2
คืนสมรส
พิธีสมรสมิได้ใหญ่โตเลยทั้งที่เป็นพิธีสมรสของอ๋อง ยามนี้อ๋องอันมองไม่เห็นคงไม่อยากพบผู้ใดพิธีต่าง ๆ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงการกราบไหว้ฟ้าดิน หลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จนางก็ถูกพาเข้าห้องหอ
“ท่านจะนอนเลยหรือเปล่า” เมื่อเข้าหอนางก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกโดยไม่ต้องรอให้สามีเปิดให้ สุรามงคลก็มิได้ร่วมดื่มด้วยกัน หญิงสาวเดินไปหาสวามีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ในเมื่อเขาไม่เห็นนางจึงจำต้องเป็นผู้คอยดูแลปรนนิบัติถึงอย่างไรก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้ว
“เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้า อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิดอย่างไรก็มิได้เต็มใจแต่ง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจแต่งแต่เพราะเป็นโองการของบิดาไหนเลยจะปฏิเสธได้ ด้วยกลัวว่าเขาจะมีอำนาจมากขึ้นจึงได้ประทานสมรสให้กับบุตรสาวคนโตของหัวหน้าหอดูดาว ที่ไม่มีอำนาจแต่ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้าง
นางเองก็คงไม่เต็มใจ จะมีสตรีใดเล่าจะเต็มใจแต่งกับบุรุษพิการเช่นเขา
“ไม่เต็มใจแต่งคือเรื่องจริง แต่ไหว้ฟ้าดินก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เป็นสามีภรรยากันแล้วจะหมางเมินไม่สนใจกันได้อย่างไร” เสียงคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล เขาพยายามใช้ความคิดอยู่นานว่าเหตุใดน้ำเสียงของนางจึงคุ้นเคยนัก แต่เมื่อนางเข้ามาประคองเขาก็นึกขึ้นมาได้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อน ๆ เจือปนกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้เช่นนี้ ช่างเหมือนที่เขาได้กลิ่นจากสตรีผู้นั้นเสียจริง
“เช่นนั้นก็อยู่ให้สบาย ข้าไม่บังคับให้เจ้าร่วมหอ สบายใจเถิด”
“หากท่านอยากเข้าหอจริงก็คงข้าเป็นที่ต้องทำเอง มาเถอะข้าจะพาไปนอน” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่นางบ่นพึมพำ เหตุใดจึงมีสตรีกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่อายได้ แต่เอาเถอะที่นางกล่าวก็ไม่ผิดนัก ยามนี้เขาจะทำสิ่งใดได้ นางพูดจบก็เดินเข้ามาประคองเขาให้ลุกขึ้น
“เจ้าทำสิ่งใด” อ๋องอันเลิกเสียงสูงปนตกใจเอ่ยถามนาง อยู่ ๆ มือคู่เล็กก็เอื้อมมาปลดผ้ารัดเอวของเขาออก ไม่ถามเขาสักคำก็ปลดอาภรณ์เขาเสียแล้ว
“ท่านจะใส่ชุดแต่งงานนอนหรือไง ข้าก็แค่ช่วยท่านปลดชุดเข้าพิธีออก คิดว่าสตรีอย่างข้าจะทำอะไรท่านหรือ” เหตุใดบุรุษเช่นเขาจึงกลัวแม้แต่การถูกจับเปลือย หากให้สู้กันแม้เขาจะมองไม่เห็นนางก็ไม่เห็นแววจะชนะเขาเลย กลัวสิ่งใดกัน
“เอ่อ ข้าเพียงตกใจที่เจ้าไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้”
“ได้ ต่อไปจะส่งสัญญาณก่อน ไปเถอะ” นางปลดชุดเข้าพิธีของเขาออกแล้ววางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นจึงจับมือเขามากุมเอาไว้ พาเขาเดินไปที่เตียงอย่างเชื่องชาและใจเย็น
ไม่รู้โชคดีของเขาหรือโชคดีของนางที่แต่เดิมเป็นหมอจึงคุ้นชินกับการดูแลผู้บาดเจ็บเช่นนี้ เข้าใจดีว่าผู้ที่เจ็บป่วยล้วนมีความลำบากใจกันทุกคน
อีกทั้งหากนางเข้ามาในร่างนี้เพียงชั่วคราวก็ควรทำให้เจ้าของร่างได้อยู่อย่างสุขสบายใจจวนอ๋องนี้ วันหน้าจะได้ไม่ต้องถูกรังแกจากผู้อื่นอีก หากท่านอ๋องผู้นี้มีเมตตตาต่อนางก็เป็นบุญของนางเช่นกัน อยู่ต่างยุคต่างสมัย ต่างบ้านต่างเมืองหากไม่มีที่พึ่งเกรงว่านางคงอยู่ได้ยาก
นางส่งเขาที่เตียงแล้วตนเองเดินออกมายืนอยู่ข้างเตียง จะให้นอนเลยก็ยังรู้สึกแปลกนัก แปลกเกินกว่าจะพาตนเองขึ้นไปนอนข้างเขาได้ในยามนี้
“ท่านนอนพักเถอะ ต้องการสิ่งใดก็เรียกข้า”
“เจ้าไม่นอนหรือ”
“ข้ายังมีสิ่งอื่นให้ทำอีก คงนอนตอนนี้ไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าท่านจะอยากเข้าหอ”
“ข้าแค่เพียงถามดูเท่านั้น ไม่นอนก็ช่างเถอะ” เขาไม่ควรต่อล้อต่อเถียงกับนางจริง ๆ ว่าจบก็เอนหลังนอนราบลงไปบนเตียง พยายามขยับเข้าไปให้ชิดด้านในของเตียง เผื่อนางอยากนอนจะได้ไม่ต้องเบียด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดอ้ายฉิงจึงขยับตัวไปนั่งตรงที่วางบนเตียงข้างตัวเขา นั่งมองลมหายใจสม่ำเสมอนั่นครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าเขาหลับสนิทแล้วจึงค่อยเอนตัวลงนอน ทั้งที่แม้เขาจะไม่หลับเขาก็มองไม่เห็นแท้ ๆ เห็นใดต้องระแวงถึงเพียงนี้
“ถ้าฉันหลับไปแล้วตื่นมาอีกทีที่นี่กลายเป็นห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลก็ดีสิ” เจ้าของใบหน้าหวานหยดพึมพำเพียงลำพังขณะกำลังนับลูกแกะในใจ นอนกับบุรุษเช่นนี้จะข่มตาหลับลงได้อย่างไรกัน เมื่อนางล้มตัวนอนคนข้าง ๆ ก็รู้สึกตัวทันที จะอย่างไรเขาก็ฝึกยุทธ์มาย่อมจับความรู้สึกได้รวดเร็ว
ทั้งที่คิดว่านางจะหลับได้ยากแต่แค่ครู่เดียวก็หลับสนิทไปแล้ว พอได้นอนข้างกันเช่นนี้ถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นหอมสือช่างผู่อ่อน ๆ นี้ยิ่งชัดเจน เขาเองก็บอกได้ไม่ชัดเจนว่ากลิ่นนี้แตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร เพราะสตรีส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ใช้สือช่างผู่ในการทำถุงหอม
แต่เขามั่นใจว่านางคือสตรีผู้นั้นที่เขาให้คนสนิทตามหามาร่วมสิบวันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายามต้องเจอก็จะเจอนางง่ายเช่นนี้
หมอหลวงกล่าวเอาไว้หากไม่ได้ผู้มีพระคุณช่วยสกัดพิษเอาไว้ยามนั้น เกรงว่ายามนี้คงเป็นงานศพไม่ใช่งานแต่ง เขาจำได้เพียงกลิ่นหอมอ่อนนี้ นางไม่เพียงสกัดพิษเอาไว้ทำให้เขาบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่หากนางไม่ช่วยเอาไว้เขาก็ไม่มีความหวังจะมองเห็นอีกแล้ว
พิษสิ้นทิวานี้หากไม่ถอนพิษภายในหนึ่งชั่วยาม ดวงตาจะไม่เห็นตลอดกาลดังชื่อพิษ โชคดีได้สตรีนางนั้นช่วยเอาไว้ทำให้เขามีโอกาสได้มองเห็นอีกครั้ง แม้แต่หมอหลวงก็ไม่กล้าพูด และไม่รู้ว่านานเพียงใด
3พระชายาท่านอ๋อง“จะตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อ” ร่างเล็กขยับไปมาหลังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแม้แต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือไม่นางจึงรีบตื่นขึ้นมาเช่นนี้ สามีนางยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคู่โตไล่มองใบหน้าผู้เป็นสามีที่นอนนิ่งอยู่ กระทั่งถึงดวงตาสองข้างนางจึงเอื้อมมือไปกดจุดชีพจรของเขา อาศัยช่วงเขายังไม่ตื่นตรวจดูว่ามีอาการเป็นอย่างไรแม้นางจะมีความรู้ด้านการแพทย์ แต่การแพทย์นั้นล้วนเป็นการแพทย์ที่ใช้ที่นี่ได้ยากยิ่ง จำต้องอาศัยความรู้จากความทรงจำของร่างนี้ โชคดีนางเป็นคนฉลาดขบคิดไม่นานก็เข้าใจจนแจ่มแจ้ง“ไม่ได้บอดถาวร แปลว่ายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงในฐานะที่ฉันเป็นหมอ จะรักษาคุณให้หายเอง” มิใช่ว่าเขาไม่ได้ยินที่นางพูด เพียงแต่ไม่อยากแสดงตัวว่าตื่นแล้ว และยังอยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดต่อไปท่อนแขนแข็งแรงถูกจับไว้ที่เดิม ก่อนที่ผู้จับจะลุกขึ้นไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อตื่นแล้วก็คงหลับไม่ลงอีกนางจึงคิดว่าหาสิ่งใดทำคงดีกว่า“ถวายบังคมพระชายา” ชายหนุ่มที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องหอทักขึ้น เมื่อเห็นนายหญิงของจวนเดินออกมาจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเป็นทหารคนสนิทของอ๋องอันที่ร่วมสู้รบด้
4พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์โจ๊กผักของนางเสร็จพร้อมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพอดี เสี่ยวหรงเดินตามมาจนถึงห้องเครื่องหลังไปที่ห้องนอน แต่ทหารของท่านอ๋องบอกว่าพระชายาออกมาจากห้องนอนนานแล้ว จึงเดินมาตามเผื่อผู้เป็นนายจะมีสิ่งใดให้รับใช้“พระชายา มาทำสิ่งใดในนี้หรือเพคะ อยากกินสิ่งใดเหตุใด้ไม่ใช้บ่าวทำ”“ข้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ท่านอ๋อง”“เหตุใดต้องทำเองเล่าเพคะ ที่จวนอ๋องก็มีพ่อครัว” สาวน้อยตรงหน้าถามเรื่อยเปื่อยด้วยความสงสัย จวนอ๋องก็ใช่ว่าจะขาดบ่าวไพร่เหตุใดพระชายาเช่นนางต้องลงมือทำเอง จริงอยู่ที่เพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากเท่าไรแต่ยามนี้นายของนางมิใช่คุณหนูรองตระกูลฉีอีกแล้ว แต่เป็นถึงพระชายาอ๋องอันที่มีชื่อเสียง“พ่อครัวก็รู้เพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารรสดี แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาหารจึงช่วยรักษาโรคได้” พระชายาฉีกล่าวกับสาวใช้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน ไม่ได้นึกหงุดหงิดที่ถูกถามจี้ไปมาเช่นนี้“พระชายารู้หรือเพคะ”“รู้สิ หากไม่รู้ข้าจะมาทำสิ่งใดในนี้ ไปเถอะยกอาหารตามข้ามา” สั่งเสร็จก็ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกไปจากห้องเครื่อง โดยมีเสี่ยวหรงยกถาดไม้ที่มีชามโจ๊กผักวางอยู่“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมาก
บทนำความตาย“เกือบสามสิบชั่วโมงแล้วที่ฉันถ่างตาอยู่ที่นี่ เหนื่อยชะมัด อยากตายจริง ๆ” หญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดพูดขึ้น ใบหน้าแสดงความเหน็ดเหนื่อยจากการโหมงานหนัก อยู่ในแผนกฉุกเฉินแห่งนี้มาเกือบสามสิบชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพักเลย คงเพราะเมื่อวานเป็นวันสิ้นปีคนใช้รถใช้ถนนมากเกิดอุบัติเหตุใหญ่ แผนกฉุกเฉินแห่งนี้เลยเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดโอย“เธอไปพักเถอะหมอจินมาแล้วนั่นไง” พยาบาลสาวบอกเพื่อนสนิทที่หน้าตาอิดโรย ใต้ตาดำคล้ำ พร้อมพยักเพยิดไปทางคุณหมอหนุ่มที่เพิ่งเข้าเมาปลี่ยนเวร คราวนี้เธอจะได้พักสักที“งั้นฉันไปล่ะไว้เจอกัน ลาก่อนนะคะหมอจิน” เธอโบกมือให้ทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งออกไป เธอต้องการพักผ่อน เปลือกตาในตอนนี้ต่อให้เอารถเครนมาดึงไว้มันก็ยังจะปิดอยู่ดีเชื่อหรือเปล่าหญิงสาววิ่งไปที่ห้องพัก ล้างหน้าล้างมือ ถอดเสื้อกาวน์กระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เธอต้องการปิดสวิตซ์ตัวเองสุด ๆพอขึ้นเตียงได้เปลือกตาที่หนักอึ้งก็ค่อย ๆ ปิดลง ลมหายใจก็เริ่มสม่ำเสมอ จากสม่ำเสมอเป็นเบาลง เบาลง จนในที่สุดอัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป...“เมื่อยชะมัด นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี
1ความทรงจำระหว่างที่กำลังแต่งตัวในชุดเจ้าสาวแบบโบราณอยู่ หญิงสาวก็คิดถึงเรื่องในความทรงจำก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน“แม่เล็กท่านพักผ่อนให้ดี อ้ายฉิงต้มยาไว้ให้แล้วอีกเดี่ยวเสี่ยวหรงจะนำยากับโจ๊กมาให้ท่าน อ้ายฉิงต้องออกไปหาสมุนไพรก่อน” ร่างบอบบางอ่อนแอมองบุตรสาวด้วยความรัก เมื่อได้ยินเสียงหวานบอกกับนางเบา ๆ แม่เล็กของนางป่วยเรื้อรังมาเกือบแปดปีแล้ว เดิมทีมารดาของนางเป็นหมอสมุนไพรนางเรียนรู้วิชาสมุนไพรจากมารดาแต่เด็กเมื่อแม่เล็กล้มป่วยนางก็หาเก็บสมุนไพรมาขายเพื่อหาเงินรักษา เพราะฉีฮูหยินเกลียดแม่เล็กของนาง เบี้ยแต่ละเดือนก็แทบไม่พอใช้ หากนางไม่หาสมุนไพรเกรงว่าต้องขอทานกันกินแล้ว“แม่ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนี้”“หาใช่ความผิดท่านแม่ไม่ ท่านแม่ไม่ต้องห่วงลูกจะรักษาท่านให้หายให้ได้ นั่นไงเสี่ยวหรงมาแล้ว ลูกจะรีบกลับมาท่านแม่อย่าได้กังวล” นางรีบแอบออกนอกจวนตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้ถูกพี่สาวร่วมบิดาจับได้ หากโดนจับได้ก่อนนางจะถูกลงโทษหลังจวนมีช่องทางลับเล็ก ๆ อยู่ หากเป็นบุรุษเกรงว่าคงรอดเข้าออกไม่ได้ ดีที่นางตัวเล็กจึงรอดเข้าออกได้ง่าย นางมักไปเก็บสมุนไพรที่ตีนเข้าด้านหลังบ้านเรือนนอกเขตตลาด
4พระองค์ก็ไม่ต่างจากสตรีตั้งครรภ์โจ๊กผักของนางเสร็จพร้อมพระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพอดี เสี่ยวหรงเดินตามมาจนถึงห้องเครื่องหลังไปที่ห้องนอน แต่ทหารของท่านอ๋องบอกว่าพระชายาออกมาจากห้องนอนนานแล้ว จึงเดินมาตามเผื่อผู้เป็นนายจะมีสิ่งใดให้รับใช้“พระชายา มาทำสิ่งใดในนี้หรือเพคะ อยากกินสิ่งใดเหตุใด้ไม่ใช้บ่าวทำ”“ข้ามาเตรียมอาหารเช้าให้ท่านอ๋อง”“เหตุใดต้องทำเองเล่าเพคะ ที่จวนอ๋องก็มีพ่อครัว” สาวน้อยตรงหน้าถามเรื่อยเปื่อยด้วยความสงสัย จวนอ๋องก็ใช่ว่าจะขาดบ่าวไพร่เหตุใดพระชายาเช่นนางต้องลงมือทำเอง จริงอยู่ที่เพียงเท่านี้ไม่ได้ลำบากเท่าไรแต่ยามนี้นายของนางมิใช่คุณหนูรองตระกูลฉีอีกแล้ว แต่เป็นถึงพระชายาอ๋องอันที่มีชื่อเสียง“พ่อครัวก็รู้เพียงว่าทำอย่างไรให้อาหารรสดี แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาหารจึงช่วยรักษาโรคได้” พระชายาฉีกล่าวกับสาวใช้ด้วยใบหน้าอ่อนโยน ไม่ได้นึกหงุดหงิดที่ถูกถามจี้ไปมาเช่นนี้“พระชายารู้หรือเพคะ”“รู้สิ หากไม่รู้ข้าจะมาทำสิ่งใดในนี้ ไปเถอะยกอาหารตามข้ามา” สั่งเสร็จก็ปัดมือสองสามทีแล้วเดินออกไปจากห้องเครื่อง โดยมีเสี่ยวหรงยกถาดไม้ที่มีชามโจ๊กผักวางอยู่“ถวายบังคมท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมาก
3พระชายาท่านอ๋อง“จะตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อ” ร่างเล็กขยับไปมาหลังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแม้แต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่รู้เพราะความเคยชินหรือไม่นางจึงรีบตื่นขึ้นมาเช่นนี้ สามีนางยังไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคู่โตไล่มองใบหน้าผู้เป็นสามีที่นอนนิ่งอยู่ กระทั่งถึงดวงตาสองข้างนางจึงเอื้อมมือไปกดจุดชีพจรของเขา อาศัยช่วงเขายังไม่ตื่นตรวจดูว่ามีอาการเป็นอย่างไรแม้นางจะมีความรู้ด้านการแพทย์ แต่การแพทย์นั้นล้วนเป็นการแพทย์ที่ใช้ที่นี่ได้ยากยิ่ง จำต้องอาศัยความรู้จากความทรงจำของร่างนี้ โชคดีนางเป็นคนฉลาดขบคิดไม่นานก็เข้าใจจนแจ่มแจ้ง“ไม่ได้บอดถาวร แปลว่ายังมีโอกาสหาย ไม่ต้องห่วงในฐานะที่ฉันเป็นหมอ จะรักษาคุณให้หายเอง” มิใช่ว่าเขาไม่ได้ยินที่นางพูด เพียงแต่ไม่อยากแสดงตัวว่าตื่นแล้ว และยังอยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดต่อไปท่อนแขนแข็งแรงถูกจับไว้ที่เดิม ก่อนที่ผู้จับจะลุกขึ้นไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อตื่นแล้วก็คงหลับไม่ลงอีกนางจึงคิดว่าหาสิ่งใดทำคงดีกว่า“ถวายบังคมพระชายา” ชายหนุ่มที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องหอทักขึ้น เมื่อเห็นนายหญิงของจวนเดินออกมาจากห้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเป็นทหารคนสนิทของอ๋องอันที่ร่วมสู้รบด้
2คืนสมรสพิธีสมรสมิได้ใหญ่โตเลยทั้งที่เป็นพิธีสมรสของอ๋อง ยามนี้อ๋องอันมองไม่เห็นคงไม่อยากพบผู้ใดพิธีต่าง ๆ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงการกราบไหว้ฟ้าดิน หลังกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จนางก็ถูกพาเข้าห้องหอ“ท่านจะนอนเลยหรือเปล่า” เมื่อเข้าหอนางก็เปิดผ้าคลุมหน้าออกโดยไม่ต้องรอให้สามีเปิดให้ สุรามงคลก็มิได้ร่วมดื่มด้วยกัน หญิงสาวเดินไปหาสวามีที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ในเมื่อเขาไม่เห็นนางจึงจำต้องเป็นผู้คอยดูแลปรนนิบัติถึงอย่างไรก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้ว“เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้า อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิดอย่างไรก็มิได้เต็มใจแต่ง” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจแต่งแต่เพราะเป็นโองการของบิดาไหนเลยจะปฏิเสธได้ ด้วยกลัวว่าเขาจะมีอำนาจมากขึ้นจึงได้ประทานสมรสให้กับบุตรสาวคนโตของหัวหน้าหอดูดาว ที่ไม่มีอำนาจแต่ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่บ้างนางเองก็คงไม่เต็มใจ จะมีสตรีใดเล่าจะเต็มใจแต่งกับบุรุษพิการเช่นเขา“ไม่เต็มใจแต่งคือเรื่องจริง แต่ไหว้ฟ้าดินก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เป็นสามีภรรยากันแล้วจะหมางเมินไม่สนใจกันได้อย่างไร” เสียงคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล เขาพยายามใช้ความคิดอยู่นาน
1ความทรงจำระหว่างที่กำลังแต่งตัวในชุดเจ้าสาวแบบโบราณอยู่ หญิงสาวก็คิดถึงเรื่องในความทรงจำก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน“แม่เล็กท่านพักผ่อนให้ดี อ้ายฉิงต้มยาไว้ให้แล้วอีกเดี่ยวเสี่ยวหรงจะนำยากับโจ๊กมาให้ท่าน อ้ายฉิงต้องออกไปหาสมุนไพรก่อน” ร่างบอบบางอ่อนแอมองบุตรสาวด้วยความรัก เมื่อได้ยินเสียงหวานบอกกับนางเบา ๆ แม่เล็กของนางป่วยเรื้อรังมาเกือบแปดปีแล้ว เดิมทีมารดาของนางเป็นหมอสมุนไพรนางเรียนรู้วิชาสมุนไพรจากมารดาแต่เด็กเมื่อแม่เล็กล้มป่วยนางก็หาเก็บสมุนไพรมาขายเพื่อหาเงินรักษา เพราะฉีฮูหยินเกลียดแม่เล็กของนาง เบี้ยแต่ละเดือนก็แทบไม่พอใช้ หากนางไม่หาสมุนไพรเกรงว่าต้องขอทานกันกินแล้ว“แม่ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนี้”“หาใช่ความผิดท่านแม่ไม่ ท่านแม่ไม่ต้องห่วงลูกจะรักษาท่านให้หายให้ได้ นั่นไงเสี่ยวหรงมาแล้ว ลูกจะรีบกลับมาท่านแม่อย่าได้กังวล” นางรีบแอบออกนอกจวนตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้ถูกพี่สาวร่วมบิดาจับได้ หากโดนจับได้ก่อนนางจะถูกลงโทษหลังจวนมีช่องทางลับเล็ก ๆ อยู่ หากเป็นบุรุษเกรงว่าคงรอดเข้าออกไม่ได้ ดีที่นางตัวเล็กจึงรอดเข้าออกได้ง่าย นางมักไปเก็บสมุนไพรที่ตีนเข้าด้านหลังบ้านเรือนนอกเขตตลาด
บทนำความตาย“เกือบสามสิบชั่วโมงแล้วที่ฉันถ่างตาอยู่ที่นี่ เหนื่อยชะมัด อยากตายจริง ๆ” หญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดพูดขึ้น ใบหน้าแสดงความเหน็ดเหนื่อยจากการโหมงานหนัก อยู่ในแผนกฉุกเฉินแห่งนี้มาเกือบสามสิบชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพักเลย คงเพราะเมื่อวานเป็นวันสิ้นปีคนใช้รถใช้ถนนมากเกิดอุบัติเหตุใหญ่ แผนกฉุกเฉินแห่งนี้เลยเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดโอย“เธอไปพักเถอะหมอจินมาแล้วนั่นไง” พยาบาลสาวบอกเพื่อนสนิทที่หน้าตาอิดโรย ใต้ตาดำคล้ำ พร้อมพยักเพยิดไปทางคุณหมอหนุ่มที่เพิ่งเข้าเมาปลี่ยนเวร คราวนี้เธอจะได้พักสักที“งั้นฉันไปล่ะไว้เจอกัน ลาก่อนนะคะหมอจิน” เธอโบกมือให้ทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งออกไป เธอต้องการพักผ่อน เปลือกตาในตอนนี้ต่อให้เอารถเครนมาดึงไว้มันก็ยังจะปิดอยู่ดีเชื่อหรือเปล่าหญิงสาววิ่งไปที่ห้องพัก ล้างหน้าล้างมือ ถอดเสื้อกาวน์กระโดดขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เธอต้องการปิดสวิตซ์ตัวเองสุด ๆพอขึ้นเตียงได้เปลือกตาที่หนักอึ้งก็ค่อย ๆ ปิดลง ลมหายใจก็เริ่มสม่ำเสมอ จากสม่ำเสมอเป็นเบาลง เบาลง จนในที่สุดอัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป...“เมื่อยชะมัด นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี