7
นางเป็นบุตรอนุ
ในโถงเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น กระทั่ง...
“โถ เสด็จพี่ข้าก็แค่เพียงเป็นห่วงท่านเท่านั้น หลังได้รับจดหมายจากท่านข้าก็กังวลนัก นึกว่านางถูกส่งมาลอบวางยาท่าน ข้าย่อมต้องไม่ไว้ใจนาง แต่ข้าไม่เข้าใจเหตุใดเมื่อรู้ว่านางเป็นบุตรของอนุ ท่านจึงไม่แจ้งเสด็จพ่อ ทั้งยังยอมให้นางอยู่ข้างกายเช่นนี้ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ยามพูดคุยกับฉีอ้ายฉิงยังมีท่าทีจริงจังพอได้อยู่กันตามลำพังกับพี่ชาย ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นเด็กน้อย อ๋องอันได้ฟังน้ำเสียงขุ่น ๆ ของน้องชายก็ยกยิ้ม
อ๋องอันกับองค์ชายหนิงเหอเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาจึงสนิทกันมากกว่าผู้อื่น หลังคืนเข้าหอเขาสั่งให้หงอี้นำจดหมายไปส่งให้น้องชาย แต่กำชับองค์ชายไว้ว่าไม่ให้บอกผู้อื่น เขารู้ว่าที่น้องชายมาวันนี้ก็คงมาเพื่อทดสอบนาง อย่างที่พูดออกไปเมื่อครู่ก็คงมิได้ตั้งใจหยาบคายต่อนาง
“หนิงเหอ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนข้าถูกพิษ หมอหล
8เรื่องนี้ดียิ่งนักเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่นางทั้งทำอาหาร เตรียมยา จัดยา ฝังเข็ม ประคบดวงตา บัดนี้นางเป็นใหญ่ที่สุดในจวน และบางทีก็อาจจะใหญ่กว่าอ๋องอันเสียอีก ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดเขาก็ไม่ขัด ยอมตามใจนางไปเสียทุกสิ่งเช้าวันนี้แดดจ้ายิ่งนักหลังนางเตรียมอาหารเสร็จก็กลับมาเปิดหน้าต่างห้องเพื่อรับลม ระบายความอับชื้นภายในห้อง สามีของนางคงติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วจึงได้ตื่นสายเช่นนี้ทุกวันหากเป็นเมื่อก่อนเขาต้องเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อเข้าท้องพระโรง“อ้ายฉิง ปิดหน้าต่างได้หรือไม่ข้าแสบตานัก”“สายเพียงนี้ยังไม่หิวหรือเพคะ” นางตอบรับทันที เตรียมจะเดินไปปิดหน้าต่างห้องบรรทมแต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ เหตุใดเขาจึงแสบตาทั้งที่มองไม่เห็น นางหันเท้ากลับมาอีกทางพุ่งไปนั่งข้างเตียง เลิกผ้าห่มของสวามีออกรวดเร็วอย่างลืมตัว“ข้ายังไม่หิว เจ้าทำสิ่งใด ข้าขอนอนอีกหน่อย” ผู้พูดยังไม่ฉุกคิด ดึงผ้าห่มกลับไปหมายจะนอน
9หายโกรธข้าแล้วหรือ“ท่านอ๋องทรงไม่รู้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” แม้แต่เขายังรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงโมโหออกมาเช่นนี้ ชายหนุ่มมองหน้าองครักษ์แต่ก็นึกไม่ออกว่าตนเองจะพูดสิ่งใด คล้ายองครักษ์จะรู้ว่าเหตุใดอ๋องอันคิดอย่างไรจึงแก้ไขความกระจ่างนั้นให้แก่ผู้เป็นนาย“พระชายาทรงเป็นห่วงท่านอ๋องจึงโกรธที่พระองค์ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ยามนี้พระองค์ทรงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนหากมีภัยจะทรงดูแลตนเองได้อย่างไร เช่นนี้พระชายาจึงคิดเคืองท่านอ๋อง”“เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจสตรีมากเพียงนี้ มีคนรักแล้วหรือ”“กระหม่อมไม่เคยมีคนรักพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ชอบสังเกตุสีหน้าและอารมณ์ของสตรีเท่านั้น” หงอี้ตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ ไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างไร แต่หากบุรุษอื่นได้ฟังคงนึกขบขันเรื่องราวที่ได้ฟังไม่น้อย คิดเรื่องที่หงอี้พูดอยู่สักครู่จึงลุกขึ้นหมายจะตามนางออกไป แต่ลืมไปว่าตนเองยังเห็นไม่ชัดนัก“หงอี้ พา
10บังอาจนักรถม้าคันใหญ่แล่นไปบนถนนเส้นหลักของเมืองหลวง อ๋องอันให้คนเตรียมรถม้าและข้าวของตั้งแต่วันก่อน พระชายาก็เตรียมยาสมุนไพรหลายอย่างเพื่อนำกลับไปให้มารดาในจวนฉี อีกทั้งอ๋องอันยังส่งคนไปแจ้งในจวนฉีเอาไว้ก่อนเมื่อมาถึงหน้าจวนคนในจวนก็พากันออกมารับเสด็จท่านอ๋องถึงหน้าจวน รถม้าหยุดลงฉีอ้ายฉิงเปิดม่านพร้อมกับประคองอ๋องอันออกมา โดยมีจื่ออี้คอยช่วยเหลือ ยามนี้อ๋องอันมิได้สวมหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าดังเช่นแต่ก่อน ผู้คนจึงได้เห็นใบหน้าใต้หน้ากากเหล็กเป็นครั้งแรก“ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา”“คารวะท่านพ่อ แม่ใหญ่”“คารวะท่านฉี และฉีฮูหยิน” ชายหนุ่มเอ่ยทักผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามพระชายาตน สายตามองเหม่อไปด้านหน้า เปลือกตาหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ราวกับมองไม่เห็นอยู่จริง ๆ ฉีอ้ายฉิงเบือนหน้าหนีสักครู่ตอนเห็นหน้าสองแม่ลูกผู้นั้นต่อมาคิดได้ว่าควรไปเยี่ยมแม่เล็กที่เร
11ประทานอภัยฉีอ้ายเหม่ยรีบปล่อยมือจากแขนของน้องสาวต่างมารดา แล้วรีบไปยืนอยู่ข้างกายมารดาตนเองทันที ใบหน้างดงามที่ถูกแต่งแต้มจากเครื่องประทินผิวชั้นดีบัดนี้ซีดเผือดราวถูกผีหลอก“พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าทำสิ่งใดกันบ้าง เห็นว่าข้าตาบอดจึงกล้าล่วงเกินพระชายาต่อหน้าข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่กันแล้วใช่หรือไม่” พ่อแม่ลูกทั้งสามรีบคุกเข่าโขกหัวลงกับพื้นโถงเย็น ๆ เพื่อขอพระราชทานอภัยแก่อ๋องอันที่ได้ล่วงเกินท่านอ๋องต่อหน้าเช่นนี้“ท่านอ๋องโปรดอภัย เป็นกระหม่อมที่สั่งสอนบุตรและภรรยาได้ไม่ดีจึงทำให้ท่านอ๋องทรงไม่พอพระทัยเช่นนี้”“พวกเจ้าคิดว่าข้าตาบอดจึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าข้า เพียงข้าไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้ว่าพวกเจ้าส่งฉีอ้ายฉิงมาแต่งงาน แทนที่จะเป็นฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโต” ฉีหลีหมิ่นยิ่งหน้าซีดขึ้นเมื่อรู้ว่าอ๋องอันรู้เรื่องทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว หากอ๋องอันกราบทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้เกรงว่าตำแหน่งหัวหน้า
12ข่าวนี้เท็จจริงอย่างไรกลับถึงจวนอ๋องได้ไม่นานข่าวที่อ๋องอันเริ่มมองเห็นก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แต่ข่าวนี้กลับไม่ได้มีเพียงแต่อ๋องอันมองเห็นยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ผู้คนพากันร่ำลือว่า ท่านอ๋องดีขึ้นเพราะพระชายาเป็นผู้รักษาใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็ดีขึ้นราวกับเทพรักษาเมื่ออ๋องอันทราบข่าวนี้ก็กังวลไม่น้อย เหตุนี้เองนางจึงยอมให้เขาแพร่ข่าวลือเพราะยามนี้ผู้ที่เป็นเหยื่อคือนางมิใช่เขาแล้ว หากกำจัดนางเสียดวงตาเขาก็ไม่มีทางหายสนิท สตรีผู้นี้นอกจากเฉลียวฉลาดยังเจ้าเล่ห์นัก แสร้งยอมอ่อนข้อให้สุดท้ายปล่อยข่าวลือนี้ซ้ำทั้งยังไปไวกว่าคนของเขาเสียอีก“ฉีอ้ายฉิง”“เหตุใดเรียกข้าเต็มชื่อ ท่านอ๋องรู้ข่าวลือแล้วหรือ”“เหตุใดข่าวจึงออกมาเช่นนี้” ในเรือนสมุนไพรที่เงียบสงบ เขามานั่งเฝ้านางต้มสมุนไพรแต่หลังจากที่จื่ออี้มาแจ้งข่าวลือภายนอก ชายหนุ่มก็นั่งเงียบทันที เมื่อองครักษ์ตนเองออกไปจึงอยากสอบถามนาง
13สตรีที่เพรียบพร้อมหลังข่าวนี้ลือไปทั่วเมืองในวังก็มีการเคลื่อนไหวมากมาย ไม่เว้นแม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ตาม อำนาจต่าง ๆ ล้วนสั่นคลอนอีกครั้ง“พี่สะใภ้” องค์ชายสี่หนิงเหอเองหลังรู้ข่าวก็อยากรีบมาแต่ถูกฮ่องเต้ส่งไปเชื่อมสัมพันธ์กับคณะทูตต่างแคว้นถึงหนึ่งเดือน พอกลับจากต่างเมืองก็รีบมาที่นี่โดยทันที“ถวายบังคมองค์ชายสี่” หญิงสาวประสานมือย่อตัวทำความเคารพหลังอีกฝ่ายเอ่ยทักตนเองก่อน นางไม่เห็นหน้าเขานานนัก ได้ยินจากอ๋องอันว่าถูกส่งไปเจรจาด้านการทูตไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง นางยิ้มให้แล้วผายมือเชิญชายหนุ่มตรงหน้าไปนั่งรอที่โถงใหญ่ อีกครู่หนึ่งเจ้าของจวนจึงจะมายามนี้อ๋องอันคงประคบร้อนดวงตาเสร็จแล้ว ทุกวันเวลานี้นางจะช่วยประคบอุ่นให้เขา เกือบสองเดือนจนเขาดีขึ้นมากนางก็ยังทำเช่นเดิม ข่าวที่ถูกปล่อยออกไปยังไม่มีความคเลื่อนไหวใดจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลย“พี่สะใภ้ เสด็จพี่เป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ข่าวว่าดี
14หากไม่ให้ตามก็จะหนียามซวี หลังทานอาหารเสร็จ ส่งองค์ชายกลับ ดื่มยาต้มแล้ว อาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสร็จนางก็ไปช่วยเขาสวมใส่อาภรณ์สีขาวรอเข้านอน ก่อนนอนก็นำผ้าชุบน้ำร้อนประคบดวงตาอีกรอบ อ๋องอันต้องประคบดวงตาช่วงสายและก่อนนอนของวัน“มีสิ่งใดหรือเพคะ เหตุใดสีหน้าไม่ดีเลย” ขณะดึงผ้าออกจากดวงตาเขานางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัยเจือความเป็นห่วง แม้ไม่เห็นแววตาแต่นางรับรู้ว่าเขากำลังคิดมากเรื่องบางอย่างอยู่“อีกไม่นานข้าต้องไปต่างแคว้นเพื่อปลอบขวัญผู้ประสบภัยน้ำป่าในเซียงโจว”“...”“ข้าคิดว่าเสด็จพ่อคงกังวลกลัวข้าจะกลับมามองเห็นแล้วทำให้ราชสำนักสั่นคลอน” แม้ฉีอ้ายฉิงในชาตินี้จะอายุเพียงสิบเจ็ดย่างสิบแปด แต่ฉีอ้ายฉิงที่นางจากมาอายุยี่สิบหกแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย สิ่งใดก็เจอมาเกือบหมด ยิ่งเป็นหมอยิ่งมีเรื่องชีวิตให้เห็นไม่เว้นวัน แค่คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ถอนหายใจยาว หัวใจเต้นเร็ว
15คืนเข้าหอที่แท้จริงในเมื่อคิดไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งก็ต้องมี ทำวันนี้หรือวันอื่นก็ต้องทำเหมือนเดิมอยู่ดี หญิงสาวตื่นเต้นจนใจแทบจะระเบิดแต่พยายามรวบรวมสติที่แตกกระเจิงให้กลับมา“เช่นนั้นให้หม่อมฉันได้อาบน้ำ ล้างเนื้อล้างตัวก่อนได้หรือไม่”“ได้” ผู้เป็นสามีตอบรับคำขอของภรรยาแล้วปล่อยมือจากเอวขอดเล็กของนาง หญิงสาวรีบลุกขึ้น ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วออกไปจากห้องบรรทมทันที ภายในห้องอาบน้ำมีม่านกั้นทั้งสามด้าน อ่างไม้ขนาดใหญ่มีน้ำลอยกลีบดอกไม้อยู่เกือบเต็ม นางปลดอาภรณ์ทุกชิ้นก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าไปตามขั้นบรรไดของอ่างไม้“แผนการขุดหลุมฝังตัวเองจริง ๆ ยัยโง่เอ้ย ยังไงซะตอนนี้เค้าก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัด ฉันต้องเป็นคนนำหรอ บ้าน่า! ฉันเนี่ยนะ ฉันที่ไม่เคยมีแฟนเนี่ยนะ รอให้ตัวเองแข็งแรงหน่อยก็ไม่ได้ อย่างว่าแหละถึงจะมองไม่เห็นแต่ร่างกายไม่ผิดปกติก็ต้องมีควมรู้สึกแบบนั้น แต่จะให้ฉันทำยังไงเล่า คนมันไม่เคยอ่า ฉันน่าจะพูดเรื
28สตรีใดที่ท่านหลงรัก“เห็นอยู่กับตาว่าเจ้าคือฉีอ้ายฉิง เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย ไม่รู้เหตุใดชายาตนเองจึงพูดจาแบบนี้ ถามผู้ที่เคยพบล้วนต้องบอกว่านางคือฉีอ้ายฉิงบุตรตระกูลฉีเป็นแน่“เดิมทีฉีอ้ายฉิงถูกฉีอ้ายเหม่ยบุตรสาวคนโตทำร้ายจนสิ้นใจภายในจวน และหม่อมฉันตายจากที่อื่นก็เลยเข้ามาอยู่ในร่างนางแทน เช่นนั้นข้าจึงจำไม่ได้ว่าเคยช่วยท่านเอาไว้ เพราะผู้ที่ช่วยพระองค์ไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นนาง”“...”“หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาวันที่ต้องเข้าพิธีสมรส จนได้เจอกับพระองค์ คราแรกกังวลใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ต้องเข้าพิธีกับผู้ที่มีชื่อเสียงโหดร้ายเช่นท่าน แต่เมื่อแต่งแล้วจึงรู้ว่าท่านไม่ได้เป็นดั่งที่ชาวบ้านร่ำลือ”“...”“ที่หม่อมฉันช่วยพระองค์ก็เพื่อให้ตนเองได้อยู่อย่างไม่ลำบาก จนไม่นานมานี้ได้รับรู้ว่าที่พระองค์ดีกับหม่อมฉันเพราะทรงจำได้ว่าฉีอ้ายฉิงเคยช่
27เรื่องเหลือเชื่อนี้“โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมอุปสรรคเยอะแยะเหมือนในละคร ไม่งั้นตายแน่เลย เนาะไอ้จิ๋วของแม่” หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆ ขณะนั่งหน้าคันฉ่องบานใหญ่ เรื่องนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้นางไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องเหลือเชื่อนี้เสียงเรียกแผ่วเบาหน้าประตูทำให้นางลุกไปดู หยินซูหยางหรือมารดาแท้ ๆ ของฉีอ้ายฉิงคนเก่า นางมาอยู่ที่จวนอ๋องได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วเพราะตระกูลฉีถูกเนรเทศจากเมืองหลวงหลังถูกโบย“ท่านแม่มีอันใดหรือเจ้าคะ”“แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้ามานานจึงอยากมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เป็นอย่างไรบ้าง ยังอาเจียนอยู่หรือไม่”“ท่านแม่เชิญเข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ” หยินซูหยางเดินตามบุตรสาวเข้าไปนั่งเก้าอี้ในห้อง อ๋องอันยามนี้คงอยู่ในวังเพื่อวางเรื่องการป้องกันเมืองกับไท่จื่อ นางรินชาให้มารดาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ แต่อย่างไรยามนี้นางก็เป็นฉีอ้
26โอกาสสุดท้ายของการกลับตัวไท่จื่อเบิกตาโตมองผู้คนที่เดินเข้ามาภายในโถงร้านค้าเก่าแห่งนี้ ภายนอกมีคนของเขาเฝ้าอยู่ด้านนอกหลายคนรวมถึงองครักษ์ประจำตัว แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายจึงรู้ว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิทรงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดปะปนอยู่เลย ร่างกายเย็นวูบชาไปทั่วทั้งร่างไม่นึกเลยว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จเองเช่นนี้ แต่เขากลับไม่รู้เลย“อ้ายฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงรู้สึกอับชื้นจึงหายใจไม่สะดวกเท่านั้น” น้ำเสียงหวานใสบอกกับผู้เป็นสามี ใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้โกรธเคืองหรือตื่นกลัวอันใด“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงเสด็จมาเองเช่นนี้” องค์ไท่จื่อหันไปพูดกับฮ่องเต้ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกังวลว่าจะถูกกล่าวโทษที่ทำเรื่องเช่นนี้ หรืออาจกังวลว่าฮ่องเต้ทรงรู้สิ่งใดมาบ้าง“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
25ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง“เช่นนั้นก่อนตายข้าจะสงเคราะห์ให้” เขาพูดจบก็แหวกม่านหมวกออกทั้งสองฝั่ง เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยม นางไม่คุ้นเคยใบหน้านี้แม้แต่น้อย ไม่เคยเห็นสักครั้งเดียว“แม้จะเห็นหน้าท่านเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นผู้ใด อยากจะพูดก็พูดเถอะ หากไม่แล้วก็เชิญทำตามใจ” สิ่งที่เอ่ยออกไปนางไม่ได้จงใจยั่วยุแต่นางคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างไรนางก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ไม่ได้อยากตายก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อฟ้าลิขิตให้ตายผู้ใดเล่าจะรอดนางพูดจบก็เงยหน้ามองเขาอีกครั้งด้วยแววตานิ่งไม่หวั่นไหว ถามว่ากลัวหรือไม่นางย่อมต้องกลัว แต่จะให้อ้อนวอนขอชีวิตก็คงไม่มีประโยชน์อันใด“ยิ่งเห็นสายตาราวกับไม่กลัวสิ่งใดของเจ้า ทำให้ข้ายิ่งนึกถึงคนผู้นั้นยิ่งนัก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้วที่จะไม่รักษาอ๋องอัน แต่เจ้าดื้อรั้นและดื้อดึง”“อย่างที่ท่านกล่าวมา ข้าทั้งดื้อรั้นและดื้อดึงต่อให้ท่านจะฆ่
24มีเวลาให้พักมากพอ“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นางยกมือกุมขมับตนเองทันที เป็นหมอแท้ ๆ แต่กลับไม่ทันได้คิดเรื่องนี้เลย มัวแต่ใช้เวลาดูแลผู้อื่นจนลืมสังเกตตนเอง“ขอบคุณท่านหมอ เชิญท่านหมอเถอะ ข้าขอพักเสียหน่อย”“กระหม่อมทูลลา” รายงานเสร็จหมอก็ออกไปจากรถม้าให้นางได้อยู่ตามลำพัง ไม่ได้สั่งยาหรือมอบเทียบยาใดให้เพราะเห็นว่านางอ่อนเพลียจึงปลีกตัวออกมาให้ได้พักผ่อน“ตัวจิ๋วเดียวก็สร้างเรื่องเลยนะ ถ้าอยากมาเกิดจริง ๆ อย่าให้แม่ทรมานนักสิ” นางพึมพำกับตนเองพร้อมกับลูบหน้าท้องแบนราบแผ่วเบาแล้วผล็อยหลับไป“ท่านหมอพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋อง พระชายาทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่น้อย ริมฝีปากยกยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัว
23ป่วยแล้วหรือไม่“เสด็จพี่ เช่นนั้นผู้บงการนี้”“แม้จะไม่อยากคิด แต่ข้าคิดว่าคงเป็นคนผู้เดียวกับที่เจ้าคิด บัดนี้มีหลักฐานแต่ยังขาดพยาน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ต้องหาคนผู้นั้นให้เจอเราจึงจะได้คำตอบ” น้ำเสียงราบเรียบ เขาให้จื่ออี้ตามหาผู้ที่จับตัวฉีอ้ายฉิงในวันนั้น แม้จะยังไม่พบแต่ไม่นานต้องพบแน่ คนผู้นั้นเองก็คงไม่อยากตาย“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้”“ย่อมต้องมีเรื่องรบกวนเจ้าในภายหน้าเป็นแน่” คนเจ็บยิ้มมุมปากขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายบอกว่าต้องมีโอกาสใช้งานเขาแน่นอน เพราะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูด้วยกันองค์ชายสามจึงมีแบบอย่างเป็นองค์ชายรองมาโดยตลอด ไม่ว่าองค์ชายรองจะทำอย่างไรจะเป็นอย่างไร เขาล้วนพยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่ในสักวันจะได้คอยช่วยพี่ชายออกรบในสนามรบได้หลังได้ยินว่าเขาจะต้องไปช่วยอ๋องอันบรรเทาทุกข์ที่เซียงโจวก็ดีใจมาก คิดตลอดคืนว่าจะพูดคุยกับพี่ชายอย่างไรดีแต่จน
22ภัยพิบัติคลี่คลายชายหนุ่มผละออกมาด้วยใบหน้าเสียดาย ท่าทางงอแงราวลูกสุนัขถูกห้ามกินไก่ น่าขบขันไม่น้อย ยามนี้เขาไม่ใช่แม่ทัพแห่งเทียนมิ่งแล้ว“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่เจ้าหนีไม่พ้นตลอดไปหรอก รู้หรือไม่พระชายา” น้ำเสียงหยอกเย้าเอ่ยคาดโทษผู้เป็นภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปเขาต้องการจัดการเรื่องราวภัยพิบัติให้เสร็จภายในห้าวันนี้ เพราะต้องรีบกลับเมืองหลวงเพื่อหาหลักฐานของผู้อยู่เบื้องหลัง มีแต่ทำเช่นนี้เขาและนางจึงจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด“คนบ้ากล้ามาขู่กัน ชิ” เสียงพึมพำปนความขัดเขินดังออกมาจากริมฝีบาง นางรีบล้มตัวนอนลงทันที ไม่ต้องเถียงกับใครอีกแล้ว นางเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงเหนื่อยมากถึงเพียงนี้กันองค์ชายสามหลับไปถึงสองวันกว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมา สถานการณ์ภัยพิบัติเริ่มคลี่คลาย ผู้ที่บาดเจ็บได้รับการรักษาอย่างดี ยาและอาหารที่ขอจากเมืองหลวงก็มาถึงแล้ว บ้านเร
21เรื่องนี้บอกผู้อื่นไม่ได้เมื่อนางพูดเขาจึงเริ่มสังเกตุว่าตอนนี้ตนเองมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน รวมถึงใบหน้างดงามอ่อนหวานของผู้เป็นภรรยาด้วย“ข้ามองเห็นได้ชัดนักอ้ายฉิง” ถึงจะเห็นว่าภายในห้องบรรทมมีสิ่งของหรูหราอยู่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสนใจแม้แต่น้อย ที่แท้ใบหน้าของสตรีข้างกายเขากลับงดงามถึงเพียงนี้ หากเขาไม่อาจกลับมามองเห็นแล้ว นี่ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก“เช่นนี้ก็ดียิ่งเพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงมองเห็น หม่อมฉันเองก็รักษาคำมั่นสัญญาว่าจะรักษาพระองค์ได้แล้ว”“เรื่องนี้ยิ่งต้องขอบคุณเจ้าที่คอยดูแลปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะกลับมามองเห็นอีกหรือไม่” สองมือหนากุมมือนางขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาจริงจังสดใสที่นางไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน ทำให้นางพลอยเคลิ้บเคลิ้มไปกับรอยยิ้มแสนหวานตรงหน้าเช่นกัน“พระองค์จะบอกเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่”
20พ้นข้อกล่าวหาฉีอ้ายฉิงใช้เวลาในการรักษาองค์ชายสามอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม โชคดีขององค์ชายที่มีดนี้ไม่ได้ถูกอวัยวะใดจนบาดเจ็บหนัก หลังดึงมีดออกตรง ๆ เลือดก็ไม่ได้ไหลมากเกินไปจนอยู่ในอันตรายอย่างที่กังวล นางใช้เส้นผมของตนเองร้อยกับเข็มเงินในปิ่นของมารดา เย็บปากแผลที่ฉีกออกให้ติดกันแม้เท้าตนเองจะไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ แต่นางมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้ผู้มีพระคุณต้องตายภายใต้การรักษาของตน สุดท้ายจึงอดทนกัดฟันรักษาเขาจนเสร็จได้“จื่ออี้หากองค์ชายฟื้นให้คนไปตามข้า ยามนี้อย่าให้ผู้ใดรบกวนองค์ชาย หากพระองค์ฟื้นแล้วหิวก็อย่าเพิ่งให้กินสิ่งใด ข้าขอไปพักสักหน่อย” หญิงสาวสั่งองครักษ์ของสวามีเสร็จก็หันไบอกแก่หมอท้องถิ่นผู้นั้น พูดจบก็เดินจากไปโดยมีผู้เป็นสามีคอยประคอง เขามองเห็นไม่ชัดนางเดินได้ไม่เต็มที่ ช่างเป็นภาพที่ดียิ่งนักนางเหนื่อยล้าจนลืมไปแล้วว่าตนเองมีบาดแผลที่เท้ายังไม่ทันได้รักษา ผู้เป็นสามีเองก็รู้เพียงว่านางเจ็