“ไม่มีใครยอมออกมาจริงๆหรือ?” หลูเฉิงกวงบังคับความโกรธไว้ในใจ น้ำเสียงนุ่มนวลความหมายของเขาชัดเจนมากแล้ว ขอเพียงแค่มีคนกล้าออกมาก็ใช้ได้แล้ว เขาไม่สนว่าผลแพ้ชนะสายตาของหลูเฉิงกวงผาดผ่านมวลหมู่พ่อค้าไปมาสามครั้งเต็มๆ ก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาเส้นเลือดบนหน้าผากหลูเฉิงกวงปูดขึ้น แววตาของเขาเริ่มดุร้าย “ได้ พวกเจ้าแต่ละคนไม่มีใครกล้าออกมาใช่ไหม!”พวกพ่อค้าตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าหายใจดัง ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่มีใครกล้ารับคำท้าลวี่เหลียงเจ๋อสีหน้าเยาะเย้ย “หลูเฉิงกวง ข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ทว่า... ” ลวี่เหลียงเจ๋อกางมือออกสองข้าง สีหน้าหยิ่งผยองหาสิ่งใดเปรียบมิได้ “ในอำเภอผิงอันของเจ้าไม่มีใครสามารถรับคำท้าได้ เฮ้อ น่าเหนื่อยใจ!”ลวี่เหลียงเจ๋อพูดจบ คิดไม่ถึงว่าจะไปนั่งบนตำแหน่งที่นั่งนายอำเภอของหลูเฉิงกวงตำแหน่งที่นั่งของนายอำเภอ นอกจากตัวนายอำเภอเองแล้ว มีเพียงขุนนางที่ยศสูงกว่านายอำเภอเท่านั้นถึงจะนั่งได้ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ปกติขุนนางที่มาถึงที่ ต่อให้ตำแหน่งสูงกว่านายอำเภอ เป็นการให้เกียรติก็จะไม่ไปนั่งตำแหน่งหลักทว่าไปนั่งตำแหน่งเสริมข้างๆแทนตอนนี้ลว
ผู้คนต่างพากันมองไปด้านนอกที่ว่าการ เห็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีม่วงอ่อน ก้าวเท้าเข้ามาอย่างมั่นคงเนื่องจากย้อนแสง ชายหนุ่มมายืนต่อหน้ามวลชน พวกเขาถึงจะใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจน“เฉินฝาน เป็นเจ้าได้อย่างไร?”ในน้ำเสียงที่ตกใจของมวลชน แฝงไปด้วยความรู้สึกจิตตกอันเข้มข้นเฉินฝานเรียนหนังสือเก่งกาจ และยังชนะบัณฑิตใหญ่เริ่นรุ่ยฟ่าน ทว่าเรียนหนังสือกับทำการค้าขายมันคนละเรื่องกันอย่าว่าแต่ในอำเภอผิงอันเลย ทั้งรัชสมัยต้าชิ่ง ก็ไม่เคยได้ยินว่าคนที่เรียนหนังสือเก่งค้าขายก็เก่งด้วย“เสี่ยวฝาน” หลูเฉิงกวงเดินไปอย่างมีความหวัง ปลัดอำเภอด้านหลังเฉินฝานส่ายหน้าให้หลูเฉิงกวง บอกใบ้ว่าเฉินฝานไม่ใส่ป้ายเงินมา“เจ้าเป็นใคร? ความหมายของเจ้าเมื่อครู่ คือเจ้าจะออกมาแข่งขันกับข้า?”เจี่ยงหงเหวินใช้สายตาสืบเสาะมองไปที่เฉินฝานในฐานะที่เป็นพ่อค้า คนอาชีพเดียวกัน เขาจำได้เกือบจะทุกคน ชายหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอ“นายท่านเจี่ยง หรือว่าท่านก็มีช่วงเวลาที่ตามข่าวสารไม่ทันด้วยสินะ เฉินฝานไง คนสอบอันแรกของการสอบระดับมณฑลอำเภอผิงอัน!”เมื่อคำพูดนี่ออกไป ศาลาที่ว่าที่เดิมทีก็ถือว่าเงียบงันก็เจี๊ย
“ข้าจะชดใช้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เจ้าต้องชดใช้แน่นอน”เฉินฝานเอามือไพล่หลัง รังสีความสง่างามและความดุดันแผ่ซ่านออกจากร่างกายของเขา มวลชนที่ยืนอยู่ต่างหน้าเขาไม่ต่างอะไรกับมดช่วงเวลาที่มองเหยียดหยามกัน น้ำเสียงอันสงบนิ่งดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่าพวกเจ้าจะค้าขายอะไร ไม่ต้องสามวันหรอก วันเดียวก็พอแล้ว รายได้จากการค้าขายของข้าก็จะเยอะกว่าของพวกเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่ข้าเปิดกิจการ พวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย!”“ฮ่าฮ่าฮ่า!”ในศาลที่ว่าการ เสียงหัวเราะราวกับน้ำที่ทะลักออกมา พวกพ่อค้าอำเภอตูอันพวกนั้นหลายคนหัวเราะจนท้องแข็งเหล่าพ่อค้าอำเภอผิงอันข้างกายเฉินฝานต่างพากันหันข้างปิดหน้าตัวเองเอาไว้คำพูดใหญ่โตไม่ละอายเช่นนี้ พูดออกมาโดยไม่ใช้สมองคิดขายขี้หน้าจัง ขายขี้หน้า“พวกเจ้าดูสิ เขาคงจะอ่านตำราเยอะเกินไป อ่านจนเอ๋อไปแล้ว!” ติงลั่วใช้สายตาห่วงใยคนพิกลพิการมองเฉินฝาน“คนบ้าต้องโดนยาแรงสิ!” รอยยิ้มเจี่ยงหงเหวินแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม “พี่ติง จัดการมันให้ตาย!”ติงลั่วยกมุมปากขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว!”“เจ้าหนุ่ม!” ติงลั่วหันหน้าไปหาเฉินฝาน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ค
ลวี่เหลียงเจ๋อส่งสายตาไปด้านข้าง คนข้างกายเขารับรู้เข้าใจได้ทันที รีบพาคนเดินไปขวางคนของจางเจิ้งห้าวที่จะพาเฉินฝานเดินออกไปนี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการกำจัดเฉินฝานให้อยู่หมัด เขาจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร“ใต้เท้าหลู เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อครู่อำเภอผิงอันของพวกเจ้าไม่มีใครออกมา เจ้าโมโห ตอนนี้มีคนออกมาแล้ว ทำไมถึงจะไล่คนออกไปอีกล่ะ”“ใช่แล้ว คนของใต้เท้าลวี่นำทรัพย์สมบัติมาให้ พวกเราจะไม่เอาได้อย่างไรกัน?”ช่วงเวลาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เสียงของเฉินฝานดังกังวานขึ้นกว่าเดิม “ผลแพ้ชนะ พูดปากเปล่าไม่มีผล ใช้ลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐาน!”“ได้สิ!” ลวี่เหลียงเจ๋อหันหน้าไปออกคำสั่งกับขุนนางด้านข้าง “ใช้ลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐาน เอากระดาษกับหมึกมา!”“เฉินฝานเอ๋ยเฉินฝาน เฮ้อ...” หลูเฉิงกวงหลับตาลงอย่างปวดใจพอหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรออกมา จักรพรรดิมาด้วยตนเองการประลองครั้งนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินไปการแข่งขันครั้งนี้ยังไม่ได้เริ่มเลย ข่าวที่คนที่ได้อันดับแรกในการสอบระดับมณฑลต้องคุกเข่าเลียฝ่าเท้าของพ่อค้าติงลั่ว ก็แพร่กระจายจนรู้ไปทั่วทั้งอำเภอผิงอัน ไม่เพียงแค่อำเภอผิงอันเท่านั้น
“เสี่ยวฝาน! เจ้าไม่มีประสบการณ์การบริหารทางการค้า อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ ร้านค้าของแม่เถียนเสี่ยวอวี่ เปิดขนาบข้างหอนางโลมอี๋ชุนย่วน ขนาดไม่ใหญ่ ขายจำเพาะพวกเครื่องแป้ง”ตอนได้ยินเฉินฝานบอกว่าเป็นร้านค้าขนาดย่อมสองร้าน แม้จางเจิ้งห้าวจะผิดหวัง แต่ก็อธิบายให้เฉินฝานฟังด้วยความใจเย็น“ลูกค้าส่วนมากเป็นสตรีชั้นต่ำของหอนางโลมอี๋ชุนย่วน รายได้ของสตรีชั้นต่ำจะมีเท่าใด ข้าไม่ต้องอธิบายเจ้าก็น่าจะกระจ่างดีกระมัง พวกนางไม่มีปัญญาซื้อเครื่องแป้งราคาแพง ดังนั้นร้านค้าทั้งสองร้านจึงขายเครื่องแป้งราคาถูก กำไรน้อยมาก”“แต่ว่า คนทั่วไป มีร้านค้าสองร้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แม้ชีวิตนี้ไม่ทำไร่ ไม่ทำงานหนัก ก็มีชีวิตที่ดีได้”จางเจิ้งห้าวพูดอ้อมค้อม ความจริงความหมายของเขาคือ ร้านค้าที่แม่ของเถียนเสี่ยวอวี่ยกให้เฉินฝาน สำหรับชาวบ้านอย่างเฉินฝานถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วแต่หากคิดที่จะเทียบกับติงลั่ว นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝันเฉินฝานพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ร้านค้าหนึ่งร้าน ใช้เพื่อจัดการติงลั่ว อันที่จริงถือว่ามากเกินไปแล้ว”...นอกตัวอำเภอผิงอันจุดพักม้าลวี่เหลียงเจ๋อพาพ่อค้าอำเภอต
คนที่ตามหาเฉินฝานไม่ได้มีแค่ชาวอำเภอตูอัน ชาวอำเภอผิงอันก็ตามหาเขาเช่นเดียวกัน“เขาคงไม่ได้หนีไปแล้วกระมัง?”“ต้องหนีไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ ใต้เท้าหลูไม่น่าให้ปลัดอำเภอไปตามตัวเฉินฝานที่หมู่บ้านซานเหอตั้งแต่แรก”พ่อค้าอำเภอผิงอันกระซิบกระซาบคุยกัน แม้หลูเฉิงกวงได้ฟังแล้วจะโมโหมาก แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้หากรู้ว่าเฉินฝานไม่ยอมไปเอาป้ายห้อยเอว เขาไม่ยอมให้จางเจิ้งห้าวไปตามตัวเฉินฝานอย่างแน่นอน“อะไรนะ? เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด? เฉินฝานขายร้านนั้นไปแล้ว หลังจากนั้นซื้อที่ว่างทางทิศตะวันตกของหอนางโลมบุปผาสีชาด?” ติงลั่วถามบ่าวรับใช้ของตนเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อพลบค่ำ ในที่สุดก็มีข่าวคราวของเฉินฝานแล้วไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา ผู้ที่ทราบข่าวเฉินฝานเป็นคนแรกคือติงลั่วไม่รอบ่าวรับใช้ตอบคำถาม ติงลั่วรีบถามคำถามถัดไป “เขาได้บอกหรือไม่ว่าซื้อเพราะเหตุใด?”“คนของเราแอบได้ยินว่า เขาบอกกับภรรยา จะเปิดร้านที่นั่นขอรับ”หลังจากได้ยินรายงานของบ่าวรับใช้ เจี่ยงหงเหวินหัวเราะก่อนเป็นอันดับแรก เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปที่จุดพักม้า“ฮ่าๆ ที่ดินว่างทางทิศตะวันตกของหอนางโลมบุปผาสีชาด! พี่ติง เหตุใดท่า
“ดื่มบ้าดื่มบออะไรล่ะ!” หลูเฉิงกวงโมโหถึงขั้นสบถหยาบ “เจ้าดูสภาพข้าตอนนี้มีอารมณ์ดื่มน้ำชาหรือ? สามร้อยตำลึง! เจ้าขายร้านไปหนึ่งร้าน แล้วหันไปซื้อที่ดินเปล่านอกเมืองข้างหอนางโลมบุปผาสีชาดเนี่ยนะ? เจ้าบอกว่าใช้ร้านค้าหนึ่งร้านเอาชนะติงลั่วได้ แท้จริงแล้วเอาชนะเช่นนี้หรือ!”หลูเฉิงกวงพูดจบ มือเท้าเอว โมโหจนหน้าแดงก่ำ“ใต้เท้า ท่านอย่าโมโห โมโหแล้วเสียสุขภาพจะแย่เอา นั่งลงจิบน้ำชาก่อนขอรับ”เฉินฝานยังคงพูดอย่างยิ้มแย้มแต่ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หลูเฉิงกวงก็ไม่สนใจเขา พ่อค้าที่อยู่ด้านหลังหลูเฉิงกวงก็มองเขาด้วยแววตาเย็นชาเช่นเดียวกัน“เสี่ยวฝาน!” สุดท้ายปลัดอำเภอจางเจิ้งห้าวเป็นคนทำลายความตึงเครียด “ไม่พูดเรื่องแข่งขัน เจ้าขายร้านค้าในราคาสามร้อยตำลึงถูกเกินไปแล้ว”“ร้านนั้นอยู่ใกล้หอนางโลมอี๋ชุน สามร้อยตำลึงไม่ใช่แค่ถูกเกินไป แม้หนึ่งพันตำลึงก็ไม่สมควรขาย!”“เฮ้อ หนอนหนังสือคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นหนอนหนังสือยากจน จะเข้าใจอะไร ในสายตาของเขาเงินสามร้อยตำลึงมีค่ามากกระมัง”พวกพ่อค้าต่างพากันตำหนิเฉินฝาน“ใต้เท้าหลู ใต้เท้าจาง!” เฉินฝานยกน้ำชาให้ทั้งสองอีกครั้ง พูดด้วยรอยยิ้ม “ดื่มน้ำชาก่
เขาจะเปิดร้านบนที่ดินหลุมกว้างข้างหอนางโลมบุปผาสีชาด หากไม่ใช่หลุมกว้างเขาก็ไม่มีทางเปิดเพราะว่า...นั่นเป็น ‘ฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์’ ของการเปิดร้านค้า!“ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าหลูและใต้เท้าจางพูดถูก เหตุใดนายท่านจึงดื้อรั้นเช่นนี้เจ้าคะ? ขายร้านของน้าหลิวทิ้ง! ทั้งยังซื้อที่ดินข้างหอนางโลมบุปผาสีชาดมาเปิดร้านค้า”หลังจากพวกหลูเฉิงกวงออกไป ฉินเย่ว์เจียวเริ่มบ่นเฉินฝานนั่งพิงเก้าอี้ข้างหน้าต่าง วางตำราในมือลง ก้มหน้ามองข้างเท้าของตนเอง ฉินเย่ว์โหรวที่กำลังทุบขาให้เขา“เย่ว์โหรว”“เจ้าค่ะนายท่าน น้ำหนักมือไม่ดีหรือเจ้าคะ?” ฉินเย่ว์โหรวเงยหน้าขึ้น ถามเฉินฝานด้วยความอ่อนโยน“เปล่า น้ำหนักกำลังดี”“เช่นนั้น...” ดวงตากลมโตราวกับดวงดาของฉินเย่ว์โหรว อ่อนโยนดุจสายน้ำ “มีอะไรจะรับสั่งหรือเจ้าคะ?”“เปล่า ข้าเพียงอยากถาม เหตุใดเจ้าจึงไม่บ่นขา?”ในยามปกติเขาเพียงซื้อผ้า ซื้อเนื้อมากเกินความเจ็บเป็นเล็กน้อย ฉินเย่ว์โหรวบ่นครึ่งค่อนวัน เหตุใดวันนี้จึงเงียบเช่นนี้ตอนเขาบอกว่าจะขายร้าน นางเพียงมองเขาด้วยสายตาตกใจปราดหนึ่งเท่านั้น แค่เท่านั้นจริงๆ“หากข้าน้อยพร่ำบ่น นายท่านจะไม่ขายร้านและไม่ซื้
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ