บทนำ
ความตาย
“เกือบสามสิบชั่วโมงแล้วที่ฉันถ่างตาอยู่ที่นี่ เหนื่อยชะมัด อยากตายจริง ๆ” หญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดพูดขึ้น ใบหน้าแสดงความเหน็ดเหนื่อยจากการโหมงานหนัก อยู่ในแผนกฉุกเฉินแห่งนี้มาเกือบสามสิบชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพักเลย คงเพราะเมื่อวานเป็นวันสิ้นปีคนใช้รถใช้ถนนมากเกิดอุบัติเหตุใหญ่ แผนกฉุกเฉินแห่งนี้เลยเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดโอย
“เธอไปพักเถอะหมอจินมาแล้วนั่นไง” พยาบาลสาวบอกเพื่อนสนิทที่หน้าตาอิดโรย ใต้ตาดำคล้ำ พร้อมพยักเพยิดไปทางคุณหมอหนุ่มที่เพิ่งเข้าเมาปลี่ยนเวร คราวนี้เธอจะได้พักสักที
“งั้นฉันไปล่ะไว้เจอกัน ลาก่อนนะคะหมอจิน” เธอโบกมือให้ทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งออกไป เธอต้องการพักผ่อน เปลือกตาในตอนนี้ต่อให้เอารถเครนมาดึงไว้มันก็ยังจะปิดอยู่ดีเชื่อหรือเปล่า
หญิงสาววิ่งไปที่ห้องพัก ล้างหน้าล้างมือ ถอดเสื้อกาวน์กระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เธอต้องการปิดสวิตซ์ตัวเองสุด ๆ
พอขึ้นเตียงได้เปลือกตาที่หนักอึ้งก็ค่อย ๆ ปิดลง ลมหายใจก็เริ่มสม่ำเสมอ จากสม่ำเสมอเป็นเบาลง เบาลง จนในที่สุดอัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป...
“เมื่อยชะมัด นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกเลย” คนบนเตียงพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่ มือก็ควานหาบางอย่างบนเตียง หาอยู่นานไม่เจอเลยผงกหัวขึ้นมาเปิดเปลือกตา พยายามหรี่ตามอง แต่ในห้องแสงจ้าเกินไป เธอจำได้ว่าปิดไฟไปหมดแล้วทำไมถึงยังสว่างได้ขนาดนี้
ภาพแรกหลังสายตาปรับโฟกัสได้ตรงหน้าคือผ้าแพรสีเขียวมันวาว ‘บ้าน่า ผ้าปูเตียงในห้องมันสีฟ้าไม่ใช่หรือไง หรือเธอตาบอดสีไปแล้ว’ หญิงสาวรีบถลึงตัวลุกจากเตียงด้วยความตกใจทันที เมื่อเห็นว่านี่ไม่ใช่ห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลแต่เป็นห้องนอนแบบโบราณห้องหนึ่ง
“บ้าไปแล้ว ฉันบ้าไปแล้ว ฝันหรือเปล่า” ฝ่ามือเรียวยกขึ้นมาหยิกแก้ม ก่อนจะพูดกับตัวเองเสียงดัง จนมีคนเปิดประตูห้องเข้ามา ผู้หญิงที่เข้ามาสวมชุดฮั่นฝูแบบโบราณสีชมพูดซีด คิดว่าคงเก่าพอสมควร ผมถูกเกล้าขึ้นไปจนหมด แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจสักหน่อย อีกอย่างเธอไม่ได้ฝันไปภาพตรงหน้าเป็นความจริงทั้งหมด ตลกไปหน่อยมั้งก่อนหน้านี้เธอยังหลับอยู่ในห้องพักอยู่เลย
“คุณหนูท่านฟื้นแล้ว” พอเห็นหน้าเธอผู้หญิงคนนั้นก็ตะโกนเสียงดัง จากนั้นวิ่งออกไปอีกครั้งไม่รู้ว่าไปไหน แต่ท่าทางเหมือนจะไปตามใครสักคน
“อะไรเนี่ย ฉันย่อยไม่ทันแล้วนะ” เธอพึมพำก่อนจะลุกขึ้นหย่อนเท้าเหยียบไปบนพื้นห้องเย็น ๆ มองไปรอบห้องมองจนเสร็จแล้วก้มมองตัวเอง อยู่ในชุดสีขาวบางเล็กน้อยดูเหมือนชุดนอน ผมยาวถึงเอว ถ้าจำไม่ผิดผมเธอแค่ประบ่าเองเพราะไม่อยากต้องสระผม เป่าผมนาน นี่มันแปลกเกินไปแล้ว
“คงไม่ใช่ว่าฉันทะลุมิติ ข้ามเวลาอะไรพวกนั้นหรอกนะ แต่ฉันยังไม่ตายสักหน่อยหรือตายแล้ว เห้ย! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว” เธอเดินดูรอบห้องไม่นานก็มีเสียงเหมือนคนกลุ่มใหญ่เดินมาทางนี้ กลุ่มใหญ่จริง ๆ มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ถึงจะไม่เคยรู้จักคนพวกนี้แต่พอเห็นหน้าความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้
“อ้ายฉิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้ชายแก่ที่สุดพูดขึ้น ในความทรงจำของเธอคน ๆ นี้คือพ่อ แต่พ่อของใครล่ะไม่ใช่ของเธอสักหน่อย
“ท่านพ่อถามเหตุใดเจ้าจึงไม่ตอบ” คนพูด ๆ อย่างหงุดหงิด เธอสวมชุดสีแดงคล้ายชุดแต่งงาน สายตาที่มองมาก็ไม่เป็นมิตร พอจะเดาได้ว่าเธอไม่ชอบเจ้าของร่าง ๆ นี้
“ก็ดี”
“อย่างไรคือก็ดี”
“ก็ดี ก็คือก็ดี ยังมีความหมายอื่นอีกหรือไง” เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ มีสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจ เธอยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย
“ท่านพี่ นางฟื้นก็ดีแล้ว รีบแต่งตัวให้นางเสีย”
“เสี่ยวหรง แต่งตัวให้นายเจ้าเสีย”
“อ้ายเหม่ยไปเปลี่ยนอาภรณ์เถอะ นางฟื้นแล้วเจ้าไม่ต้องแต่งแล้ว” ผู้หญิงแก่คนนั้นพูดจบทุกคนก็พากันอพยพออกไปจากห้อง เหลือสาวใช้เสี่ยวหรงเพียงคนเดียว เพื่อให้ช่วยเธอแต่งตัว เธอไม่คิดขัดขืนเพราะยังไม่รู้สถานการณ์นี้แน่ชัด เลยได้แต่ตามน้ำไปก่อน เกิดคิดว่าเธอเป็นปิศาจหรือผีจับเธอถ่วงน้ำขึ้นมา ซวยตายชัก
ตอนกำลังใช้ความคิดอยู่ภาพความทรงจำของเจ้าของร่างก็แวบเข้ามาในหัวเธอทันที เธอต้องเข้าพิธีแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้งเดียว หนำซ้ำความทรงจำของเธอยังบอกว่าผู้ชายคนนั้นตาบอด
เธอไม่ได้รังเกียจที่เขาตาบอดแต่รังเกียจครอบครัวของเจ้าของร่างมากกว่า เพียงเพราะไม่อยากให้ลูกสาวแต่งกับคนตาบอดถึงมาบังคับให้อ้ายฉิงคนนี้แต่งแทน และที่เธอนอนอยู่บนเตียงแบบนี้เพราะถูกพี่สาวคนนั้นทำร้ายจนถึงแก่ความตาย
อาจเป็นเพราะเธอฟื้นขึ้นมาในร่างผู้หญิงคนนี้พอดี อ้ายฉิงคนนี้เลยดูเหมือนยังมีชีวิตทั้งที่เธอตายไปแล้ว
“คุณหนูแต่งตัวกันเถิดนะเจ้าคะ”
“อืม ช่วยที” เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธงานแต่งงานครั้งนี้เพราะที่อ้ายฉิงคนเก่ารับปาก ก็เพื่อให้แม่แท้ ๆ ของเธอได้รับการรักษาจากหมอที่ดีที่สุด เธอทำลายความหวังเดียวของเจ้าของร่างไม่ได้
หากว่าผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้วเธอจะใช้ชีวิตแทนอ้ายฉิงให้ดีที่สุด ไปอยู่ที่ไหนก็คงดีกว่านรกแห่งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นจิตสำนึกสุดท้ายของอ้ายฉิงที่เธอรับรู้ได้
1ความทรงจำระหว่างที่กำลังแต่งตัวในชุดเจ้าสาวแบบโบราณอยู่ หญิงสาวก็คิดถึงเรื่องในความทรงจำก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน“แม่เล็กท่านพักผ่อนให้ดี อ้ายฉิงต้มยาไว้ให้แล้วอีกเดี่ยวเสี่ยวหรงจะนำยากับโจ๊กมาให้ท่าน อ้ายฉิงต้องออกไปหาสมุนไพรก่อน” ร่างบอบบางอ่อนแอมองบุตรสาวด้วยความรัก เมื่อได้ยินเสียงหวานบอกกับนางเบา ๆ แม่เล็กของนางป่วยเรื้อรังมาเกือบแปดปีแล้ว เดิมทีมารดาของนางเป็นหมอสมุนไพรนางเรียนรู้วิชาสมุนไพรจากมารดาแต่เด็กเมื่อแม่เล็กล้มป่วยนางก็หาเก็บสมุนไพรมาขายเพื่อหาเงินรักษา เพราะฉีฮูหยินเกลียดแม่เล็กของนาง เบี้ยแต่ละเดือนก็แทบไม่พอใช้ หากนางไม่หาสมุนไพรเกรงว่าต้องขอทานกันกินแล้ว“แม่ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนี้”“หาใช่ความผิดท่านแม่ไม่ ท่านแม่ไม่ต้องห่วงลูกจะรักษาท่านให้หายให้ได้ นั่นไงเสี่ยวหรงมาแล้ว ลูกจะรีบกลับมาท่านแม่อย่าได้กังวล” นางรีบแอบออกนอกจวนตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้ถูกพี่สาวร่วมบิดาจับได้ หากโดนจับได้ก่อนนางจะถูกลงโทษหลังจวนมีช่องทางลับเล็ก ๆ อยู่ หากเป็นบุรุษเกรงว่าคงรอดเข้าออกไม่ได้ ดีที่นางตัวเล็กจึงรอดเข้าออกได้ง่าย นางมักไปเก็บสมุนไพรที่ตีนเข้าด้านหลังบ้านเรือนนอกเขตตลาด
2คืนสมรสพิธีสมรสมิได้ใหญ่โตเลยทั้งที่เป็นพิธีสมรสของอ๋อง ยามนี้อ๋องอันมองไม่เห็นคงไม่อยากพบผู้ใดพิธีต่าง ๆ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงการกราบไหว้ฟ้าดิน หลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จนางก็ถูกพาเข้าห้องหอ“ท่านจะนอนเลยหรือเปล่า” เมื่อเข้าหอนางก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกโดยไม่ต้องรอให้สามีเปิดให้ สุรามงคลก็มิได้ร่วมดื่มด้วยกัน หญิงสาวเดินไปหาสวามีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ในเมื่อเขาไม่เห็นนางจึงจำต้องเป็นผู้คอยดูแลปรนนิบัติถึงอย่างไรก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้ว“เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้า อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิดอย่างไรก็มิได้เต็มใจแต่ง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจแต่งแต่เพราะเป็นโองการของบิดาไหนเลยจะปฏิเสธได้ ด้วยกลัวว่าเขาจะมีอำนาจมากขึ้นจึงได้ประทานสมรสให้กับบุตรสาวคนโตของหัวหน้าหอดูดาว ที่ไม่มีอำนาจแต่ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้างนางเองก็คงไม่เต็มใจ จะมีสตรีใดเล่าจะเต็มใจแต่งกับบุรุษพิการเช่นเขา“ไม่เต็มใจแต่งคือเรื่องจริง แต่ไหว้ฟ้าดินก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เป็นสามีภรรยากันแล้วจะหมางเมินไม่สนใจกันได้อย่างไร” เสียงคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล เขาพยายามใช้ความคิดอยู่นาน
3พระชายาท่านอ๋อง“จะตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อ” ร่างเล็กขยับไปมาหลังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแม้แต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือไม่นางจึงรีบตื่นขึ้นมาเช่นนี้ สามีนางยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคู่โตไล่มองใบหน้าผู้เป็นสามีที่นอนนิ่งอยู่ กระทั่งถึงดวงตาสองข้างนางจึงเอื้อมมือไปกดจุดชีพจรของเขา อาศัยช่วงเขายังไม่ตื่นตรวจดูว่ามีอาการเป็นอย่างไรแม้นางจะมีความรู้ด้านการแพทย์ แต่การแพทย์นั้นล้วนเป็นการแพทย์ที่ใช้ที่นี่ได้ยากยิ่ง จำต้องอาศัยความรู้จากความทรงจำของร่างนี้ โชคดีนางเป็นคนฉลาดขบคิดไม่นานก็เข้าใจจนแจ่มแจ้ง“ไม่ได้บอดถาวร แปลว่ายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงในฐานะที่ฉันเป็นหมอ จะรักษาคุณให้หายเอง” มิใช่ว่าเขาไม่ได้ยินที่นางพูด เพียงแต่ไม่อยากแสดงตัวว่าตื่นแล้ว และยังอยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดต่อไปท่อนแขนแข็งแรงถูกจับไว้ที่เดิม ก่อนที่ผู้จับจะลุกขึ้นไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อตื่นแล้วก็คงหลับไม่ลงอีกนางจึงคิดว่าหาสิ่งใดทำคงดีกว่า“ถวายบังคมพระชายา” ชายหนุ่มที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องหอทักขึ้น เมื่อเห็นนายหญิงของจวนเดินออกมาจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเป็นทหารคนสนิทของอ๋องอันที่ร่วมสู้รบด้
4พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์โจ๊กผักของนางเสร็จพร้อมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพอดี เสี่ยวหรงเดินตามมาจนถึงห้องเครื่องหลังไปที่ห้องนอน แต่ทหารของท่านอ๋องบอกว่าพระชายาออกมาจากห้องนอนนานแล้ว จึงเดินมาตามเผื่อผู้เป็นนายจะมีสิ่งใดให้รับใช้“พระชายา มาทำสิ่งใดในนี้หรือเพคะ อยากกินสิ่งใดเหตุใด้ไม่ใช้บ่าวทำ”“ข้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ท่านอ๋อง”“เหตุใดต้องทำเองเล่าเพคะ ที่จวนอ๋องก็มีพ่อครัว” สาวน้อยตรงหน้าถามเรื่อยเปื่อยด้วยความสงสัย จวนอ๋องก็ใช่ว่าจะขาดบ่าวไพร่เหตุใดพระชายาเช่นนางต้องลงมือทำเอง จริงอยู่ที่เพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากเท่าไรแต่ยามนี้นายของนางมิใช่คุณหนูรองตระกูลฉีอีกแล้ว แต่เป็นถึงพระชายาอ๋องอันที่มีชื่อเสียง“พ่อครัวก็รู้เพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารรสดี แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาหารจึงช่วยรักษาโรคได้” พระชายาฉีกล่าวกับสาวใช้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน ไม่ได้นึกหงุดหงิดที่ถูกถามจี้ไปมาเช่นนี้“พระชายารู้หรือเพคะ”“รู้สิ หากไม่รู้ข้าจะมาทำสิ่งใดในนี้ ไปเถอะยกอาหารตามข้ามา” สั่งเสร็จก็ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกไปจากห้องเครื่อง โดยมีเสี่ยวหรงยกถาดไม้ที่มีชามโจ๊กผักวางอยู่“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมาก
5อาหารก็เป็นยาได้“เสี่ยวหรงยกอาหารมาที” หลังพาอ๋องอันไปนั่งได้นางก็ขยับไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ เรียกชามโจ๊กจากสาวใช้ พอเปิดฝาชามโจ๊กออกกลิ่นโจ๊กที่มีสมุนไพรก็ลอยขึ้นมา กลิ่นหอมนี้ชวนให้อยากอาหารยิ่งนัก หลังถูกพิษอ๋องอันไม่เคยเสวยอาหารเกินห้าคำเลย ทั้งที่เมื่อก่อนโปรดปรานเนื้อสัตว์มาก“นี่คือสิ่งใด”“โจ๊กผักเพคะ”“พระชายาทดสอบพิษก่อนดีหรือไม่” จื่ออี้เอ่ยถามขณะเห็นนางกำลังเป่าไอร้อนจากโจ๊กบนช้อนอยู่ คิดว่านางคงจะป้อนอ๋องอันเองเป็นแน่ ถึงนางจะเป็นพระชายาแต่อย่างไรเขาในฐานะองครักษ์สิ่งใดควรระวังก็ยังต้องทำอยู่แม้จะทำให้นางโกรธก็จำต้องยอมถูกลงโทษ แต่สิ่งที่นางบอกทำเขางุนงงไม่น้อยเลย“อ๋อ ได้สิ เช่นนั้นเจ้าลองตรวจดู” นางว่าจบก็วางช้อนใส่ชามไว้ แล้วยื่นให้องครักษ์หนุ่มน้อยผู้นั้นได้ตรวจสอบพิษตามใจอยาก จื่ออี้ค้อมตัวลงต่ำคล้ายกับกำลังขอประทานอภัยจากพระชายา นางมิไ
6ผู้มาเยี่ยมเยียน“น่าจะเส้นประสาทอักเสบ” หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากขีดเขียนสิ่งต่าง ๆ ลงบนแผ่นกระดาษ นางพยายามเขียนวิธีรักษา บรรเทาอาการมองไม่เห็นของอ๋องอันมาตลอด กิจวัตรของนางมิได้มีสิ่งใดมากนัก เช้า กลางวัน เย็น นางจะเป็นผู้เตรียมอาหาร หากเขาเบื่อก็พาไปเดินเล่น ให้เขาได้พักเยอะหน่อยร่างกายจะได้ฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น“พระชายามีผู้มาพบท่านอ๋อง ตอนนี้รออยู่ที่โถงจื่อเวยเพคะ”“ข้ารู้แล้วไปเถอะ” อ้ายฉิงพยักหน้ารับวางพู่กันในมือลง เดินตามสาวใช้ออกไปจากห้องบรรทม ตอนนี้อ๋องอันกำลังพักผ่อนอยู่นางจึงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างในจวนอาคารไม้เพดานสูง ภายในมองเห็นโครงสร้างไม้ทุกแผ่น แต่กลับสบายตาเพื่อไม่ให้อากาศภายในร้อนจนกินไป ฉีฉ้ายฉิงเดินเข้าไปด้วยท่าทางมั่นคง ความยาวของการก้าวเท้าก็สม่ำเสมอ ใบหน้าประดับรอยยิ้มงดงาม แม้จะตัวเล็กแต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นมองผ่านไปได้เลย“สาวใช้บอกว่าท่านมาขอพบอ๋องอัน ไม่ทรา
7นางเป็นบุตรอนุในโถงเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น กระทั่ง...“โถ เสด็จพี่ข้าก็แค่เพียงเป็นห่วงท่านเท่านั้น หลังได้รับจดหมายจากท่านข้าก็กังวลนัก นึกว่านางถูกส่งมาลอบวางยาท่าน ข้าย่อมต้องไม่ไว้ใจนาง แต่ข้าไม่เข้าใจเหตุใดเมื่อรู้ว่านางเป็นบุตรของอนุ ท่านจึงไม่แจ้งเสด็จพ่อ ทั้งยังยอมให้นางอยู่ข้างกายเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ยามพูดคุยกับฉีอ้ายฉิงยังมีท่าทีจริงจังพอได้อยู่กันตามลำพังกับพี่ชาย ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นเด็กน้อย อ๋องอันได้ฟังน้ำเสียงขุ่น ๆ ของน้องชายก็ยกยิ้มอ๋องอันกับองค์ชายหนิงเหอเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาจึงสนิทกันมากกว่าผู้อื่น หลังคืนเข้าหอเขาสั่งให้หงอี้นำจดหมายไปส่งให้น้องชาย แต่กำชับองค์ชายไว้ว่าไม่ให้บอกผู้อื่น เขารู้ว่าที่น้องชายมาวันนี้ก็คงมาเพื่อทดสอบนาง อย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่ก็คงมิได้ตั้งใจหยาบคายต่อนาง“หนิงเหอ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนข้าถูกพิษ หมอหล
8เรื่องนี้ดียิ่งนักเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่นางทั้งทำอาหาร เตรียมยา จัดยา ฝังเข็ม ประคบดวงตา บัดนี้นางเป็นใหญ่ที่สุดในจวน และบางทีก็อาจจะใหญ่กว่าอ๋องอันเสียอีก ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดเขาก็ไม่ขัด ยอมตามใจนางไปเสียทุกสิ่งเช้าวันนี้แดดจ้ายิ่งนักหลังนางเตรียมอาหารเสร็จก็กลับมาเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับลม ระบายความอับชื้นภายในห้อง สามีของนางคงติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วจึงได้ตื่นสายเช่นนี้ทุกวันหากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อเข้าท้องพระโรง“อ้ายฉิง ปิดหน้าต่างได้หรือไม่ข้าแสบตานัก”“สายเพียงนี้ยังไม่หิวหรือเพคะ” นางตอบรับทันที เตรียมจะเดินไปปิดหน้าต่างห้องบรรทมแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ เหตุใดเขาจึงแสบตาทั้งที่มองไม่เห็น นางหันเท้ากลับมาอีกทางพุ่งไปนั่งข้างเตียง เลิกผ้าห่มของสวามีออกรวดเร็วอย่างลืมตัว“ข้ายังไม่หิว เจ้าทำสิ่งใด ข้าขอนอนอีกหน่อย” ผู้พูดยังไม่ฉุกคิด ดึงผ้าห่มกลับไปหมายจะนอน
28สตรีใดที่ท่านหลงรัก“เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าคือฉีอ้ายฉิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ไม่รู้เหตุใดชายาตนเองจึงพูดจาแบบนี้ ถามผู้ที่เคยพบล้วนต้องบอกว่านางคือฉีอ้ายฉิงบุตรตระกูลฉีเป็นแน่“เดิมทีฉีอ้ายฉิงถูกฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโตทำร้ายจนสิ้นใจภายในจวน และหม่อมฉันตายจากที่อื่นก็เลยเข้ามาอยู่ในร่างนางแทน เช่นนั้นข้าจึงจำไม่ได้ว่าเคยช่วยท่านเอาไว้ เพราะผู้ที่ช่วยพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นนาง”“...”“หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาวันที่ต้องเข้าพิธีสมรส จนได้เจอกับพระองค์ คราแรกกังวลใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ต้องเข้าพิธีกับผู้ที่มีชื่อเสียงโหดร้ายเช่นท่าน แต่เมื่อแต่งแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นดั่งที่ชาวบ้านร่ำลือ”“...”“ที่หม่อมฉันช่วยพระองค์ก็เพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างไม่ลำบาก จนไม่นานมานี้ได้รับรู้ว่าที่พระองค์ดีกับหม่อมฉันเพราะทรงจำได้ว่าฉีอ้ายฉิงเคยช่
27เรื่องเหลือเชื่อนี้“โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมอุปสรรคเยอะแยะเหมือนในละคร ไม่งั้นตายแน่เลย เนาะไอ้จิ๋วของแม่” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ ขณะนั่งหน้าคันฉ่องบานใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้นางไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องเหลือเชื่อนี้เสียงเรียกแผ่วเบาหน้าประตูทำให้นางลุกไปดู หยินซูหยางหรือมารดาแท้ ๆ ของฉีอ้ายฉิงคนเก่า นางมาอยู่ที่จวนอ๋องได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะตระกูลฉีถูกเนรเทศจากเมืองหลวงหลังถูกโบย“ท่านแม่มีอันใดหรือเจ้าคะ”“แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้ามานานจึงอยากมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่”“ท่านแม่เชิญเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หยินซูหยางเดินตามบุตรสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้อง อ๋องอันยามนี้คงอยู่ในวังเพื่อวางเรื่องการป้องกันเมืองกับไท่จื่อ นางรินชาให้มารดาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรยามนี้นางก็เป็นฉีอ้
26โอกาสสุดท้ายของการกลับตัวไท่จื่อเบิกตาโตมองผู้คนที่เดินเข้ามาภายในโถงร้านค้าเก่าแห่งนี้ ภายนอกมีคนของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกหลายคนรวมถึงองครักษ์ประจำตัว แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิทรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดปะปนอยู่เลย ร่างกายเย็นวูบชาไปทั่วทั้งร่างไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้เลย“อ้ายฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงรู้สึกอับชื้นจึงหายใจไม่สะดวกเท่านั้น” น้ำเสียงหวานใสบอกกับผู้เป็นสามี ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้โกรธเคืองหรือตื่นกลัวอันใด“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงเสด็จมาเองเช่นนี้” องค์ไท่จื่อหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษที่ทำเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกังวลว่าฮ่องเต้ทรงรู้สิ่งใดมาบ้าง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
25ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง“เช่นนั้นก่อนตายข้าจะสงเคราะห์ให้” เขาพูดจบก็แหวกม่านหมวกออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยม นางไม่คุ้นเคยใบหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว“แม้จะเห็นหน้าท่านเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นผู้ใด อยากจะพูดก็พูดเถอะ หากไม่แล้วก็เชิญทำตามใจ” สิ่งที่เอ่ยออกไปนางไม่ได้จงใจยั่วยุแต่นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่ได้อยากตายก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อฟ้าลิขิตให้ตายผู้ใดเล่าจะรอดนางพูดจบก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งด้วยแววตานิ่งไม่หวั่นไหว ถามว่ากลัวหรือไม่นางย่อมต้องกลัว แต่จะให้อ้อนวอนขอชีวิตก็คงไม่มีประโยชน์อันใด“ยิ่งเห็นสายตาราวกับไม่กลัวสิ่งใดของเจ้า ทำให้ข้ายิ่งนึกถึงคนผู้นั้นยิ่งนัก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วที่จะไม่รักษาอ๋องอัน แต่เจ้าดื้อรั้นและดื้อดึง”“อย่างที่ท่านกล่าวมา ข้าทั้งดื้อรั้นและดื้อดึงต่อให้ท่านจะฆ่
24มีเวลาให้พักมากพอ“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นางยกมือกุมขมับตนเองทันที เป็นหมอแท้ ๆ แต่กลับไม่ทันได้คิดเรื่องนี้เลย มัวแต่ใช้เวลาดูแลผู้อื่นจนลืมสังเกตตนเอง“ขอบคุณท่านหมอ เชิญท่านหมอเถอะ ข้าขอพักเสียหน่อย”“กระหม่อมทูลลา” รายงานเสร็จหมอก็ออกไปจากรถม้าให้นางได้อยู่ตามลำพัง ไม่ได้สั่งยาหรือมอบเทียบยาใดให้เพราะเห็นว่านางอ่อนเพลียจึงปลีกตัวออกมาให้ได้พักผ่อน“ตัวจิ๋วเดียวก็สร้างเรื่องเลยนะ ถ้าอยากมาเกิดจริง ๆ อย่าให้แม่ทรมานนักสิ” นางพึมพำกับตนเองพร้อมกับลูบหน้าท้องแบนราบแผ่วเบาแล้วผล็อยหลับไป“ท่านหมอพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง พระชายาทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่น้อย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
23ป่วยแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เช่นนั้นผู้บงการนี้”“แม้จะไม่อยากคิด แต่ข้าคิดว่าคงเป็นคนผู้เดียวกับที่เจ้าคิด บัดนี้มีหลักฐานแต่ยังขาดพยาน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ต้องหาคนผู้นั้นให้เจอเราจึงจะได้คำตอบ” น้ำเสียงราบเรียบ เขาให้จื่ออี้ตามหาผู้ที่จับตัวฉีอ้ายฉิงในวันนั้น แม้จะยังไม่พบแต่ไม่นานต้องพบแน่ คนผู้นั้นเองก็คงไม่อยากตาย“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้”“ย่อมต้องมีเรื่องรบกวนเจ้าในภายหน้าเป็นแน่” คนเจ็บยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายบอกว่าต้องมีโอกาสใช้งานเขาแน่นอน เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยกันองค์ชายสามจึงมีแบบอย่างเป็นองค์ชายรองมาโดยตลอด ไม่ว่าองค์ชายรองจะทำอย่างไรจะเป็นอย่างไร เขาล้วนพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ในสักวันจะได้คอยช่วยพี่ชายออกรบในสนามรบได้หลังได้ยินว่าเขาจะต้องไปช่วยอ๋องอันบรรเทาทุกข์ที่เซียงโจวก็ดีใจมาก คิดตลอดคืนว่าจะพูดคุยกับพี่ชายอย่างไรดีแต่จน
22ภัยพิบัติคลี่คลายชายหนุ่มผละออกมาด้วยใบหน้าเสียดาย ท่าทางงอแงราวลูกสุนัขถูกห้ามกินไก่ น่าขบขันไม่น้อย ยามนี้เขาไม่ใช่แม่ทัพแห่งเทียนมิ่งแล้ว“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่เจ้าหนีไม่พ้นตลอดไปหรอก รู้หรือไม่พระชายา” น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยคาดโทษผู้เป็นภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเขาต้องการจัดการเรื่องราวภัยพิบัติให้เสร็จภายในห้าวันนี้ เพราะต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อหาหลักฐานของผู้อยู่เบื้องหลัง มีแต่ทำเช่นนี้เขาและนางจึงจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด“คนบ้ากล้ามาขู่กัน ชิ” เสียงพึมพำปนความขัดเขินดังออกมาจากริมฝีบาง นางรีบล้มตัวนอนลงทันที ไม่ต้องเถียงกับใครอีกแล้ว นางเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงเหนื่อยมากถึงเพียงนี้กันองค์ชายสามหลับไปถึงสองวันกว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์ภัยพิบัติเริ่มคลี่คลาย ผู้ที่บาดเจ็บได้รับการรักษาอย่างดี ยาและอาหารที่ขอจากเมืองหลวงก็มาถึงแล้ว บ้านเร
21เรื่องนี้บอกผู้อื่นไม่ได้เมื่อนางพูดเขาจึงเริ่มสังเกตุว่าตอนนี้ตนเองมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน รวมถึงใบหน้างดงามอ่อนหวานของผู้เป็นภรรยาด้วย“ข้ามองเห็นได้ชัดนักอ้ายฉิง” ถึงจะเห็นว่าภายในห้องบรรทมมีสิ่งของหรูหราอยู่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสนใจแม้แต่น้อย ที่แท้ใบหน้าของสตรีข้างกายเขากลับงดงามถึงเพียงนี้ หากเขาไม่อาจกลับมามองเห็นแล้ว นี่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก“เช่นนี้ก็ดียิ่งเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงมองเห็น หม่อมฉันเองก็รักษาคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาพระองค์ได้แล้ว”“เรื่องนี้ยิ่งต้องขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะกลับมามองเห็นอีกหรือไม่” สองมือหนากุมมือนางขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาจริงจังสดใสที่นางไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน ทำให้นางพลอยเคลิ้บเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนหวานตรงหน้าเช่นกัน“พระองค์จะบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่”
20พ้นข้อกล่าวหาฉีอ้ายฉิงใช้เวลาในการรักษาองค์ชายสามอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม โชคดีขององค์ชายที่มีดนี้ไม่ได้ถูกอวัยวะใดจนบาดเจ็บหนัก หลังดึงมีดออกตรง ๆ เลือดก็ไม่ได้ไหลมากเกินไปจนอยู่ในอันตรายอย่างที่กังวล นางใช้เส้นผมของตนเองร้อยกับเข็มเงินในปิ่นของมารดา เย็บปากแผลที่ฉีกออกให้ติดกันแม้เท้าตนเองจะไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ แต่นางมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ผู้มีพระคุณต้องตายภายใต้การรักษาของตน สุดท้ายจึงอดทนกัดฟันรักษาเขาจนเสร็จได้“จื่ออี้หากองค์ชายฟื้นให้คนไปตามข้า ยามนี้อย่าให้ผู้ใดรบกวนองค์ชาย หากพระองค์ฟื้นแล้วหิวก็อย่าเพิ่งให้กินสิ่งใด ข้าขอไปพักสักหน่อย” หญิงสาวสั่งองครักษ์ของสวามีเสร็จก็หันไบอกแก่หมอท้องถิ่นผู้นั้น พูดจบก็เดินจากไปโดยมีผู้เป็นสามีคอยประคอง เขามองเห็นไม่ชัดนางเดินได้ไม่เต็มที่ ช่างเป็นภาพที่ดียิ่งนักนางเหนื่อยล้าจนลืมไปแล้วว่าตนเองมีบาดแผลที่เท้ายังไม่ทันได้รักษา ผู้เป็นสามีเองก็รู้เพียงว่านางเจ็