2
คืนสมรส
พิธีสมรสมิได้ใหญ่โตเลยทั้งที่เป็นพิธีสมรสของอ๋อง ยามนี้อ๋องอันมองไม่เห็นคงไม่อยากพบผู้ใดพิธีต่าง ๆ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงการกราบไหว้ฟ้าดิน หลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จนางก็ถูกพาเข้าห้องหอ
“ท่านจะนอนเลยหรือเปล่า” เมื่อเข้าหอนางก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกโดยไม่ต้องรอให้สามีเปิดให้ สุรามงคลก็มิได้ร่วมดื่มด้วยกัน หญิงสาวเดินไปหาสวามีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ในเมื่อเขาไม่เห็นนางจึงจำต้องเป็นผู้คอยดูแลปรนนิบัติถึงอย่างไรก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้ว
“เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้า อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิดอย่างไรก็มิได้เต็มใจแต่ง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจแต่งแต่เพราะเป็นโองการของบิดาไหนเลยจะปฏิเสธได้ ด้วยกลัวว่าเขาจะมีอำนาจมากขึ้นจึงได้ประทานสมรสให้กับบุตรสาวคนโตของหัวหน้าหอดูดาว ที่ไม่มีอำนาจแต่ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง
นางเองก็คงไม่เต็มใจ จะมีสตรีใดเล่าจะเต็มใจแต่งกับบุรุษพิการเช่นเขา
“ไม่เต็มใจแต่งคือเรื่องจริง แต่ไหว้ฟ้าดินก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เป็นสามีภรรยากันแล้วจะหมางเมินไม่สนใจกันได้อย่างไร” เสียงคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล เขาพยายามใช้ความคิดอยู่นานว่าเหตุใดน้ำเสียงของนางจึงคุ้นเคยนัก แต่เมื่อนางเข้ามาประคองเขาก็นึกขึ้นมาได้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อน ๆ เจือปนกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้เช่นนี้ ช่างเหมือนที่เขาได้กลิ่นจากสตรีผู้นั้นเสียจริง
“เช่นนั้นก็อยู่ให้สบาย ข้าไม่บังคับให้เจ้าร่วมหอ สบายใจเถิด”
“หากท่านอยากเข้าหอจริงก็คงข้าเป็นที่ต้องทำเอง มาเถอะข้าจะพาไปนอน” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่นางบ่นพึมพำ เหตุใดจึงมีสตรีกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่อายได้ แต่เอาเถอะที่นางกล่าวก็ไม่ผิดนัก ยามนี้เขาจะทำสิ่งใดได้ นางพูดจบก็เดินเข้ามาประคองเขาให้ลุกขึ้น
“เจ้าทำสิ่งใด” อ๋องอันเลิกเสียงสูงปนตกใจเอ่ยถามนาง อยู่ ๆ มือคู่เล็กก็เอื้อมมาปลดผ้ารัดเอวของเขาออก ไม่ถามเขาสักคำก็ปลดอาภรณ์เขาเสียแล้ว
“ท่านจะใส่ชุดแต่งงานนอนหรือไง ข้าก็แค่ช่วยท่านปลดชุดเข้าพิธีออก คิดว่าสตรีอย่างข้าจะทำอะไรท่านหรือ” เหตุใดบุรุษเช่นเขาจึงกลัวแม้แต่การถูกจับเปลือย หากให้สู้กันแม้เขาจะมองไม่เห็นนางก็ไม่เห็นแววจะชนะเขาเลย กลัวสิ่งใดกัน
“เอ่อ ข้าเพียงตกใจที่เจ้าไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้”
“ได้ ต่อไปจะส่งสัญญาณก่อน ไปเถอะ” นางปลดชุดเข้าพิธีของเขาออกแล้ววางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นจึงจับมือเขามากุมเอาไว้ พาเขาเดินไปที่เตียงอย่างเชื่องชาและใจเย็น
ไม่รู้โชคดีของเขาหรือโชคดีของนางที่แต่เดิมเป็นหมอจึงคุ้นชินกับการดูแลผู้บาดเจ็บเช่นนี้ เข้าใจดีว่าผู้ที่เจ็บป่วยล้วนมีความลำบากใจกันทุกคน
อีกทั้งหากนางเข้ามาในร่างนี้เพียงชั่วคราวก็ควรทำให้เจ้าของร่างได้อยู่อย่างสุขสบายใจจวนอ๋องนี้ วันหน้าจะได้ไม่ต้องถูกรังแกจากผู้อื่นอีก หากท่านอ๋องผู้นี้มีเมตตตาต่อนางก็เป็นบุญของนางเช่นกัน อยู่ต่างยุคต่างสมัย ต่างบ้านต่างเมืองหากไม่มีที่พึ่งเกรงว่านางคงอยู่ได้ยาก
นางส่งเขาที่เตียงแล้วตนเองเดินออกมายืนอยู่ข้างเตียง จะให้นอนเลยก็ยังรู้สึกแปลกนัก แปลกเกินกว่าจะพาตนเองขึ้นไปนอนข้างเขาได้ในยามนี้
“ท่านนอนพักเถอะ ต้องการสิ่งใดก็เรียกข้า”
“เจ้าไม่นอนหรือ”
“ข้ายังมีสิ่งอื่นให้ทำอีก คงนอนตอนนี้ไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าท่านจะอยากเข้าหอ”
“ข้าแค่เพียงถามดูเท่านั้น ไม่นอนก็ช่างเถอะ” เขาไม่ควรต่อล้อต่อเถียงกับนางจริง ๆ ว่าจบก็เอนหลังนอนราบลงไปบนเตียง พยายามขยับเข้าไปให้ชิดด้านในของเตียง เผื่อนางอยากนอนจะได้ไม่ต้องเบียด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดอ้ายฉิงจึงขยับตัวไปนั่งตรงที่วางบนเตียงข้างตัวเขา นั่งมองลมหายใจสม่ำเสมอนั่นครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าเขาหลับสนิทแล้วจึงค่อยเอนตัวลงนอน ทั้งที่แม้เขาจะไม่หลับเขาก็มองไม่เห็นแท้ ๆ เห็นใดต้องระแวงถึงเพียงนี้
“ถ้าฉันหลับไปแล้วตื่นมาอีกทีที่นี่กลายเป็นห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลก็ดีสิ” เจ้าของใบหน้าหวานหยดพึมพำเพียงลำพังขณะกำลังนับลูกแกะในใจ นอนกับบุรุษเช่นนี้จะข่มตาหลับลงได้อย่างไรกัน เมื่อนางล้มตัวนอนคนข้าง ๆ ก็รู้สึกตัวทันที จะอย่างไรเขาก็ฝึกยุทธ์มาย่อมจับความรู้สึกได้รวดเร็ว
ทั้งที่คิดว่านางจะหลับได้ยากแต่แค่ครู่เดียวก็หลับสนิทไปแล้ว พอได้นอนข้างกันเช่นนี้ถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นหอมสือช่างผู่อ่อน ๆ นี้ยิ่งชัดเจน เขาเองก็บอกได้ไม่ชัดเจนว่ากลิ่นนี้แตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร เพราะสตรีส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ใช้สือช่างผู่ในการทำถุงหอม
แต่เขามั่นใจว่านางคือสตรีผู้นั้นที่เขาให้คนสนิทตามหามาร่วมสิบวันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายามต้องเจอก็จะเจอนางง่ายเช่นนี้
หมอหลวงกล่าวเอาไว้หากไม่ได้ผู้มีพระคุณช่วยสกัดพิษเอาไว้ยามนั้น เกรงว่ายามนี้คงเป็นงานศพไม่ใช่งานแต่ง เขาจำได้เพียงกลิ่นหอมอ่อนนี้ นางไม่เพียงสกัดพิษเอาไว้ทำให้เขาบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่หากนางไม่ช่วยเอาไว้เขาก็ไม่มีความหวังจะมองเห็นอีกแล้ว
พิษสิ้นทิวานี้หากไม่ถอนพิษภายในหนึ่งชั่วยาม ดวงตาจะไม่เห็นตลอดกาลดังชื่อพิษ โชคดีได้สตรีนางนั้นช่วยเอาไว้ทำให้เขามีโอกาสได้มองเห็นอีกครั้ง แม้แต่หมอหลวงก็ไม่กล้าพูด และไม่รู้ว่านานเพียงใด
3พระชายาท่านอ๋อง“จะตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อ” ร่างเล็กขยับไปมาหลังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแม้แต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือไม่นางจึงรีบตื่นขึ้นมาเช่นนี้ สามีนางยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคู่โตไล่มองใบหน้าผู้เป็นสามีที่นอนนิ่งอยู่ กระทั่งถึงดวงตาสองข้างนางจึงเอื้อมมือไปกดจุดชีพจรของเขา อาศัยช่วงเขายังไม่ตื่นตรวจดูว่ามีอาการเป็นอย่างไรแม้นางจะมีความรู้ด้านการแพทย์ แต่การแพทย์นั้นล้วนเป็นการแพทย์ที่ใช้ที่นี่ได้ยากยิ่ง จำต้องอาศัยความรู้จากความทรงจำของร่างนี้ โชคดีนางเป็นคนฉลาดขบคิดไม่นานก็เข้าใจจนแจ่มแจ้ง“ไม่ได้บอดถาวร แปลว่ายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงในฐานะที่ฉันเป็นหมอ จะรักษาคุณให้หายเอง” มิใช่ว่าเขาไม่ได้ยินที่นางพูด เพียงแต่ไม่อยากแสดงตัวว่าตื่นแล้ว และยังอยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดต่อไปท่อนแขนแข็งแรงถูกจับไว้ที่เดิม ก่อนที่ผู้จับจะลุกขึ้นไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อตื่นแล้วก็คงหลับไม่ลงอีกนางจึงคิดว่าหาสิ่งใดทำคงดีกว่า“ถวายบังคมพระชายา” ชายหนุ่มที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องหอทักขึ้น เมื่อเห็นนายหญิงของจวนเดินออกมาจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเป็นทหารคนสนิทของอ๋องอันที่ร่วมสู้รบด้
4พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์โจ๊กผักของนางเสร็จพร้อมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพอดี เสี่ยวหรงเดินตามมาจนถึงห้องเครื่องหลังไปที่ห้องนอน แต่ทหารของท่านอ๋องบอกว่าพระชายาออกมาจากห้องนอนนานแล้ว จึงเดินมาตามเผื่อผู้เป็นนายจะมีสิ่งใดให้รับใช้“พระชายา มาทำสิ่งใดในนี้หรือเพคะ อยากกินสิ่งใดเหตุใด้ไม่ใช้บ่าวทำ”“ข้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ท่านอ๋อง”“เหตุใดต้องทำเองเล่าเพคะ ที่จวนอ๋องก็มีพ่อครัว” สาวน้อยตรงหน้าถามเรื่อยเปื่อยด้วยความสงสัย จวนอ๋องก็ใช่ว่าจะขาดบ่าวไพร่เหตุใดพระชายาเช่นนางต้องลงมือทำเอง จริงอยู่ที่เพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากเท่าไรแต่ยามนี้นายของนางมิใช่คุณหนูรองตระกูลฉีอีกแล้ว แต่เป็นถึงพระชายาอ๋องอันที่มีชื่อเสียง“พ่อครัวก็รู้เพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารรสดี แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาหารจึงช่วยรักษาโรคได้” พระชายาฉีกล่าวกับสาวใช้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน ไม่ได้นึกหงุดหงิดที่ถูกถามจี้ไปมาเช่นนี้“พระชายารู้หรือเพคะ”“รู้สิ หากไม่รู้ข้าจะมาทำสิ่งใดในนี้ ไปเถอะยกอาหารตามข้ามา” สั่งเสร็จก็ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกไปจากห้องเครื่อง โดยมีเสี่ยวหรงยกถาดไม้ที่มีชามโจ๊กผักวางอยู่“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมาก
5อาหารก็เป็นยาได้“เสี่ยวหรงยกอาหารมาที” หลังพาอ๋องอันไปนั่งได้นางก็ขยับไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ เรียกชามโจ๊กจากสาวใช้ พอเปิดฝาชามโจ๊กออกกลิ่นโจ๊กที่มีสมุนไพรก็ลอยขึ้นมา กลิ่นหอมนี้ชวนให้อยากอาหารยิ่งนัก หลังถูกพิษอ๋องอันไม่เคยเสวยอาหารเกินห้าคำเลย ทั้งที่เมื่อก่อนโปรดปรานเนื้อสัตว์มาก“นี่คือสิ่งใด”“โจ๊กผักเพคะ”“พระชายาทดสอบพิษก่อนดีหรือไม่” จื่ออี้เอ่ยถามขณะเห็นนางกำลังเป่าไอร้อนจากโจ๊กบนช้อนอยู่ คิดว่านางคงจะป้อนอ๋องอันเองเป็นแน่ ถึงนางจะเป็นพระชายาแต่อย่างไรเขาในฐานะองครักษ์สิ่งใดควรระวังก็ยังต้องทำอยู่แม้จะทำให้นางโกรธก็จำต้องยอมถูกลงโทษ แต่สิ่งที่นางบอกทำเขางุนงงไม่น้อยเลย“อ๋อ ได้สิ เช่นนั้นเจ้าลองตรวจดู” นางว่าจบก็วางช้อนใส่ชามไว้ แล้วยื่นให้องครักษ์หนุ่มน้อยผู้นั้นได้ตรวจสอบพิษตามใจอยาก จื่ออี้ค้อมตัวลงต่ำคล้ายกับกำลังขอประทานอภัยจากพระชายา นางมิไ
6ผู้มาเยี่ยมเยียน“น่าจะเส้นประสาทอักเสบ” หญิงสาวบ่นพึมพำหลังจากขีดเขียนสิ่งต่าง ๆ ลงบนแผ่นกระดาษ นางพยายามเขียนวิธีรักษา บรรเทาอาการมองไม่เห็นของอ๋องอันมาตลอด กิจวัตรของนางมิได้มีสิ่งใดมากนัก เช้า กลางวัน เย็น นางจะเป็นผู้เตรียมอาหาร หากเขาเบื่อก็พาไปเดินเล่น ให้เขาได้พักเยอะหน่อยร่างกายจะได้ฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น“พระชายามีผู้มาพบท่านอ๋อง ตอนนี้รออยู่ที่โถงจื่อเวยเพคะ”“ข้ารู้แล้วไปเถอะ” อ้ายฉิงพยักหน้ารับวางพู่กันในมือลง เดินตามสาวใช้ออกไปจากห้องบรรทม ตอนนี้อ๋องอันกำลังพักผ่อนอยู่นางจึงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างในจวนอาคารไม้เพดานสูง ภายในมองเห็นโครงสร้างไม้ทุกแผ่น แต่กลับสบายตาเพื่อไม่ให้อากาศภายในร้อนจนกินไป ฉีฉ้ายฉิงเดินเข้าไปด้วยท่าทางมั่นคง ความยาวของการก้าวเท้าก็สม่ำเสมอ ใบหน้าประดับรอยยิ้มงดงาม แม้จะตัวเล็กแต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นมองผ่านไปได้เลย“สาวใช้บอกว่าท่านมาขอพบอ๋องอัน ไม่ทรา
7นางเป็นบุตรอนุในโถงเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น กระทั่ง...“โถ เสด็จพี่ข้าก็แค่เพียงเป็นห่วงท่านเท่านั้น หลังได้รับจดหมายจากท่านข้าก็กังวลนัก นึกว่านางถูกส่งมาลอบวางยาท่าน ข้าย่อมต้องไม่ไว้ใจนาง แต่ข้าไม่เข้าใจเหตุใดเมื่อรู้ว่านางเป็นบุตรของอนุ ท่านจึงไม่แจ้งเสด็จพ่อ ทั้งยังยอมให้นางอยู่ข้างกายเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ยามพูดคุยกับฉีอ้ายฉิงยังมีท่าทีจริงจังพอได้อยู่กันตามลำพังกับพี่ชาย ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นเด็กน้อย อ๋องอันได้ฟังน้ำเสียงขุ่น ๆ ของน้องชายก็ยกยิ้มอ๋องอันกับองค์ชายหนิงเหอเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาจึงสนิทกันมากกว่าผู้อื่น หลังคืนเข้าหอเขาสั่งให้หงอี้นำจดหมายไปส่งให้น้องชาย แต่กำชับองค์ชายไว้ว่าไม่ให้บอกผู้อื่น เขารู้ว่าที่น้องชายมาวันนี้ก็คงมาเพื่อทดสอบนาง อย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่ก็คงมิได้ตั้งใจหยาบคายต่อนาง“หนิงเหอ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนข้าถูกพิษ หมอหล
8เรื่องนี้ดียิ่งนักเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่นางทั้งทำอาหาร เตรียมยา จัดยา ฝังเข็ม ประคบดวงตา บัดนี้นางเป็นใหญ่ที่สุดในจวน และบางทีก็อาจจะใหญ่กว่าอ๋องอันเสียอีก ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดเขาก็ไม่ขัด ยอมตามใจนางไปเสียทุกสิ่งเช้าวันนี้แดดจ้ายิ่งนักหลังนางเตรียมอาหารเสร็จก็กลับมาเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับลม ระบายความอับชื้นภายในห้อง สามีของนางคงติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วจึงได้ตื่นสายเช่นนี้ทุกวันหากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อเข้าท้องพระโรง“อ้ายฉิง ปิดหน้าต่างได้หรือไม่ข้าแสบตานัก”“สายเพียงนี้ยังไม่หิวหรือเพคะ” นางตอบรับทันที เตรียมจะเดินไปปิดหน้าต่างห้องบรรทมแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ เหตุใดเขาจึงแสบตาทั้งที่มองไม่เห็น นางหันเท้ากลับมาอีกทางพุ่งไปนั่งข้างเตียง เลิกผ้าห่มของสวามีออกรวดเร็วอย่างลืมตัว“ข้ายังไม่หิว เจ้าทำสิ่งใด ข้าขอนอนอีกหน่อย” ผู้พูดยังไม่ฉุกคิด ดึงผ้าห่มกลับไปหมายจะนอน
9หายโกรธข้าแล้วหรือ“ท่านอ๋องทรงไม่รู้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม้แต่เขายังรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงโมโหออกมาเช่นนี้ ชายหนุ่มมองหน้าองครักษ์แต่ก็นึกไม่ออกว่าตนเองจะพูดสิ่งใด คล้ายองครักษ์จะรู้ว่าเหตุใดอ๋องอันคิดอย่างไรจึงแก้ไขความกระจ่างนั้นให้แก่ผู้เป็นนาย“พระชายาทรงเป็นห่วงท่านอ๋องจึงโกรธที่พระองค์ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ยามนี้พระองค์ทรงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนหากมีภัยจะทรงดูแลตนเองได้อย่างไร เช่นนี้พระชายาจึงคิดเคืองท่านอ๋อง”“เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจสตรีมากเพียงนี้ มีคนรักแล้วหรือ”“กระหม่อมไม่เคยมีคนรักพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ชอบสังเกตุสีหน้าและอารมณ์ของสตรีเท่านั้น” หงอี้ตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างไร แต่หากบุรุษอื่นได้ฟังคงนึกขบขันเรื่องราวที่ได้ฟังไม่น้อย คิดเรื่องที่หงอี้พูดอยู่สักครู่จึงลุกขึ้นหมายจะตามนางออกไป แต่ลืมไปว่าตนเองยังเห็นไม่ชัดนัก“หงอี้ พา
10บังอาจนักรถม้าคันใหญ่แล่นไปบนถนนเส้นหลักของเมืองหลวง อ๋องอันให้คนเตรียมรถม้าและข้าวของตั้งแต่วันก่อน พระชายาก็เตรียมยาสมุนไพรหลายอย่างเพื่อนำกลับไปให้มารดาในจวนฉี อีกทั้งอ๋องอันยังส่งคนไปแจ้งในจวนฉีเอาไว้ก่อนเมื่อมาถึงหน้าจวนคนในจวนก็พากันออกมารับเสด็จท่านอ๋องถึงหน้าจวน รถม้าหยุดลงฉีอ้ายฉิงเปิดม่านพร้อมกับประคองอ๋องอันออกมา โดยมีจื่ออี้คอยช่วยเหลือ ยามนี้อ๋องอันมิได้สวมหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าดังเช่นแต่ก่อน ผู้คนจึงได้เห็นใบหน้าใต้หน้ากากเหล็กเป็นครั้งแรก“ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา”“คารวะท่านพ่อ แม่ใหญ่”“คารวะท่านฉี และฉีฮูหยิน” ชายหนุ่มเอ่ยทักผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามพระชายาตน สายตามองเหม่อไปด้านหน้า เปลือกตาหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ราวกับมองไม่เห็นอยู่จริง ๆ ฉีอ้ายฉิงเบือนหน้าหนีสักครู่ตอนเห็นหน้าสองแม่ลูกผู้นั้นต่อมาคิดได้ว่าควรไปเยี่ยมแม่เล็กที่เร
28สตรีใดที่ท่านหลงรัก“เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าคือฉีอ้ายฉิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ไม่รู้เหตุใดชายาตนเองจึงพูดจาแบบนี้ ถามผู้ที่เคยพบล้วนต้องบอกว่านางคือฉีอ้ายฉิงบุตรตระกูลฉีเป็นแน่“เดิมทีฉีอ้ายฉิงถูกฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโตทำร้ายจนสิ้นใจภายในจวน และหม่อมฉันตายจากที่อื่นก็เลยเข้ามาอยู่ในร่างนางแทน เช่นนั้นข้าจึงจำไม่ได้ว่าเคยช่วยท่านเอาไว้ เพราะผู้ที่ช่วยพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นนาง”“...”“หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาวันที่ต้องเข้าพิธีสมรส จนได้เจอกับพระองค์ คราแรกกังวลใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ต้องเข้าพิธีกับผู้ที่มีชื่อเสียงโหดร้ายเช่นท่าน แต่เมื่อแต่งแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นดั่งที่ชาวบ้านร่ำลือ”“...”“ที่หม่อมฉันช่วยพระองค์ก็เพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างไม่ลำบาก จนไม่นานมานี้ได้รับรู้ว่าที่พระองค์ดีกับหม่อมฉันเพราะทรงจำได้ว่าฉีอ้ายฉิงเคยช่
27เรื่องเหลือเชื่อนี้“โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมอุปสรรคเยอะแยะเหมือนในละคร ไม่งั้นตายแน่เลย เนาะไอ้จิ๋วของแม่” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ ขณะนั่งหน้าคันฉ่องบานใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้นางไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องเหลือเชื่อนี้เสียงเรียกแผ่วเบาหน้าประตูทำให้นางลุกไปดู หยินซูหยางหรือมารดาแท้ ๆ ของฉีอ้ายฉิงคนเก่า นางมาอยู่ที่จวนอ๋องได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะตระกูลฉีถูกเนรเทศจากเมืองหลวงหลังถูกโบย“ท่านแม่มีอันใดหรือเจ้าคะ”“แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้ามานานจึงอยากมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่”“ท่านแม่เชิญเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หยินซูหยางเดินตามบุตรสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้อง อ๋องอันยามนี้คงอยู่ในวังเพื่อวางเรื่องการป้องกันเมืองกับไท่จื่อ นางรินชาให้มารดาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรยามนี้นางก็เป็นฉีอ้
26โอกาสสุดท้ายของการกลับตัวไท่จื่อเบิกตาโตมองผู้คนที่เดินเข้ามาภายในโถงร้านค้าเก่าแห่งนี้ ภายนอกมีคนของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกหลายคนรวมถึงองครักษ์ประจำตัว แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิทรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดปะปนอยู่เลย ร่างกายเย็นวูบชาไปทั่วทั้งร่างไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้เลย“อ้ายฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงรู้สึกอับชื้นจึงหายใจไม่สะดวกเท่านั้น” น้ำเสียงหวานใสบอกกับผู้เป็นสามี ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้โกรธเคืองหรือตื่นกลัวอันใด“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงเสด็จมาเองเช่นนี้” องค์ไท่จื่อหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษที่ทำเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกังวลว่าฮ่องเต้ทรงรู้สิ่งใดมาบ้าง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
25ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง“เช่นนั้นก่อนตายข้าจะสงเคราะห์ให้” เขาพูดจบก็แหวกม่านหมวกออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยม นางไม่คุ้นเคยใบหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว“แม้จะเห็นหน้าท่านเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นผู้ใด อยากจะพูดก็พูดเถอะ หากไม่แล้วก็เชิญทำตามใจ” สิ่งที่เอ่ยออกไปนางไม่ได้จงใจยั่วยุแต่นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่ได้อยากตายก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อฟ้าลิขิตให้ตายผู้ใดเล่าจะรอดนางพูดจบก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งด้วยแววตานิ่งไม่หวั่นไหว ถามว่ากลัวหรือไม่นางย่อมต้องกลัว แต่จะให้อ้อนวอนขอชีวิตก็คงไม่มีประโยชน์อันใด“ยิ่งเห็นสายตาราวกับไม่กลัวสิ่งใดของเจ้า ทำให้ข้ายิ่งนึกถึงคนผู้นั้นยิ่งนัก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วที่จะไม่รักษาอ๋องอัน แต่เจ้าดื้อรั้นและดื้อดึง”“อย่างที่ท่านกล่าวมา ข้าทั้งดื้อรั้นและดื้อดึงต่อให้ท่านจะฆ่
24มีเวลาให้พักมากพอ“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นางยกมือกุมขมับตนเองทันที เป็นหมอแท้ ๆ แต่กลับไม่ทันได้คิดเรื่องนี้เลย มัวแต่ใช้เวลาดูแลผู้อื่นจนลืมสังเกตตนเอง“ขอบคุณท่านหมอ เชิญท่านหมอเถอะ ข้าขอพักเสียหน่อย”“กระหม่อมทูลลา” รายงานเสร็จหมอก็ออกไปจากรถม้าให้นางได้อยู่ตามลำพัง ไม่ได้สั่งยาหรือมอบเทียบยาใดให้เพราะเห็นว่านางอ่อนเพลียจึงปลีกตัวออกมาให้ได้พักผ่อน“ตัวจิ๋วเดียวก็สร้างเรื่องเลยนะ ถ้าอยากมาเกิดจริง ๆ อย่าให้แม่ทรมานนักสิ” นางพึมพำกับตนเองพร้อมกับลูบหน้าท้องแบนราบแผ่วเบาแล้วผล็อยหลับไป“ท่านหมอพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง พระชายาทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่น้อย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
23ป่วยแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เช่นนั้นผู้บงการนี้”“แม้จะไม่อยากคิด แต่ข้าคิดว่าคงเป็นคนผู้เดียวกับที่เจ้าคิด บัดนี้มีหลักฐานแต่ยังขาดพยาน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ต้องหาคนผู้นั้นให้เจอเราจึงจะได้คำตอบ” น้ำเสียงราบเรียบ เขาให้จื่ออี้ตามหาผู้ที่จับตัวฉีอ้ายฉิงในวันนั้น แม้จะยังไม่พบแต่ไม่นานต้องพบแน่ คนผู้นั้นเองก็คงไม่อยากตาย“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้”“ย่อมต้องมีเรื่องรบกวนเจ้าในภายหน้าเป็นแน่” คนเจ็บยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายบอกว่าต้องมีโอกาสใช้งานเขาแน่นอน เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยกันองค์ชายสามจึงมีแบบอย่างเป็นองค์ชายรองมาโดยตลอด ไม่ว่าองค์ชายรองจะทำอย่างไรจะเป็นอย่างไร เขาล้วนพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ในสักวันจะได้คอยช่วยพี่ชายออกรบในสนามรบได้หลังได้ยินว่าเขาจะต้องไปช่วยอ๋องอันบรรเทาทุกข์ที่เซียงโจวก็ดีใจมาก คิดตลอดคืนว่าจะพูดคุยกับพี่ชายอย่างไรดีแต่จน
22ภัยพิบัติคลี่คลายชายหนุ่มผละออกมาด้วยใบหน้าเสียดาย ท่าทางงอแงราวลูกสุนัขถูกห้ามกินไก่ น่าขบขันไม่น้อย ยามนี้เขาไม่ใช่แม่ทัพแห่งเทียนมิ่งแล้ว“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่เจ้าหนีไม่พ้นตลอดไปหรอก รู้หรือไม่พระชายา” น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยคาดโทษผู้เป็นภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเขาต้องการจัดการเรื่องราวภัยพิบัติให้เสร็จภายในห้าวันนี้ เพราะต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อหาหลักฐานของผู้อยู่เบื้องหลัง มีแต่ทำเช่นนี้เขาและนางจึงจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด“คนบ้ากล้ามาขู่กัน ชิ” เสียงพึมพำปนความขัดเขินดังออกมาจากริมฝีบาง นางรีบล้มตัวนอนลงทันที ไม่ต้องเถียงกับใครอีกแล้ว นางเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงเหนื่อยมากถึงเพียงนี้กันองค์ชายสามหลับไปถึงสองวันกว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์ภัยพิบัติเริ่มคลี่คลาย ผู้ที่บาดเจ็บได้รับการรักษาอย่างดี ยาและอาหารที่ขอจากเมืองหลวงก็มาถึงแล้ว บ้านเร
21เรื่องนี้บอกผู้อื่นไม่ได้เมื่อนางพูดเขาจึงเริ่มสังเกตุว่าตอนนี้ตนเองมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน รวมถึงใบหน้างดงามอ่อนหวานของผู้เป็นภรรยาด้วย“ข้ามองเห็นได้ชัดนักอ้ายฉิง” ถึงจะเห็นว่าภายในห้องบรรทมมีสิ่งของหรูหราอยู่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสนใจแม้แต่น้อย ที่แท้ใบหน้าของสตรีข้างกายเขากลับงดงามถึงเพียงนี้ หากเขาไม่อาจกลับมามองเห็นแล้ว นี่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก“เช่นนี้ก็ดียิ่งเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงมองเห็น หม่อมฉันเองก็รักษาคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาพระองค์ได้แล้ว”“เรื่องนี้ยิ่งต้องขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะกลับมามองเห็นอีกหรือไม่” สองมือหนากุมมือนางขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาจริงจังสดใสที่นางไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน ทำให้นางพลอยเคลิ้บเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนหวานตรงหน้าเช่นกัน“พระองค์จะบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่”
20พ้นข้อกล่าวหาฉีอ้ายฉิงใช้เวลาในการรักษาองค์ชายสามอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม โชคดีขององค์ชายที่มีดนี้ไม่ได้ถูกอวัยวะใดจนบาดเจ็บหนัก หลังดึงมีดออกตรง ๆ เลือดก็ไม่ได้ไหลมากเกินไปจนอยู่ในอันตรายอย่างที่กังวล นางใช้เส้นผมของตนเองร้อยกับเข็มเงินในปิ่นของมารดา เย็บปากแผลที่ฉีกออกให้ติดกันแม้เท้าตนเองจะไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ แต่นางมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ผู้มีพระคุณต้องตายภายใต้การรักษาของตน สุดท้ายจึงอดทนกัดฟันรักษาเขาจนเสร็จได้“จื่ออี้หากองค์ชายฟื้นให้คนไปตามข้า ยามนี้อย่าให้ผู้ใดรบกวนองค์ชาย หากพระองค์ฟื้นแล้วหิวก็อย่าเพิ่งให้กินสิ่งใด ข้าขอไปพักสักหน่อย” หญิงสาวสั่งองครักษ์ของสวามีเสร็จก็หันไบอกแก่หมอท้องถิ่นผู้นั้น พูดจบก็เดินจากไปโดยมีผู้เป็นสามีคอยประคอง เขามองเห็นไม่ชัดนางเดินได้ไม่เต็มที่ ช่างเป็นภาพที่ดียิ่งนักนางเหนื่อยล้าจนลืมไปแล้วว่าตนเองมีบาดแผลที่เท้ายังไม่ทันได้รักษา ผู้เป็นสามีเองก็รู้เพียงว่านางเจ็