การค้า?เกี่ยวข้องกับการประกาศเกณฑ์ทหารอย่างนั้นหรือ?“ใต้เท้า!” เฉินฝานไล่ตามไปติด ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำการค้ามาก่อน แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนสมัยใหม่ที่ข้ามเวลามา เคยเห็นธุรกิจการค้าของปัญญาชนมามาก หากคนโบราณคิดอยากเปรียบเทียบกับเขา ถือว่ายังล้าหลังอยู่มากระหว่างทางไปตัวอำเภอผิงอัน จางเจิ้งห้าวได้เล่าสถานการณ์ให้เฉินฝานฟังโดยประมาณหลี่ซานถูกเจี่ยงหงเหวินใส่ร้าย ทรัพย์สมบัติของตระกูลหลี่ส่วนใหญ่ตกมาอยู่ในมือของตระกูลเจี่ยงเจี่ยงหงเหวิน?เฉินฝานได้ยินมากับหูว่าเขาเป็นคุณชายของตระกูลเจี่ยงที่เปิดการค้าใหญ่โตที่สุดของอำเภอ ทั้งยังได้ยินอีกว่ากระบวนการวางแผนของเขานั้นยอดเยี่ยมอีกด้วย คนคนนี้ดูภายนอกดูดี แต่ภายในกลับคิดไม่ซื่อ และยังมีจิตใจโหดเหี้ยมตระกูลหลี่ในตอนนี้เหลือเพียงหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแห่งเดียวหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแห่งนี้ไม่ได้ตกอยู่ในมืองของตระกูลเจี่ยงตั้งแต่แรก แต่หลี่ซานดันไปตอบตกลงข้อเสนอของเจี่ยงหงเหวินคือการให้เขาใส่ร้ายเฉินฝานว่าขโมยข้อสอบถึงจะรักษาไว้ได้ ตอนนี้เจี่ยงหงเหวินกลับคำพูด เขาใช้ใบแจ้งหนี้ที่มีรอยประทับนิ้วมือของหลี่ซานมาใช้ยึดหอนางโลมอี๋ชุนย่วนสามวัน
“ดูแล้วเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจอย่างมาก” ลวี่เหลียงเจ๋ออยู่ในลักษณะยืนอยู่เหนือมวลชน เขาจ้องไปที่หลูเฉิงกวง “ข้าลวี่เหลียงเจ๋อก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ใจจืดใจดำ”ตอนที่ลวี่เหลียงเจ๋อกำลังพูด ก็กวาดสายตามองกลุ่มพ่อค้าด้านหลังตนเองกลุ่มนั้น “พวกเจ้าพูดสินะ? พวกเราให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง ให้พวกเขาประลองฝีมือกับพวกเราอีกรอบ”“ท่านลวี่ฉลาดล้ำเลิศ ท่านลวี่จิตใจเมตตากรุณา!”มวลเสียงประจบแจง ทำให้ลวี่เหลียงเจ๋อเหลิงลอยละลิ่วขึ้นไปอีก“เจ้าอยากประลองเยี่ยงไร? ประลองอะไร ?” หลูเฉิงกวงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำลวี่เหลียงเจ๋อยกคางขึ้นสูงไปทางหลูเฉิงกวง ใช้น้ำเสียงในการให้ทานพูดว่า “ในเมื่อเรื่องเกี่ยวกับหอนางโลมอี๋ชุนย่วนและการค้า พวกพ่อค้าเชี่ยวชาญ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาประลองกันในด้านการค้า”“ใต้เท้า!” เจี่ยงหงเหวินทำความเคารพให้กับลวี่เหลียงเจ๋อ “เกี่ยวกับการประลอง ข้าน้อยมีข้อเสนอแนะ”ลวี่เหลียงเจ๋อผายมือ “เจ้าว่ามา!”“ขอบคุณใต้เท้า” เจี่ยงหงเหวินพูดต่อ “ช่วงก่อนข้าน้อยซื้อที่ดินหมู่บ้านเซี่ยกู่ของด้านนอกอำเภอผิงอัน หลังจากที่ยึดหอนางโลมอี๋ชุนย่วน ข้าน้อยวางแผนที่จะปิดหอนางโลมอี๋ชุนย่วนแล้ว จะเปิดหอ
“ไม่มีใครยอมออกมาจริงๆหรือ?” หลูเฉิงกวงบังคับความโกรธไว้ในใจ น้ำเสียงนุ่มนวลความหมายของเขาชัดเจนมากแล้ว ขอเพียงแค่มีคนกล้าออกมาก็ใช้ได้แล้ว เขาไม่สนว่าผลแพ้ชนะสายตาของหลูเฉิงกวงผาดผ่านมวลหมู่พ่อค้าไปมาสามครั้งเต็มๆ ก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาเส้นเลือดบนหน้าผากหลูเฉิงกวงปูดขึ้น แววตาของเขาเริ่มดุร้าย “ได้ พวกเจ้าแต่ละคนไม่มีใครกล้าออกมาใช่ไหม!”พวกพ่อค้าตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าหายใจดัง ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่มีใครกล้ารับคำท้าลวี่เหลียงเจ๋อสีหน้าเยาะเย้ย “หลูเฉิงกวง ข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ทว่า... ” ลวี่เหลียงเจ๋อกางมือออกสองข้าง สีหน้าหยิ่งผยองหาสิ่งใดเปรียบมิได้ “ในอำเภอผิงอันของเจ้าไม่มีใครสามารถรับคำท้าได้ เฮ้อ น่าเหนื่อยใจ!”ลวี่เหลียงเจ๋อพูดจบ คิดไม่ถึงว่าจะไปนั่งบนตำแหน่งที่นั่งนายอำเภอของหลูเฉิงกวงตำแหน่งที่นั่งของนายอำเภอ นอกจากตัวนายอำเภอเองแล้ว มีเพียงขุนนางที่ยศสูงกว่านายอำเภอเท่านั้นถึงจะนั่งได้ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ปกติขุนนางที่มาถึงที่ ต่อให้ตำแหน่งสูงกว่านายอำเภอ เป็นการให้เกียรติก็จะไม่ไปนั่งตำแหน่งหลักทว่าไปนั่งตำแหน่งเสริมข้างๆแทนตอนนี้ลว
ผู้คนต่างพากันมองไปด้านนอกที่ว่าการ เห็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีม่วงอ่อน ก้าวเท้าเข้ามาอย่างมั่นคงเนื่องจากย้อนแสง ชายหนุ่มมายืนต่อหน้ามวลชน พวกเขาถึงจะใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจน“เฉินฝาน เป็นเจ้าได้อย่างไร?”ในน้ำเสียงที่ตกใจของมวลชน แฝงไปด้วยความรู้สึกจิตตกอันเข้มข้นเฉินฝานเรียนหนังสือเก่งกาจ และยังชนะบัณฑิตใหญ่เริ่นรุ่ยฟ่าน ทว่าเรียนหนังสือกับทำการค้าขายมันคนละเรื่องกันอย่าว่าแต่ในอำเภอผิงอันเลย ทั้งรัชสมัยต้าชิ่ง ก็ไม่เคยได้ยินว่าคนที่เรียนหนังสือเก่งค้าขายก็เก่งด้วย“เสี่ยวฝาน” หลูเฉิงกวงเดินไปอย่างมีความหวัง ปลัดอำเภอด้านหลังเฉินฝานส่ายหน้าให้หลูเฉิงกวง บอกใบ้ว่าเฉินฝานไม่ใส่ป้ายเงินมา“เจ้าเป็นใคร? ความหมายของเจ้าเมื่อครู่ คือเจ้าจะออกมาแข่งขันกับข้า?”เจี่ยงหงเหวินใช้สายตาสืบเสาะมองไปที่เฉินฝานในฐานะที่เป็นพ่อค้า คนอาชีพเดียวกัน เขาจำได้เกือบจะทุกคน ชายหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอ“นายท่านเจี่ยง หรือว่าท่านก็มีช่วงเวลาที่ตามข่าวสารไม่ทันด้วยสินะ เฉินฝานไง คนสอบอันแรกของการสอบระดับมณฑลอำเภอผิงอัน!”เมื่อคำพูดนี่ออกไป ศาลาที่ว่าที่เดิมทีก็ถือว่าเงียบงันก็เจี๊ย
“ข้าจะชดใช้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เจ้าต้องชดใช้แน่นอน”เฉินฝานเอามือไพล่หลัง รังสีความสง่างามและความดุดันแผ่ซ่านออกจากร่างกายของเขา มวลชนที่ยืนอยู่ต่างหน้าเขาไม่ต่างอะไรกับมดช่วงเวลาที่มองเหยียดหยามกัน น้ำเสียงอันสงบนิ่งดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่าพวกเจ้าจะค้าขายอะไร ไม่ต้องสามวันหรอก วันเดียวก็พอแล้ว รายได้จากการค้าขายของข้าก็จะเยอะกว่าของพวกเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่ข้าเปิดกิจการ พวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า!”ในศาลที่ว่าการ เสียงหัวเราะราวกับน้ำที่ทะลักออกมา พวกพ่อค้าอำเภอตูอันพวกนั้นหลายคนหัวเราะจนท้องแข็งเหล่าพ่อค้าอำเภอผิงอันข้างกายเฉินฝานต่างพากันหันข้างปิดหน้าตัวเองเอาไว้คำพูดใหญ่โตไม่ละอายเช่นนี้ พูดออกมาโดยไม่ใช้สมองคิดขายขี้หน้าจัง ขายขี้หน้า“พวกเจ้าดูสิ เขาคงจะอ่านตำราเยอะเกินไป อ่านจนเอ๋อไปแล้ว!” ติงลั่วใช้สายตาห่วงใยคนพิกลพิการมองเฉินฝาน“คนบ้าต้องโดนยาแรงสิ!” รอยยิ้มเจี่ยงหงเหวินแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม “พี่ติง จัดการมันให้ตาย!”ติงลั่วยกมุมปากขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว!”“เจ้าหนุ่ม!” ติงลั่วหันหน้าไปหาเฉินฝาน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ค
ลวี่เหลียงเจ๋อส่งสายตาไปด้านข้าง คนข้างกายเขารับรู้เข้าใจได้ทันที รีบพาคนเดินไปขวางคนของจางเจิ้งห้าวที่จะพาเฉินฝานเดินออกไปนี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการกำจัดเฉินฝานให้อยู่หมัด เขาจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร“ใต้เท้าหลู เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อครู่อำเภอผิงอันของพวกเจ้าไม่มีใครออกมา เจ้าโมโห ตอนนี้มีคนออกมาแล้ว ทำไมถึงจะไล่คนออกไปอีกล่ะ”“ใช่แล้ว คนของใต้เท้าลวี่นำทรัพย์สมบัติมาให้ พวกเราจะไม่เอาได้อย่างไรกัน?”ช่วงเวลาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เสียงของเฉินฝานดังกังวานขึ้นกว่าเดิม “ผลแพ้ชนะ พูดปากเปล่าไม่มีผล ใช้ลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐาน!”“ได้สิ!” ลวี่เหลียงเจ๋อหันหน้าไปออกคำสั่งกับขุนนางด้านข้าง “ใช้ลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐาน เอากระดาษกับหมึกมา!”“เฉินฝานเอ๋ยเฉินฝาน เฮ้อ...” หลูเฉิงกวงหลับตาลงอย่างปวดใจพอหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรออกมา จักรพรรดิมาด้วยตนเองการประลองครั้งนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินไปการแข่งขันครั้งนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย ข่าวที่คนที่ได้อันดับแรกในการสอบระดับมณฑลต้องคุกเข่าเลียฝ่าเท้าของพ่อค้าติงลั่ว ก็แพร่กระจายจนรู้ไปทั่วทั้งอำเภอผิงอัน ไม่เพียงแค่อำเภอผิงอันเท่านั้น
“เสี่ยวฝาน! เจ้าไม่มีประสบการณ์การบริหารทางการค้า อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ ร้านค้าของแม่เถียนเสี่ยวอวี่ เปิดขนาบข้างหอนางโลมอี๋ชุนย่วน ขนาดไม่ใหญ่ ขายจำเพาะพวกเครื่องแป้ง”ตอนได้ยินเฉินฝานบอกว่าเป็นร้านค้าขนาดย่อมสองร้าน แม้จางเจิ้งห้าวจะผิดหวัง แต่ก็อธิบายให้เฉินฝานฟังด้วยความใจเย็น“ลูกค้าส่วนมากเป็นสตรีชั้นต่ำของหอนางโลมอี๋ชุนย่วน รายได้ของสตรีชั้นต่ำจะมีเท่าใด ข้าไม่ต้องอธิบายเจ้าก็น่าจะกระจ่างดีกระมัง พวกนางไม่มีปัญญาซื้อเครื่องแป้งราคาแพง ดังนั้นร้านค้าทั้งสองร้านจึงขายเครื่องแป้งราคาถูก กำไรน้อยมาก”“แต่ว่า คนทั่วไป มีร้านค้าสองร้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้ชีวิตนี้ไม่ทำไร่ ไม่ทำงานหนัก ก็มีชีวิตที่ดีได้”จางเจิ้งห้าวพูดอ้อมค้อม ความจริงความหมายของเขาคือ ร้านค้าที่แม่ของเถียนเสี่ยวอวี่ยกให้เฉินฝาน สำหรับชาวบ้านอย่างเฉินฝานถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วแต่หากคิดที่จะเทียบกับติงลั่ว นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝันเฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ร้านค้าหนึ่งร้าน ใช้เพื่อจัดการติงลั่ว อันที่จริงถือว่ามากเกินไปแล้ว”...นอกตัวอำเภอผิงอันจุดพักม้าลวี่เหลียงเจ๋อพาพ่อค้าอำเภอต
คนที่ตามหาเฉินฝานไม่ได้มีแค่ชาวอำเภอตูอัน ชาวอำเภอผิงอันก็ตามหาเขาเช่นเดียวกัน“เขาคงไม่ได้หนีไปแล้วกระมัง?”“ต้องหนีไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ ใต้เท้าหลูไม่น่าให้ปลัดอำเภอไปตามตัวเฉินฝานที่หมู่บ้านซานเหอตั้งแต่แรก”พ่อค้าอำเภอผิงอันกระซิบกระซาบคุยกัน แม้หลูเฉิงกวงได้ฟังแล้วจะโมโหมาก แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้หากรู้ว่าเฉินฝานไม่ยอมไปเอาป้ายห้อยเอว เขาไม่ยอมให้จางเจิ้งห้าวไปตามตัวเฉินฝานอย่างแน่นอน“อะไรนะ? เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด? เฉินฝานขายร้านนั้นไปแล้ว หลังจากนั้นซื้อที่ว่างทางทิศตะวันตกของหอนางโลมบุปผาสีชาด?” ติงลั่วถามบ่าวรับใช้ของตนเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อพลบค่ำ ในที่สุดก็มีข่าวคราวของเฉินฝานแล้วไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา ผู้ที่ทราบข่าวเฉินฝานเป็นคนแรกคือติงลั่วไม่รอบ่าวรับใช้ตอบคำถาม ติงลั่วรีบถามคำถามถัดไป “เขาได้บอกหรือไม่ว่าซื้อเพราะเหตุใด?”“คนของเราแอบได้ยินว่า เขาบอกกับภรรยา จะเปิดร้านที่นั่นขอรับ”หลังจากได้ยินรายงานของบ่าวรับใช้ เจี่ยงหงเหวินหัวเราะก่อนเป็นอันดับแรก เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปที่จุดพักม้า“ฮ่าๆ ที่ดินว่างทางทิศตะวันตกของหอนางโลมบุปผาสีชาด! พี่ติง เหตุใดท่า
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่