“ทำได้อร่อยมากจริง ๆ สมกับผู้ที่จะได้เป็นพ่อครัวหลวง”เฉินฝานกินเนื้อคำใหญ่พร้อมกล่าวชื่นชม“อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?” จางเจิ้งห้าวกังวลและไม่ขยับตะเกียบ“ใช่!” เฉินฝานคีบหมูสามชั้นตุ๋นอีกชิ้น “อร่อยจริง ๆ!”เขาไม่ได้กล่าวเยินยอใด ๆ ฟางทิงทำได้อร่อยจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในสมัยโบราณ ต่อให้อยู่ในยุคปัจจุบัน ฟางทิงก็ถือว่าเป็นพ่อครัวชั้นหนึ่ง“แล้วทำไมเจ้ายัง…...” จางเจิ้งห้าวลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกครั้ง “ยังกินลงได้อีก?”มือที่คีบอาหารของเฉินฝานชะงักเล็กน้อย หลังจากชั่วขณะผ่านไปเขาก็คีบอาหารต่อ “ทำได้อร่อยขนาดนี้ ทำไมต้องไม่กินด้วยล่ะ? ใต้เท้าจาง ท่านก็รีบกินเถอะ เย็นแล้วไม่อร่อยนะขอรับ”ภายใต้การกระตุ้นของเฉินฝาน ในที่สุดจางเจิ้งห้าวก็ขยับตะเกียบยิ่งกินมากเท่าไร ใบหน้าของจางเจิ้งห้าวก็ยิ่งมีความกังวลมากขึ้นเท่านั้นอาหารในปาก ทำได้อร่อยมากจริง ๆเฉินฝานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อยจนข้าวหมดไปสองชามในคราวเดียวหลังจากกินข้าวไปสองชาม เฉินฝานยังรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวไม่พอ ให้กินอีกสองถ้วยก็คงไม่มีปัญหา“เสี่ยวฝาน เจ้าแอบความสามารถเอาไว
“ขนมที่ข้าทำเมื่อคืนนี้อร่อยไหม?” เฉินฝานถามในสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว“อร่อยเจ้าค่ะ!”เสียงคมชัดดังมาจากด้านหลังเฉินฝาน ใบหน้าเล็กตุ้ยนุ้ยของฉินเย่ว์ฉู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินฝาน“หวาน ๆ หอม ๆ ข้าไม่เคยได้กินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”เวลาฉินเย่ว์ฉู่ยิ้ม ดวงตาของนางจะเหมือนพระจันทร์เสี้ยวและมีลักยิ้มคู่หนึ่งบนใบหน้า ประกอบกับท่าทางละโมบดุจแมวตัวน้อยช่างน่ารักจนสามารถทำให้หัวใจละลายได้“อืม!” เฉินฝานหยิกหน้าตุ้ยนุ้ยของฉินเย่ว์ฉู่เบา ๆตอนที่เพิ่งพานางกลับมา นางซูบผอมราวกับลูกแมว ตอนนี้อ้วนตุ้ยนุ้ยมาก รู้สึกถึงการประสบความสำเร็จไม่น้อย“แล้วเพื่อนสาวเหล่านั้นของเจ้าชอบหรือไม่?” เฉินฝานหมายถึงกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เคยถูกคุมขังอยู่กับฉินเย่ว์ฉู่และถูกส่งเข้าไปฝึกฝนในหอนางโลมอี๋ชุนย่วนหลังจากได้รับการช่วยเหลือ“พวกนางชอบเหมือนกันเจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่พวกนางที่ชอบเท่านั้น ยังมีพี่สาวของพวกนางก็ชอบด้วยเจ้าค่ะ”เสียงชัดแจ๋วของฉินเย่ว์ฉู่ดังขึ้นอีกครั้ง พี่สาวที่นางพูดถึงคือหญิงโสเภณีที่อยู่ในหอนางโลมอี๋ชุนย่วนเหล่านั้น“อืม” หลังจากเฉินฝานพยักหน้าพึงพอใจ เขาก็หันไปหาฉินเย่ว์เจียว “เย่ว์
“ร้านของเฉินฝานขายของแล้วขอรับ!”ลวี่เหลียงเจ๋อโมโหตาโต “เขาเปิดร้านก็เพื่อขายของไม่ใช่รึไง? ตกอกตกใจเรื่องอะไรกัน?”การเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นถึงจะเป็นเรื่องใหญ่“ใต้เท้า หน้าร้านของเฉินฝานเต็มไปด้วยพ่อค้าที่มาซื้อของ ขนมอบของเขาขายดีเป็นพลุแตกแล้วขอรับ!”“เจ้าว่าอะไรนะ” ลวี่เหลียงเจ๋อหรี่ตาและมองไปนักการในศาลาว่าการที่คุกเข่าตรงหน้าอย่างสงสัยฟางทิงก็วางถ้วยชาลงพร้อมมองนักการในศาลาว่าการอย่างประหลาดใจ“ใต้เท้า เฉินฝานผู้นั้นทำ…...” นักการในศาลาว่าการพยายามใช้มือวาดเพื่ออธิบาย “เป็นขนมที่พิเศษมาก มีขนาดไม่ใหญ่เกินไป ประมาณฝ่ามือ มีสองชั้น ชั้นบนสุดมีผลไม้ แล้วก็......”“พอเถอะ!”ทันทีที่ได้ยินคำว่าขนมอบสองคำ ใบหน้าของลวี่เหลียงเจ๋อก็ผ่อนคลายลงทันที เขาไม่ทนฟังสิ่งที่นักการในศาลาว่าการจะพูดต่อได้อีก จึงปัดมือขัดจังหวะการพูดของนักการในศาลาว่าการอย่างเบื่อหน่าย“ก็แค่ขนมอบไม่ใช่รึ จะมีมูลค่าเท่าไหร่เชียว? ที่สำคัญเขาเพิ่งเริ่มขายวันนี้ แม้ว่าเขาจะขายมากทะลุเสียดฟ้า เงินที่เขาหามาได้จะเทียบกับของเสี่ยวทิงได้รึ?”ตอนที่ลวี่เหลียงเจ๋อพูดเช่นนี้ ฟางทิงยิ้มอย่างเหยียดหยามพร้อมยกถ้วยชา
“เตาเผา!” นักการในศาลาว่าการเริ่มทำท่าอีกครั้ง “ขนมอบเหล่านั้นเอาออกมาจากเตาเผานั่นทีละชุดขอรับ”ลวี่เหลียงเจ๋อยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจคำพูดของนักการในศาลาว่าการมากขึ้นเรื่อย ๆเตาเผา?เตาเผาที่ทำขนมอบได้?“ใต้เท้า!” ถ้าอาจารย์ปู่ของลวี่เหลียงเจ๋อไม่ปรากฏตัวทันเวลา นักการในศาลาว่าการคงถูกสาดชาร้อนอีกครั้งหลังจากที่อาจารย์ปู่กระซิบบางอย่างกับลวี่เหลียงเจ๋อ สีหน้าของลวี่เหลียงเจ๋อก็เปลี่ยนไปเป็นถมึงทึงกะทันหัน“เพียงแค่ขนมอบขายดีขนาดนั้นเชียวรึ?” ฟางทิงที่นิ่งมานานเอ่ยถามอย่างสงสัยแต่ทว่า น้ำเสียงที่สงสัยของเขาค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยเตาเผาอะไรทำออกมาในปริมาณมากอะไรฟางทิงผู้อยู่ในฐานะคนที่จะได้รับเลือกเป็นพ่อครัวหลวง ไม่สนใจแต่อย่างใด เขาสนใจแค่ว่าอาหารอร่อยหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่เชื่อว่าเฉินฝานจะสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยขนมอบ“เสี่ยวทิง พวกเราออกไปดูกันหน่อยเถอะ”เพิ่งเดินออกจากเรือนแขกสำราญสุข ลวี่เหลียงเจ๋อก็มองเห็นจากระยะไกลว่าหน้าร้านของเฉินฝาน มีรถม้าเต็มไปหมดคนที่อยู่บนรถม้า ส่วนมากล้วนเป็นใบหน้าที่ลวี่เหลียงเจ๋อคุ้นเคยพวกเขาเป็นพ่อค้าในอำเภอตูอัน“เหออาซื่อ
“เป็นเช่นนี้ย่อมดี!” ลวี่เหลียงเจ๋อพูดกับอาจารย์ปู่ที่อยู่ข้าง ๆ ทันที “เจ้าไปเขียนประกาศให้คนงานติดเร็วเข้า”ฟางทิงเดินกลับไปที่เรือนแขกสำราญสุข“อาจารย์ปู่ขอรับ เมื่อครู่นี้ท่านพูดว่าเค้กของเฉินฝานใช้วิธีการอบหรือขอรับ?” ฟางทิงที่ก้าวเข้ามาในเรือนแขกสำราญสุขเรียบร้อยพลางหันกลับมาถาม“ใช่!” อาจารย์ปู่ของลวี่เหลียงเจ๋อพยักหน้าทันที “ที่พวกเขาเล่นโคลนก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังทำเตาเผานั่นแหละ พวกเขาทำเตาเผาไว้หลายอันและเค้กเหล่านั้นก็......”“พอได้แล้ว!” ฟางทิงโบกมือ “ข้ารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิธีการกับข้า”ทอด ต้ม นึ่ง ตุ๋น ย่าง ไม่ว่าวิธีการทำอาหารใดก็ตาม เขาเรียนรู้แล้วทั้งหมดตั้งแต่อายุสิบขวบลวี่เหลียงเจ๋อเคยตรวจสอบเฉินฝานเมื่อก่อนเฉินฝานไม่รู้วิธีทำอาหารเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่ครึ่งปีที่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเปิดหูเปิดตาขึ้นมาและทำปลาย่างคนจับจดเช่นนี้จะสู้เขาได้อย่างไร?หลังจากเข้ามาถึงห้องครัวของเรือนแขกสำราญสุข ฟางทิงก็สั่งให้คนฆ่าไก่และเป็ดทันทีเฉินฝานใช้วิธีอบใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นเขาจะใช้การอบสั่งสอนเขาสักหน่อยมาดูกันว่าผู้คนจะชอบไก่ย่างและเป็ดย่างของเขาหรือสิ่งที่เรียกว
“ใต้เท้าจาง!” เฉินฝานยิ้ม เป็นใบหน้าไร้เดียงสาเหมือนเดิม “ตอนนี้ยังไม่รู้ผลสุดท้าย เร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าฟางทิงพ่ายแพ้นะขอรับ”“พอได้แล้ว คนหนุ่มอย่างเจ้า มักทำสายตาไร้เดียงสาเช่นนี้หลอกผู้คนอยู่เรื่อย!”เสียงที่ดังลั่นของหลูเฉิงกวงดังขึ้น เรือนร่างอันอึกทึกของเขาคั่นกลางระหว่างเฉินฝานกับจางเจิ้งห้าว“ใต้เท้า ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ผลสุดท้ายยังไม่มีการตัดสินจริงนี่ขอรับ!” เฉินฝานแสดงสีหน้าไม่ได้รับความยุติธรรม“ตัดสินแล้ว!”หลูเฉิงกวงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขาตัวสูง ท่าทางกระโดดโลดเต้นของเขาจึงดูตลกเขากล่าวต่อ “เมื่อข้าหยิบฐานเค้กกับเสี่ยวฉู่เสร็จแล้ว ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย มีรถม้ามารับของมากขึ้นกว่าเดิม”เดิมทีหลูเฉิงกวงได้ขอให้ภรรยาและลูกสาวนักการในศาลาว่าการทุกคน รวมถึงภรรยาและลูกสาวของเขาให้มาช่วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนทำไม่ทัน“จะว่าไปแล้ว……” หลูเฉิงกวงเหลือบมองแถวด้านนอกร้านที่ไม่เห็นปลายทาง “เสี่ยวฝาน พ่อค้าจากอำเภออื่นรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามีเค้ก?”“อ่อ เรื่องนี้!” เฉินฝานที่กำลังบรรจุพูดอย่างใจเย็น “ช่วงบ่ายของเมื่อวาน ข้าเอาเค้กไปยังอำเภอที่อยู่รอบ ๆ มาขอรับ”
“เจ้าไปบอกคนเหล่านั้นว่าผู้ใดกล่าวเร่งจะไม่ยกอาหารให้”ฟางทิงทิ้งท้ายประโยคนี้เสร็จก็เปิดประตูห้องครัวที่ทะลุไปถึงสวนข้างหลัง เขาทำซอสมากมายขนาดนั้น อยากขึ้นไปพักผ่อนสักหน่อย“นายน้อย ไม่ใช่คนเยอะ แต่คือ…...ไม่มีคน!”ตอนที่คนใช้พูดว่าไม่มีคนสามคำนี้ เสียงของเขาแผ่วเบาและสั่นระริกอีกครู่เดียว คงไม่วายโดนต่อยและเตะแน่“อะไรนะ?”ฟางทิงปล่อยมือที่จับลูกบิดประตู พอหันกลับมาก็ตบหน้าคนใช้ทันที“ตระกูลฟางของข้าเลี้ยงดูเสียข้าวสุกมาตั้งหลายปีจริง ๆ พูดจากระฉับกระเฉงไม่เป็นรึ?”ไม่มีคน?พูดอะไรออกมา ฟางทิงเข้าครัวทำอาหารจะไม่มีคนมา?คนใช้ปิดหน้าที่ถูกตบแล้วกล่าวน้ำเสียงหวาดกลัว “นายน้อย ข้างนอกไม่มีคนจริง ๆ ขอรับ!”“ดูเหมือนว่าท่านแม่ของข้าจะใจดีกับพวกเจ้ามากไป ให้พวกเจ้ากินมากไปจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว!”ฟางทิงยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้งคนใช้รีบกุมหัว “นายน้อย ข้าน้อยไม่ได้โกหกขอรับ นายน้อยฟังดูก็ได้ขอรับว่ามีเสียงข้างนอกบ้างหรือไม่?”“พ่อครัวฟาง ข้างนอกดูเหมือนไม่มีเสียงจริง ๆ” พ่อครัวคนหนึ่งในครัวกล่าว“ไม่มีเสียงเลยจริง ๆ เมื่อวานและเมื่อวานก่อน ข้างนอกนั้นเสียงดังมาก”“พอพวกเจ้าพูดเ
ตอนเห็นป้ายประกาศว่าฟางทิงคือพ่อครัวหลักของเรือนแขกสำราญสุขและลดครึ่งราคา หลูเฉิงกวงยังรู้สึกกังวลปรากฏว่าเวลาผ่านไปไม่นาน คนของลวี่เหลียงเจ๋อก็มาหาและกล่าวว่าเขาวางหมาก ไม่ให้แขกเข้าเรือนแขกสำราญสุขและให้เขาไปอธิบายกับลวี่เหลียงเจ๋อเดิมทีหลูเฉิงกวงรู้สึกโกรธอาจารย์ปู่ผู้ไม่มียศอย่างเป็นทางการใดแต่กล้าพูดกับเขาแบบนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าเรือนแขกสำราญสุขไม่มีแขกเลย อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นทันใดเขาตอบอาจารย์ปู่ของลวี่เหลียงเจ๋อทันทีว่าจะไปอธิบายกับลวี่เหลียงเจ๋อเดี๋ยวนี้ลวี่เหลียงเจ๋อจ้องหลูเฉิงกวงอย่างเดือดพล่าน “เรือนแขกสำราญสุขทำไมถึงไม่มีแขก? ท่านในฐานะผู้เป็นนายอำเภอของอำเภอผิงอันรู้อย่างแจ่มแจ้งไม่ใช่รึ?”หลูเฉิงกวงส่ายศีรษะราวกับเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง “นั่นสิขอรับ เรือนแขกสำราญสุขที่มีใต้เท้าลวี่กับผู้จะได้เลือกเป็นพ่อครัวหลวงดูแลด้วยตนเองกลับไม่มีคน ข้าในฐานะปลัดอำเภอถือว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง”“ท่านรู้ตัวย่อมดี ยังไม่รีบนำหมากที่วางไว้กลับไปโดยเร็วอีก!” ลวี่เหลียงเจ๋อยกคางขึ้นสูงมาก“ขอรับ!” หลูเฉิงกวงกล่าวตอบต่อทันทีหลังจากได้ยินคำตอบของหลูเฉิงกวง ลวี่เหลียงเจ๋อก็ก
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ