ลั่วหลันเชิดหน้ามองซีเจียงอย่างไม่พอใจเช่นกัน
" ก็อย่างที่เจ้าได้ยิน อยู่ที่นี่ต้องช่วยทำงานบ้านจะมากินฟรีอยู่ฟรีๆ ได้เช่นไรกันข้าไม่ยอมหรอก "
" แล้วท่านลุงรู้เรื่องหรือไม่ขอรับว่าท่านใช้งานน้องๆ ข้าแลกกับเศษข้าว "
ลั่วหลันตวัดตามองสามพี่น้องหลานๆ ของสามีอย่างไม่พอใจระคนรังเกียจ
" เรื่องงานบ้านลุงเจ้าไม่เกี่ยวอย่าคิดปากพล่อยเอาความไปบอกไม่งั้นพวกเจ้าอดข้าวแน่ "
ซีเจียงกระตุกยิ้มร้ายทันที
" ท่านลุงไม่รู้สินะขอรับ ไม่เป็นไรน้องข้าไม่กล้าบอก แต่ข้ากล้า "
" นี่เจ้า! "
" ท่านเป็นป้าสะใภ้ที่ใจร้ายมาก ข้าไม่สบายหลายเดือนลุกขึ้นมาช่วยทำงานไม่ไหวท่านจึงหันมาใช้งานน้องๆ ข้าแทน ข้าวสารที่ให้ไปก็กินไม่อิ่ม พวกเราได้กินข้าววันละมื้อเท่านั้น ทำไมท่านใจร้ายใจดำเช่นนี้ขอรับ "
ซีเจียงรีบทรุดตัวกอดน้องทั้งสองคนเมื่อเห็นท่านลุงเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามา เขากล่าวเสียงดังเพื่อทำให้ท่านลุงหันมาสนใจ และเป็นดั่งใจเมื่อท่านลุงซีถ่งเดินตรงมาทางนี้โดยที่ป้าสะใภ้ยังไม่รู้ตัว
" แค่วันละมื้อก็เกินพอแล้วสำหรับเด็กที่ไม่มีพ่อแม่เช่นพวกเจ้า ไอ้พวกเด็กเหลือขอ "
" เจ้าพูดอะไรของเจ้าลั่วหลัน! "
นางลั่วหลันสะดุ้งตกใจที่อยู่ๆ เสียงสามีก็ดังขึ้นมาด้านหลัง
" ท่าน ท่านพี่กลับมาทำไมเจ้าคะ "
" ไหนเจ้าบอกข้าว่าให้ข้าวสารอาหารหลานๆ ทั้งสามมื้อไง แล้วเรื่องงานบ้านเด็กๆ ก็อาสามาทำให้ ตกลงเจ้าโป้บดข้ารึ "
" ท่านพี่ ข้า คือข้าแค่... "
" เจ้าเป็นป้าสะใภ้ที่ใช้ไม่ได้จริงๆ "
ซีถ่งมองภรรยาอย่างตำหนิจนลั่วหลันก้มหน้าลงไม่กล้าพูดเถียงอะไรออกมาเพียงครึ่งคำเพราะมันคือเรื่องจริง
เมื่อตำหนิภรรยาแล้วซีถ่งจึงหันกลับมามองหลานทั้งสามคนอีกครั้ง
" ลุงขอโทษแทนป้าสะใภ้ด้วย "
ซีเจียงพยักหน้ารับคำขอโทษด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่ในใจใช่ว่าจะพอใจที่ท่านลงซีถ่งตำหนิภรรยาของตัวเองเพียงเท่านี้ เพราะมันยังน้อยไปหากเทียบกับสิ่งที่นางทำกับน้องสองคนของเขา
" ขอรับ ข้าก็ผิดเองที่ป่วยจนดูแลน้องได้ไม่ดี "
ซีเจียงกล่าว
" เจ้าไม่ผิดหรอกอาเจียง แต่ดีแล้วที่เจ้าหายป่วยท่านปู่ท่านย่าจะได้สบายใจ "
ท่านปู่กับท่านย่าของซีเจียงชรากันมากแล้วเดินเหินไม่สะดวกนัก แต่ถึงจะไม่ได้เดินไปเยี่ยมหลานชายบ่อยๆ แต่ท่านคือคนที่ซื้อยามาให้ซีเจียงดื่ม แม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะที่ซีเจียงป่วยมันคืออาการป่วยทางใจกินยาอะไรก็คงไม่หายหรอก
" ขอรับ หลังจากนี้ข้าว่าจะออกไปหางานทำ ท่านลุงพอจะแนะนำข้าได้หรือไม่เล่า "
" เจ้าอยากทำงานรึ "
" ขอรับ "
" เจ้าอยากทำอะไรเล่าลุงจะได้แนะนำถูก "
ซีเจียงครุ่นคิด หากเป็นตัวเขาบอกเลยว่าถนัดการทำอาหารเป็นที่สุดแต่ซีเจียงเจ้าของร่างกลับไม่ถนัดทำอะไรเป็นพิเศษนี่สิ
จะบอกว่าอะไรดีนะ
" ข้า ก็ยังไม่แน่ใจขอรับ "
" ลุงว่าเจ้ากลับไปพักให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ดีกว่านะส่วนเรื่องทำงานค่อยว่ากันอีกที "
" ก็ดีขอรับ "
" เช่นนั้นก่อนกลับก็เข้าไปเอาข้าวสารอาหารแห้งในครัวกลับไปด้วยนะ คราหน้าหากต้องการอะไรก็ให้มาบอกลุงตรงๆ "
" ขอบคุณขอรับท่านลุง "
ซีถ่งพยักหน้าหันไปมองกองผ้าที่ยังซักไม่เสร็จก็ได้แต่ถอนหายใจ หากวันนี้เขาไม่ลืมของไว้คงไม่รู้ว่าภรรยาทำอะไรกับหลานๆ บ้าง แค่เด็กๆ ต้องมาเสียบิดามารดาอย่างกระทันหันก็มากเกินพอแล้ว
" ต่อไปงานในบ้านใหญ่พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาทำอีก หน้าที่นี้ปล่อยให้เป็นของป้าสะใภ้ไป "
" ได้ขอรับ "
ซีเจียงรับปากทันควัน ทำเอาลั่วหลันตวัดตามองอย่างไม่พอใจเป็นที่สุด
เมื่อท่านลุงเดินออกไปซีเจียงจึงกล่าวกับน้องๆ ทั้งสองคนต่อหน้าป้าสะใภ้ที่ยังยืนจ้องหน้าเขาอยู่
" อาหลง หลินเอ๋อร์ พวกเจ้าเข้าไปเอาข้าวสารอาหารแห้งมานะเดี๋ยวพี่ทำอะไรอร่อยๆ ให้ทาน "
" ขอรับ/เจ้าค่ะ "
ฝาแฝดทั้งสองรีบวิ่งเข้าประตูครัวไปในทันที เมื่อมีพี่ชายคอยปกป้องพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวป้าสะใภ้อีกแล้ว
" ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าอยู่อย่างเป็นสุขแน่ "
ลั่วหลันยกนิ้วชี้หน้าซีเจียง
" ข้าก็ไม่คิดยอมให้ใครข่มเหงรังแกกันง่ายๆ หรอกนะขอรับป้าสะใภ้ "
จบคำซีเจียงน้องฝาแฝดก็เดินออกมาพร้อมข้าวสารหนึ่งถุงกระดาษ ไข่ไก่สามฟอง และผักกาดขาวในมือหนึ่งกอ ก่อนที่พวกเขาสามคนพี่น้องจะพากันเดินกลับบ้านไม้ไผ่ริมลำธารพร้อมกันโดยมีสายตาเกลียดชังของป้าสะใภ้มองตาหลังจนสุดสายตา
" พี่ไม่กลัวป้าสะใภ้เลยรึเจ้าคะ "
ซีหลินเอ่ยถามพี่ชายเมื่อเดินออกมาไกลจากบ้านใหญ่พอสมควรแล้ว
" ถ้าพี่กลัวแล้วใครจะปกป้องพวกเจ้าสองคนกันเล่า "
หากเป็นซีเจียงคนเก่าคงกลัว แต่สำหรับเขาคนนี้ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว ในเมื่อมาอยู่โลกใบนี้เพื่อดูแลเด็กสองคนนี้และมีชีวิตใหม่อีกครั้ง มัวแต่เกรงกลัวคนอื่นไม่นานก็คงตายรอบที่สองเป็นแน่ อย่างที่ชายชราได้บอกไว้ อยากมีชีวิตใหม่ก็ต้องสู้ชีวิต และต้องสู้คนด้วยถึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้
บางทีที่เขาสามารถจำเรื่องราวในชีวิตก่อนได้คงเพราะสวรรค์ต้องการให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างไม่ลำบากมากนักกระมัง ชีวิตเก่าอยู่มาได้ถึงอายุสามสิบปีมันผ่านอะไรมาเยอะมาก เจอทั้งคนดีคนเลว บอกเลยแค่มองตาเขาก็รับรู้ได้แล้วว่าใครเป็นคนแบบไหน สิ่งที่เคยผ่านมาในชีวิตก่อนเขาสามารถนำมาใช้ในชีวิตนี้ได้อย่างสบายๆ เลย
" ข้าดีใจมากที่พี่กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม "
ซีหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้มยินดี
" พี่ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าสองคนลำบากมานานถึงสามเดือน "
" ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าสองคนทนได้ "
" เด็กดี นับแต่นี้ไปพี่จะไม่ยอมให้ใครรังแกพวกเจ้าได้อีก "
ซีเจียงพูดจริงๆ เขาจะตอบแทนเจ้าของร่างนี้ด้วยการดูแลน้องๆ ของเจ้าตัวอย่างดีที่สุด
ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปถึงบ้านไม้ไผ่ซีเจียงแวะขุดหัวมันที่เล็งเอาไว้สามหัว เป็นมันเทศหัวใหญ่กว่าแขนของซีเจียงเสียอีก
และเมื่อมาถึงบ้านไม้ไผ่ซีเจียงก็ให้น้องๆ ไปล้างมือตรงลำธารและมาทานปลาย่างที่เขาย่างไว้ให้ เด็กๆ สองคนดีใจมากเพราะนี่เป็นอาหารมื้อแรกตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ที่พี่ชายทำให้ทานนั้นเอง
" พี่ทานแล้วหรือเจ้าคะ "
ซีหลินเอ่ยถามพี่ชายเมื่ออีกฝ่ายเอาปลาย่างให้เขาคนละตัว
" พี่ทานแล้วล่ะ พวกเจ้าทานเถอะ "
" ปลาตัวใหญ่มากเลยนะขอรับ เนื้อก็หวานมากด้วย "
ซีหลงกล่าวพร้อมแกะเนื้อปลาเข้าปากคำโต ปกติพวกเขาได้ทานแต่ข้าวต้มกับผัดผักหากไม่มีพี่ชายใจดีนำซุปเนื้อมาให้ทานพวกเขาก็คงไม่มีวันได้ทานเนื้อสัตว์เลย
" อร่อยก็ทานให้หมดล่ะ "
" ขอรับ/เจ้าค่ะ "
ซีเจียงยิ้มน้อยๆ มองน้องทั้งสองคนทานปลาย่างคล้ายกับหิวเต็มทีก็นึกสงสารจับใจ ตลอดสามเดือนมานี้เด็กๆ ได้ทานอาหารอิ่มท้องบ้างหรือไม่นะ อายุสิบขวบแล้วแต่ร่างกายคล้ายเด็กอายุแปดขวบอย่างไรอย่างนั้น อย่าว่าแต่น้องทั้งสองคนเลย ขนาดตัวซีเจียงเองก็เหมือนกัน อายุปาเข้าไปสิบหกปีแต่ร่างกายไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสิบสี่ปีสักนิด
" เอ๊ะ พี่ซีเจียงเจ้าคะ กำไลที่พี่ใส่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย "
หลังจากที่เด็กๆ ทานเนื้อปลาหมดแล้วอยู่ๆ น้องสาวก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัยเมื่อเห็นกำไลสีเขียวสวมอยู่ตรงข้อมือเล็กๆ ของพี่ชาย
" นั่นสิขอรับ พี่ได้มาจากไหนรึ สวยมากเลย "
ยิ่งซีหลงเอ่ยขึ้นมาอีกคนซีเจียงก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เพราะตอนตื่นขึ้นมาเขาก็เห็นว่ากำไลวงนี้อยู่บนข้อมือของร่างกายนี้แล้วนะ แล้วทำไมเด็กๆ ถึงทำหน้าคล้ายไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นนั้นเล่า
" พวกเจ้าไม่เคยเห็นหรือ "
" ไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ ข้าเช็ดตัวให้พี่ทุกคืนก็ไม่เคยเห็นพี่ใส่กำไลวงนี้มาก่อนเลย "
ซีหลินเอ่ยบอกตามความจริง
ซีเจียงขมวดคิ้วเป็นปม หากกำไลวงนี้ไม่ใช่ของซีเจียงคนเก่าแล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมาอยู่บนข้อมือของเขาได้
' กำไลวิเศษ '
แต่ในขณะนั้นอยู่ๆ ซีเจียงคล้ายได้ยินเสียงชายชรากล่าวขึ้นมาแผ่วเบา ทำเอาเขารู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก
จริงสิ นอกจากประโยคที่ว่า หากอยากมีชีวิตใหม่ข้าจะให้เจ้ายังมีคำว่าของวิเศษหนึ่งอย่างด้วยหนิที่ชายชราผมขาวได้กล่าวไว้
หรือว่ากำไลวงนี้คือขอวิเศษที่ท่านมอบไว้ให้เขากันนะ
ซีเจียงมองกำไลหยกบนข้อมืออย่างสงสัยใคร่รู้ อยากรู้ว่าหากเป็นขอวิเศษจริงแล้วเขาจะใช้มันอย่างไรกัน
" พี่เจอมันที่ไหนหรือขอรับ "
ซีหลงเอ่ยถามพร้อมมองกำไลอย่างสนใจ ยิ่งพี่ซีเจียงพยายามถอดออกจากข้อมือกลับถอดออกไม่ได้ยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปอีก
" พี่ตื่นขึ้นมาก็สวมมันอยู่แล้วนะ "
ซีเจียงเลือกที่จะพูดตามความจริง พอไม่สามารถถอดออกมาดูได้เขาก็ต้องตัดใจใส่มันไว้แบบนั้น
" หรือจะเป็นกำไลวิเศษขอรับ ข้าแอบได้ยินพี่ซีจางบุตรชายคนโตของท่างลุงคุยกับสหายเรื่องของวิเศษเมื่อหลายวันก่อนว่าสิ่งของเหล่านั้นจะเลือกเจ้าของของมันเองนะขอรับ "
" จริงหรืออาหลง แล้วเจ้าพอจะทราบไหมว่าจะใช้มันอย่างไร "
" ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่จากที่จับใจความคำพูดได้ น่าจะใช้เลือดของผู้ถูกเลือกเปิดช่องว่างระหว่างมิตินะขอรับ "
" เลือดหรือ "
ซีเจียนทำหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่แต่พอคิดว่าการที่ตนสามารถกลับมาเป็นคนได้ก็แทบไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายมากกว่านี้อีกแล้วกระมัง
" ลองดูสิเจ้าคะพี่ซีเจียง หากเป็นกำไลวิเศษจริงพวกเราจะได้ไม่ลำบากอย่างนี้ก็ได้นะเจ้าคะ "
นั่นสิ ตอนนี้ชีวิตพวกเขาสามคนพี่น้องลำบากสุดๆ เงินสักอีแปะก็ไม่มีติดตัว
" เช่นนั้นลองดูก็ไม่เสียหาย "
เอาเถิด แค่เลือดหยดเดียวเองคงไม่เจ็บมากกระมัง คิดได้ดังนั้นซีเจียงก็เดินไปหยิบมีดพร้ามาถือไว้ทันที...
" พี่ซีเจียงวางมีดพร้าลงก่อนเจ้าค่ะข้ามีเข็ม "ซีหลินรีบวิ่งเข้าไปเอากระปุกใส่เข็มและด้ายออกมายื่นให้พี่ชายอย่างเร่งรีบ นางกลัวจริงๆ กลัวว่าพี่ซีเจียงจะใช้มีดพร้าบาดนิ้วตัวเอง กลัวว่าแทนที่จะได้เลือดเพียงหยดเดียวกลายเป็นเลือดที่ไหลไม่หยุดพร้อมนิ้วขาดไปหนึ่งนิ้วด้วยนี่สิ มีดพร้าเล่มนี้คมน้อยเสียที่ไหน" อา ขอบใจเจ้ามาก "ซีเจียงวางมีดพร้าลงก่อนจะรับเข็มอันเล็กมาถือไว้ มองสบตาน้องๆ ที่รอลุ้นไปด้วยกันก่อนจะทำการจิ้มเข็มลงบนนิ้วแล้วหยดเลือดลงไปบนกำไลหนึ่งหยดเท่านั้น" เห้ย! "เพียงเลือดหยดลงไป อยู่ๆ ร่างของซีเจียงก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาน้องๆ ทั้งสองคนทันที" พี่ซีเจียง!/พี่ซีเจียงเจ้าค่ะ! "ซีเจียงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาได้ยินเสียงน้องทั้งสองคนชัดเจนเพียงแต่ตอนนี้ร่างของเขามาโผล่งอยู่อีกสถานที่หนึ่งเสียแล้ว" โห้ "ตรงหน้าเขาฝั่งซ้ายคือแปลงผักหลากหลายชนิดสุดลูกหูลูกตารวมถึงเหล่าสมุนไพรมากมายทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ส่วนฝั่งขวาคือสวนผลไม้ มีตั้งแต่ผลไม้ชนิดไม้เลื้อยไปจนถึงไม้ยืนต้นสุดลูกหูลูกตาไม่ต่างกันแถมแต่ละต้นยังมีผลที่สุกเต็มต้นไปหมดเลย ส่วนตรงกลางมีบ้านปูนชั้นเดียวทรงโมเดิร์นปลูกอยู่
เช้านี้ซีเจียงตื่นมารับรู้ได้ว่าภายนอกมิติวิเศษฝนกำลังตกหนัก แม้พวกเขาจะยังอยู่ในมิติแห่งนี้แต่ทุกความเคลื่อนไหวด้านนอกเขาได้ยินและรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในมิติวิเศษมีกลางวันกลางคืนไม่ต่างกัน แต่บรรยากาศในนี้ไม่เหมือนบรรยากาศภายนอกแต่อย่างใด ด้านนอกตอนนี้ฝนกำลังตกหนักมากส่วนในมิติแห่งนี้กลับบรรยากาศดีมีลมพัดแผ่วเบาไม่ร้อนอบอ้าวและไม่หนาวจนเกินไปเมื่อคืนพวกเขาสามคนพี่น้องได้แยกกันนอนคนละห้องเป็นครั้งแรก หลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จซีเจียงจึงออกมาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้น้องๆทานมื้อเย็นเมื่อวานเด็กๆตื่นเต้นกันมากเมื่อเห็นอาหารที่เขาทำ ยิ่งได้ทานข้าวหอมมะลิเต็มเม็ดเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนเด็กฝาแฝดทั้งสองคนพากันน้ำตาคลอกันเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมาป้าสะใภ้ให้ข้าวสารพวกเขาเพียงวันละกำมือ เด็กๆจึงนำข้าวมาต้มเพื่อจะได้ทานกันพอทั้งสามคนพี่น้อง จากที่น้องสาวเล่าให้ฟังซีเจียงยอมรับว่าโกรธป้าสะใภ้มาก ข้าวสารหนึ่งกำมือกับผักหนึ่งกอเด็กสามคนจะทานกันอิ่มได้อย่างไร แค่คิดก็ปวดใจ เป็นป้าสะใภ้ที่ใจร้ายใจดำเป็นที่สุดเด็กๆเคยคิดจะนำความไปบอกท่านย่าหลายครั้งแต่ไม่กล้า เพราะป้าสะใภ้ขู่ว่าหากเรื
เป็นครั้งแรกที่ซีเจียงได้ออกมาเห็นความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านหมู่บ้านนี้มีชื่อว่า หมู่บ้านซูไฉ เมืองซานหวน หนึ่งในเขตปกครองของแคว้นจ้าว ชาวบ้านดำรงอาชีพทำนาปลูกผักเป็นส่วนใหญ่ เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีชาวบ้านอาศัยอยู่สองร้อยหลังคาเรือนเห็นจะได้กระมังระหว่างทางที่เดินไปชายป่าหลังหมู่บ้าน มีชาวบ้านหลายคนเอ่ยทักทายกับน้องชายเขาอย่างเป็นกันเอง ดูท่าอาหลงคงออกมาเดินเล่นในหมู่บ้านบ่อยทีเดียวแต่เพราะเป็นครั้งแรกของเขาที่ออกมาจากรั้วบ้านสกุลซี ชาวบ้านที่เดินผ่านจึงหันมองมาอย่างสนใจ แถมยังมีเสียงกระซิบกระซาบตามหลังให้ได้ยินอีกต่างหากมีการถกเถียงกันว่าตัวเขาเป็นเกอหรือไม่ ซีเจียงยอมรับว่าไม่ใคร่พอใจเท่าไหร่ที่ถูกนินทาในระยะเผาขนเช่นนี้" พี่ซีเจียงนำผ้าไปปิดหน้าหน่อยเถิดเจ้าค่ะ "ซีหลินยื่นผ้าที่นางคาดไหล่ให้พี่ชาย นางก็ลืมไปเกอในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ไม่เปิดเผยใบหน้าให้ผู้ใดเห็นมากนัก " ทำไมหรือ "แม้จะถามแต่มือก็รับผ้าผืนบางมาคลุมศีรษะแล้วตวัดปลายผ้าไปด้านหลังปิดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง" ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่บุรุษเกอที่นี่เขามักจะใช้ผ้าปิดหน้ากันเวลาออกนอกบ้าน "" เฉพาะเกอที่ยังไม่ออกเรือนขอรับที
สรุปน้องน้อยฝาแฝดของเขาไม่ได้ต้องการสิ่งใด เพียงแต่พวกเขาสามคนพี่น้องพากันเดินชมตลาดในเมืองซานหวนกันอย่างตื่นตาตื่นใจและแวะทานอาหารดังๆกันเท่านั้น" หากเราได้ย้ายออกมาอยู่ในเมืองคงดีนะขอรับ "ซีหลงกล่าวออกมาตามที่คิด ในเมืองซานหวนช่างดูคึกคักนัก หากได้มีบ้านในเมืองพวกเขาคงมีความสุขน่าดู" นั้นสิเจ้าคะ ฝีมือการทำอาหารของพี่ซีเจียงเปิดร้านขายอาหารได้สบายเลย "เมื่อครู่พวกเขาแวะทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง รสชาติแม้จะทานได้แต่ไม่อร่อยเท่าฝีมือพี่ชายสักนิดซีเจียงพยักหน้ารับฟัง เขาเองก็มองที่ทางและสังเกตอาหารที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขายในตลาดเช่นเดียวกัน อาหารส่วนใหญ่ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้านำมาขายก็คล้ายๆกันหมด หากเขาทำอาหารแปลกตามาขายดูบ้างคงน่าจะขายดีทีเดียวเงินสองตำลึงทองที่มีอยู่ก็สามารถนำมาเป็นทุนซื้อโต๊ะและอุปกรณ์การทำอาหารได้ แต่เขาอยากได้รถเข็นที่สามารถเข็นขายอาหารได้มากกว่านี่สิ ไม่รู้ในโลกใบนี้จะมีรถเข็นอย่างโลกเก่าก่อนหรือเปล่า หากมีรถเข็นเคลื่อนที่ได้มันจะสะดวกในการขายมากทีเดียว แต่หากไม่มีจริงๆเขาก็คงต้องหาบ้านเช่าให้เป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อจะเปิดร้านอาหารไปเลย ให้มาตั้งโต๊ะหาบเร่แผงลอ
เหตุการณ์หลังจากนั้น ป้าสะใภ้ถูกตำหนิจากทั้งชาวบ้าน จากท่านลุงซีถ่งผู้เป็นสามี และท่านปู่ท่านย่าพ่อแม่สามีอีกด้วย และยังถูกท่านลุงทำโทษด้วยการยึดอำนาจการดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้านคืน ในที่นี้คือนางยังต้องทำงานบ้านตามปกติแต่นางจะไม่มีสิทธิ์ถือเงินแม้แต่อีแปะเดียวนั้นเองส่วนพวกเขาหลังจากที่ท่านปู่ท่านย่าทราบข่าวว่าจะออกไปเช่าบ้านอยู่กันเองท่านจึงยื่นเงินให้มาหนึ่งถุงไว้เป็นทุนในการใช้ชีวิตในเมืองเมื่อกลับมาถึงบ้านไม้ไผ่ซีเจียงจึงแกะถุงนำเงินออกมานับ สรุปว่าเงินที่ท่านปู่ท่านย่าให้มาคือสามร้อยตำลึงเงิน หากนำมารวมกับเงินของพวกเขาตอนนี้ก็จะเป็นเงิน สองพันหนึ่งร้อยตำลึงทองสองร้อยตำลึงเงินกับอีกห้าร้อยอีแปะ เพราะเมื่อวานพวกเขาจ่ายเงินซื้อขนมและอาหารในตลาดไปแล้วห้าร้อยอีแปะ ส่วนเงินค่าเช่าบ้านก็ไม่ต้องกังวนเพราะท่านลุงอาสาจะจ่ายให้เอง ตอนนี้จึงถือว่าพวกเขาสามคนพี่น้องมีเงินติดตัวไม่น้อยทีเดียวตอนแรกซีเจียงตั้งใจจะกลับบ้านมาทำแปลงปลูกผัก แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนแผนแล้วล่ะ เพราะบ่ายวันนี้พวกเขาจะต้องเข้าเมืองกันอีกครั้งเพื่อจะไปหาบ้านเช่าพร้อมท่านลุงซีถ่งพวกเขาสามคนพี่น้องช่วยกับเก็บของที่แสนน้อ
ยามเหม่า(05.00-06.59)ตอนนี้ทั้งซีเจียงและน้องสาวน้องชายต่างออกมาช่วยกับปรับหน้าดินตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีจนตอนนี้พวกเขาทำแปลงผักได้ทั้งหมดยี่สิบแปลงแล้วอุปกรณ์ทุกอย่างซีเจียงก็นำออกมาจากมิติทั้งสิ้นแต่เพราะไม่ได้แตกต่างจากที่ชาวบ้านมีเขาจึงนำออกมาใช้ได้อย่างสบายใจ คงจะมีเพียงบัวรดน้ำกระมังที่คนในยุคนี้ไม่มี ส่วนจอบและที่พรวนดินชาวบ้านที่มีอาชีพทำสวนก็ต้องมีทุกบ้านอยู่แล้ว เพียงแต่ของเขาอาจจะดูทันสมัยกว่าก็เท่านั้นเอง" เอาน้ำในขวดแก้วเทใส่ในบัวรดน้ำแล้วนำมารดแปลกผักให้ทั่ว ก่อนนำต้นกล้าลงปลูก "ซีเจียงที่นั่งหมดแรงจากการใช้จอบทำแปลงผักขึ้นมายี่สิบแปลงอธิบายให้น้องๆฟังแล้วทำตาม ตอนนี้พวกเขาเนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและเศษดินเต็มไปหมดดูมอมแมมมากทีเดียวเมื่อน้องๆรดน้ำทีละแปลงไปเรื่อยๆซีเจียงจึงนำต้นกล้าลงปลูกตามหลังทันที เขาจะปลูกชิงช่าย(กวางตุ้ง)ห้าแปลง ไป๋ช่าย(ผักกาดขาว)ห้าแปลง เปาซินช่าย(กะหล่ำปลี)ห้าแปลง และคงซินช่าย(ผักบุ้ง)อีกห้าแปลงก่อน อยากรู้ว่าจะปลูกผักได้สำเร็จหรือไม่เมื่อนำต้นกล้าผักทุกชนิดลงแปลงเสร็จแล้ว ซีเจียงก็นำน้ำจากสระมรกตมารดน้ำผักอีกรอบหนึ่ง เมื่อเสร็จทุกอย่
ด้วยความที่ผักของพวกเขามันสมบูรณ์ต้นใหญ่จึงสามารถวางขายบนโต๊ะได้ไม่หมดส่วนที่เหลือต้องแยกใส่ไว้ในตะกร้าใบโตตรงพื้นด้านล่างแทนแต่ก็แยกชนิดผักไว้อย่างชัดเจนไม่ได้รวมกันแต่อย่างใดผักทั้งหมดซีเจียงจะขายในราคาเดียวกันคือจินละห้าสิบอีแปะ เมื่อครู่เขาลองนำผักแต่ละชนิดขึ้นตาชั่งแล้ว ผักที่มีน้ำหนักมากสุดถึงสิบจิน(5 กิโล)คือกะหล่ำปลี ส่วนกวางตุ้งกับผักกาดขาวมีน้ำหนักเท่ากันอยู่ที่หนึ่งต้นต่อแปดจิน(4 กิโล) และผักบุ้งสิบต้นต่อหนึ่งจินก็ถือว่าต้นสมบูรณ์มากๆแล้วบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าผักของเขามีขนาดต้นที่ใหญ่มากกว่าในตลาดหลายเท่านักและคนที่มาอุดหนุนประเดิมการขายผักเป็นคนแรกก็คือท่านลุงเข่อจงเจ้าของบ้านเช่านั้นเอง ตอนแรกซีเจียงจะไม่คิดเงินเพราะตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะนำผักไปฝากท่านลุงท่านป้าเจ้าของบ้านเช่าตอบแทนขนมที่ท่านนำมาให้ทานบ่อยๆแต่ท่านลุงกลับไม่ยินยอมนี่สิ" ของซื้อของขายจะให้ลุงฟรีๆได้เช่นไร ไม่ได้นะอาเจียงลุงไม่รับ "เข่อจงกล่าวจนเด็กๆต้องยอมคิดเงินจนได้" เช่นนั้นก็ได้ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมากนะขอรับที่มาเป็นลูกค้าคนแรกของพวกเรา "ซีเจียงแม้จะเกรงใจแต่ในเมื่อท่านลุงต้องการซื้อเขาก็ทำอะไร
สามวันต่อมาผักที่พวกเขาสามคนนำมาปลูกแล้วรดน้ำจากสระมรกตก็โตขึ้นพร้อมเก็บขายได้อีกครั้งตอนนี้รอบบ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยผัก โดยเฉพาะจำพวก พริก พริกไทย พริกหยวก และพริกหวาน ผลของมันเต็มต้นและมีสีสันน่ามองมาก" พวกเราคงเก็บไม่หมดในวันนี้แน่เจ้าค่ะ "ซีหลินชี้ไปทางพวกพริกทั้งหลายแต่ละต้นผลิดอกออกผลมากกว่าใบเสียอีก" นั่นสิ "ซีเจียงก็คิดเช่นนั้น วันนี้ทั้งวันพวกเขาสามคนคงเก็บพวกพริกเหล่านี้ไม่หมดแน่ๆ และหากมัวแต่เก็บพริกพวกนี้ผักชนิดอื่นก็คงไม่ได้เก็บขายไปด้วยพวกเขามีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม(2ชั่วโมง)ในการถอนผักมาวางขายก่อนที่ชาวบ้านชาวเมืองจะออกกันมาเดินตลาดจับจ่ายใช้สอยซื้อวัตถุดิบกลับไปทำอาหารมื้อเช้าทานกันที่บ้าน" เช่นนั้นพวกเราเก็บผักชนิดอื่นกันก่อนดีกว่าขอรับ ต้องนำมาล้างดินอีกเดี๋ยวจะไม่ทัน "" งั้นลงมือเก็บผักกันเลย "ซีเจียงก็เห็นด้วยกับอาหลงทั้งสามคนจึงช่วยกันถอนผักต้นโตๆออกมาใส่ไว้ในตระกร้าและแยกชนิดของผักไว้ไม่รวมกันจะได้ไม่เสียเวลาล้างแล้วนำไปวางขายตะกร้าไม้ไผ่สานอันใหญ่เหลานี้เขาก็ออกไปซื้อมาเพิ่มเมื่อวาน เพราะผักที่นำออกมาปลูกมีหลายชนิดกว่าครั้งแรก เขายังปลูกผักบุ้ง ผักกาดข
และใช่ สามีเขาดูแลดีชนิดที่ว่าตัวเขาแทบไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยแม้แต่อาหารที่ต้องทำขายนอกจากนั่งชิมรสชาติอาหารทั้งสามเมนูที่สามีเป็นคนลงมีทำเองตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้นจื่อหย่งเป็นคนช่างสังเกตและเรียนรู้เร็ว ที่สำคัญทำอาหารได้เร็วกว่าเขาอีกต่างหากด้วยนี่สิ ส่วนเรื่องรสชาติแค่มีเครื่องปรุงครบทุกอย่างก็อร่อยได้ไม่ยากเลยตั้งแต่เมื่อวานที่รู้ว่าเขาท้อง ทั้งสามีทั้งน้องๆไม่ยอมให้เขาช่วยหยิบช่วยจับอะไรสักอย่าง ประคบประหงมเสียจนเขาแอบอ่อนใจ เขาแค่ท้องไงไม่ได้ป่วยหนักเสียหน่อยส่วนเรื่องจ้างคนเก็บผักเขาก็ตกลงรับเด็กๆบ้านสกุลหานทำงานเรียบร้อยแล้ว จะจ่ายค่าจ้างเป็นรายวันและจ่ายให้เท่าๆกันทุกคนด้วยแรงงานรายวันในเมืองซานหวนค่าแรงอยู่ที่วันละสามร้อยอีแปะเท่านั้น แต่เขาจ้างเด็กๆวันละห้าร้อยอีแปะและมีอาหารให้ทานครบสามมื้อ เริ่มงานวันแรกคือวันนี้ หลังจากเตรียมของทุกอย่างเสร็จพวกเขาก็พากันออกมาจากมิติ เข้าออกมิติถึงสามรอบกว่าจะนำของออกมาครบทุกอย่าง และพอเปิดประตูบ้านเด็กๆสกุลหานก็นั่งรออยู่หน้าร้านเรียบร้อยแล้วเด็กๆสกุลหานช่างรู้งานนักเมื่อเห็นจื่อหย่งยกของออกมาวางหน้าร้านพวกเขาก็รีบเข้ามาช่วยยกของกันใ
ผลปรากฏว่าหิมะตกปีนี้ลากยาวไปถึงสองเดือนเต็มทีเดียวตลอดสองเดือนมานี้พวกเขาสี่คนช่วยกันขายอาหารทุกวัน ตอนนี้เมนูที่ขายนั้นนอกจากขนมจีนเส้นสด โจ๊กสาหร่ายแล้ว ยังมีเมนูขนมหวานอีกหนึ่งเมนูด้วยคือบัวลอยน้ำขิง เป็นสามเมนูที่ขายดิบขายดีทำเพิ่มเท่าไหร่ก็ขายหมดไม่มีเหลือตอนนี้พวกเขาเก็บเงินได้หลายแสนตำลึงทองแล้ว หากไม่นับเงินค่าสินสอดของสามีอะนะตั้งใจเอาไว้ว่าหิมะหยุดตกเมื่อไหร่ก็จะเริ่มขยับขยายที่อยู่อาศัยทันทีคืนนี้ซีเจียงจึงทำการวาดแปลนบ้านเพื่อจะให้สามีนำไปให้ช่างรับจ้างทำบ้านในวันพรุ่งนี้ ส่วนบ้านเช่าตรงนี้เขาจะปรับเปลี่ยนเป็นร้านขายอาหารเล็กๆเพราะในอนาคตเขาจะขายทั้งอาหารและผักไปพร้อมกันเลย" เจ้าจะเก่งเกินไปแล้วภรรยาข้า "จื่อหย่งที่เห็นซีเจียงวาดแปลนบ้านอดจะเอ่ยปากชมไม่ได้ คนอะไรจะเก่งไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้ ซีเจียงยิ้มกว้างเอียงแก้มให้สามีหอมอย่างรู้งานเมื่ออีกคนโน้มหน้าลงมาใกล้ ก่อนจะเอ่ยเล่าให้ฟังว่าตรงไหนเป็นอะไรบ้าง" เรือนใหญ่จะเป็นที่พักของเราสองคนนะขอรับ ส่วนเรืองเล็กด้านซ้ายและด้านขวาจะเป็นที่พักส่วนตัวของอาหลงและหลินเอ๋อร์ พี่จื่อหย่งอยากได้เรือนอะไรเพิ่มอีกไหมขอรับข้าจะได
ผ่านพ้นวันแต่งงานพวกเขาสองคนไปเพียงหนึ่งอาทิตย์หิมะแรกของปีก็ตกลงมาจริงๆตามที่ชาวบ้านชาวเมืองคาดไว้ไม่มีผิดเพราะอากาศปีนี้หนาวเร็วกว่าทุกปีโชคดีที่พวกเขาสี่คนเข้ามาอยู่ในมิติตอนกลางคืนที่ภายนอกหิมะตกหนักพอดิบพอดี ถึงตอนกลางวันจะต้องออกไปใช้ชีวิตด้านนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ความหนาวก็ยังน้อยกว่าตอนกลางคืนมากนักแม้มันจะหนาวมากๆก็ตามในความรู้สึกของซีเจียงในมิติแห่งนี้อากาศไม่ได้เหมือนกันกับโลกภายนอกพวกเขาจึงอยู่กันได้สบายโดยที่ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์ให้รู้สึกอึดอัด" หิมะลงเช่นนี้เราคงต้องพักการปลูกผักไปก่อน "ซีเจียงกล่าวขึ้นในระหว่างนั่งทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน" พี่เห็นด้วยกับเจ้า "เกอน้อยยิ้มกว้างเมื่อสามีเห็นดีเห็นงามกับเขาทุกเรื่องไม่เคยเอ่ยปากขัดใจเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันจนกระทั่งแต่งงานแล้วก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน" แล้วเราจะทำอะไรกันดีเจ้าคะหรือจะหยุดพักการขายของไปก่อนเลย "" หิมะตกเป็นเดือนๆหากเราไม่ขายของรายได้เราก็จะหายหมดพี่ว่าจะขายอาหารเพิ่ม อากาศหนาวๆเช่นนี้ เช้าๆต้องทานโจ๊กร้อนๆถึงจะคลายหนาวได้ดี "" ทำโจ๊กอะไรดีขอรับ "ซีหลงเอ่ยถามอีกคน" โจ๊กสาหร่ายทะเล พี่จะใ
กว่าจะถึงบ้านเช่าก็เข้ายามเว่ย(13.00-14.59)พอดีตอนนี้ซีเจียงยังทำอะไรไม่ได้นักเพราะยังอยู่ในชุดแต่งงานที่สำคัญมีผ้าปิดหน้าที่ยังถอดออกไม่ได้จื่อหย่งและน้องๆจึงช่วยกันขนสินสอดและสินเดิมเข้าไปเก็บไว้ในบ้านเช่า เมื่อขนทุกอย่างลงจากเกวียนจนหมดจื่อหย่งจึงถอดเกวียนไปเก็บก่อนจะพาม้าหนุ่มไปผูกไว้กับรั้วข้างบ้านแล้วเดินเข้ามานั่งในบ้านข้างๆภรรยา" พี่จื่อหย่งขอรับ "ซีเจียงได้ปรึกษากับน้องๆแล้วว่าหาเขากับจื่อหย่งแต่งงานกันเขาจะบอกเรื่องมิติวิเศษให้อีกฝ่ายรับทราบเพราะการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งสิบสองชั่วยามเขาไม่สามารถปิดบังคนรักได้เพราะถึงอย่างไรตอนกลางคืนพวกเขาก็จะเข้าไปนอนในมิติอยู่ดี สู้บอกกล่าวเสียตั้งแต่วันแรกที่ใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากันเลยจะดีกว่า" ว่าอย่างไรหรือ "" คือข้า มีความลับจะบอกท่าน "จื่อหย่งมองสีหน้าจริงจังของสามพี่น้องก็ทำเอาเขาต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจังไปด้วยไม่ได้" ว่าอย่างไรเล่า "" คือข้ามี มิติวิเศษขอรับ "" เจ้าก็มีแหวนมิติเช่นกันหรือ "จื่อหย่งเลิกคิ้วถามอย่างตื่นเต้นระคนยินดีนัก" ไม่ใช่แหวนขอรับ แต่เป็นกำไลมิติ "ซีเจียงยกมือข้างที่สวมกำไลให้สามีดู แล้วก็ต้อ
การแต่งงานครานี้ซีเจียงอยากให้จัดแบบเล็กๆไม่ต้องมีขบวนเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้เปลืองเงินเปลืองทอง สินสอดก็ไม่ต้องมากมายอะไร จัดเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและลงลายมือชื่อเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองก็พอแล้วแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้ดั่งใจขนาดนั้น แม้ซีเจียงจะไม่มีบิดามารดาแต่ยังมีท่านปู่ท่านย่า อย่างไรการจัดงานแต่งงานเขาก็ต้องไปจัดที่บ้านใหญ่สกุลซีอยู่ดี เรื่องนี้ท่านลุงซีถ่งมารับพวกเขาสามคนพี่น้องกลับไปคุยกันที่บ้านใหญ่สกุลซีทีเดียวนี่จึงถือเป็นการปิดร้านครั้งแรกที่ทำการค้าขายมาเลยก็ว่าได้" พี่จื่อหย่งและข้าต่างก็ไม่มีบิดามารดา ข้าไม่อยากจัดงานแต่งให้มันยุ่งยากขอรับท่านปู่ท่านย่า "ซีเจียงกล่าวความคิดของตัวเองออกมาตามตรง " เช่นนั้นเอาตามที่เจ้าว่าปู่กับย่าตามใจเจ้า "" ขอบคุณมากขอรับ "ซีเจียงขอบคุณท่านปู่ท่านย่าจริงๆที่ไม่บังคับอะไรเขาเลย" เรื่องสินสอดเจ้าก็ไม่ต้องแบ่งให้บ้านใหญ่ เก็บไว้เป็นทุนในอนาคต "จบคำแม่สามีลั่วหลันอยากกรีดร้องออกมาใจแทบขาด เท่ากับบ้านใหญ่สกุลซีจัดงานแต่งให้มันฟรีๆเช่นนั้นหรือ ซีเจียงเห็นกิริยาป้าสะใภ้ทุกอย่างแต่เลือกที่จะไม่พูดอะไร นางคงไม่พอใจ
นางลั่วหลันออกมาดักรอพรานหนุ่มอยู่หลายวันก็ไม่เจอ นางจึงเดินไปท้ายหมู่บ้านถามไถ่คนบ้านใกล้เรือนเคียงจึงได้ทราบว่าเจ้าพรานกำพร้านั่นจะออกไปเมืองซานหวนตั้งแต่รุ่งสางและกลับเข้าบ้านในตอนตะวันตกดินไปแล้วทุกวัน ที่สำคัญเจ้าจื่อหย่งก็ไม่ได้เข้าป่าล่าสัตว์มานานสามเดือนกว่าแล้วด้วยเป็นแบบนี้ชัดเลย ไอ้เด็กเกอนั้นต้องเลี้ยงดูบุรุษเป็นแน่ ช่างน่าอับอายยิ่งนักลั่วหลันคิดในใจอย่างนึกรังเกียจเดียดฉันผ่านไปอีกสองสามวันในที่สุดนางลั่วหลันก็ดักเจอจื่อหย่งจนได้ในตอนที่ชายหนุ่มขับเกวียนเข้าหมู่บ้านผ่านหน้าบ้านสกุลซีพอดี" หยุดก่อน "จื่อหย่งหยุดเกวียนมองนางลั่วหลันนิ่งก่อนเอ่ยถาม" มีอะไรกับข้าหรือขอรับ "" ข้าน่ะไม่มี แต่พ่อแม่สามีข้าต้องการคุยกับเจ้า "พูดจบทำหน้าสะใจมองเด็กรุ่นลูกด้วยแววตาสมน้ำหน้าอยู่ในที ตอนนี้สามีนางก็รู้เรื่องแล้วแม้จะไม่พูดอะไรแต่ดูจากแววตาซีถ่งก็คงไม่สบายใจในเรื่องนี้นัก เพราะการอยู่กินก่อนแต่งงานเป็นการทำให้ชื่อเสียงของสกุลเสียหายส่วนเรื่องที่นางได้เงินค่าเช่าบ้านจากเด็กๆกลับคืนมานางเลือกที่จะไม่บอกสามี นางจะเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่นางอยากได้แทน ก็ซีถ่งยึดค่าใช้จ่ายในบ้
ตอนนี้เรื่องที่หลานๆบ้านสกุลซีเปิดร้านขายผักขายอาหารเป็นที่พูดถึงไปทั่วแม่แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านซูไฉเองก็ด้วยเพราะมีชาวบ้านในหมู่บ้านเข้าเมืองซานหวนแล้วได้ซื้อผักที่มีขนาดใหญ่สมบูรณ์มาทำอาหารทานหลายคนพากันติดใจในรสชาติของผักที่กรอบอร่อยไม่เหมือนผักตามท้องตลาดเลยแม้แต่น้อย บางคนที่ได้ซื้ออาหารมาทานก็พากันชมไม่หยุดปาก จนเรื่องทุกอย่างเข้าหูนางลั่วหลันในวันหนึ่งเพราะสามีนางได้จ่ายค่าเช่าบ้านให้เด็กเหล่านั้นล่วงหน้าไปแล้วถึงสามเดือน ตลอดสามเดือนมานี้ซีถ่งเอาแต่ทำนาทุกวันและไม่เคยไปเยี่ยมหลานเลยสักครั้งจึงยังไม่ทราบข่าวว่าหลานเปิดร้านขายของและจากที่ได้ยินมาของที่ขายช่างขายดีเสียด้วยนี่สินางลั่วหลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว ในเมื่อเป็นลูกหลานสกุลซีมีรายได้ดีเช่นนี้ก็ต้องตอบแทนบุญคุณกันบ้าง รายได้พวกนั้นควรจะแบ่งให้บ้านใหญ่ครึ่งต่อครึ่งถึงจะเรียกว่ากตัญญูเช้าวันต่อมานางลั่วหลันออกอุบายกับสามีว่านางจะไปซื้อของใช้ในเมือง และเพราะทราบอยู่แล้วว่าช่วงนี้สามีไม่ว่างเพราะต้องเก็บเกี่ยวข้าวให้เร็วที่สุดก่อนหิมะจะลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ไม่ใช่แค่สามีนางที่รีบเกี่ยวข้าวแต่ชาวบ้านที่ทำนาต่างพา
สามเดือนหลังจากนั้นบ้านเช่าของสามพี่น้องก็ยังมีอดีตนายพรานหนุ่มสุดหล่อมาช่วยงานตั้งแต่รุ่งสางทุกวันไม่เคยขาดที่เรียกว่าอดีตนายพรานเพราะจื่อหย่งไม่ได้เข้าป่าล่าสัตว์มานานถึงสามเดือนแล้ว ชายหนุ่มเลือกที่จะมาช่วยงานคนรักแทน แต่เจ้าตัวก็ยังนำเนื้อสัตว์มาฝากทุกๆสองวันบอกว่าซื้อมาจากสหายอีกทีหนึ่งแม้พี่จื่อหย่งไม่ได้เข้าป่าแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีเนื้อสัตว์ไว้ทำอาหารทานทุกมื้ออยู่ดี สามเดือนมานี้ซีเจียงไม่เคยนำเนื้อสดจากมิติมาทำอาหารเลยจริงๆ เพราะเนื้อสัตว์ที่พี่จื่อหย่งนำมาฝากแต่ละครั้งมากมายนักแถมยังเป็นเนื้อสัตว์หลายชนิด ที่สำคัญชายหนุ่มคนรักชำแหละมาให้เสร็จเรียบร้อยสะอาดสะอ้านทุกครั้งด้วยและเรื่องการคบหาดูใจของพ่อค้าเกอคนงามกับนายพรานหนุ่มพวกลูกค้าที่มาซื้อผักและซื้ออาหารต่างก็ทราบกันดี และเรื่องนี้ก็ทำให้คนที่หมายตาพรานหนุ่มไว้ไม่พอใจมากทีเดียวโดยเฉพาะบุตรสาวเจ้าของร้านอาหารที่จื่อหย่งนำสัตว์ไปขายประจำหลายปีอย่าง แม่นางไป๋ ไป๋ฮวาหลีวันนี้นางจึงเดินมายังร้านท้ายตลาดพร้อมกับสาวใช้คนสนิทอีกหนึ่งคน" คนต่อแถวยาวเลยเจ้าค่ะคุณหนู "จูจู กล่าวขึ้นมาแผ่วเบาฮวาหลี ขมวดคิ้วไม่พอใจที่เห็นหน้าร้
สามวันต่อมาชาวบ้านที่ทราบข่าวก็พากันมาต่อแถวซื้อผักกันตั้งแต่ยามเฉิน(07.00-08.59)โชคดีที่มีพี่จื่อหย่งมาช่วยเก็บผักตั้งแต่ยามอิ๋น(03.00-04.59)จึงทำให้พวกเขามีผักไว้วางขายทันแม้จะยังเก็บผักกันไม่หมดก็ตามทีตอนมาถึงอีกฝ่ายมีท่าทางอึ้งไม่น้อยที่ผักโตเร็วมากแต่กลับไม่เอ่ยถามสักคำมีแต่จะช่วยเก็บผักและนำผักไปล้างอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนผักจำพวกพริกเมื่อรดน้ำจากสระมรกตก็กลับมาให้ดอกออกผลทุกวันและเขาก็ต้องเก็บไว้ทุกวันเช่นกัน จนวันนี้ร้านเรามีพริกทั้งสี่ชนิดมากพอสำหรักการขายอย่างแน่นอนซีเจียงจึงมีหน้าที่ขายผักเพียงอย่างเดียวในวันนี้ ส่วนอีกสามคนก็ทำหน้าที่เก็บผักล้างผักกันไปเรื่อยๆ เสร็จจากผักที่ต้องถอนก็ไปเด็ดพริกทั้งสี่ชนิดกันต่อ การขายผักวันนี้จึงใช้เวลาไปตลอดช่วงเช้าทีเดียวกว่าจะขายหมด ไม่ใช่ไม่มีลูกค้านะ แต่เพราะลูกค้าต้องรอพริกที่เก็บจากต้นมันจึงใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะนำมาขายหน้าร้านได้นับวันยิ่งมีลูกค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถปลูกผักได้เพียงเท่านี้เพราะไม่มีที่ดินสำหรับทำแปลงผักแล้วจริงๆ ตอนนี้รอบบ้านเช่าเต็มไปด้วยแปลงผักขยับขยายไม่ได้แล้วเมื่อเก็บร้านเสร็จ