงเป็นลูกหลงของเฉินฟู่และนางโจว อายุเท่าเฉินฝานทั้งสองอายุสิบเก้าเฉินเ
เฉินฝานความทรงจำดีมาก เมื่อครู่ฉินเย่ว์โหรวพูดเพียงรอบเดียว เขาจำชื่อและแซ่ของคนเหล่านี้ได้หมดแล้วอาหารบนโต๊ะของผู้ชาย มีมากมายและหลากหลายยิ่งกว่าบนโต๊ะของผู้หญิงแม้เวลานี้เฉินเจียงอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่คนที่นั่งเก้าอี้ตัวหลักก็คือบิดาของเขา เฉินฟู่มองดูแล้วอายุของเฉินฟู่ มากกว่านางโจวภรรยาของเขา คาดว่าประมาณหกสิบแล้ว แต่ว่าสุขภาพร่างกายยังถือว่าแข็งแรงดีทางด้านซ้ายและด้านขวาของเฉินฟู่ แบ่งเป็นหลี่เจิ้งและผู้ใหญ่บ้านนั่งเวลานี้รวมตัวกัน แน่นอนว่าเป็นเพราะจางเหลียนฮวาให้กำเนิดลูกชาย แต่เหตุผลที่มากไปกว่านั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะคำทำนายของนักพรตวัดซานชิงกวนใครบ้างที่ไม่อยากประจบ ขุนนางใหญ่ก่อนที่จะกลายเป็นขุนนางใหญ่ รอวันที่เขาประสบความสำเร็จได้เป็นขุนนางใหญ่ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้วเฉินเจียงนั่งข้างหลี่เจิ้ง วันนี้เขาสวมชุดชิงจินตัวใหม่ชิงจิน คือเสื้อสีน้ำเงินคอปกไขว้กัน เป็นชุดเครื่องแบบของนักเรียนในสมัยโบราณ สื่อให้รู้ว่าเป็นนักเรียนราชวงศ์ต้าชิงมีกฎว่า มีเพียงนักเรียนที่ผ่านการสอบระดับท้องถิ่นเท่านั้นจึงจะสวมชุดชิงจินได้การสอบระดับท้องถิ่น คือปัญญาชนที่ยังสอบซิ่วไฉไม่
เขาคือเฉินเฟยอวี๋ลูกชายของอาสามในมือเฉินเฟยอวี๋ถือตำรา ‘บทกวี’ น้ำเสียงและท่าทีโอหังมาก ในฐานะรุ่นเด็กคนหนึ่ง ไม่เคารพเฉินฝานและเฉินผิงแม้แต่น้อย“ขอโทษด้วย ขอโทษ พวกเราหลีกทางให้เดี๋ยวนี้ หลีกให้เดี๋ยวนี้” ใบหน้าแก่ชราของเฉินผิง เผยรอยยิ้มอ่อนน้อม เขาดึงเฉินฝานขยับถอยหลัง“คนไม่เอาไหนไม่ควรปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ตระกูลเฉินขายหน้า!”ขณะเดินผ่านเฉินฝานและเฉินผิง เฉินเฟยอวี๋ยังด่าทอ“ไอ้หนู เจ้าพูดอะไร?” เฉินฝานลุกพรวดขึ้นมา“ข้าพูดอะไร หึ!” เฉินเฟยอวี๋หัวเราะเยาะอย่างไร้เยื่อใย “งานเลี้ยงดำเนินมาถึงเวลานี้ ก็จะเริ่มโต้วาทีบทกวีแล้ว ไม่ไสหัวไป เจ้าเข้าใจหรือ?”“พวกทำตัวขายขี้หน้า ไสหัวไป!”เฉินฝานยังไม่ทันพูด เฉินฟู่โมโหด่าทอเฉินฝานเสียงดัง“เสี่ยวฝาน อย่าสร้างปัญหา พวกเราถอยไปอยู่อีกที่หนึ่งกันเถอะ” เฉินผิงรีบพาเฉินฝานไปยังมุมหนึ่งที่ต่ำกว่าโต๊ะอาหารของพวกผู้หญิงเฉินเฟยอวี๋ยกมุมปากขึ้นยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “แบบนี้สิถึงจะถูก พวกคนไม่เอาไหนควรจะอยู่มุมๆ”สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทางเฉินฝาน เฉินเจียงนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่สนใจ มองด้วยความเหนือกว่าหัวข้อหลักในวันนี้คือบทกวี รุ่นผ
เจ้าหมอนี่ใจกล้าเกินไปแล้วคำพูดของเขาไม่ได้เย้ยหยันแค่เฉินเฟยอวี๋ แต่เย้ยหยันเฉินเจียงด้วยการเรียนของเฉินเจียงไม่เพียงเป็นอันดับหนึ่งของตระกูล ในสถานศึกษาก็เป็นอันดับต้นๆ เช่นเดียวกันแต่เฉินฝาน คือคนไม่รู้หนังสือ คนไม่เอาไหนที่เที่ยวเล่นไปวันๆคนไม่เอาไหนบอกว่าคนเรียนดีสอนผิดเนี่ยนะคนที่สีหน้าย่ำแย่ที่สุดคือเฉินฟู่ เขาโยนแก้วน้ำชาลงบนพื้นอย่างแรง “สารเลว พวกอาเจียงกำลังพูดคุยเรื่องบทกวี เจ้าจะเข้าใจอะไร ขัดจังหวะมั่วซั่ว”“ข้าไม่เข้าใจอะไร แต่หน้าที่ยี่สิบ...”“ฮ่าๆ หน้าที่ยี่สิบอะไร นั่นคือบทที่ยี่สิบ แค่คำว่าบทยังอ่านไม่ออก”“ไม่รู้หนังสืออยู่แล้ว ยังจะแกล้งทำเป็นรู้อีก” เฉินฝานเพิ่งพูด พวกเด็กหนุ่มในตระกูลก็เริ่มหัวเราะเยาะเขาทุกคนในตระกูลเฉินมั่นใจว่าเฉินฝานเป็นคนผิด ไม่มีใครสืบหาความจริง“ไสหัวไป ไม่ต้องอยู่ที่นี่ให้ข้าขายหน้า” เฉินฟู่ที่รังเกียจเฉินฝาน เริ่มขับไล่เขา“เสี่ยวฝาน เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ วันนี้อาชวนเจ้ามา เดิมทีอยากให้เจ้าเปิดหูเปิดตา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบ้าดีเดือดเช่นนี้”เฉินเจียงทำสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ไม่เอาไหนด้วยความปวดใจ“เหมือนว่าเขาจ
ไม่ควรชวนเขา จะทำให้เสียเรื่อง!”“ตระกูลของพวกเรามีอันธพาลไม่เอาไหนเช่นนี้ ทำให้คนในตระกูลขายหน้าจริงๆ!”“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ยามออกไป เมื่อพูดถึงตระกูลเฉิน ผู้อื่นก็จะถาม ใช่ตระกูลเฉินอันธพาลเฉินฝานหรือไม่ ข้าไม่รู้จะตอบอย่างไร” “เขาคือปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง”คนในตระกูลที่อยู่รอบๆ เฉินฝาน เริ่มกระซิบกระซาบพวกเขาตำหนิเฉินฝานที่ทำให้พวกเขาต้องลำบากอย่างไม่มีข้อยกเว้นเฉินเจียงขมวดคิ้วเป็นปม วันนี้เขาชวนเฉินฝานมา อยากโอ้อวดเท่านั้น ให้เฉินฝานคำนับเขาคิดไม่ถึงสุดท้ายเจ้าเด็กนี่จะทำให้เขาขายหน้า เรื่องขายหน้าที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขายังไม่คิดบัญชีก่อน หากเฉินฝานก่อเรื่องอีก เช่นนั้นซวยจริงๆ แล้ว“คนไม่เอาไหน คุกเข่าซะ ไม่ว่าเจ้าทำเรื่องอะไร รีบขอโทษหลี่เจิ้งเดี๋ยวนี้”เฉินฟู่หันไปตำหนิเฉินฝาน“ข้าทำอะไร ให้ข้าคุกเข่า ท่านผิดปกติหรือไม่!” เฉินฝานมองเฉินฟู่อย่างหมดคำจะพูด โต้กลับทันทีท่าทีของเฉินฝาน ทำให้ทุกคนในตระกูลเฉินตกตะลึงเมื่อก่อนตอนอยู่ข้างนอกไม่ว่าเขาจะใจกล้าเพียงใด เมื่อกลับถึงตระกูลเฉิน เขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมกลัวเฉินฟู่และเฉินเจียงมาก“เฉินฝาน พูดแบบนี้กับท่านปู
เจ้านี่ กล้าส่งเสียงเวลานี้เนี่ยนะเฉินเจียงมองเฉินฝานอย่างตักเตือนเฉินฝานลืมตากว้าง ทำทีใสซื่อ เขายิ้มแล้วเผชิญหน้ากับสายตาของเฉินเจียง คำตักเตือนในแววตาของเฉินเจียง เขามองไม่เห็นแม้แต่น้อย“ก็จริงขอรับ!” เฉินฝานไม่รอเฉินเจียงตอบ พูดต่อ “อาเจียงเป็นปัญญาชน ทั้งยังสวมชุดชิงจิน จะหลอกกันได้อย่างไร”เฉินฝานพูด ยื่นมือไปให้เฉินเจียงเฉินเจียงขมวดคิ้วมองมือของเฉินฝานที่ยื่นมาให้เขา “อะไร?”“เงินอย่างไรขอรับ!” เฉินเจียงเขย่าฝ่ามือของตนเอง “อาเจียง เวลานี้หลานชายต้องการเงินสามร้อยเหวินเพื่อผ่านฤดูเหมันต์”เฉินเจียงอยากอาเจียนเป็นเลือดก่อนหน้านี้เบี้ยหวัดของเขาเดือนละแค่ยี่สิบเหวิน วันนี้หลี่เจิ้งบอกเขาว่า นายอำเภอบอกว่าเขาทำงานดี เพิ่มให้เป็นหนึ่งร้อยเหวิน สามร้อยเหวินเท่ากับเบี้ยหวัดสามเดือนของเขาสายตาของเฉินเจียงจับจ้องไปที่เฉินฝาน พูดลอดไรฟัน “เจ้าหนู เจ้าอย่าเรียกร้องเกินเหตุ!”รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินฝานกว้างขึ้น สบตาเฉินเจียงอย่างไม่หวาดกลัวสามร้อยเหวินมากหรือ? ไม่มากแม้แต่น้อยก่อนจะมา ฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวบอกเขาว่า เฉินเจียงปลูกเรือนเมื่อปีกลาย เงินไม่พอ เฉินฟู่บอกใ
ร่างเดิมในอดีตยามอยู่ต่อหน้าคนตระกูลเฉิน ไม่กล้าแม้กระทั่งผายลม แต่ยามอยู่ข้างนอกกับจูต้าอัน โอหังในหมู่บ้านอย่างมากคนในหมู่บ้านลับหลังเรียกเขาว่าเทพแห่งโรคระบาด“คนที่จะเข้าร่วมการสอบขุนนาง พบเจอเทพแห่งโรคระบาดอย่างพวกข้า คงไม่ดีแน่!”เฉินฝานเองก็คิดไม่ถึงว่า จูต้าอันช่วยเขาทางอ้อมครั้งใหญ่ หากไม่มีจูต้าอัน คนในหมู่บ้านจะกลัวร่างเดิมได้อย่างไร ร่างเดิมก็คงไม่มีฉายาเทพแห่งโรคระบาดนี้แล้ว และเขาในตอนนี้คงไม่อาจได้ เงินสินเดิมและเงินน้ำพักน้ำแรงของฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์โหรวเป็นจริงตามคาด เมื่อได้ยินคำว่าเทพแห่งโรคระบาด สีหน้าของเฉินเจียงและเฉินฟู่แปรเปลี่ยนทันทีคนสมัยโบราณงมงายจางเหลียนฮวาที่อยู่ไกลๆ อุ้มลูกพร้อมกับสาวเท้ามา“ให้เจ้าสามร้อยเหวิน เสี่ยวฝาน เพื่ออาเจียงของเจ้า และเพื่อตระกูลเฉินของเรา ก่อนอาเจียงสอบระดับท้องถิ่น วันข้างหน้าหากในเรือนข้ามีงาน เจ้าและน้องสะใภ้ไม่ต้องมาช่วยงานแล้ว”“ขอบคุณอาสะใภ้ขอรับ!” เฉินฝานรับเงินที่จางเหลียนฮวายื่นให้อย่างมีความสุขสีหน้าของเฉินเจียง เหยเกราวกับกินแมลงวันเข้าไปเบี้ยหวัดสามเดือนแต่...เทพแห่งโรคระบาดเขาเองก็กลัว“ห้
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ