ซึ่งก่อนหน้านั้น นางถูกลากเข้ากระโจมของอีกฝ่ายที่อยู่กลางป่า กลางเขา โดยถูกจับโยนขึ้นหลังม้า ร่างกายเปลือยเปล่ามีเพียงชุดที่ทำจากขนจิ้งจอกแดงพันเอาไว้
ฟ่านอวี้เหยาเจ็บช้ำทั้งกายและใจ แต่ต้องทนกล้ำกลืนอย่างจำยอม ทว่าต่อจากนี้ นางจะไม่ทนแบกรับความทุกข์ฝ่ายเดียวอีกต่อไป นางอยากมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม และสามารถยืนหยัดด้วยสองขาตน
หญิงสาวเดินทางมากับกองทัพด้วยระยะทางหลายร้อยลี้ กระทั่งถึงค่ายหน้าด่านของกองทัพอาชาเหินหาว คนชั่วที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ก็ตีค่าให้นางเป็นนางโลมที่ต้องมีป้ายแขวนคอ
คนผู้นี้ ไร้สมอง ขาที่สามของเขาแข็งขันได้ตลอดเวลา เพียงแต่เห็นสิ่งสวยงาม และเขาจ้องแต่จะส่งท่อนเอ็นยาวใหญ่ที่หัวฉ่ำน้ำหล่อลื่นทะลวงเข้ากลีบเนื้อฉ่ำแฉะของหญิงสาว
“ดี อ้าให้กว้างอีกนิด หน้าอกเจ้าก็ใช้มือเล่น และบีบยอดถันไปด้วย บีบแรงๆ สิ ให้หัวมันชูชัน และแดงแจ๋ไปเลย ข้าอยากเห็นมันระบม อยากให้เจ้าเป็นสตรีร่านๆ ที่บุรุษมีไว้สนองราคะ”
นางที่นั่งอยู่ด้านบนกายแกร่ง ละอายใจยิ่ง ไม่กล้าทำตามที่เขาสั่ง มือข้างหนึ่งเลยยื่นไปบีบต้นแขนกำยำไว้
และร่างกายนางยามนี้ มีความแข็งขันแทรกผ่านเข้าไปจนเต็มลำ
เจ็บ จุก ทั้งอึดอัด แต่คงไม่ถึงกับตาย
“หึๆ ๆ บีดรัดได้ดี น้ำเจ้าก็ไหลเยิ้มตลอด ข้างในอุ่นจัด ทั้งเต้นตุบๆ กระทำเช่นนี้ ถึงจะเรียกว่าการอุ่นเตียงของชายหญิง”
คำพูดเขาหยาบคาย ไร้รสนิยม เป็นพวกมักมาก คือผู้ชายอย่างที่นางไม่เคยพบพาน ทั้งชาตินี้ และชาติก่อน
“ข้าอาจไม่เป็นวรยุทธ์ เข้าครัวก็ด้อยฝีมือ งานเย็บปักเอาไหน แต่สตรีเช่นข้า เกิดมาเพื่อพาบุรุษขึ้นสวรรค์ และไม่แน่ อาจมีความสามารถ ถึงขั้นถีบพวกบ้าตัณหาลงนรกได้ในเวลาเดียวกัน และก่อนจะถีบแรงๆ ข้าคงตอนพวกเขาให้เป็นขันทีเสียก่อน อยากรู้นักบุรุษยามนั่งถ่ายเบา จะน่าขบขันเพียงใด”
“เฮ้อ เจ้าถนัดใช้วาจาชั้นต่ำจริงๆ ไม่สมเป็นคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ บรรพบุรุษเจ้าไม่เคยสั่งสอนหรือไร”
ฟ่านอวี้เหยาถลึงตาใส่แม่ทัพปู้ ก่อนขยับบั้นท้ายยกสูงกว่าเดิม แล้วกระแทกตัวลงไปบนเรือนกายเขาถี่รัวติดกันชุดใหญ่ ดวงตาเหยี่ยวหรี่ปรือ ริมฝีปากหยักสวยของเขาบิดเบี้ยว การหายใจรัวแรง พร้อมส่งเสียงทุ้มๆ ครางออกมา
ยามนั้นปลายเท้าเขาเหยียดเกร็ง สองมือกำแน่น ยอดหน้าอกแข็งจัด ดูก็รู้ว่าเขาใกล้เสร็จสม
โถ ปู้หว่านถิง เก่งกล้า และหยาบช้าเพียงใด ยามอยู่บนเตียงกับนางกลับอ่อนหัด ราวกับลูกสุนัขที่ยังไม่หย่านม นางคิดเช่นนั้น แต่หารู้ไม่ เขาเป็นพวกสติวิปลาส เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครายากเดาใจได้ ทั้งหมดคงเพราะนางอ่อนหัด จึงมองบุรุษอย่างเขาไม่ออกสักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงละครตบตา
“เมื่อก้าวออกจากเรือนของตน ข้าก็ไม่ต่างจากน้ำที่ถูกสาดทิ้ง ยามนี้มีป้ายแขวนคอ นับว่าดีกว่าต้องกลายเป็นขอทานข้างถนน สตรีเช่นข้าพอมีฝีมืออยู่บ้าง คำกล่าวนี้ หาได้โป้ปดสักนิด ดูเอาเถิด แม่ทัพปู้แสดงให้ข้าเห็นว่า กำลังจะหลั่งออกมาง่ายๆ ราวกับเป็นเด็กหนุ่มไม่ประสีประสาในเรื่องนี้”
ปู้หว่านถิง หัวเราะเสียงดุดัน คราแรกที่กระชากร่างทรงเสน่ห์เข้ากระโจม แทนการส่งเข้าไปรับใช้ทหารในค่าย ก็เพราะความงามล่มเมือง อีกทั้งนางคือลูกของศัตรู ฟ่านซุ่นซี ซึ่งทำหน้าที่หมอหลวงรักษาอาการของฉางอ๋อง ผู้เป็นฮ่องเต้แคว้นฉางไห่ในยามนี้
เมื่อนางเป็นลูกศัตรู เขาย่อมเก็บนางเอาไว้ใกล้ๆ ตัว เพื่อแก้แค้น เรื่องนี้สมควรมิใช่หรือ
ฝ่ายนางก็ดูบอบบาง ราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ หากให้ตกถึงมือผู้อื่น คาดว่าถูกข่มเหงไม่เกินหนึ่งชั่วยามวิญญาณก็คงหลุดออกจากร่าง
ทว่าเมื่อใกล้ชิดกัน ได้กลั่นแกล้งนางพอให้เสียน้ำตา เขาพบว่า สตรีนางนี้กร้านโลกทั้งร่านราคะ เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
บางคราคาดคิดว่าอาจมีคนปลอมตัวเป็นฟ่านอวี้เหยา แต่ความคิดดังกล่าว ยากจะเป็นไปได้ เขาให้คนติดตามนางตั้งแต่ออกจากคฤหาสน์สกุลฟ่าน หลายครั้งหลายคนนางเกือบสิ้นชีพ ด้วยมีผู้ประสงค์ร้าย หวังฆ่าปิดปาก
กระทั่งมาที่ท่าเรือเมืองโยว เขาจึงสั่งให้หน่วยของตนถอนกำลัง เพื่อฟ่านอวี้เหยาจะได้รู้จักเอาตัวรอดด้วยตนเอง ซึ่งเป็นตอนนั้นที่ทำให้พบเรื่องหงุดหงิดใจ ทหารที่มาจากเมืองหลวง และเพิ่งเข้ามารายงานเสริมกองทัพเขาได้ไม่ถึงเดือน พวกมันล้วนไร้ระเบียบวินัย ทั้งยังกระทำสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นอันธพาลสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ส่งผลให้ชื่อเสียงเขาดูแย่ อีกทั้งมีกลุ่มคน พยายามปล่อยข่าวเสียหายหวังให้ประชาชนเกลียดชังกองทัพอาชาเหินหาว ต้องการยุยงให้เกิดความขัดแย้ง ในบ้านเมือง พร้อมสรรเสริญคนชั่วอย่างเจียงโม่ขุนนางกังฉินว่าเป็นคนดี ขณะเดียวกัน ก็อ้างว่าทหารของเขา ต้องการฆ่าปิดปากสามสกุลใหญ่ที่ทำการค้าในแคว้นฉางไห่ หนึ่งในนั้นคือ สกุล เซียว ซึ่งเป็นของเจ้าบ่าวฟ่านอวี้เหยานั่นเอง
“หากข้าสามารถย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กน้อย และอ่อนด้อยประสบการณ์เรื่องอุ่นเตียงคงดีไม่น้อย
ตัวข้า อยากเป็นคนแรกของสตรีที่พยายามทำตัวกร้านโลก ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่พยายยามกัดฟันสู้ไม่ถอย คุณหนูฟ่านช่างใจกล้าบ้าบิ่น ถึงขั้นท้าทายกำลังบุรุษ
รู้หรือไม่ อีกมินาน กลีบดอกไม้หวานฉ่ำของเจ้าย่อมต้องบอบช้ำ ด้วย ปาก ลิ้นสากๆ ของข้า ทั้งสองมือใหญ่นี้
และความแข็งแกร่งที่จะแทรกผ่านร่างกายเจ้า อาจทำให้ร่างกายบอบบาง แตกออกเป็นเสี่ยงๆ”
ร่างที่นั่งทับบนตัวเขา สั่นกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด
“ข้าจะทำให้ท่านไม่อาจมีความสุขกับสตรีคนใดได้อีก กลิ่นกายนี้ เรือนร่างนี้ และความบีบรัดของข้า จะทำให้ปู้หว่านถิง เพ้อหาทั้งยามตื่น และหลับตา”
“ฮ่าๆ ๆ หากมีความสามารถเช่นนั้น คุณหนูฟ่านจงเร่งมือมอบความสุขให้ข้าเถิด”
เขาบอกนาง พลางคิดในใจว่า ฟ่านอวี้เหยาย่อมเป็นได้แค่สตรีที่เขามีไว้ปล่อยน้ำวิสุทธิ์ราดรดเรือนร่างก็เท่านั้น นางมีค่าก็แค่สตรีที่มีป้ายแขวนคอไว้รับใช้บุรุษยามต้องการปลดปล่อยความสุข ซึ่งสาสมแล้วที่บิดาของนางกล้าเป็นศัตรูกับเขา
เหตุการณ์ก่อนหน้า เมืองโยว ห่างจากเมืองหลวงห้าร้อยลี้ เกี้ยวเจ้าสาวเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเซียวอย่างทุลักทุเล แรกเริ่มก็น่าฉงน เพราะให้เข้าทางประตูด้านข้าง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฟ่านอวี้เหยาประหลาดใจ ทว่านางมาถึงคฤหาสน์ชายคนรัก หากให้กลับคืนในยามนี้ก็มิใช่สิ่งที่ถูกต้อง แม้หญิงสาวสังหรณ์ใจในแง่ร้ายตั้งแต่ลงเรือ คนของนางที่บิดาจ้างมาให้อารักขาถูกจับกุมตัวไว้ ไม่ให้เข้าด้านในเมืองโยว อันเป็นคำสั่งใหม่ในการตรวจคนเข้าออกที่ปู้หว่านถิงผู้เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือส่งหนังสือมาถึงเจ้าเมือง ด้วยสถานการณ์ยามนี้ อาจมีคนมุ่งหมายรวบรวมกำลังเพื่อก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ เนื่องจากฝ่ายนั้นกำลังประชวร และยังไม่มียารักษาอาการให้หายได้ ดวงตากลมโตกวาดมองสำรวจ พื้นที่ซึ่งนางถูกแม่บ้านถานไล่ต้อนเข้ามา เรือนหลังดังกล่าว มองอย่างไรก็ไม่ต่างจากที่เก็บฟืน แม้ดูสะอาดสะอ้าน ทว่านางมีศักดิ์ศรี หาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า ฟ่านอวี้เหยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางคิดผิดหรือไม่ที่เดินทางไกลเพื่อมาเป็นภรรยาของคนแซ่เซียว อีกทั้งขณะที่นั่งเรือมายังเมืองโยว นางได้ยินข่าวไม่สู้ดีหลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่ง
พัดในมือนางถูกแย่งไป ผ้าคลุมหน้าสีแดงงดงามปักลายหงส์กำลังจะถูกมือใหญ่ๆ คว้าได้สำเร็จ ฝ่ายจิ่งหรูเหลืออดแล้ว นางผลักทหารตัวโตด้วยสองมือ อีกฝ่ายเซไปเล็กน้อย ก่อนที่ทหารอีกคนจะเข้ามารวบเอวสาวใช้ พอนางขัดขืน เสียงฝ่ามือก็ดังขึ้นสองครั้งติดกัน ฝ่ามือหยาบกร้านของทหารตบลงบนใบหน้าเล็กๆ ของสาวใช้วัยสิบสี่ปี จิ่งหรูมึนงงชั่วขณะ หูนางอื้ออึง ไม่ได้ยินเสียงใด กระทั่งเห็นว่าฟ่านอวี้เหยาอ้าปากกว้าง แสดงท่าเหมือนหวีดร้อง เพราะมีทหารอีกสองคนหมายจะเข้าไปจับตัวนาง จิ่งหรูก็ดิ้นหลุดมือทหารสำเร็จ นางเตรียมเข้าไปปกป้องเจ้านาย แต่กลับถูกถีบอย่างแรงที่ข้อพับขาด้านหลัง เด็กสาวล้มหน้าคะมำพื้น ทั้งจุกเจ็บ มีเลือดไหลออกจากริมฝีปาก กลิ่นคาวคลุ้งอยู่ด้านในจนนางสำรอก เป็นตอนนั้นที่ได้เห็นว่า ผ้าคลุมหน้าหลุดออกจากใบหน้างามล้ำของฟ่านอวี้เหยา “คุณหนู อย่าทำนาง สตรีผู้นี้เป็นฮูหยินน้อยสกุลเซียว!” เสียงที่จิ่งหรูประกาศ ทำให้ทหารเหล่าต่างจ้องเขม็งไปที่ร่างของสตรีในชุดเจ้าสาวแสนงดงาม ฟ่านอวี้เหยาตกใจที่ผ้าคลุมหน้าตนล่วงหล่นลงพื้น ขณะเดียวกัน มีสตรีนางหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“พวกท่านมีสิทธิกล่าวเช่นนี้กับคุณหนูข้าได้หรือ” จิ่งหรูว่าด้วยน้ำตา นางไม่อยากให้เจ้านายสาวถูกใครดูแคลนหรือเหยียดหยาม แม้ยามนี้บอบช้ำภายในร่างกายไม่น้อย “ฺฮ่ะๆ ๆ ได้สิ เพราะกำลังจะไปเป็นคนสกุลเซียว พวกที่ค้าขายอย่างฉ้อฉล จนร่ำรวยผิดวิสัย แต่ก่อนเข้าเมืองชั้นใน แม่นางต้องให้พวกข้าต้องตรวจอย่างละเอียด นี่คือระเบียบใหม่ และถ้าอยากเข้าหอกับบุรุษแซ่เซียวจนตัวสั่น จงรีบเปลืองผ้าเจ้าตรงนี้เถิด ให้ข้าได้เห็นประจักษ์ด้วยสายตาว่า ไม่ได้ลักลอกนำสิ่งใดเข้าเมืองโยว อีกอย่างตอนนี้กำลังของแม่ทัพปู้ เข้ามาควบคุมทุกอย่างแล้ว ใครจะทำสิ่งใดต้องมีบันทึกแน่ชัด ที่สำคัญให้งดงานรื่นเริงทั้งหมด งานแต่งของคนสกุลเซียวก็ไม่ละเว้น” ทหารผู้นี้ถึงไม่หยาบคายเท่าคนแรก แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ ย่อมมีนิสัยชั่วช้าและกดขี่ห่มเหงราษฎรไม่ต่างกัน “ผู้เป็นนายของท่านคงมีอำนาจล้นฟ้า ถึงได้ออกคำสั่งที่ส่งผลให้ผู้อื่น ต้องทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้” ฟ่านอวี้เหยาตอบโต้กลับ“ฮ่ะๆ ๆ กองทัพอาชาเหินหาว ย่อมอยู่เหนือราษฎร ที่มีแต่สร้างความยุ่งยากให้พวกข้าต้องดูแล โดยเฉพาะสตรีเช่นเจ้า ที่ดูอ
ในที่สุดฟ่านอวี้เหยาก็มาถึงคฤหาสน์สกุลเซียว ทว่ามันแปลกอยู่มาก ด้วยพิธีการใดๆ ทำอย่างลวกๆ แสนเร่งรีบและไม่มีใครปล่อยให้นางซักถามเพื่อไขความจริงทั้งหมดให้กระจ่าง อีกทั้งฟ่านอวี้เหยาไม่ทันได้เข้าเรือนหอด้วยซ้ำ ไม่ได้พบหน้าเจ้าบ่าวของตน ฝ่ายสกุลเซียวใช้ลูกหมูตัวหนึ่งเข้าพิธีแทน จากนั้น นางถูกไล่ต้อนขึ้นรถม้าคันหนึ่งพร้อมกับสาวใช้คนสนิท เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นภาพความที่ฟ่านอวี้เหยายังจดจำได้ และนับจากนี้นางต้องระวังตัวให้มาก “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลัวเหลือเกิน เหตุใดต้องมีเรื่องเช่นนี้ อีกอย่างเรือนต่างๆ ปิดเงียบ ผู้คนบางตา ปกติบ้านคหบดีเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนเป็นร้อย” จิ่งหรูถาม และพยายามชะโงกหน้ามองออกไปทางหน้าต่างรถม้า แต่แม่บ้านที่นั่งมาด้วย ถลึงตาปรามเอาไว้ “อย่าได้แส่หาเรื่องเชียว อีกอย่างต้องรีบออกจากที่นี่โดยด่วน คุณชายรองรออยู่เรือนรับรองนอก จากนั้นก็ต้องย้ายลงทางใต้ทันที” “แต่ คุณหนูเราแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินน้อย มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไฉนถึงจะต้องพาไปอยู่ที่อื่นด้วย” “พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย ยามนี้ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ส่ง
ฟ่านอวี้เหยารู้สึกว่ายามนี้ หลายสิ่งไม่เหมือนเดิม เหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาหัว นางสับสน หวาดกลัว หวีดร้องอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งรู้สึกว่าตนตกอยู่ในห้วงเหวลึก ก่อนจะเผชิญกับหลายสิ่งที่ไม่ค้นตา ทว่าทั้งหมดนั้นนางกับเข้าใจได้ ราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดนางก็มาอยู่ในโลกคู่ขนาน ไม่ผลุบเข้าผลุบออกในร่างกายนี้ เหมือนแต่ก่อน อีกอย่างได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขหลายสิ่งให้ถูกต้อง และนางจะไม่สิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรู ต้องมีชีวิตยืนยาวมากกว่าชาติภพก่อน เมื่อนางสะดุ้งตื่นจากการหลับที่ยาวนาน ก็พบว่านางเป็นเจ้าสาวที่ไม่ได้เข้าห้องหอ ถึงอย่างนั้นก็มีฝันแสนเลวร้าย ที่หญิงสาวนึกขยาดและรังเกียจตน นางเผลอใจและร่างกายให้บุรุษอื่นที่ไม่ได้หมั้นหมาย คราแรก ฟ่านอวี้เหยาคิดอยากกัดลิ้นตนเองตาย ไม่ก็โม่งกำแพงใจจบชีวิตเสีย แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น และย้ำเตือนสติ นางต้องอยู่ต่อไป “พี่อี้…” ฟ่านอวี้เหยาผวา และเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น ซึ่งก่อนสลบไปเป็นเวลายาวนาน นางรับรู้ได้ว่า มีเสียงอึกทึกรอบตัว เมื่อศีรษะกระแทกรุนแรงกับของแข็งสติก็หลุดหาย
ปู้หว่านอี้สูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของหญิงสาว นางเป็นสตรีแสนเย้ายั่ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด สายตาของนางในขณะที่สานสบกัน มันแตกต่างจากเดิม! ความรู้สึกนี้ทำให้เขา อดสังหรณ์ใจในบางสิ่งไม่ได้ หวังว่านางคงไม่ถอดจิตออกจากร่าง แล้วให้ปีศาจเข้าสิงหรอกนะ ก่อนเดินทางมายังค่ายทหารนี้ เขาย้อนคิดถึงภาพครั้งที่ยื่นมือช่วยชีวิตนางไว้ ดวงหน้าคร้ามคม มีรอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปาก ฟ่านอวี้เหยา เป็นสตรที่ชอบทำให้เขาหงุดหงิด และหัวเสีย หลังจากฟื้นจากการที่รถม้าก็ถูกมือสังหารมุ่งร้าย ฝ่ายนางออกแรงตบตี และกัดเขา สตรีบ้าและปัญญาทึบย่อมเป็นเช่นลูกสาวของหมอหลวงฟ่าน “รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” ฟ่่านอวี้เหยาที่เขาเห็นว่านางเหมือนสตรีอ่อนแอ ในยามนั้นกลับเป็นคนบ้า “ผีจากขุมนรก ไม่ก็มูลสุนัขที่มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นอาจม จากร่างกายผู้คนที่เขาถ่ายทิ้งอย่างเรี่ยราด” “ฮึ เจ้าสาวของไอ้ขี้แพ้แซ่เซียวปากเยี่ยงแม่ค้าตลาดเช่นนี้” “ท่านไม่มีสิทธิ์พูดถึงสามีข้า” “สามีเจ้า ฮ่าๆ ๆ คิดเห็นเช่นไร ถึงเรียกผู้อื่นที่ยังไม่ได้เข้าหอด้วยว่าเป็นสามี ข้าต่างหากที่จะครอบครองเจ้
ฟ่านอวี้เหยารู้สึกถึงการบุกรุกของคนตัวสูงใหญ่ แรกเริ่มเขาป่าเถื่อนและดุดัน ทว่าทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การส่งเสียงดังๆ สลับคำรามขู่ หากเมื่อถึงบทร่วมรักกันจริงๆ อีกฝ่ายออมแรงเอาไว้ เรียกได้ว่ายั้งมือก็คงไม่ผิด ช่างน่าประหลาดใจ แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ยินยอมให้เขาล่วงเกินอยู่ดี ซึ่งบุรุษผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหมา หรือ เสือร้าย ฟ่านอวี้เหยาก็ไม่อยากสนใจ ยามนั้นท่อนเนื้ออุ่นๆ ไม่ได้จ้วงแทงเข้าสู่กลีบสวาท เขาเสือกมันเข้าหว่างขาหนีบนาง และสั่งฟ่านอวี้เหยาออกแรงบีบชิดสองขาเข้าหากัน ถึงอย่างนั้น สตรีที่ไม่เคยพบคนป่าเถื่อนและดูโรคจิตเช่นนี้ ก็ตัวสั่นไปหมด “อย่าอ่อนแอ ออกแรงให้มากกว่านี้ จงบีบให้งูยักษ์ข้าให้แหลกเหลว เจ้าทำได้หรือไม่” งูยักษ์… ฮึ นางไม่ได้เห็นมันด้วยซ้ำ แต่รู้สึกว่า ท่อนเนื้อเขาเป็นสัตว์เลือดร้อน และขนาดลำของมันยาวใหญ่ คงมีเส้นเลือดขึ้นปูดโปนตลอดความแข็งแกร่ง! “ข้าไม่ใช่คนไร้ยางอาย ที่จะทำเรื่องน่าเกลียดเช่นนั้น” “เด็กน้อย ข้ากำลังสอนวิธีรับแขกให้เจ้า เร็วเข้าอย่าทำตัวน่าเบื่อไปหน่อยเลย นางโลมต่ำต้อย เลือกแข
จากนั้น เขาลากหญิงสาวมาที่โต๊ะ ปัดทุกอย่างลงไปกองบนพื้น ด้วยมือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง ฟ่านอวี้เหยาจึงทั้งเจ็บ ทั้งตื่นตระหนก เมื่อนางนอนอยู่ที่พื้นโต๊ะ เขาทำในสิ่งที่นางต้องหวีดร้องหนัก “เหยาเหยา ตัวเจ้านั้นเป็นเจ้าสาวไม่ใช่หรือ ภาพใต้หีบสินเจ้าสาว และตำราอุ่นเตียง ไม่เคยศึกษาหรืออย่างไร ช่างไร้เดียงสายิ่ง” ฟ่านอวี้เหยาอับอาย นางได้รับการเตรียมตัวจากแม่สื่อแล้ว เรือนกายบุรุษก็เห็นจากภาพวาด แต่ไฉนมันจะเหมือนของจริงตรงหน้าที่แผ่ซานความอุ่นจัด และชวนให้หัวใจกระโจนออกมาอยู่นอกอกเช่นนี้ “อัปลักษณ์ งะ งูของท่าน ทำให้ขาคอแข็ง และอยากสำรอกที่สุด” “ฮ่าๆ ๆ ดี ยังไม่ได้กลืนน้ำหวานข้า เจ้าก็แพ้ท้องเสียแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เขากล่าวจบก็ยิ้มย่อง จากนั้นจึงใช้กลางกลายของตนตบแก้มนางเบาๆ สลับข้างซ้ายและขวา “เหยาเหยา…อยากให้ข้าทำเจ้าแปดเปื้อนที่ปากบนนี้ก่อน หรือปากล่างอวบนูนดี” เขาถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตั้งใจให้นางคลั่งไคล้ ทว่าเป็นตอนนั้นที่ ฟ่านอวี้เหยานิ่งไป และนางนิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มจึงหยุดการเคลื่อนไหว “เฮ้ย เหลวไหล ไม่เคยมีสตรีค
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย
ในกลางดึกคืนนั้น ฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ กระนั้นก็มีแขกมาเที่ยวตรอกโคมเขียวไม่หยุด ทว่ามีเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวซอมซ่อ ก้าวเข้ามาที่หอวสันต์รัญจวน และบอกว่าอยากได้หญิงงามสักคนปรนนิบัติ เสียงหัวเราะดังขร่ม สายตาทุกคู่มองเขา และส่งความดูถูกไปอย่างปิดไม่มิด ลี่ชุนส่ายหน้าระอา คนผู้นั้นไม่มีเงิน หากบอกแต่ว่าจะนำอาหารที่เขาเตรียมมาเป็นค่าตัวหญิงงาม อันที่จริงนางเข้าใจความต้องการของบุรุษดี แต่นางไม่ได้เปิดโรงทาน เพื่อให้สาวงามในหอฯ หลับนอนกับผู้ใดโดยไม่จ่ายเงิน “จับมันโยนออกไป” แม่เล้ากล่าวอย่างนั้น ก็มีหลายคนที่พุ่งเข้ามาหมายจะทำตามคำสั่ง แต่ไม่ทันได้ถึงตัวเขา คนของหอนางโลมพากันล้มกองลงพื้น และร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร ลี่ชุนมองซ้ายแลขวา คาดว่าคืนนี้นางต้องเจอเรื่องชวนปวดหัวเป็นแน่ ใครกำลังเล่นตลกกับนาง เหล่าจอมยุทธ์ไม่ค่อยแวะเวียนมาใช้บริการหอวสันต์รัญจวน คนพวกนั้น มักไปทางตรอกทางใต้มากกว่า ด้วยราคาสาวงามประหยัด ไม่เรื่องมาก อีกทั้งมีการแสดงของนักมายากลด้วย ส่วนบริเวณนี้ มักเป็นขุนนาง พ่อค้า หรือคนต่างเมืองที่มีฐานะ หรือไม่ก็พว
หลายวันที่ผ่านมา รั่วตงอวิ๋นทำตัวราวกับเป็นสายลับ แม้ลี่ชุนกับหมางจูจะห้ามปราม แต่พื้นนิสัยนางเป็นคนรั้น เมื่อสมองคิดจึงเร่งมือทำ และทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้มั่นใจว่า บุรุษที่นางพลีกายให้เขา คือคนที่ภายภาคหน้านางจะสามารถมอบหัวใจแก่อีกฝ่าย เรื่องนี้ออกจะเป็นการฝันเฟื่อง ทว่าภาษากายที่เขาส่งถึงนางให้คืนเร่าร้อน และคำพูดที่บอกทิ้งท้ายเอาไว้ แจ้งชัดว่าเขาถวิลหานาง “อวิ๋นชิน เป็นนางโลมแล้ว ยังสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ข้า และทำหน้าที่มารดาที่ดีได้หรือไม่” คำพูดเขา ฟังแล้วก็คงเป็นของชายปากร้าย แต่อย่างที่นางบอก คนสวมหน้ากากครึ่งหน้า แสร้งทำตัวอัปลักษณ์ ซึ่งเขาไม่ได้แสดงด้านดีๆ ออกมาให้นางเห็นแต่แรก กระนั้นกลับสร้างความประทับใจต่อรั่วตงอวิ๋น จนภาพเขา เสียงเขา วิ่งวนอยู่ในหัวนางโดยไม่อาจสลัดให้หลุดพ้น “ขึ้นอยู่กับว่า บิดาของพวกเขา เห็นแม่ของลูกเป็นสิ่งของ หรือคู่ชีวิต ข้าไม่ต้องการเป็นเสื้อผ้า ที่วันหนึ่งมันเก่าทั้งขาด ท่านก็คิดจะโยนมันทิ้ง โดยไม่เหลียวแลอีก” “ไม่ใช่เสื้อผ้า ไม่ใช่เครื่องประดับ ข้าอยากให้เจ้าเป็นมารดาของก้อนแป้งสักสามสี่ก้อน เพียงเท่านี้ทำไ
การมาที่นี่ ไม่คาดคิดว่ารั่วตงอวิ๋นจะได้พบกับคนสาระเลว เหตุการณ์มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดสักหน่อย คราแรกนางก็ชมการแสดงอย่างมีความสุข ทั้งแจกรางวัลให้นักแสดงไปมิน้อย นั่นคือการแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น หลังจากได้เงินมาจากโต้วเซ่าเหล่ย ตามเดิมนางควรกลับหอวสันต์รัญจวน แต่เพราะการได้พบนักเล่านิทานสัปดน ความแค้นในใจก็ทำให้นางต้องวางแผนร้าย “เสี่ยวอวิ๋น... เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” ยามนี้หมางจูทราบแล้วว่า จิ่งเว่ยหานอยู่ที่นี่ และเขากลายเป็นนักเล่านิทาน “ฮึ ข้าไม่คิดว่า เขาจะมาทำงานเช่นนี้ คงเป็นเพราะสอบขุนนางไม่ได้ เรื่องนี้ข้าควรเฉลียวใจตั้งแต่แรก ว่าเขามีดีก็แค่หน้าตา และคำลวง” หมางจูเข้าใจสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นกล่าว นางผ่านประสบการณ์ถูกคนชั่วหลอกให้หลงรัก สุดท้ายก็มาทำงานที่หอนางโลม มีชีวิตไม่ต่างจากสตรีคนอื่นๆ “แล้วคิดจะทำเช่นไร แก้เผ็ดเขาเยี่ยงนั้นหรือ” “มิได้ ข้าแค่อยากให้เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้ ต้องขายตัว ขายศักดิ์ศรี อยู่ใต้ชายกระโปรงสตรีไปชั่วชีวิต” “นั่นหมายความว่าเจ้าจะซื้อเขาไปเป็นทาสรับใช้” รั่วตงอวิ๋นส่ายหน้า