ในที่สุดฟ่านอวี้เหยาก็มาถึงคฤหาสน์สกุลเซียว ทว่ามันแปลกอยู่มาก ด้วยพิธีการใดๆ ทำอย่างลวกๆ แสนเร่งรีบและไม่มีใครปล่อยให้นางซักถามเพื่อไขความจริงทั้งหมดให้กระจ่าง
อีกทั้งฟ่านอวี้เหยาไม่ทันได้เข้าเรือนหอด้วยซ้ำ ไม่ได้พบหน้าเจ้าบ่าวของตน ฝ่ายสกุลเซียวใช้ลูกหมูตัวหนึ่งเข้าพิธีแทน
จากนั้น นางถูกไล่ต้อนขึ้นรถม้าคันหนึ่งพร้อมกับสาวใช้คนสนิท เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นภาพความที่ฟ่านอวี้เหยายังจดจำได้ และนับจากนี้นางต้องระวังตัวให้มาก
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลัวเหลือเกิน เหตุใดต้องมีเรื่องเช่นนี้ อีกอย่างเรือนต่างๆ ปิดเงียบ ผู้คนบางตา ปกติบ้านคหบดีเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนเป็นร้อย” จิ่งหรูถาม และพยายามชะโงกหน้ามองออกไปทางหน้าต่างรถม้า แต่แม่บ้านที่นั่งมาด้วย ถลึงตาปรามเอาไว้
“อย่าได้แส่หาเรื่องเชียว อีกอย่างต้องรีบออกจากที่นี่โดยด่วน คุณชายรองรออยู่เรือนรับรองนอก จากนั้นก็ต้องย้ายลงทางใต้ทันที”
“แต่ คุณหนูเราแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินน้อย มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไฉนถึงจะต้องพาไปอยู่ที่อื่นด้วย”
“พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย ยามนี้ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ส่งฮูหยินน้อยให้ถึงเรือนนอก จงรักษาชีวิตเอาไว้เถิด อย่าคิดหาภัยให้ตนเดือดร้อน อีกอย่างพวกเจ้าก็ได้เห็นแล้ว กองทัพแม่ทัพปู้กำลังย้ายเข้ามาควบคุมทุกอย่างในเมืองโยว ฝ่ายนั้นมีกำลังล้นเหลือ และยังบ้าอำนาจ ใครขวางทาง ย่อมถูกจัดการให้พ้นหูพ้นตา”
จิ่งหรูไม่ชอบคำพูดของแม่บ้านผู้นี้ อย่างไรเสียคุณหนูนางเป็นลูกสาวหมอหลวงที่ฮ่องเต้ไว้วางใจ แม้ไม่ใช่องค์หญิงสูงศักดิ์ แต่ลดตัวลงมาแต่งเข้าสกุลเซียวที่ให้ดีก็แค่ร่ำรวยเงินทอง
“แม่บ้านผู้นี้ ปากเจ้ายังอยากมีไว้กินข้าว และดื่มน้ำอีกหรือไม่”
ถานลู่ได้ยินอย่างนั้นพลันลมออกหู นางไม่น่ารับงานนี้เลย อันที่จริงสมควรหนีเอาตัวรอดเสีย ทว่าคุณชายรองกำชับนักหนา อย่างไรต้องส่งฮูหยินของเขาไปในที่ปลอดภัยที่สุด
ยามนี้อีกฝ่ายคงซ่อนตัวอยู่ หากกล่าวไปแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ฤกษ์ไม่ดีนัก ด้วยประจวบเหมาะกับเวลาที่สกุลเซียวถูกข้อกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนขุนนางกังฉิน ค้าขายสินค้ากับต่างแคว้น พร้อมสนับสนุนทั้งเสบียงและอาวุธสงคราม จึงเป็นเหตุให้คฤหาสน์ทั้งหลังแทบจะร้างผู้คน ซึ่งกล่าวไปแล้ว สตรีที่เพิ่งแต่งเข้าเรือน เป็นตัวอัปมงคลโดยแท้
รถม้าพาฟ่านอวี้เหยาเดินทางไกลตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวาน และพักที่โรงเตี้ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีทหารที่ออกมาสืบข่าวต่างๆ ทั้งหาความสุขกับนางโลมที่อยู่ซ่องในละแวกนั้นบ้าง
ฟ่านอวี้เหยาไม่ใคร่ชอบใจที่นี่ นางรำคาญความวุ่นวาย อีกทั้งยังเห็นว่า มีการทำผิดกฎหมายหลายอย่าง โดยเฉพาะนางโลมเหล่าอายุยังน้อย ซึ่งนอกจากเป็นสตรี ยังมีเด็กชายด้วย
บริเวณโถงที่มีไว้รับรองผู้คนและขายอาหาร ฟ่านอวี้เหยายังสวมชุดเจ้าสาว มีเสื้อคลุมตัวหน้าทับไว้อีกชั้น กวาดตามองภาพต่างๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ทหารพวกนั้น อยู่ในกองทัพจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“คงอยู่ในช่วงกลียุคจริงๆ เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น”
ฟ่่านอวี้เหยาว่า มองไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อีกฝ่ายกำลังจะถูกหิ้วออกไปสร้างความสำราญให้แก่ทหารถึงสามคนด้วยกัน
“น่ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ถ้าหากทหารพวกนี้ เข้ามาควบคุมทุกอย่างในบ้านเมือง จะมีเรื่องเลวร้ายเพียงใด”
จิ่งหรูถาม และหัวใจของฟ่านอวี้เหยาหดเกร็ง…
“ข้าก็หวังว่า จะมีคนที่มีอำนาจมากกว่าปู้หว่านถิง สามารถกำราบความเหิมเกริมของเขาได้”
“โอ้ คุณหนู อย่าเอ่ยชื่อเขาแบบนั้นสิเจ้าคะ บ่าวแค่ได้ยินก็ตัวสั่น ฉี่แทบราด ยังจำได้เลยว่า เขานั่งบนหลังม้าตัวใหญ่ และฟาดแส้ใส่คุณหนูจนบาดเจ็บ”
“บางทีข้ากับเขา คงเคยสร้างกรรมเวรไว้ร่วมกัน”
หญิงสาวเอ่ยแล้ว ภาพบางอย่างก็หมุนสลับไปมา หลายหนนางรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง นอกจากนั้นยังมองเห็นเรื่องราวในภายภาคหน้า และก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า อีกไม่นานนับจากนี้ นางอาจต้องประสบหายนะครั้งใหญ่ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด
“เรารีบเข้านอนเถิด ข้าคิดว่าพักผ่อนเอาแรงให้มากๆ พรุ่งนี้เช้าการเดินทางคงลำบากมิน้อย”
และทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ฟ่านอวี้เหยากล่าว เรือนนอกสกุลเซียวห่างจากเมืองโยวมากพอสมควร เส้นทางนั้นก็ซับซ้อน เป็นทั้งป่า ต้องผ่านช่องเขา อีกทั้งเมื่อใกล้ถึงที่หมายก็เกิดเรื่องชวนให้น่าหวาดหวั่น
“มิใช่่ทหารเป็นแน่ ดูอย่างไรก็เหมือนพวกที่ปลอมตัวมา พวกมันต้องการตรวจค้น รถม้าที่ผ่านจุดนี้ทุกคัน…แม่บ้านถาน ทางที่ดี เราเปลี่ยนเส้นทางเถิด”
เด็กหนุ่มที่บังคับรถม้าแจ้งเรื่องที่เขาประเมินแล้วก็เห็นว่าไม่ปลอดภัยกับถานลู่ ด้วยมีการแอบอ้าง และปลอมตัวเป็นทหารของปู้หว่านถิง ทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกก่อกบฏนั่นเอง
ถานลู่ได้ยินแล้วกลับชักหน้า และส่งเสียงโต้ตอบเขาผ่านช่องระหว่างคนขับ และห้องโดยสารด้านใน
“เหลวไหล อย่างไรฮูหยินน้อยนางนี้ ต้องไปถึงเรือนนอก และใครหน้าไหนก็ตรวจค้นรถสกุลเซียวไม่ได้”
เมื่อถานลู่กล่าวอย่างนั้น แต่ชายชราที่เป็นคนงานดูแลทั้งม้า และรถคันนี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มตะโกนบอกว่า
“แม่บ้านถาน เราเลือกใช้เส้นทางอื่นได้ ข้าบอกตั้งแต่ต้นแล้ว หากเลี่ยงการเข้าใกล้หุบเขา และป่าทึบย่อมดีที่สุด แต่เจ้าดึงดันจะมาให้ได้ บอกว่าเป็นทางลัด แต่ดูเอาเถิดอันตรายรออยู่ข้างหน้าแล้ว หรือว่าแท้จริง เจ้ารับเงินคนอื่น และมีแผนร้ายต่อฮูหยินน้อยผู้นี้!”
พอชายสูงวัยกล่าวจบ จู่ๆ ลูกธนูก็พุ่งมาแล้วปักทะลุหัวไหล่เขา!
จากนั้น ช่องระหว่างห้องโดยสารและขับควบคุมรถม้าถูกปิดอย่างเร็ว และถานลู่ก็รีบเอ่ยขึ้น
“ชุดเจ้าสาว ของท่านควรถอดออกเสีย หากไม่อยากตาย” ถานลู่บอกฟ่านอวี้เหยา แต่คนที่ตั้งใจมาเป็นเจ้าสาวของเซียวเจี้ยนอี้ ไฉนจะยอมทำได้ นางมาถึงเมืองโยว ไม่ได้เข้าห้องหอ ยังต้องมาอยู่เรือนนอก ตอนนี้ถูกคำสั่งจากแม่บ้านบอกให้นางเปลี่ยนชุด
“แม่บ้านถาน ข้าจะบอกอีกหน ข้าแต่งเข้าสกุลเซียว ยามนี้แม้ยังไม่ได้เข้าหอ แต่ข้าเป็นคนของเซียวเจี้ยนอี้แล้ว อีกอย่างเจ้าเป็นเพียงแม่บ้าน ไฉนถึงได้พูดจาไม่เคารพข้า”
ฟ่านอวี้เหยา ดูเหมือนนุ่มนิ่ม แต่นางได้รับการศึกษาดี ไม่ได้ปัญญาทึบ อาจบอบบางไปบ้าง หากอย่างไรนางนั้นสู้คน
ในขณะที่มีหลายสิ่งให้ต้องขบคิดหนัก ฟ่านอวี้เหยาก็ปวดที่แผลขึ้นมาอีก และนางเหมือนจะสลบไปในยามนั้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่รถม้าจอดลงเสียดื้อๆ ฝ่ายคนขับรถม้า ไม่พูดพล่ามหรือบอกกล่าวอัดใด พอกระโดดลงรถม้าได้ เด็กหนุ่มวิ่งหนีเข้าป่าเสียอย่างนั้น
ถานลู่ ฉุนเฉียวอย่างหนัก นางต้องรับผิดชอบสิ่งใดที่มากเกินตัวเยี่ยงนี้หนอ
จากนั้นนางก็ออกจากรถม้า คิดหาทางรอดบ้าง ด้วยนางรู้ว่าฟ่านอวี้เหยา มิใช่มีเพียงแค่ฐานะฮูหยินน้อยสกุลเซียว ทว่ายังเป็นลูกสาวของหมอฟ่าน ที่ถูกขุนนางกังฉินหลอกยืมมือ และใส่ร้ายว่าลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ (ฉางอ๋อง) ซึ่งนางก็ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง เพื่อส่งตัวฟ่านอวี้เหยาให้อีกฝ่าย
“คุณหนู ฟื้นสิเจ้าคะ”
เสียงของจิ่งหรูฟังแล้วก็ตื่นตระหนก ยามนี้รถม้าจอดสนิท ทั้งแม่บ้านถู คนขับรถม้าต่างหายหัวไปหมด
สาวใช้เปิดหน้าต่าง มองไปด้านนอก เห็นทหารหลายสิบนายอยู่ไม่ห่างนัก ซึ่งนางมีไหวพริบอยู่บ้าง ทหารหลายนายแต่งตัวไม่ถูกต้อง ทั้งมีหนวดเครารุงรัง ประเมินด้วยสายตาก็คิดว่าอาจเป็นโจรสวมรอย
“มือสังหารหรือ…”
นางแค่คาดการณ์ไปเท่านั้นเอง
“คุณหนู ฟื้นเถอะเจ้าค่ะ ภัยมาถึงตัวแล้ว”
จิ่งหรูเขย่าร่างเจ้านายของตน ทว่าบาดแผลที่หญิงสาวได้รับจากแส้ ทำให้นางเป็นไข้ แม้จะได้ยาลดการติดเชื้อ และสมานแผลพร้อมกับห้ามเลือด ทว่านางที่เดินทางไกลมาจากเมืองหลวงทั้งยังแพ้อาหาร พักผ่อนก็น้อย สุขภาพจึงไม่สู้ดี
กระทั่งจิ่งหรูแน่ใจว่า หากปล่อยไว้เช่นนี้ คงไม่มีทางรอดกันทั้งสองคน สาวใช้จึงตัดสินใจแน่วแน่ นางถอดชุดเจ้าสาวซึ่งเป็นเสื้อคลุมตัวนอกของฟ่านอวี้เหยาออก แล้วเปลี่ยนให้ตน ส่วนเสื้อผ้านางสวมให้ฟ่านอวี้เหยา แต่ใส่ได้เพียงลวกๆ เท่านั้น ด้วยมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ
จิ่งหรูตัดสินใจเด็ดเดี่ยวกระโดดลงไปพื้นเบื้องล่าง แล้วเปิดขวดยาอันเป็นสารกระตุ้นให้ม้าตื่นตัว ม้าร้องอยู่สามสี่ครั้ง ก็เตรียมโผนทะยานไปข้างหน้า
“ทะ ท่านลุง ช่วยส่งคุณหนูของข้าไปยังที่ปลอดภัยได้หรือไม่” ชายสูงวัยที่เป็นผู้ช่วยคนควบคุมรถม้า เขายังพอมีแรงเฮือกสุดท้าย จึงยิ้มให้จิ่งหรู
“คุณชายรอง ให้ข้าพาฮูหยินน้อย ไปให้ถึงเรือนนอก… นี่คือคำสั่งที่ข้าได้รับ”
“ฝากท่านลุงด้วย คุณหนูเป็นคนดี จะต้องไม่เป็นอันตราย ส่วนท่านลุง…” จิ่งหรูมองที่ธนูที่ปักอยู่หัวไหล่อีกฝ่าย บาดแผลฉกรรจ์ทีเดียว เลือดก็ไหลไม่หยุด
“ไว้ใจได้ แม้ตายเป็นผี ฮูหยินน้อยก็จะถึงเรือนนอก”
ชายชรากล่าวจบรถม้าก็เปลี่ยนเส้นทาง และเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู… อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในมือคนพวกนั้น บ่าวโง่เขลาทำได้เพียงเท่านี้” จิ่งหรูว่าแล้ว นางซึ่งสวมชุดเจ้าสาวก็มองไปยังกลุ่มทหารที่บ่ายหน้าเข้ามา ก่อนรีบออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ฟ่านอวี้เหยารู้สึกว่ายามนี้ หลายสิ่งไม่เหมือนเดิม เหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาหัว นางสับสน หวาดกลัว หวีดร้องอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งรู้สึกว่าตนตกอยู่ในห้วงเหวลึก ก่อนจะเผชิญกับหลายสิ่งที่ไม่ค้นตา ทว่าทั้งหมดนั้นนางกับเข้าใจได้ ราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดนางก็มาอยู่ในโลกคู่ขนาน ไม่ผลุบเข้าผลุบออกในร่างกายนี้ เหมือนแต่ก่อน อีกอย่างได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขหลายสิ่งให้ถูกต้อง และนางจะไม่สิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรู ต้องมีชีวิตยืนยาวมากกว่าชาติภพก่อน เมื่อนางสะดุ้งตื่นจากการหลับที่ยาวนาน ก็พบว่านางเป็นเจ้าสาวที่ไม่ได้เข้าห้องหอ ถึงอย่างนั้นก็มีฝันแสนเลวร้าย ที่หญิงสาวนึกขยาดและรังเกียจตน นางเผลอใจและร่างกายให้บุรุษอื่นที่ไม่ได้หมั้นหมาย คราแรก ฟ่านอวี้เหยาคิดอยากกัดลิ้นตนเองตาย ไม่ก็โม่งกำแพงใจจบชีวิตเสีย แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น และย้ำเตือนสติ นางต้องอยู่ต่อไป “พี่อี้…” ฟ่านอวี้เหยาผวา และเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น ซึ่งก่อนสลบไปเป็นเวลายาวนาน นางรับรู้ได้ว่า มีเสียงอึกทึกรอบตัว เมื่อศีรษะกระแทกรุนแรงกับของแข็งสติก็หลุดหาย
ปู้หว่านอี้สูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของหญิงสาว นางเป็นสตรีแสนเย้ายั่ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด สายตาของนางในขณะที่สานสบกัน มันแตกต่างจากเดิม! ความรู้สึกนี้ทำให้เขา อดสังหรณ์ใจในบางสิ่งไม่ได้ หวังว่านางคงไม่ถอดจิตออกจากร่าง แล้วให้ปีศาจเข้าสิงหรอกนะ ก่อนเดินทางมายังค่ายทหารนี้ เขาย้อนคิดถึงภาพครั้งที่ยื่นมือช่วยชีวิตนางไว้ ดวงหน้าคร้ามคม มีรอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปาก ฟ่านอวี้เหยา เป็นสตรที่ชอบทำให้เขาหงุดหงิด และหัวเสีย หลังจากฟื้นจากการที่รถม้าก็ถูกมือสังหารมุ่งร้าย ฝ่ายนางออกแรงตบตี และกัดเขา สตรีบ้าและปัญญาทึบย่อมเป็นเช่นลูกสาวของหมอหลวงฟ่าน “รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” ฟ่่านอวี้เหยาที่เขาเห็นว่านางเหมือนสตรีอ่อนแอ ในยามนั้นกลับเป็นคนบ้า “ผีจากขุมนรก ไม่ก็มูลสุนัขที่มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นอาจม จากร่างกายผู้คนที่เขาถ่ายทิ้งอย่างเรี่ยราด” “ฮึ เจ้าสาวของไอ้ขี้แพ้แซ่เซียวปากเยี่ยงแม่ค้าตลาดเช่นนี้” “ท่านไม่มีสิทธิ์พูดถึงสามีข้า” “สามีเจ้า ฮ่าๆ ๆ คิดเห็นเช่นไร ถึงเรียกผู้อื่นที่ยังไม่ได้เข้าหอด้วยว่าเป็นสามี ข้าต่างหากที่จะครอบครองเจ้
ฟ่านอวี้เหยารู้สึกถึงการบุกรุกของคนตัวสูงใหญ่ แรกเริ่มเขาป่าเถื่อนและดุดัน ทว่าทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การส่งเสียงดังๆ สลับคำรามขู่ หากเมื่อถึงบทร่วมรักกันจริงๆ อีกฝ่ายออมแรงเอาไว้ เรียกได้ว่ายั้งมือก็คงไม่ผิด ช่างน่าประหลาดใจ แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ยินยอมให้เขาล่วงเกินอยู่ดี ซึ่งบุรุษผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหมา หรือ เสือร้าย ฟ่านอวี้เหยาก็ไม่อยากสนใจ ยามนั้นท่อนเนื้ออุ่นๆ ไม่ได้จ้วงแทงเข้าสู่กลีบสวาท เขาเสือกมันเข้าหว่างขาหนีบนาง และสั่งฟ่านอวี้เหยาออกแรงบีบชิดสองขาเข้าหากัน ถึงอย่างนั้น สตรีที่ไม่เคยพบคนป่าเถื่อนและดูโรคจิตเช่นนี้ ก็ตัวสั่นไปหมด “อย่าอ่อนแอ ออกแรงให้มากกว่านี้ จงบีบให้งูยักษ์ข้าให้แหลกเหลว เจ้าทำได้หรือไม่” งูยักษ์… ฮึ นางไม่ได้เห็นมันด้วยซ้ำ แต่รู้สึกว่า ท่อนเนื้อเขาเป็นสัตว์เลือดร้อน และขนาดลำของมันยาวใหญ่ คงมีเส้นเลือดขึ้นปูดโปนตลอดความแข็งแกร่ง! “ข้าไม่ใช่คนไร้ยางอาย ที่จะทำเรื่องน่าเกลียดเช่นนั้น” “เด็กน้อย ข้ากำลังสอนวิธีรับแขกให้เจ้า เร็วเข้าอย่าทำตัวน่าเบื่อไปหน่อยเลย นางโลมต่ำต้อย เลือกแข
จากนั้น เขาลากหญิงสาวมาที่โต๊ะ ปัดทุกอย่างลงไปกองบนพื้น ด้วยมือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง ฟ่านอวี้เหยาจึงทั้งเจ็บ ทั้งตื่นตระหนก เมื่อนางนอนอยู่ที่พื้นโต๊ะ เขาทำในสิ่งที่นางต้องหวีดร้องหนัก “เหยาเหยา ตัวเจ้านั้นเป็นเจ้าสาวไม่ใช่หรือ ภาพใต้หีบสินเจ้าสาว และตำราอุ่นเตียง ไม่เคยศึกษาหรืออย่างไร ช่างไร้เดียงสายิ่ง” ฟ่านอวี้เหยาอับอาย นางได้รับการเตรียมตัวจากแม่สื่อแล้ว เรือนกายบุรุษก็เห็นจากภาพวาด แต่ไฉนมันจะเหมือนของจริงตรงหน้าที่แผ่ซานความอุ่นจัด และชวนให้หัวใจกระโจนออกมาอยู่นอกอกเช่นนี้ “อัปลักษณ์ งะ งูของท่าน ทำให้ขาคอแข็ง และอยากสำรอกที่สุด” “ฮ่าๆ ๆ ดี ยังไม่ได้กลืนน้ำหวานข้า เจ้าก็แพ้ท้องเสียแล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” เขากล่าวจบก็ยิ้มย่อง จากนั้นจึงใช้กลางกลายของตนตบแก้มนางเบาๆ สลับข้างซ้ายและขวา “เหยาเหยา…อยากให้ข้าทำเจ้าแปดเปื้อนที่ปากบนนี้ก่อน หรือปากล่างอวบนูนดี” เขาถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตั้งใจให้นางคลั่งไคล้ ทว่าเป็นตอนนั้นที่ ฟ่านอวี้เหยานิ่งไป และนางนิ่งผิดปกติ ชายหนุ่มจึงหยุดการเคลื่อนไหว “เฮ้ย เหลวไหล ไม่เคยมีสตรีค
หลังอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมกลั่นแกล้งหญิงงามพอให้นางเกลียดขี้หน้าเขามากกว่าเดิม ปู้หว่านถิงก็สั่งการคนใต้บังคับบัญชาในค่ายทหาร แล้วจึงออกเดินทางพร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีรถม้าติดตามอีกสามคัน สาวงามที่อยู่ในรถม้ามีหน้าที่รับรองแขก เรื่องเหล่านี้เป็นธรรมเนียมที่เขาไม่ชอบใจ ทว่ายังดีกว่าให้พวกขุนนางและแขกต่างเมืองที่ชื่นชอบสาวงามพรากสตรีจากอ้อมอกพ่อแม่มาบำเรอความสุขแก่ตน ซึ่งในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องที่มีให้เห็นเสมอเมื่อตัณหามนุษย์เป็นเช่นนี้ เขาก็แค่เรียนรู้ที่จะซื้อใจผู้อื่น อีกอย่างสตรีที่แขวนป้ายรับแขกในกองทัพ ล้วนทำงานที่เหมาะสม พวกนางได้ค่าจ้างอย่างงาม อยู่ดีกินดี เขาไม่ได้เปิดซ่องชั้นต่ำอย่างที่ต่างแคว้นทำ ซึ่งส่วนมากจะชิงสาวงามมาจากต่างบ้านต่างเมืองจนเกิดเรื่องเลวร้ายมากมาย จนบางคนเหมือนตกนรกทั้งเป็น นอกเหนือจากนั้น สาวงามของเขายังมีวรยุทธ์ พวกนางจัดการบุรุษตัวโตๆ ได้อย่างสบาย บางคนทำหน้าที่สายลับหรือมือสังหารให้เขาด้วย เรื่องนี้น้อยคนจะล่วงรู้ และพวกนางสามารถเป็นอิสระ เมื่อพ้นวัยรับแขก หรือหากทำงานที่เขามอบหมายสำเร็จ ก็ถือว่าสามารถไถ่ตนออกจากการเป
โอ้ ฟ่านอวี้เหยา นางเกิดมาเพื่อเป็นคู่กรรม คู่จองเวรเขาสินะ “ฮึ ข้าพร้อมรับแขกแล้ว รู้สึกร่านจนตัวาสั่น อยากเป็นสตรีที่เกลือกกลั้วกับบุรุษทุกคนในสวนด้านในนั้น” และเขาก็เดือดดาลขึ้นจริงๆ อยากบีบคอนางให้กระดูดแหลกคามือ ทว่าพอกระชากร่างบอบบางมาใกล้ตัวอีกหน ฟ่านอวี้เหยากลับร้องโอ๊ย สีหน้านางแสดงความเจ็บปวดให้เห็น “ทำข้าเลือดไหล ใบหน้าหล่อเหลานี้ยังมีริ้วรอย แต่เจ้ากลับแสแสร้งร้องไห้สำออยเช่นนี้หรือ น้ำตาเจ้าบีบออกมาจนหมดตัว ข้าก็ไม่หลงกลหรอก” ฟ่านอวี้เหยาอยากกรี๊ดใส่หน้าอีกฝ่าย แต่เป็นยามนั้นที่นางพยุงร่างตัวเองไม่ไหวแล้ว แต่จะนั่งลงบนพื้น ก็กลัวเขาจะเตะซ้ำ เลยฝืนยืนและมองเขาอยากเคียดแค้น “ขาข้าคงหักเพราะท่าน เมื่อครู่ไม่ดูหรืออย่างไรว่าข้าตกลงมาจากรถม้า” ชายหนุ่มเชิดหน้าสูง เขาพ่นลมหายใจร้อนๆ ตอบนางเสียงเย็นชา “เหยาเหยาก็ตบ และกัดข้า ถือว่าหายกัน อีกทั้งคืนนี้ ข้าจะไม่จ่ายค่าจ้างในการเอาท่อนเอ็นแทรกเข้าไปในกลีบช้ำๆ ของเจ้าเป็นอันขาด สักเหวินเดียวก็จะไม่โยนให้เจ้า” “ปากสุนัข ท่านมันเป็นลูกหมา ตัวโตและสมองลีบ!” นางขวัญ
ฟ่านอวี้เหยาเจ็บข้อเท้ามาก เรียกว่าร้องไห้จนตาแดง เหล่าคณิกาที่รับใช้ในค่ายทหารซึ่งมาด้วยกัน ต่างเข้ามาให้การช่วยเหลือ สตรีทุกคนล้วนงดงาม อยู่ในวัยสาว พวกนางมีจิตใจดี ไม่ได้รู้สึกว่าตนต่ำต้อยที่ทำงานเช่นนี้ ด้วยยังดีกว่าไปอยู่ในเหมืองทำงานเยี่ยงทาส หรือเป็นพวกโจรดักปล้นขโมยของ ไม่ก็รับใช้พวกนอกด่านด้วยการคลอดลูกเพื่อเสริมทัพทหาร “เดี๋ยวข้าจะช่วยทาให้ ยานี้มีสมุนไพรเย็นผสมอยู่ ทาและนวดเพียงประเดี๋ยวเจ้าก็ลุกขึ้นมาวิ่งได้แล้ว” ดวงตากลมโตมองตำรับยาดังกล่าว และเจ้าของร่างก็คุ้นตามาก “เอ อาเหยา เจ้ารู้จักยาตัวนี้หรือ เป็นของหายากเลยนะ มาจากโรงยาสกุลฟ่าน” ในค่ายทหาร ทุกคนรู้แต่ว่าหญิงสาวคือ อาเหยา และไร้แซ่ นั่นเป็นเพราะปู้หว่านถิงไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ความเป็นมาของนาง ระหว่างที่นวดข้อเท้า สตรีนางหนึ่งก็ทำท่าคันปากยิบๆ ก่อนเอ่ยถามขึ้นในที่สุด “ข้าได้ยินว่า เสื้อขนจิ้งจอกหางแดงนั่น เป็นของหายากยิ่งในยุคสมัยนี้ราคานับหมื่นตำลึงเงิน และแม่ทัพปู้ก็ใช้มันห่อร่างเจ้า และพามาไปที่ค่ายอาชาเหินหาว” “เสื้อผ้าของข้าขาด เรียกได้ว่าเปลือยทั้งตัวก็ไ
เซียวเจี้ยนอี้นิ่วหน้า เขาไม่อยากมีเรื่องกับสตรีโง่เขลา จอมสร้างเรื่อง ทว่าหากเอาแต่นิ่งเฉยไม่ปรามอีกฝ่าย ถี่หลันอาจสร้างความยุ่งยากให้น่ารำคาญกว่านี้ “องค์หญิงแปด ยามนี้ ข้ามาดื่มสุรา และชมความงามของแม่นางเล็กๆ ไฉนท่าน ผู้เจริญแล้ว ถึงมีอารมณ์ร้ายกาจเพียงนั้น” เซียวเจี้ยนอี้กล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เขาไม่ชอบเห็นคนที่อ่อนแอและเป็นชนชั้นต่ำถูกรังแก อีกทั้งเขารังเกียจสตรีอย่างถี่หลัน นางเป็นคนประเภทชอบเหยียบย่ำผู้อื่น และหาเรื่องคนไร้ทางสู้เก่งเป็นที่หนึ่ง เรียกได้ว่าหากนับอันดับคนชั่วช้าในวังหลวง นางคงอยู่ตำแหน่งหัวแถว “ข้าเดินทางไกลมาถึงที่นี่ เพื่อรับใช้ตามคำสั่งของฮ่องเต้ ตรวจดูการรับส่งเสบียง คอยเป็นขวัญและกำลังใจชาวบ้าน แต่กลับพบเจอพวกสวะ ที่อวดดี เห็นแล้วขวางหูขวางตายิ่ง” “ฮ่ะๆ ๆ นางยังไม่ทำสิ่งใดเลย บางทีอาจหูหนวก หรือเป็นใบ้ จึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของข้า” ถี่หลันถลึงตาใส่อีกฝ่าย แล้วตอบเขา “เซียวเจี้ยนอี้ อย่าคิดว่ายามนี้ใช้แซ่เจี่ยงแล้ว ข้าจะนับถือท่าน พวกพ่อค้าไฉนยังจะยกตนขึ้นมาเป็นขุนนางของฮ่องเต้ ผู้เป็นบิดาข้าได้” องค์หญิ
ดังนั้นแม้พวกนางยังมีตำแหน่ง แต่กลับไร้อำนาจ แถมโต้วเซ่าเหล่ยยังคาดโทษไว้สูงสุดด้วย ห้ามไม่ให้กลับเมืองหลวง และห้ามไม่ให้มีทายามสืบต่อไป ซึ่งทั้งเหยาเหอซาน กับปิงจือจือก็ยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดี อย่างน้อยพวกนางก็มีชีวิตอยู่ และนั่นคือสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นบอกแก่เขา ให้พวกนางมีชีวิตจนผมหงอก ฟันล่วงหมดปาก ป่วยตายด้วยโรคชรา พร้อมยังมีตำแหน่งชายาของเหล่ยอ๋อง “พวกนางรอดได้ก็เพราะอวิ๋นชินของข้าที่แสนดี” โต้วเซ่าเหล่ยเอ่ย ฝ่ายรั่วตงอวิ๋นก้าวตามชายหนุ่มไป และอีกฝ่ายจับมือนาง บีบเบาๆ ส่งมอบไออุ่น และความรักแก่นาง “เพราะตัวข้าพบเรื่องเลวร้ายมา ชีวิตเกือบต้องพังลงเพราะน้ำคำผู้ชาย ถึงพวกนางอาจมีความผิดบ้าง แต่การมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้มีลมหายใจอีกครั้งย่อมดีที่สุด ที่สำคัญเหล่ยอ๋อง ใจร้ายกับพวกนางมิน้อย ข้าเลยต้องชดเชยให้แก่เหอซาน และจือจือ เรือนนอกนั้น แม้ไกลเมืองหลวง แต่มีอาหารและสภาพอากาศดี อาจเปลี่ยวกายยามค่ำคืนบ้าง แต่ข้าเชื่อเหลือเกิน พวกนางย่อมมีทางออก” “เจ้าหมายความเช่นไร” รั่วตงอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ และตอบเขา “ทั้งหนังสือ ตำราภาพบุรุษงา
มีดสั้นของอ๋องเอวดุ ซิงอี คือแม่นางน้อยที่เดินได้เร็วกว่าวัยของตน และพูดได้เร็วมาก ตอนนี้ สิ่งที่ติดปากแม่นางน้อยคือ “ข้าจะกิน จะกินเมีย ฮึ่มๆ ๆ กินมูมมาก และดื่มนมจ๊วบๆ ด้วย!” สิ่งที่เกิดขึ้น ใครเล่าจะปวดหัวที่สุด หากไม่ใช่เหล่ยอ๋อง ผู้เป็นบิดาและตัวเขาก็เหมือนจะพลาดหลายสิ่งไป ในช่วงที่ห่างจากรั่วตงอวิ๋นพอสองแฝดเกิดก็ไม่ได้อุ้มชูใกล้ชิด กระทั่งพวกเขาเริ่มโต จึงได้ทำหน้าที่บิดา อย่างเต็มที่ กระนั้นก็มีปัญหาเล็กน้อยตามมาไม่หยุด ยามนี้แม่นางน้อยไม่ยอมเรียกเขาทว่า ท่านพ่อ อีกทั้งชอบมองด้วยสายตาที่อยากเอาชนะ นอกจากนั้น ยังเรียกว่าเขาว่า “ยาจก... ท่านมีไม้เท้าตีสุนัขด้วย” แน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะฝาแฝดผู้เป็นน้องชายของนาง ยังช่วยเสริมว่า “อ๋องๆ อ๋องผี! เขาเป็นอ๋อง ผะ ปะ ปี...จ๊าด!” เมื่อซีห่าวเอ่ยพร้อมทำท่ากลัวจนตัวสั่น คนเป็นพี่ก็เสริมอย่างฉะฉานว่า “ข้าจะปกป้อง ห่าวเกอ จากยาจกและอ๋องปีศาจ แฮ่ร!” ทั้งภาพและเสียงที่เกิดขึ้นทำให้ รั่วตงอวิ๋นหัวเราะชอบใจ และนี่คงเป็นการแก้แค้นของเมียรัก ที่บอกว่าเขาหายหัวไปหลายปี แต่ให้ตายเถิด สิ
“นะ นั่น ที่แท้ก็เป็นนางโลม... เหตุใดถึงให้เข้าทางประตูหน้า โถ... กลับเมืองหลวงครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดคงสติฟั่นเฟือนอย่างที่เขาว่ากันแน่ๆ ยกหญิงชั้นต่ำมาเป็นอนุภรรยา” เสียงชาวบ้านดังขึ้น ในขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนัก และหูของสตรีที่นั่งอยู่ด้านในก็กระดิกไปมา นางได้ยิน และยังคันปากยิบๆ ผิดแต่ต้องการให้ผู้คนโจษจันถึงเรื่องของนางมากกว่านี้ จะได้สมกับการปรากฏตัวหน้าตำหนักอ๋องผู้ที่ยามนี้คงวิปลาสเป็นแน่ ที่จู่ๆ แต่งตั้งให้นางโลม เป็นอี๋เหนียง*ของตน (อนุภรรยา) อีกอย่างเขาหายหัวไปนาน จนนางลืมไปแล้วว่า ตนเคยมีสามี และลูกของนางมีบิดาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด “สตรีนางนั้นมีบุตรด้วย โถ... แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นองค์หญิงและองค์ชาย ที่มีสายเลือดขององค์ชายเจ็ด!” “เช่นนี้ เป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่” อีกเสียงดังขึ้น และทำให้รั่วตงอวิ๋นอยากออกจากรถม้า และจับคนพวกนั้นฉีกปากเหลือเกิน “เอาล่ะ ไข่เน่า และเลือดหมู รวมถึงขี้วัวพวกเจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง” สิ่งที่ฝ่ายนั้นเตรียมการ ย่อมมาจากปิงจือจือ และเหยาเหอซานร่วมมือกัน รั่วตงอวิ๋นได้ยินเสียงด
สามปีผ่านไป เมืองฝาง (เมืองหลวงแคว้นต้าเหลียง) ในยามนี้ไม่ใคร่สงบสักเท่าใด ประชนชนอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็มีข่าวลือวงในว่า อาจเกิดการก่อกบฏ ด้วยฮ่องเต้อายุมากแล้ว ส่วนรัชทายาทนั้นอ่อนแอ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัว เนื่องจากเมื่อต้นปีเขาถูกวางยา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โต้วเซ่าเหล่ยหรือองค์ชายเจ็ด หายสาปสูญในเหตุการณ์ภูเขาถล่ม แต่จู่ๆ เขาก็เหมือนปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย สามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเมืองหลวงในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองคับขัน และโต้วเซ่าเหล่ยก็คือ คนที่ผีเห็นยังหวั่น อีกทั้งชอบทำตัวราวกับจอมาร หน้ากากที่สวมไว้ครึ่งหน้า ไม่ยอมถอดออก ทั้งที่ความจริง เขาเป็นบุรุษรูปงาม แต่แสร้งทำตนอัปลักษณ์ ที่เขาทำตัวเช่นนั้น เพราะไม่อยากถูกผู้อื่น คิดว่าเขาจะแย่งบัลลังก์จากพี่ชาย (โต้วเซ่าเหล่ยกับรัชทายาท มีมารดาเป็นฮองเฮา) อีกอย่างเขาต้องการให้ตนหายใจหายคอสะดวก ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีสายตาใครจับจ้อง โดยเฉพาะพวกขุนนางทั้งหลาย จางคังฉิก มองเจ้านายของตน ที่นั่งดื่มสุราไปหลายจอก และดูเหมือนไม่ทันใจ เขาเลยยกกาสุราเทกรอกปากตัว
หลายเดือนผ่านไป ลี่ชุนวางสีหน้ายุ่งยากใจมาก นางบอกให้รั่วตงอวิ๋นว่า อย่างไรจงอย่าได้ตั้งครรภ์ แต่คนดื้อรั้นย่อมเป็นเช่นนี้ แต่ก็โชคดี ที่ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ด้วยลี่ชุนพอจะล่วงรู้ว่า เด็กในครรภ์นั้นเป็นลูกของผู้ใด และการรับนอนกับคุณชายท่านนั้น ทำให้อีกฝ่ายไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นนางโลม และยังช่วยอีกหลายชีวิตให้มีความสุข กระนั้นรั่วตงอวิ๋นก็ยืนยันจะใช้ชีวิตที่หอวสันต์รัญจวน อีกทั้งนางเป็นผู้ซื้อกิจการจากลี่ชุน ด้วยนอกจากนั้นยังจะไม่ให้มีการหลับนอนกับแขกอย่างไม่ยินยอม ทั้งการทำงานที่ตรอกโคมเขียวนี้ สตรีทุกคนต้องทำอย่างถูกกฎหมาย อาชีพนี้ต้องได้รับเกียรติ ผู้ใดก็ห้ามดูถูก แม้นางจะมีหัวก้าวหน้าคิดอ่านไม่เหมือนคนยุคสมัยนั้น แต่คนทั่วไป ก็ยังมองตรอกโคมเขียว เป็นพื้นที่คาวโลกีย์เช่นเดิม หมางจูวิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโถงที่มีหมอตำแยคลอดช่วยเหลือคนที่กำลังจะคลอดอยู่ กระนั้นสถานการณ์ยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “หมอ เราต้องการหมอที่สำนักการแพทย์” นางเอ่ยกับลี่ชุน น้ำเสียงร้อนใจเต็มที “เสี่ยวจูจู เจ้าปัญญาทึบแล้วหรือไร หมอพวกนั้นไฉนจะลดตัวมารักษาพวกเรา
ณ ตำหนัก หูเหยียน นอกวังหลวง โต้วเซ่าเหล่ยกลับมาจากเมืองหน้าด่านและใช้ชีวิตเสเพล โดยการปลอมตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญเกือบสองเดือน และเขาเข้าออกวังหลวงได้พบฮ่องเต้ และเหล่าองค์ชายที่สนิทกัน เพื่อปรึกษาเรื่องการรับมือกบฏที่กำลังคิดร่วมมือกับต่างแคว้น พอทุกอย่างสะสางเรียบร้อย เขาก็กลับมา สวมบทบาทเหล่ยอ๋องผู้ที่เหี้ยมโหด และบ้าอำนาจเช่นเดิม โต้วเซ่าเหล่ยอยู่ที่ตำหนักหูเหยียนอย่างไม่ใคร่จะสบายตา สบายใจ นั่นเป็นเพราะชายาเอก เหยาเหอซาน กับชายารองนาม ปิงจือจือ ที่ร้อยวันพันปีนับแต่แต่งเข้ามา พวกนางไม่เคยคิดจะกล้ามายุ่มย่ามกับเขา ต่างจับมือกันแน่น และบอกว่าอยากได้รับโอกาสปรนนับัติชายหนุ่ม และเขารู้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น ด้วยทั้งคู่ถูกสกุลของตนบีบบังคับเพื่อเร่งให้มีทายาทกับเขา นอกจากนั้นพวกนางยังพลาดพลั้งมีความสัมพันธ์กับนักเล่านิทานผู้หนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมล่วงรู้ แต่ก็ปล่อยให้ทั้งคู่ หลงระเริงสักพัก หากพวกนางคิดได้ ก็จงสภาพผิด และหย่าขาดออกไปเสีย เพื่อปกป้องทั้งชีวิตตน กับสกุลเดิมของตน “บิดาหม่อมฉันคิดว่าถึงเวลาที่ต้อง มีบุตรให้เหล่ยอ๋องแล้ว” เหยาเหอซานว่าอย
ในกลางดึกคืนนั้น ฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ กระนั้นก็มีแขกมาเที่ยวตรอกโคมเขียวไม่หยุด ทว่ามีเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวซอมซ่อ ก้าวเข้ามาที่หอวสันต์รัญจวน และบอกว่าอยากได้หญิงงามสักคนปรนนิบัติ เสียงหัวเราะดังขร่ม สายตาทุกคู่มองเขา และส่งความดูถูกไปอย่างปิดไม่มิด ลี่ชุนส่ายหน้าระอา คนผู้นั้นไม่มีเงิน หากบอกแต่ว่าจะนำอาหารที่เขาเตรียมมาเป็นค่าตัวหญิงงาม อันที่จริงนางเข้าใจความต้องการของบุรุษดี แต่นางไม่ได้เปิดโรงทาน เพื่อให้สาวงามในหอฯ หลับนอนกับผู้ใดโดยไม่จ่ายเงิน “จับมันโยนออกไป” แม่เล้ากล่าวอย่างนั้น ก็มีหลายคนที่พุ่งเข้ามาหมายจะทำตามคำสั่ง แต่ไม่ทันได้ถึงตัวเขา คนของหอนางโลมพากันล้มกองลงพื้น และร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร ลี่ชุนมองซ้ายแลขวา คาดว่าคืนนี้นางต้องเจอเรื่องชวนปวดหัวเป็นแน่ ใครกำลังเล่นตลกกับนาง เหล่าจอมยุทธ์ไม่ค่อยแวะเวียนมาใช้บริการหอวสันต์รัญจวน คนพวกนั้น มักไปทางตรอกทางใต้มากกว่า ด้วยราคาสาวงามประหยัด ไม่เรื่องมาก อีกทั้งมีการแสดงของนักมายากลด้วย ส่วนบริเวณนี้ มักเป็นขุนนาง พ่อค้า หรือคนต่างเมืองที่มีฐานะ หรือไม่ก็พว
หลายวันที่ผ่านมา รั่วตงอวิ๋นทำตัวราวกับเป็นสายลับ แม้ลี่ชุนกับหมางจูจะห้ามปราม แต่พื้นนิสัยนางเป็นคนรั้น เมื่อสมองคิดจึงเร่งมือทำ และทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้มั่นใจว่า บุรุษที่นางพลีกายให้เขา คือคนที่ภายภาคหน้านางจะสามารถมอบหัวใจแก่อีกฝ่าย เรื่องนี้ออกจะเป็นการฝันเฟื่อง ทว่าภาษากายที่เขาส่งถึงนางให้คืนเร่าร้อน และคำพูดที่บอกทิ้งท้ายเอาไว้ แจ้งชัดว่าเขาถวิลหานาง “อวิ๋นชิน เป็นนางโลมแล้ว ยังสามารถให้กำเนิดบุตรแก่ข้า และทำหน้าที่มารดาที่ดีได้หรือไม่” คำพูดเขา ฟังแล้วก็คงเป็นของชายปากร้าย แต่อย่างที่นางบอก คนสวมหน้ากากครึ่งหน้า แสร้งทำตัวอัปลักษณ์ ซึ่งเขาไม่ได้แสดงด้านดีๆ ออกมาให้นางเห็นแต่แรก กระนั้นกลับสร้างความประทับใจต่อรั่วตงอวิ๋น จนภาพเขา เสียงเขา วิ่งวนอยู่ในหัวนางโดยไม่อาจสลัดให้หลุดพ้น “ขึ้นอยู่กับว่า บิดาของพวกเขา เห็นแม่ของลูกเป็นสิ่งของ หรือคู่ชีวิต ข้าไม่ต้องการเป็นเสื้อผ้า ที่วันหนึ่งมันเก่าทั้งขาด ท่านก็คิดจะโยนมันทิ้ง โดยไม่เหลียวแลอีก” “ไม่ใช่เสื้อผ้า ไม่ใช่เครื่องประดับ ข้าอยากให้เจ้าเป็นมารดาของก้อนแป้งสักสามสี่ก้อน เพียงเท่านี้ทำไ
การมาที่นี่ ไม่คาดคิดว่ารั่วตงอวิ๋นจะได้พบกับคนสาระเลว เหตุการณ์มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดสักหน่อย คราแรกนางก็ชมการแสดงอย่างมีความสุข ทั้งแจกรางวัลให้นักแสดงไปมิน้อย นั่นคือการแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น หลังจากได้เงินมาจากโต้วเซ่าเหล่ย ตามเดิมนางควรกลับหอวสันต์รัญจวน แต่เพราะการได้พบนักเล่านิทานสัปดน ความแค้นในใจก็ทำให้นางต้องวางแผนร้าย “เสี่ยวอวิ๋น... เจ้าคิดจะทำสิ่งใด” ยามนี้หมางจูทราบแล้วว่า จิ่งเว่ยหานอยู่ที่นี่ และเขากลายเป็นนักเล่านิทาน “ฮึ ข้าไม่คิดว่า เขาจะมาทำงานเช่นนี้ คงเป็นเพราะสอบขุนนางไม่ได้ เรื่องนี้ข้าควรเฉลียวใจตั้งแต่แรก ว่าเขามีดีก็แค่หน้าตา และคำลวง” หมางจูเข้าใจสิ่งที่รั่วตงอวิ๋นกล่าว นางผ่านประสบการณ์ถูกคนชั่วหลอกให้หลงรัก สุดท้ายก็มาทำงานที่หอนางโลม มีชีวิตไม่ต่างจากสตรีคนอื่นๆ “แล้วคิดจะทำเช่นไร แก้เผ็ดเขาเยี่ยงนั้นหรือ” “มิได้ ข้าแค่อยากให้เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้ ต้องขายตัว ขายศักดิ์ศรี อยู่ใต้ชายกระโปรงสตรีไปชั่วชีวิต” “นั่นหมายความว่าเจ้าจะซื้อเขาไปเป็นทาสรับใช้” รั่วตงอวิ๋นส่ายหน้า