สีหน้าของทุกคนแทบเหมือนกันหมด อ้าปากกว้างและมองอาจารย์ปู่ตาค้าง“ปัง!”ลวี่เหลียงเจ๋อวางแก้วสุราลงบนโต๊ะอย่างเสียงดัง “แม้ว่าวันนี้ข้ามีความสุขมาก แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเจ้าสามารถหลอกข้าเช่นนี้ได้”“อาจารย์ปู่ ท่านก็ทำมากไป แม้ว่าเจ้าหนอนหนังสือนี่ดูไร้เดียงสา แต่เขาไม่ใช่คนโง่นะขอรับ!”กลุ่มพ่อค้ารายย่อยก็รู้สึกว่าอาจารย์ปู่ทำมากไปเหมือนกัน“ใต้เท้าขอรับ!” อาจารย์ปู่แสดงสีหน้าน้อยใจ “ข้าน้อยไม่ได้หลอกท่านขอรับ เฉินฝานผู้นั้นกำลังเล่นโคลนกับภรรยาของเขาจริง ๆ”ตอนที่ได้ยินนักการในศาลาว่าการมารายงาน ปฏิกิริยาของอาจารย์ปู่รุนแรงยิ่งกว่าลวี่เหลียงเจ๋อเสียอีก เขาถึงกระทั่งตบหน้าคนใช้ผู้นั้นอย่างแรงอีกด้วยนักการในศาลาว่าการยืนกรานว่าเฉินฝานเล่นโคลนจริง ๆ เขาที่ไม่ยอมเชื่อ ก็ลงไปตรวจสอบด้วยตัวเองและพบว่าเฉินฝานกำลังเล่นโคลนอยู่จริง ๆเขาหัวเราะอยู่กับภรรยาและยังแปะโคลนที่หน้าของพวกนาง เสียงหัวเราะคิกคักดังสะพัดไปทั่วลานเล็กนั่นหลังจากยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเฉินฝานกำลังเล่นโคลนอยู่จริง ลวี่เหลียงเจ๋อก็ลดเสียงลงและกล่าว “เจ้าหนุ่มนั่นคงไม่ได้วางแผนกลอุบายอะไรใช่หรือไม่?”“เหอะ!” ฟาง
“ทำได้อร่อยมากจริง ๆ สมกับผู้ที่จะได้เป็นพ่อครัวหลวง”เฉินฝานกินเนื้อคำใหญ่พร้อมกล่าวชื่นชม“อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?” จางเจิ้งห้าวกังวลและไม่ขยับตะเกียบ“ใช่!” เฉินฝานคีบหมูสามชั้นตุ๋นอีกชิ้น “อร่อยจริง ๆ!”เขาไม่ได้กล่าวเยินยอใด ๆ ฟางทิงทำได้อร่อยจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในสมัยโบราณ ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบัน ฟางทิงก็ถือว่าเป็นพ่อครัวชั้นหนึ่ง“แล้วทำไมเจ้ายัง…...” จางเจิ้งห้าวลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกครั้ง “ยังกินลงได้อีก?”มือที่คีบอาหารของเฉินฝานชะงักเล็กน้อย หลังจากชั่วขณะผ่านไปเขาก็คีบอาหารต่อ “ทำได้อร่อยขนาดนี้ ทำไมต้องไม่กินด้วยล่ะ? ใต้เท้าจาง ท่านก็รีบกินเถอะ เย็นแล้วไม่อร่อยนะขอรับ”ภายใต้การกระตุ้นของเฉินฝาน ในที่สุดจางเจิ้งห้าวก็ขยับตะเกียบยิ่งกินมากเท่าไร ใบหน้าของจางเจิ้งห้าวก็ยิ่งมีความกังวลมากขึ้นเท่านั้นอาหารในปาก ทำได้อร่อยมากจริง ๆเฉินฝานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อยจนข้าวหมดไปสองชามในคราวเดียวหลังจากกินข้าวไปสองชาม เฉินฝานยังรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวไม่พอ ให้กินอีกสองถ้วยก็คงไม่มีปัญหา“เสี่ยวฝาน เจ้าแอบความสามารถเอาไว
“ขนมที่ข้าทำเมื่อคืนนี้อร่อยไหม?” เฉินฝานถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว“อร่อยเจ้าค่ะ!”เสียงคมชัดดังมาจากด้านหลังเฉินฝาน ใบหน้าเล็กตุ้ยนุ้ยของฉินเย่ว์ฉู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“หวาน ๆ หอม ๆ ข้าไม่เคยได้กินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”เวลาฉินเย่ว์ฉู่ยิ้ม ดวงตาของนางจะเหมือนพระจันทร์เสี้ยวและมีลักยิ้มคู่หนึ่งบนใบหน้า ประกอบกับท่าทางละโมบดุจแมวตัวน้อยช่างน่ารักจนสามารถทำให้หัวใจละลายได้“อืม!” เฉินฝานหยิกหน้าตุ้ยนุ้ยของฉินเย่ว์ฉู่เบา ๆตอนที่เพิ่งพานางกลับมา นางซูบผอมราวกับลูกแมว ตอนนี้อ้วนตุ้ยนุ้ยมาก รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จไม่น้อย“แล้วเพื่อนสาวเหล่านั้นของเจ้าชอบหรือไม่?” เฉินฝานหมายถึงกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เคยถูกคุมขังอยู่กับฉินเย่ว์ฉู่และถูกส่งเข้าไปฝึกฝนในหอนางโลมอี๋ชุนย่วนหลังจากได้รับการช่วยเหลือ“พวกนางชอบเหมือนกันเจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่พวกนางที่ชอบเท่านั้น ยังมีพี่สาวของพวกนางก็ชอบด้วยเจ้าค่ะ”เสียงชัดแจ๋วของฉินเย่ว์ฉู่ดังขึ้นอีกครั้ง พี่สาวที่นางพูดถึงคือหญิงโสเภณีที่อยู่ในหอนางโลมอี๋ชุนย่วนเหล่านั้น“อืม” หลังจากเฉินฝานพยักหน้าพึงพอใจ เขาก็หันไปหาฉินเย่ว์เจียว “เย่ว์
“ร้านของเฉินฝานขายของแล้วขอรับ!”ลวี่เหลียงเจ๋อโมโหตาโต “เขาเปิดร้านก็เพื่อขายของไม่ใช่รึไง? ตกอกตกใจเรื่องอะไรกัน?”การเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นถึงจะเป็นเรื่องใหญ่“ใต้เท้า หน้าร้านของเฉินฝานเต็มไปด้วยพ่อค้าที่มาซื้อของ ขนมอบของเขาขายดีเป็นพลุแตกแล้วขอรับ!”“เจ้าว่าอะไรนะ” ลวี่เหลียงเจ๋อหรี่ตาและมองไปนักการในศาลาว่าการที่คุกเข่าตรงหน้าอย่างสงสัยฟางทิงก็วางถ้วยชาลงพร้อมมองนักการในศาลาว่าการอย่างประหลาดใจ“ใต้เท้า เฉินฝานผู้นั้นทำ…...” นักการในศาลาว่าการพยายามใช้มือวาดเพื่ออธิบาย “เป็นขนมที่พิเศษมาก มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป ประมาณฝ่ามือ มีสองชั้น ชั้นบนสุดมีผลไม้ แล้วก็......”“พอเถอะ!”ทันทีที่ได้ยินคำว่าขนมอบสองคำ ใบหน้าของลวี่เหลียงเจ๋อก็ผ่อนคลายลงทันที เขาไม่ทนฟังสิ่งที่นักการในศาลาว่าการจะพูดต่อได้อีก จึงปัดมือขัดจังหวะการพูดของนักการในศาลาว่าการอย่างเบื่อหน่าย“ก็แค่ขนมอบไม่ใช่รึ จะมีมูลค่าเท่าไหร่เชียว? ที่สำคัญเขาเพิ่งเริ่มขายวันนี้ แม้ว่าเขาจะขายมากทะลุเสียดฟ้า เงินที่เขาหามาได้จะเทียบกับของเสี่ยวทิงได้รึ?”ตอนที่ลวี่เหลียงเจ๋อพูดเช่นนี้ ฟางทิงยิ้มอย่างเหยียดหยามพร้อมยกถ้วยชา
“เตาเผา!” นักการในศาลาว่าการเริ่มทำท่าอีกครั้ง “ขนมอบเหล่านั้นเอาออกมาจากเตาเผานั่นทีละชุดขอรับ”ลวี่เหลียงเจ๋อยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจคำพูดของนักการในศาลาว่าการมากขึ้นเรื่อย ๆเตาเผา?เตาเผาที่ทำขนมอบได้?“ใต้เท้า!” ถ้าอาจารย์ปู่ของลวี่เหลียงเจ๋อไม่ปรากฏตัวทันเวลา นักการในศาลาว่าการคงถูกสาดชาร้อนอีกครั้งหลังจากที่อาจารย์ปู่กระซิบบางอย่างกับลวี่เหลียงเจ๋อ สีหน้าของลวี่เหลียงเจ๋อก็เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึงกะทันหัน“เพียงแค่ขนมอบขายดีขนาดนั้นเชียวรึ?” ฟางทิงที่นิ่งมานานเอ่ยถามอย่างสงสัยแต่ทว่า น้ำเสียงที่สงสัยของเขาค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยเตาเผาอะไรทำออกมาในปริมาณมากอะไรฟางทิงผู้อยู่ในฐานะคนที่จะได้รับเลือกเป็นพ่อครัวหลวง ไม่สนใจแต่อย่างใด เขาสนใจแค่ว่าอาหารอร่อยหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเฉินฝานจะสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยขนมอบ“เสี่ยวทิง พวกเราออกไปดูกันหน่อยเถอะ”เพิ่งเดินออกจากเรือนแขกสำราญสุข ลวี่เหลียงเจ๋อก็มองเห็นจากระยะไกลว่าหน้าร้านของเฉินฝาน มีรถม้าเต็มไปหมดคนที่อยู่บนรถม้า ส่วนมากล้วนเป็นใบหน้าที่ลวี่เหลียงเจ๋อคุ้นเคยพวกเขาเป็นพ่อค้าในอำเภอตูอัน“เหออาซื่อ
“เป็นเช่นนี้ย่อมดี!” ลวี่เหลียงเจ๋อพูดกับอาจารย์ปู่ที่อยู่ข้าง ๆ ทันที “เจ้าไปเขียนประกาศให้คนงานติดเร็วเข้า”ฟางทิงเดินกลับไปที่เรือนแขกสำราญสุข“อาจารย์ปู่ขอรับ เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าเค้กของเฉินฝานใช้วิธีการอบหรือขอรับ?” ฟางทิงที่ก้าวเข้ามาในเรือนแขกสำราญสุขเรียบร้อยพลางหันกลับมาถาม“ใช่!” อาจารย์ปู่ของลวี่เหลียงเจ๋อพยักหน้าทันที “ที่พวกเขาเล่นโคลนก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังทำเตาเผานั่นแหละ พวกเขาทำเตาเผาไว้หลายอันและเค้กเหล่านั้นก็......”“พอได้แล้ว!” ฟางทิงโบกมือ “ข้ารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิธีการกับข้า”ทอด ต้ม นึ่ง ตุ๋น ย่าง ไม่ว่าวิธีการทำอาหารใดก็ตาม เขาเรียนรู้แล้วทั้งหมดตั้งแต่อายุสิบขวบลวี่เหลียงเจ๋อเคยตรวจสอบเฉินฝานเมื่อก่อนเฉินฝานไม่รู้วิธีทำอาหารเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่ครึ่งปีที่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเปิดหูเปิดตาขึ้นมาและทำปลาย่างคนจับจดเช่นนี้จะสู้เขาได้อย่างไร?หลังจากเข้ามาถึงห้องครัวของเรือนแขกสำราญสุข ฟางทิงก็สั่งให้คนฆ่าไก่และเป็ดทันทีเฉินฝานใช้วิธีอบใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นเขาจะใช้การอบสั่งสอนเขาสักหน่อยมาดูกันว่าผู้คนจะชอบไก่ย่างและเป็ดย่างของเขาหรือสิ่งที่เรียกว
“ใต้เท้าจาง!” เฉินฝานยิ้ม เป็นใบหน้าไร้เดียงสาเหมือนเดิม “ตอนนี้ยังไม่รู้ผลสุดท้าย เร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าฟางทิงพ่ายแพ้นะขอรับ”“พอได้แล้ว คนหนุ่มอย่างเจ้า มักทำสายตาไร้เดียงสาเช่นนี้หลอกผู้คนอยู่เรื่อย!”เสียงที่ดังลั่นของหลูเฉิงกวงดังขึ้น เรือนร่างอันอึกทึกของเขาคั่นกลางระหว่างเฉินฝานกับจางเจิ้งห้าว“ใต้เท้า ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ผลสุดท้ายยังไม่มีการตัดสินจริงนี่ขอรับ!” เฉินฝานแสดงสีหน้าไม่ได้รับความยุติธรรม“ตัดสินแล้ว!”หลูเฉิงกวงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขาตัวสูง ท่าทางกระโดดโลดเต้นของเขาจึงดูตลกเขากล่าวต่อ “เมื่อข้าหยิบฐานเค้กกับเสี่ยวฉู่เสร็จแล้ว ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย มีรถม้ามารับของมากขึ้นกว่าเดิม”เดิมทีหลูเฉิงกวงได้ขอให้ภรรยาและลูกสาวนักการในศาลาว่าการทุกคน รวมถึงภรรยาและลูกสาวของเขาให้มาช่วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนทำไม่ทัน“จะว่าไปแล้ว……” หลูเฉิงกวงเหลือบมองแถวด้านนอกร้านที่ไม่เห็นปลายทาง “เสี่ยวฝาน พ่อค้าจากอำเภออื่นรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามีเค้ก?”“อ่อ เรื่องนี้!” เฉินฝานที่กำลังบรรจุพูดอย่างใจเย็น “ช่วงบ่ายของเมื่อวาน ข้าเอาเค้กไปยังอำเภอที่อยู่รอบ ๆ มาขอรับ”
“เจ้าไปบอกคนเหล่านั้นว่าผู้ใดกล่าวเร่งจะไม่ยกอาหารให้”ฟางทิงทิ้งท้ายประโยคนี้เสร็จก็เปิดประตูห้องครัวที่ทะลุไปถึงสวนข้างหลัง เขาทำซอสมากมายขนาดนั้น อยากขึ้นไปพักผ่อนสักหน่อย“นายน้อย ไม่ใช่คนเยอะ แต่คือ…...ไม่มีคน!”ตอนที่คนใช้พูดว่าไม่มีคนสามคำนี้ เสียงของเขาแผ่วเบาและสั่นระริกอีกครู่เดียว คงไม่วายโดนต่อยและเตะแน่“อะไรนะ?”ฟางทิงปล่อยมือที่จับลูกบิดประตู พอหันกลับมาก็ตบหน้าคนใช้ทันที“ตระกูลฟางของข้าเลี้ยงดูเสียข้าวสุกมาตั้งหลายปีจริง ๆ พูดจากระฉับกระเฉงไม่เป็นรึ?”ไม่มีคน?พูดอะไรออกมา ฟางทิงเข้าครัวทำอาหารจะไม่มีคนมา?คนใช้ปิดหน้าที่ถูกตบแล้วกล่าวน้ำเสียงหวาดกลัว “นายน้อย ข้างนอกไม่มีคนจริง ๆ ขอรับ!”“ดูเหมือนว่าท่านแม่ของข้าจะใจดีกับพวกเจ้ามากไป ให้พวกเจ้ากินมากไปจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว!”ฟางทิงยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้งคนใช้รีบกุมหัว “นายน้อย ข้าน้อยไม่ได้โกหกขอรับ นายน้อยฟังดูก็ได้ขอรับว่ามีเสียงข้างนอกบ้างหรือไม่?”“พ่อครัวฟาง ข้างนอกดูเหมือนไม่มีเสียงจริง ๆ” พ่อครัวคนหนึ่งในครัวกล่าว“ไม่มีเสียงเลยจริง ๆ เมื่อวานและเมื่อวานก่อน ข้างนอกนั้นเสียงดังมาก”“พอพวกเจ้าพูดเ
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่