หรือว่าทายาทผู้สูงศักดิ์ของตระกูลเฉินที่นักพรตวัดซานชิงกวนกล่าวถึง......คือเฉินฝาน!!!หากเป็นเช่นนั้นจริง…...อาจารย์เฉียนพยักหน้าเงียบ ๆสิ่งที่นักพรตวัดซานชิงกวนพูดอาจเป็นเรื่องจริงเขาเป็นอาจารย์มาหลายปี ได้พบผู้คนนับไม่ถ้วนแม้ว่าเฉินเจียงเป็นคนฉลาด การเรียนก็ดี แต่เขาไม่เห็นด้วย หากกล่าวว่าเขาเป็นทายาทผู้สูงศักดิ์ท้ายที่สุดแล้ว ในตัวของเฉินเจียงยังขาดคุณสมบัติบางอย่าง……ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขา ไม่มีรายการบันเทิง การนินทาจึงกลายเป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียวในหมู่บ้านกลอนคู่ของเฉินฝานแพร่กระจายจากสถานศึกษาออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งชั่วโมง ทุกคนในหมู่บ้านก็รู้เรื่องนี้ยกเว้นครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มของเฉียนลิ่วที่ช่วยเฉินฝานจับปลา ส่วนคนอื่น ๆ ต่างหัวเราะเยาะเขาฉินเย่ว์เจียวและฉินเย่ว์ฉู่ที่รอเฉินฝานอยู่นอกสถานศึกษา กลายเป็นเป้าหมายของการเยาะเย้ยไปด้วยพวกนางถูกภรรยาของนักเรียนเหล่านั้นชี้และเย้ยหยัน“นายท่าน!”เมื่อเฉินฝานเดินออกจากสถานศึกษา ฉินเย่ว์เจียวก็วิ่งเข้าไปและรับตะกร้าไผ่ในมือของเขาระหว่างทางกลับเรือน ฉินเย่ว์เจียวกับฉินเย่ว์ฉู่ไม่พูดสักคำ พ
“หากกล่าวเช่นนี้ พี่สี่ไม่ได้โกรธนายท่านที่เขียนไปเรื่อยจริง ๆ”“ข้าโกรธทำไม? นายท่านเขียนเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา”“ไม่โกรธจริงนะ? ตามข้อกำหนดของอาจารย์ กลอนคู่บทนั้นต้องติดไว้ที่ประตูเรือนของเรา”“ข้าจะโกรธจริง ๆ ก็เมื่อนายท่านไม่ติดเจ้าค่ะ” ฉินเย่ว์โหรวไม่เพียงแต่เสียงเบา แต่ยังรู้สึกตัวลอยเห็นได้ว่าบทกลอนที่เฉินฝานเขียนทำให้นางมีความสุขมากแม้ว่าฉินเย่ว์โหรวไม่เข้าใจว่า นักเช่าเรือน โสดไร้คู่คือสิ่งใด แต่ตัวอักษรภรรยางามสง่า สุขสมานเหล่านี้ นางเข้าใจ”เฉินฝานแสดงความรู้สึกว่าเขามีความสุขมากที่มีพี่น้องอย่างพวกนาง และนี่เป็นการแสดงความรักของเฉินฝานที่มีต่อพวกนางด้วยเขายืนกรานที่จะติดกลอนนี้ไว้ที่ประตู ก็เพื่อต้องการแสดงความรักของเขาให้ทุกคนได้เห็นนายท่านของตนเองแสดงความรักต่อพวกนางอย่างโอ้อวดเช่นนี้ยังเกือบมีความสุขไม่ทัน แล้วเหตุใดจึงต้องโกรธด้วยเล่า?เฉินฝานที่นั่งอยู่ในห้อง ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉินเย่ว์โหรวกับฉินเย่ว์ฉู่เสร็จ หัวอกที่สั่นขวัญแขวนเย็นลงเสียทีนอกจากนี้ยังทำให้เขามองฉินเย่ว์โหรวในมุมมองที่เปลี่ยนไปมีผู้คนอยู่มากมาย แต่มีนางคนเดียวที่เข้าใจกลอนคู่ขอ
สำนักบัณฑิตหลี่เซียงออกตัวอย่างข้อสอบทุกปี ข้อสอบข้างในมักตรงตามข้อสอบจริงของทุกปี แม้สอบไม่ผ่าน แต่ประเภทคำถามก็ใกล้เคียงกันมากกล่าวได้ว่า ผู้มีตัวอย่างข้อสอบของสำนักบัณฑิตหลี่เซียงนั้นดั่งเสือติดปีก[footnoteRef:1] [1: เสือติดปีก หมายถึง มีอำนาจเก่งกล้าอยู่แล้ว เสริมความสามารถให้มากขึ้น] นักเรียนทั่วทั้งรัชสมัยต้าชิ่งต่างก็แย่งชิงตัวอย่างข้อสอบของสำนักบัณฑิตหลี่เซียง แต่โดยทั่วไปแล้วสำนักบัณฑิตจะมอบให้กับนักเรียนในสำนักบัณฑิตศึกษาของตนเองเท่านั้นในทุก ๆ ปีสถานศึกษารับนักเรียนเพียงยี่สิบคน ที่สำคัญรับเฉพาะผู้มีวาสนาต่อกันเท่านั้นต่อให้มีอำนาจมีกำลัง แต่หากผู้อำนวยการสถานศึกษารู้สึกว่าไร้วาสนาต่อกัน เขาจะปฏิเสธไม่ให้เสียเวลาทันที“ใช่ แต่พี่สาวของเจ้าบอกว่าเป็นสำเนา ไม่ใช่ต้นฉบับ”“สำเนาก็ได้ขอรับท่านพ่อ ให้ท่านพี่รีบส่งกลับมาเถอะ ไม่!” เฉินเจียงส่ายหัวทันที“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ให้คนส่งสารบอกพี่สาวว่าข้าต้องการได้รับวันพรุ่งนี้ให้นางกลับมาพรุ่งนี้นะขอรับ”คำพูดของเฉินเจียงไม่ใช่การส่งสาร แต่เป็นคำสั่งตั้งแต่เล็กจนโต เฉินเจียงปฏิบัติต่อพี่สาวของเขาเหมือนคนใช้ที่มาหาเมื่อบอกใ
ทุก ๆ ปีใหม่ บางครอบครัวมีความสุข บางครอบครัวมีความเศร้าเพราะไม่ใช่ทุกครอบครัวจะได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ดีหลังทำงานหนักมาทั้งปีนี่ก็คืออะไร คือเมื่อยังเป็นเด็กทุกคนตั้งตารอเทศกาลปีใหม่มาก แต่เมื่ออายุมากขึ้นกลับยิ่งชอบเทศกาลปีใหม่น้อยลงเท่านั้นเพราะการผ่านพ้นปลายปีเป็นเรื่องยากตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ไว้ต้นปี ปีใหม่นี้ต้องเก็บเงินได้ให้มากเท่าไหร่ ทำสิ่งสำคัญ/ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตให้สำเร็จแต่ทว่าคนส่วนใหญ่ประเมินกำลังของตนสูงเกินไปและประเมินความโหดร้ายของเวลาน้อยไปเวลาจะไม่หยุดเพื่อเจ้าเพียงเพราะเจ้ายากจนไม่ว่าตื่นเช้าหรือกลับดึกแค่ไหน มันจะหมุนดั่งลูกข่าง แต่ชีวิตกลับไม่มีการพัฒนาและยังคงดิ้นรนอย่างทุกข์ยากหลังจากทำงานหนักมาทั้งปี เมื่อมองย้อนกลับไปกลับพบว่าไม่มีสิ่งใดเป็นของตนเองสักอย่างอย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านซานเหอในปีนี้แตกต่างไปจากปีก่อนมากไม่ใช่บางคนมีความสุขและบางคนโศกเศร้า แต่ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุขสมยินดีการมาของเฉินฝาน ทำให้หมู่บ้านซานเหอเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สิบกว่าครอบครัวที่ยากจนที่สุด ล้วนได้รับการช่วยเหลือจนขึ้นมาอยู่ระดับ
วันที่สองหลังจากสถานศึกษาหยุดสอนหลังจากฝึกคัดลายมือครึ่งค่อนวันจนรู้สึกปวดหลัง เฉินฝานจึงวางพู่กันในมือแล้วเดินออกไปยืดกล้ามเนื้อที่ลานเขามาถึงลานไม่นาน เฉินฝานก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างเรือนคงมีคนส่งของไปที่เรือนของเฉินเจียงดั่งเคยกลอนคู่ของเฉินเจียงได้รับการชื่นชมอย่างสูงจากอาจารย์เฉียนถูกแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่งพร้อมกับกลอนคู่ของเฉินฝานในขณะที่ทุกคนหัวเราะเยาะเฉินฝาน พวกเขาก็ยกย่องเฉินเจียงและเชื่อมั่นว่าเฉินเจียงจะสอบผ่านในอนาคตคนที่มอบของขวัญให้กับเฉินเจียง มีจำนวนมากมายไม่สิ้นสุดเช่นเคย“ท่านป้ากลับมาแล้ว ๆ!”เสียงไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของหยวนเป่าลูกชายคนโตของเฉินเจียงดังขึ้น และดึงดูดความสนใจของเฉินฝานที่กำลังกลับเข้าห้อง จนต้องหยุดฝีเท้าลงได้อย่างสำเร็จท่านป้า?ท่านป้าของหยวนเป่า ก็เป็นป้าของเขาด้วย?หญิงสาวร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยและสง่างามท่าทางใจดี ปรากฏขึ้นในความทรงจำของเฉินฝานในความทรงจำอันเลือนรางผู้หญิงที่เรียกว่าท่านป้าคนนั้น ทุกครั้งที่ปรากฏต่อหน้าเจ้าของร่างเดิม แตกต่างสิ้นเชิงกับเฉินฝู เฉินเจียงและคนอื่น ๆ ที่มีแต่ความรังเก
เมื่อเฉินฝานรู้สึกตัว ก็พบว่าใบหน้าของตนเองเปียกชุ่มเมื่อครู่นี้ น้ำตาของเขาไหลเจ้าของร่างเดิมเริ่มดูถูกตัวเองหลังจากที่เฉินจินเซียงออกเรือนตอนที่เขายังไม่ได้เดินทางข้ามเวลามา ทุกครั้งที่เฉินจินเซียงกลับมาเรือนพ่อแม่ เจ้าของร่างเดิมจะหลบหน้านางเสมอเขารู้ว่าทำเช่นนั้นไม่ดี เขากลัวว่าเฉินจินเซียงจะผิดหวังในตัวเขาเพราะเมื่อก่อนเฉินฝานก็หลบหน้าเฉินจินเซียงทุกครั้งครั้งนี้เมื่อเฉินจินเซียงกลับมา เฉินฝูก็เรียกแต่เฉินผิง ไม่เรียกเฉินฝานลูกสาวที่ออกเรือนแล้ว ไม่สามารถค้างคืนกับครอบครัวฝ่ายหญิงได้หลังจากกินอาหารเช้าที่เรือนของเฉินเจียงเสร็จ เฉินจินเซียงก็เตรียมกลับเรือนสามีทันทีครั้งนี้เฉินจินเซียงทำตัวผิดปกติเล็กน้อย นางถือของถุงใหญ่เดินเข้าไปในเรือนของเฉินฝานโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเฉินฝูกับเฉินเจียงเฉินจินเซียงยืนอยู่หน้าเรือนของเฉินฝาน มองดูเรือนใหม่เอี่ยมหลังนี้ นางพลอยตื่นเต้นมากจนร้องไห้และกล่าวพึมพำไม่หยุด“เป็นเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้โกหกข้า ฝานเอ๋อร์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้วจริง ๆ”ฉินเย่ว์เจียวกับฉินเย่ว์โหรวรีบเดินออกไปต้อนรับและเชิญเฉินจินเซียงเข้
“นายท่าน จะไปไหนเจ้าคะ?”ฉินเย่ว์โหรวตามออกมาจากในห้อง“นายท่าน” ฉินเย่ว์เจียวที่กำลังสับฟืนอยู่ตรงลาน หยุดเฉินฝาน“อ่อใช่!”เฉินฝานใช้โอกาสนี้ดึงฉินเย่ว์เจียว “เย่ว์เจียว เจ้าไปกับข้า”“ไปที่ไหนเจ้าคะ?”“ด้านหลังของภูเขา”“ไปทำอะไรที่นั่นเจ้าคะ?”“ข้าไม่รู้เหมือนกัน แค่ตามข้ามา” เฉินฝานหวังว่าเขาคิดผิดหลังจากนั้นไม่นาน เฉินฝานกับฉินเย่ว์เจียวก็มาถึงทางแยกทางหนึ่ง“นายท่าน ตอนนี้พวกเราไปทางไหนเจ้าคะ?”เฉินฝานเงยหน้าขึ้นมองข้างหน้าทางแยกทั้งสองทาง ล้วนเป็นทางที่ทะลุไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้าน ทางหนึ่งมุ่งหน้าไปตะวันออกและอีกทางหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันตก“ที่ที่ข้าตกลงไปในหุบเขา อยู่ทางไหน? พาข้าไปที่นั่นเร็ว!”“นายท่าน เราไปที่นั่นทำไมเจ้าคะ?”“อย่าเพิ่งถาม พาข้าไปที่นั่นเร็วเข้า!”แม้แต่เฉินฝานก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากไปที่นั่นมันเป็นสัญชาตญาณ“นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?” ฉินเย่ว์เจียวพลันหยุดเดินและมองเฉินฝานอย่างประหลาดใจทำไมเขาถึงอยากไปที่นั่น?อยากตกลงไปอีกครั้ง?หากครั้งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วกลายเป็นคนแบบเมื่อก่อน ควรทำอย่างไร?เฉินฝานคนเก่า......
เฉินจินเซียงยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่มีท่าทีจะฟื้นแต่อย่างใดเฉินฝานคอยเฝ้าอยู่ข้างกายของเฉินจินเซียงตลอดชีพจรของนางเต้นอย่างรุนแรง ลมหายใจสม่ำเสมอ น่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรง หากนางผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ก็คงจะฟื้นในที่สุด“เย่ว์เจียว เย่ว์โหรว คืนนี้พวกเจ้าสองคนนอนเป็นเพื่อนท่านอานะ”เฉินฝานกลัวว่าเฉินจินเซียงจะฟื้นขึ้นมากลางดึกแล้วจะฆ่าตัวตายอีกฉินเย่ว์เจียวมีไหวพริบดี นางขัดขวางไม่ให้เฉินจินเซียงทำเรื่องโง่ ๆ ได้แต่นิสัยของฉินเย่ว์เจียวเป็นคนหัวร้อนและบุ่มบ่าม ปลอบคนไม่เป็นและโน้มน้าวใจคนไม่เป็นหากเฉินจินเซียงยังรั้นจะฆ่าตัวตาย ด้วยนิสัยของฉินเย่ว์เจียว นางคงจะใช้กำลังทำให้อีกฝ่ายสลบนางไม่เคยผ่านการฝึกฝน ฝีมือของนางไม่หนักไม่เบาฉินเย่ว์โหรวนั้นแตกต่างจากฉินเย่ว์เจียว นางมีนิสัยอ่อนโยนและละเอียดรอบคอบ น้ำเสียงของนางเบาเล็กและไพเราะน่าฟัง เขาจึงให้นางมาช่วยปลอบประโลมเฉินจินเซียง เหมาะสมที่สุดแล้ว “ข้าก็อยากอยู่กับท่านอาเหมือนกัน”เฉินฝานยังไม่ตอบตกลง ฉินเย่ว์ฉู่ก็รีบปีนขึ้นมาบนเตียงแล้ว“ก็ได้! “ฉินเย่ว์ฉู่ไม่เอ่ย เฉินฝานก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้วบุตรสาวคนโตของฉิน
ลักพาตัวอ๋องแคว้นจ้าวต่อหน้าต่อตาองครักษ์หนึ่งหมื่นกว่าคน และยังสามารถทำให้เขายอมถอยทัพแต่โดยดี จะต้องมิใช่การประเมินศัตรูต่ำไปเพียงอย่างเดียวแน่นอนใต้เท้าด้านนอกผู้นั้นจะต้องมีวรยุทธ์และสติปัญญาเหนือมนุษย์เป็นแน่ได้ยินว่า เขามีสิ่งของที่เป็นเหล็กปลายแหลมสามารถโจมตีได้ น่าหวาดกลัวอย่างมาก สามารถต่อกรกับศัตรูจำนวนมหาศาลได้ด้วยตัวคนเดียวดังนั้น เฉินฝานต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงมาเยือนต่อให้มิมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ ทว่าพวกเขาก็ต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถถอยกลับได้อย่างปลอดภัยแน่นอนหากล่าถอยไปแล้วกลับมาอีกครั้ง คงจะมิได้มีเพียงสองคน แต่เป็นกองกำลังจำนวนมหาศาลพื้นที่ธารน้ำอันคับแคบจะสามารถต่อต้านกองกำลังมหาศาลได้อย่างไร?“เสี่ยวฝาน เจ้าดูสิ!”อ๋องตวนตะโกนด้วยความตื่นตกใจทันที เขาชี้ไปร่างเงาตรงโพรงหญ้า “โจรป่าเหล่านั้นออกมาแล้ว และยังมาจำนวนมหาศาลอีกด้วย ตอนนี้น่าจะประมาณหนึ่งพันคน”“ฮี่ ๆ ๆ!”อ๋องตวนฉีกยิ้ม มองเฉินฝานด้วยความนับถือ“เสี่ยวฝาน เจ้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ เจ้าบอกว่าขอแค่พวกเราสองคนมา โจรป่าจะต้องออกมาแน่นอน”“มิใช่ว่าข้าคาดการณ์ได้ดั่งเทพ นี่คือจิตวิทยา” เฉิน
ผู้ที่เสนอตัวขอออกรบก่อนคือ หัวหน้าสามกั้วเจียงหลงชื่อที่โหดเหี้ยมปานนี้ มิใช่เพราะเขาเก่งกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะตอนยังเด็กเขาซุกซนจนถูกแม่ไล่ตี ตอนที่หน้าสิ่วหน้าขวาน จึงกระโดดลงแม่น้ำว่ายไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหนีแม่ของตนเองจึงเป็นที่มาของชื่อกั้วเจียงหลง“ออกไปรบงั้นรึ? กำจัดพวกเขาให้สิ้นซากรึ?” หัวหน้าใหญ่เหอหรันถีบกั้วเจียงหลงด้วยความโมโหทันที “เจ้าเก่งกว่ากองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวรึ?”“หัวหน้าใหญ่ ข้าคิดว่าเจ้าระแวงเกินไป หัวหน้าสามพูดถูก ควรจะออกไปสู้!”เสียงเคร่งขรึมดูมีอายุดังขึ้น ชายชราผมหงอกทั้งหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก“ท่านอาจารย์!”เมื่อเห็นชายชราผู้นั้น เหอหรันรีบทำมือเคารพอย่างลนลาน คนอื่นก็พากันทำตามเมื่อชายชราเห็นด้วย กั้วเจียงหลงจึงเงยหน้าทันที “หัวหน้าใหญ่ ท่านอาจารย์ยังคิดว่าท่านระแวงเกินไป พวกเรามิได้เป็นแบบกองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าวเสียหน่อย”กั้วเจียงหลงพูดจบ ชายชรารีบพูดต่อทันที “หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าสามพูดถูกแล้ว พวกเรามิใช่กองกำลังรักษาพระองค์แคว้นจ้าว สาเหตุที่พวกเขาพ่ายแพ้เพราะประเมินศัตรูต่ำและอวดดีเกินไป ตอนนี้ผู้ที่อวดดีและประเมินศัตรูต่ำ
“ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องออกจากเมืองไปแล้ว พวกเขาไม่ได้กลับเมืองหลวง แต่ว่ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้าเฮยแล้วขอรับ!”พื้นที่ต้าเฮยก็คือรังของพวกโจร“เช่นนั้นพวกเราก็รีบตามไป ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ๋องให้หลี่ฉวินไปด้วยหรือไม่”หลี่ฉวินเป็นนายกองพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวง เป็นแม่ทัพของกองทัพพิทักษ์เมืองเฟิ่งหวงเมืองเฟิ่งหวงเป็นเพียงเมืองป้อมปราการภายใต้เมืองเหอตู ไม่ควรมีนายกอง แต่เนื่องจากเมืองเฟิ่งหวงอยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงมีกองทัพพิทักษ์เมือง มีนายกองเช่นกันเพียงแต่ว่าต้าชิ่งขาดแคลนชายฉกรรจ์ เมืองป้อมปราการติดชายแดนที่ยากจนข้นแค้นอย่างเมืองเฟิ่งหวงยิ่งมีชายฉกรรจ์น้อยลงไปอีก กอปรกับก่อนหน้านี้ต่อสู้ต้านทานกองทหารของแคว้นจ้าว ตอนนี้กำลังพลในมือหลี่ฉวินจึงมีไม่ถึงสามร้อยนายเหอจื้อเฟยวิ่งกลับไปที่ห้องหยิบรองเท้าของตนขึ้นมา สวมพลางเดินออกไป “พวกเราก็รีบตามไปด้วย!” “ใต้เท้า!” เวลานี้เองหลี่ฉวินก็มาถึงแล้วเช่นกัน“หลี่ฉวิน?” เหอจื้อเฟยมองหลี่ฉวินด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าควรไปที่พื้นที่ต้าเฮยกับท่านอัครเสนาบดีมิใช่หรือ?”“ใต้เท้า ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอ
สิ่งปลูกสร้างที่ดีที่สุดในเมืองกลับเป็นราชนิเวศน์ที่ฮ่องเต้จ้าวพำนักก่อนหน้านี้ ราชนิเวศน์นั้นยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาหลังจากที่แคว้นจ้าวยึดครองเมืองเฟิ่งหวงอีกด้วยก่อนหน้านี้เฉินฝานรู้สึกว่าการได้เป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายนั้นเก่งกาจมากแล้ว มีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่เสิ่นหมิงหยวนก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ตามใจชอบตอนนี้เขาถึงค่อยรู้สึกว่ายิ่งมีอำนาจบนตัวมาก ภาระบนบ่าก็ยิ่งหนักมากต้าชิ่งยังคงยากจนข้นแค้นมากเมื่อเห็นเฉินฝานอารมณ์หดหู่มากถึงเพียงนั้น อ๋องตวนก็ไม่กล้าลากเขาไปดื่มเหล้าทายตัวเลขแล้ว เขาอยู่ทางด้านข้าง แม้แต่เสียงดื่มเหล้าก็ยังเบามาก“เฮ้อ นี่มันปัญหาใหญ่จริง ๆ!”อ๋องตวนที่ดื่มจนเมากรึ่มแล้ววางไหเหล้าลงข้าง ๆ พิงกำแพงเมืองอย่างเอียงเอน“เสี่ยวฝาน เจ้าคิดว่าโจรพวกนี้ยังควรจะปราบหรือไม่?”“โจรย่อมต้องถูกปราบอยู่แล้ว!” เฉินฝานเอ่ยอย่างหนักแน่น“แล้วบุตรชายของเหอจื้อเฟยจะจัดการอย่างไร? เขาถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เป็นหัวหน้าโจรที่ดื้อรั้นเสียแล้ว”“เหอจื้อเฟยฆ่าบุตรชายกับมือไปแล้วหนึ่งคน หากสังหารอีกคน ดูเหมือนว่า...”อ๋องตวนยกไหเหล้าจากทางด้านข้างขึ้นมากรอกอีกคำแล้วค่อ
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเหอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง“ความเมตตาของสวรรค์ก็ไม่อาจทนต่อความโหดร้ายในโลกนี้ได้ ตอนที่ลูกชายของข้าออกไปปราบโจรครั้งที่ห้า โจรพวกนั้นฉวยโอกาสบุกเข้ามาในเมือง และเอาหลานชายฝาแฝดที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานของข้า...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเหอก็สะอื้นไม่หยุด ริมฝีปากอ้าอยู่หลายครั้งแต่ก็พูดไม่ออก“หลานชายฝาแฝดของเจ้าถูกโจรพวกนั้นฆ่าไปแล้วหรือ?”อ๋องตวนถามขึ้น ความจริงไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าตอบ อ๋องตวนก็นึกคำตอบได้แล้ว เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วส่งเสียงดังกร๊อบ“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องสังหารหัวหน้าโจรเหล่านั้นให้หมดอย่างแน่นอน!”“ท่านอ๋อง!”ฮูหยินผู้เฒ่าเหอคุกเข่าลงอีกครั้ง “ทหารแคว้นจ้าวถูกขับไล่ไปแล้ว ขอร้องท่านกลับไปยังเมืองหลวงเสียเถิด”“หญิงชราผู้นี้เป็นอะไรไป?” อ๋องตวนโกรธจัดจนเต้นเร่า ๆ แล้ว“พวกเจ้าบอกว่าโจรส่วนมากล้วนเป็นลูกชายของชาวบ้านเหล่านี้ ข้าจะไม่ฆ่าโจรทั่วไป จะฆ่าแค่หัวหน้าของพวกมันก็ไม่ได้หรือ?”“ท่านอ๋อง!” เฉินฝานดึงอ๋องตวนไว้"ผู้อาวุโส" เฉินฝานก้มตัวประคองนางเหอให้ลุกขึ้นมา“โจรให้หลานชายฝาแฝดของพวกท่านเป็นหัวหน้าแล้วใช่
“พวกสตรีชั่วช้าอยากจะฆ่าอัครเสนาบดีก็เหมือนก่อกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้ายังจะขอร้องแทนพวกนางอีกหรือ?”อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยด้วยความเดือดดาลเหอจื้อเฟยคลานขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานต่อเพื่อขอร้องแทนสตรีเหล่านั้น “พวกนางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ลูกชายของพวกนางล้วนอยู่ในกำมือของโจรพวกนั้น หลายคนถูกจับตัวไปตั้งแต่ที่ยังเด็กมาก ๆ พวกเขากลายเป็นโจรก็เพราะถูกบีบบังคับ”“เพราะว่าหากพวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมฝึกฝนกลายเป็นโจร หัวหน้าโจรเหล่านั้นก็จะสังหารมารดาของพวกเขาแทน”เหอจื้อเฟยเอ่ยคำพูดสองประโยคนี้ก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นทั่วบริเวณแม้ว่าเฉินฝานจะคาดเดาคำตอบได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินเองกับหูถึงสิ่งที่เหอจื้อเฟยพูดออกมา เขาก็ยังรู้สึกสะเทือนใจมาก แม่กลัวลูกต้องตาย จึงห้ามไม่ให้ทางการส่งทหารออกไปปราบโจรลูกกลัวแม่ต้องตาย จึงฝึกฝนสุดชีวิตเพื่อเป็นโจรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต้องยอมรับว่าหัวหน้าโจรพวกนั้นเฉลียวฉลาดมาก“นั่นเป็นเพราะเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่!” อ๋องตวนเตะเหอจื้อเฟยอีกครั้ง “หากเจ้าส่งคนไปกำจัดโจรพวกนี้ตั้งแต่แรก จะมีผลที่ตามมาเยอะถึงเพียงนี้หรือ?”ทันทีที่อ๋องตวนพูดจบก็มีสตรีผู้หนึ่งออก
“เมื่อครู่ข้าได้ยินชัดเจนว่าเจ้าแค่สั่งให้เหอจื้อเฟยไปปราบโจรเท่านั้น เหตุใดถึงไปทำร้ายลูกของพวกเขา...”อ๋องตวนพลันหยุดชะงัก“โจร?!” อ๋องตวนร้องอุทานขึ้นมา “หรือว่าโจรพวกนั้นก็คือลูกชายของพวกนาง?”“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วน” เฉินฝานพยักหน้าเช่นกัน“พวกเขาไม่ใช่โจรร้าย ขุนนางใหญ่สูงส่งอย่างพวกท่านจะไปเข้าใจอะไร?” บทสนทนาระหว่างอ๋องตวนกับเฉินฝานทำให้สตรีเหล่านั้นอารมณ์ร้อนมาก แต่ละคนเหมือนกับไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่ปาน ผลักดันเบียดเสียดกันห้อมล้อมนักการในศาลาว่าการข้างกายเฉินฝานกับอ๋องตวนไว้ เมื่อเห็นว่าผลักไม่ได้แล้ว ก็ใช้มีดหั่นผักในมือฟันใส่ทันที“เพล้ง!”อ๋องตวนโยนไหเหล้าในมือลงกับพื้น“พวกสตรีชั่วช้า พอพยัคฆ์ไม่แสดงบารมี พวกเจ้าก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยใช่หรือไม่?” พวกนางคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยหรืออย่างไร? ถ้าเสือไม่คำราม พวกเจ้าไม่เห็นรัศมีหรืออย่างไร?”อ๋องตวนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตะสตรีหลายคนจนกระเด็นไปทันทีอย่างไรก็ตามแม้สตรีหลายคนจะถูกถีบกระเด็น แต่ก็ไม่เกิดผลให้หวาดกลัวใด ๆ เลย สตรีเหล่านั้นกลับฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น ปากตะโกนว่าจะให้พวกเฉินฝานตายไปพร้อมกั
หญิงชราวัยประมาณหกสิบปีผู้หนึ่งขวางหน้าเหอจื้อเฟยไว้“ท่านแม่ ลูกต้องไปทำงาน ท่านอย่าขัดขวางลูกเลย” เหอจื้อเฟยเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจคนที่ยืนขวางเหอจื้อเฟยไม่ให้เหอจื้อเฟยไปทำร้ายโจร ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมารดาของเขาเองนางเหอเหลือบมองดาบในมือของเหอจื้อเฟยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “งานของเจ้าอยู่ในที่ว่าการไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นขุนนาง ไม่อยู่ในที่ว่าการ ถือดาบวิ่งออกมา นี่จะไปทำสิ่งใด? เจ้าเป็นเพชฌฆาตหรือไร? เจ้าเป็นคนฆ่าสัตว์หรือไร?”“ท่านแม่ ลูกมีงานราชการเร่งด่วนจริง ๆ ใครก็ได้!”เหอจื้อเฟยพูดพลางหันหน้าไปสั่งนักการในศาลาว่าการที่อยู่ข้างหลังเสียงดัง “พาฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวน!” “ใครกล้าแตะต้องข้า!”นางเหอหยิบกรรไกรออกมาทันที แล้วชี้ไปยังนักการในศาลาว่าการที่เดินมาหานางหลังจากที่นักการในศาลาว่าการหยุดเดินไม่กล้าเดินข้างหน้า นางเหอก็ใช้กรรไกรจ่อคอตัวเองทันที“เหอจื้อเฟย เจ้าอย่าคิดว่าแม่แก่แล้วหูตาฟ้าฟาง ไม่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ใด หากเจ้าไปสังหารโจรก็สังหารแม่ก่อน หลังจากนั้นค่อยข้ามศพของแม่ไป”“ท่านแม่ นี่ท่านทำอะไร?” ใบหน้าของเหอจื้อเฟยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอับจนปัญญาอ๋องตวนถ
โจรเข้ามาในเมืองกันหมดแล้ว แต่เหอจื้อเฟยกลับทำเป็นไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเมื่อครู่สตรีวัยกลางคนยังบอกว่าเหอจื้อเฟยเป็นขุนนางที่ดี หรือว่าจะไม่กล้าพูดความจริงเฉินฝานบอกลาครอบครัวของสตรีวัยกลางคน แล้วรีบรุดไปยังที่ว่าการเมืองเฟิ่งหวงด้านนอกศาลาว่าการ เฉินฝานยังจงใจมองรอบหนึ่ง มีชายหลายคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่ด้านนอกศาลาว่าการจริง ๆ ดวงตาชำเลืองมองศาลาว่าการของเมืองเฟิ่งหวงเป็นครั้งคราวสายตาของชายเหล่านั้นดูอำมหิตดุดัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาพวกเขาน่าจะเป็นโจรที่สตรีวัยกลางคนพูดถึงโจรป่าคอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูที่ว่าการช่างอุกอาจนัก!เฉินฝานสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปในที่ว่าการ“ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย!”เมื่อเห็นเฉินฝาน เหอจื้อเฟยก็วิ่งเข้ามาหาทันทีเฉินฝานเองก็ก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปหาเช่นกัน เมื่ออยู่ห่างจากเหอจื้อเฟยไม่ถึงห้าเมตร...“เคร้ง!”เฉินฝานชักดาบคู่กายของนักการในศาลาว่าการคนหนึ่งออกมาอย่างฉับไว“ตะ ใต้...”ขณะที่นักการในศาลาว่าการพูดติดอ่าง เฉินฟานก็ถือดาบชี้ไปที่เหอจื้อเฟยแล้วเหอจื้อเฟยมองเฉินฟานอย่างตกตะลึง สุดท้ายก็คุกเข่าลงอย่างเงียบงัน