ในสภาพสะลึมสะลือ เฉินฝานพลิกตัวผ้านวมผืนนี้......นุ่มมากและยืดหยุ่นมาก เมื่อโน้มตัวลงไปพิง กลิ่นหอมหวานอันสดชื่นแตะเข้าที่ปลายจมูกคงเป็นกลิ่นจากน้ำยาซักผ้าใหม่มั้งดูเหมือนว่าครั้งนี้เลือกถูกยี่ห้อแล้วเฉินฝานที่คิดว่าอยู่ในยุคปัจจุบัน กอดผ้าห่มไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข......แต่ผ้าห่มกลิ่นหอมจริง แต่ทำไมกลับรู้สึกหนาว อุณหภูมิลดลงเหรอ?เฉินฝานถอยห่างตามสัญชาตญาณ แล้วผ้าห่มผืนนั้นก็ตามเขามาและอยู่ใกล้เขาอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญดูเหมือนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ“หืม?”เฉินฝานขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะลืมตา จู่ ๆ เสียงอันแผ่วเบาและเขินอายก็ดังขึ้นข้างหู“โอ๊ย พี่สาม! ไม่เอา ดูสิ นายท่านตื่นเพราะพวกเราแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเร่งความเร็ว......”“พี่สาม พี่สาม ทำแบบนี้ไม่ดีกระมัง?”“ไม่ดีตรงไหน ปีนี้เจ้าต้องให้นายท่านมี……”เฉินฝานทนไม่ไหวต่อไปจึงลืมตาขึ้นมา......ภาพตรงหน้า ช่างก้าว/ร้าวเสียจริงฉินเย่ว์เจียวพยายามถอดเสื้อผ้าของฉินเย่ว์โหรว จากนั้นผลักฉินเย่ว์โหรวที่เปลือยเปล่าเข้ามาในอ้อมแขนของเขาหลังจากถอดเสื้อผ้าของฉินเย่ว์โหรวหมดแล้ว ฉินเย่ว์เจียวเริ่มถอดเสื้อผ้าของเฉินฝ
“เพราะว่า……”หูของฉินเย่ว์โหรวหยุดแดงกะทันหันและไม่เขินอีก บนใบหน้าเล็กที่เคร่งขรึมแสดงสีหน้าไม่เชื่อไว้ด้วย “จริง ๆ แล้ว เฉินเจียงเป็นคนใส่ข้อสอบเข้าไปในกล่องไม้เจ้าค่ะ”เฉินเจียง?ความเยือกเย็นแวบผ่านดวงตาของเฉินฝาน และกลับสู่ความเรียบนิ่งอย่างรวดเร็วเขานี่เอง เฉินฝานไม่แปลกใจมากนักทำเรื่องแบบนี้ได้ ก็สอดคล้องกับตัวตนที่หลอกลวงจอมปลอมของเฉินเจียงดีเขาได้อันดับหนึ่ง ส่วนเขาสอบตก ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็ไม่ใช่เฉินเจียง“แม้ว่าปกติ เราสองครอบครัวก็มีความสัมพันธ์ต่อกันไม่ดีเท่าไหร่นัก เฉินเจียงก็ดูถูกเรามาตลอด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นายท่านก็เป็นหลานชายของเขา เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”เดิมทีร่างกายของฉินเย่ว์โหรวดูเพรียวบางอยู่แล้วเมื่อสวมเสื้อผ้า แต่พอถอดออกก็ยังมีน้ำมีนวล วิจิตรงดงามยิ่งนัก นางพูดจารุนแรงเพียงนั้น ร่างกายก็ขยับไม่หยุดจนเฉินฝานไม่อาจละสายตาออกไปได้ดวงตาของเขากำลังลุกไหม้เฉินฝานเริ่มปล่อยตัวเอง“นายท่าน......”ฉินเย่ว์โหรถึงกระทั่งสะดุ้ง นางตกใจและเขินอายพลางยกกำปั้นขึ้นทุบตีเฉินฝาน “คนบ้า คนบ้า”“หืม?”ริมฝีปากของเฉินฝานแนบชิดกับหูของฉินเย่ว์โหรว “เจ้
ปกติแล้วเด็กสาวคนนี้จะค่อนข้างสุภาพเยือกเย็นและอ่อนโยน แต่วันนี้กลับสร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก“อื้อ?” เฉินฝานเลิกคิ้วสูงและยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “อยากมีบุตรชาย หญิงสาวควรทำอย่างไร?”“ข้า....” ฉินเย่ว์โหรวที่นั่งอยู่บนตักของเฉินฝานมีท่าทีเขินอายและกังวลใจคล้ายกับมดน้อยที่อยู่บนหม้อไฟ นางร้อนใจแต่กลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแล้วเมื่อคืนก่อน แต่นั่นคือเหตุการณ์หลังจากที่นางเมาฤทธิ์สุราแล้ว ฉินเย่ว์โหรวในตอนนั้นกำลังสับสนและคุมสติไม่อยู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นการนำพาของเฉินฝานทั้งสิ้นตอนนี้เขาอยากให้นางเป็นฝ่ายรุกก่อน ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน“นายท่าน” ฉินเย่ว์โหรวมองเฉินฝานด้วยแววตาอ้อนวอน “นายท่านสอนข้าได้หรือไม่?”เฉินฝานส่ายหน้า “ครั้งนี้เจ้าอยากมีบุตรชาย แล้วข้าจะสอนได้อย่างไร?”การรุกจากหญิงสาวผู้อ่อนโยน นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เขาอยากเห็นมันสักครั้ง“นายท่าน นายท่าน....” ฉินเย่ว์โหรวก้มหน้าลงอย่างจนปัญญา มือเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนคล้ายกับต้นหอมถูไปมาอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของนางแด
ถึงอกถึงใจนะ แต่ก็ไม่ได้ถึงอกถึงใจขนาดนั้นเฉินฝานใจร้ายมาก เขาผลักคนที่อยู่ในอ้อมกอดจะไม่ผลักออกก็ไม่ได้ เพราะเสียงของนายอำเภอหลูเฉิงกวงดังขึ้นนอกบ้านทันทีที่เฉินฝานเดินออกมาจากในห้อง หลูเฉิงกวงก็วิ่งปรี่เข้ามาหาเขา โดยมีนักการในศาลาว่าการและขุนนางจากอำเภอผิงอันหลุ่มหนึ่งตามหลังเขามาติด ๆ “เสี่ยวฝาน เจ้าตื่นแล้วหรือ?” บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัยของหลูเฉิงกวงกำลังฉีกยิ้มกว้างเรื่องที่เฉินฝานพลิกล็อกเอาชนะเริ่นรุ่ยฟ่านผู้โด่งดังในวงการวรรณกรรมได้อย่างสันติด้วยวัยสิบเก้าปี ไม่เพียงแต่จะแพร่กระจายไปทั่วอำเภอผิงอันเท่านั้น ทั้งยังแพร่กระจายไปทั่วหรงตูอีกด้วยท่านเจ้าเมืองจึงส่งคนมาตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วเขาก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข และยังรู้สึกอนิจจังที่เมืองของตัวเองมีอัจฉริยะเกิดขึ้นอีกแล้ว หลังจากมอบรางวัลให้กับเฉินฝานแล้ว หลูเฉิงกวงก็ยังได้อาศัยบารมีของอีกฝ่ายจนทำให้เขาได้รับคำชื่นชมจากเจ้าเมืองมากมายทันทีที่คนของท่านเจ้าเมืองจากไป นายอำเภอจากอำเภออื่นก็ทยอยกันส่งข้อความมาแสดงความยินดีในขณะที่ผู้คนกำลังแสดงความยินดีนั้น หลูเฉิงกวงก็ยังดูปกติ ทันท
หลังจากที่หลูเฉิงกวงกล่าวจบ สีหน้าจริงจังของเขาก็พลันหายไป เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มประจบประแจงแทนเขาวิ่งมาตรงหน้าของเฉินฝานเฉินฝานแค่ชำเลืองตามองอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือออกไปยกกาเพื่อรินชาโดยไม่ได้สนใจหลูเฉิงกวงแต่อย่างใด“ข้าเอง ข้าเอง!” มือของเฉินฝานยังไม่ทันได้แตะโดนกา หลูเฉิงกวงก็ชิงคว้ากาไปเสียก่อนหลูเฉิงกวงยกกาขึ้นมาดมเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปสั่งนักการที่อยู่ในลานกว้าง “ไปที่เกี้ยวของข้า แล้วหยิบกล่องชาของข้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”“เสี่ยวฝาน นี่คือชาหลงหูในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ รสชาติเข้มข้นกำลังดี เจ้าลองชิมสิ หากเจ้าชอบ กลับไปข้าจะให้คนนำมาส่งให้เจ้า”หลูเฉิงกวงที่นำใบชาติดตัวมาได้ลงมือชงชาด้วยตัวเอง จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าของเฉินฝานชาสามถ้วยนั้นล้วนแต่เป็นฝีมือการชงชาของหลูเฉิงกวงทั้งสิ้น เขายื่นถ้วยชาไปตรงหน้าของเฉินฝานอีกครั้งเฉินฝานแค่ดื่มอย่างเงียบ ๆ แต่เขาดื่มชาติดต่อกันสามถ้วยแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่เอ่ยสิ่งใด แต่สีหน้านั้นดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ไม่น้อยคนที่รับตำแหน่งขุนนางแล้วล้วนแต่เป็นคนที่เจนต่อโลก แวบเดียวที่เห็นสีหน้าอ่อนโยนของเฉินฝาน หลูเฉิงกวงก็รีบเอ่ยทันใด
“วันนี้ท่านผู้พิพากษาได้ออกประกาศเกณฑ์ทหารฉบับหนึ่งออกมา โดยในประกาศฉบับนั้นมีชื่อพ่อของข้าด้วย ตอนนี้พ่อของข้าอายุสี่สิบปีแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากจะให้เขาลงสนามรบ เขาคงไม่มีวันได้กลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย!”ทันทีที่กล่าวจบ เฉินต้ายาก็ร้องไห้อย่างเงียบ ๆ “พ่อของเจ้าจ่ายภาษีแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังมีชื่อของเขาอีกล่ะ?” เฉินฝานโค้งตัวลงไปเอ่ยถามเฉินต้ายา“ข้าถามขุนนางที่มาติดประกาศเมื่อครู่แล้ว ไม่เพียงแต่พ่อของข้า ดูเหมือนว่าชายใดที่มีอายุเท่าพ่อของข้า หากยังไม่มีบุตรสาวล้วนแต่ต้องไปเป็นทหารทั้งสิ้น หากคิดเลี่ยงเกณฑ์ทหาร พวกเขาจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน”“ต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงภายในหนึ่งเดือนหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวที่เดินออกมาจากห้องและได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับโกรธฉุนเฉียว “ข้ายังคิดอยู่เลยว่าสกุลหลูเป็นขุนนางที่ดี ที่แท้ก็เป็นแค่ขุนนางรับใช้คนหนึ่ง ต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงภายในหนึ่งเดือน ทำไมเขาถึงไม่มารับคนด้วยตัวเอง?” ครอบครัวชาวนาธรรมดา ต่อให้พวกเขาจะไม่ดื่มไม่กินเลยตลอดหนึ่งปี แต่ก็ใช่ว่าจะหาเงินได้หนึ่งร้อยตำลึง“เช่นนั้นเราควรทำอย่า
การค้า?เกี่ยวข้องกับการประกาศเกณฑ์ทหารอย่างนั้นหรือ?“ใต้เท้า!” เฉินฝานไล่ตามไปติด ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำการค้ามาก่อน แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนสมัยใหม่ที่ข้ามเวลามา เคยเห็นธุรกิจการค้าของปัญญาชนมามาก หากคนโบราณคิดอยากเปรียบเทียบกับเขา ถือว่ายังล้าหลังอยู่มากระหว่างทางไปตัวอำเภอผิงอัน จางเจิ้งห้าวได้เล่าสถานการณ์ให้เฉินฝานฟังโดยประมาณหลี่ซานถูกเจี่ยงหงเหวินใส่ร้าย ทรัพย์สมบัติของตระกูลหลี่ส่วนใหญ่ตกมาอยู่ในมือของตระกูลเจี่ยงเจี่ยงหงเหวิน?เฉินฝานได้ยินมากับหูว่าเขาเป็นคุณชายของตระกูลเจี่ยงที่เปิดการค้าใหญ่โตที่สุดของอำเภอ ทั้งยังได้ยินอีกว่ากระบวนการวางแผนของเขานั้นยอดเยี่ยมอีกด้วย คนคนนี้ดูภายนอกดูดี แต่ภายในกลับคิดไม่ซื่อ และยังมีจิตใจโหดเหี้ยมตระกูลหลี่ในตอนนี้เหลือเพียงหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแห่งเดียวหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแห่งนี้ไม่ได้ตกอยู่ในมืองของตระกูลเจี่ยงตั้งแต่แรก แต่หลี่ซานดันไปตอบตกลงข้อเสนอของเจี่ยงหงเหวินคือการให้เขาใส่ร้ายเฉินฝานว่าขโมยข้อสอบถึงจะรักษาไว้ได้ ตอนนี้เจี่ยงหงเหวินกลับคำพูด เขาใช้ใบแจ้งหนี้ที่มีรอยประทับนิ้วมือของหลี่ซานมาใช้ยึดหอนางโลมอี๋ชุนย่วนสามวัน
“ดูแล้วเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจอย่างมาก” ลวี่เหลียงเจ๋ออยู่ในลักษณะยืนอยู่เหนือมวลชน เขาจ้องไปที่หลูเฉิงกวง “ข้าลวี่เหลียงเจ๋อก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ใจจืดใจดำ”ตอนที่ลวี่เหลียงเจ๋อกำลังพูด ก็กวาดสายตามองกลุ่มพ่อค้าด้านหลังตนเองกลุ่มนั้น “พวกเจ้าพูดสินะ? พวกเราให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง ให้พวกเขาประลองฝีมือกับพวกเราอีกรอบ”“ท่านลวี่ฉลาดล้ำเลิศ ท่านลวี่จิตใจเมตตากรุณา!”มวลเสียงประจบแจง ทำให้ลวี่เหลียงเจ๋อเหลิงลอยละลิ่วขึ้นไปอีก“เจ้าอยากประลองเยี่ยงไร? ประลองอะไร ?” หลูเฉิงกวงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำลวี่เหลียงเจ๋อยกคางขึ้นสูงไปทางหลูเฉิงกวง ใช้น้ำเสียงในการให้ทานพูดว่า “ในเมื่อเรื่องเกี่ยวกับหอนางโลมอี๋ชุนย่วนและการค้า พวกพ่อค้าเชี่ยวชาญ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาประลองกันในด้านการค้า”“ใต้เท้า!” เจี่ยงหงเหวินทำความเคารพให้กับลวี่เหลียงเจ๋อ “เกี่ยวกับการประลอง ข้าน้อยมีข้อเสนอแนะ”ลวี่เหลียงเจ๋อผายมือ “เจ้าว่ามา!”“ขอบคุณใต้เท้า” เจี่ยงหงเหวินพูดต่อ “ช่วงก่อนข้าน้อยซื้อที่ดินหมู่บ้านเซี่ยกู่ของด้านนอกอำเภอผิงอัน หลังจากที่ยึดหอนางโลมอี๋ชุนย่วน ข้าน้อยวางแผนที่จะปิดหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแล้ว จะเปิดหอ
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ