ฟางเหนียงอมยิ้มก่อนจะกินข้าวตามเด็ก ๆ บ้าง มีเพียงปูเท่านั้นที่เด็กน้อยยังแกะไม่เป็น ส่วนอาหารจานอื่นเด็กน้อยก็คีบกินอย่างระมัดระวัง เพราะพวกเขาเคยอดอยากมาก่อนทำให้อาหารบนโต๊ะไม่มีหกเลยสักอย่างเนื้อปูที่ฟางเหนียงชิมดูไม่ได้สดใหม่ รสชาติค่อนข้างจืดชืดหมดแล้ว แต่เพราะเด็ก ๆ ไม่เคยกินอาหารประเภทนี้ทำให้ถูกปากไม่น้อย พวกเขากินข้าวกันไม่นานอาหารตรงหน้าก็พร่องไปเยอะพอควร แต่พวกเขาก็มองอาหารที่เหลือตรงหน้าอย่างเสียดาย ดวงตากลมโตมองมารดาอย่างเว้าวอน“ท่านแม่เราเอากลับบ้านได้หรือไม่ขอรับ”ฟางหรงเอ่ยถามอย่างนึกเสียดายอาหารตรงหน้าที่พวกเขาพยายามกินแล้วแต่กินไม่หมด เพราะเคยอดอยากมาก่อนเมื่อเห็นอาหารตรงหน้าที่เหลืออยู่จึงทำให้รู้สึกไม่มีความสุขนัก ที่จะกินทิ้งกินขว้างเช่นนี้“เดี๋ยวเย็นนี้แม่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเจ้าได้กิน แต่หากห่อกลับเย็นนี้พวกเจ้าจะไม่กินข้าวฝีมือแม่นะ”ฟางเหนียงยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยบอกเด็ก ๆ ว่ากลับบ้านไปมารดาจะทำของอร่อยให้กิน ถ้าห่อกลับนางจะไม่ได้ทำอาหารเย็นซึ่งเด็ก ๆ ชอบฝีมือมารดาของตนมากกว่า จึงพยักหน้ายอมรับอย่า
“พวกเราจะเลี้ยงหมูกันหรือขอรับ”ฟางเหรินเอ่ยถามดวงตาเป็นประกาย พลางคิดว่าต่อไปนี้พวกเขาจะมีเนื้อหมูกินทุกวันจะไม่ได้อดอยากอีกแล้วเพียงคิดแค่นั้นดวงตาก็เป็นประกาย ขณะที่ฟางหรงตบมืออย่างตื่นเต้นหมายมั่นว่าจะเป็นคนให้อาหารหมูเอง“ใช่แล้วละ พวกเจ้าต้องช่วยแม่เลี้ยงหมูและเลี้ยงไก่”ฟางเหนียงเอ่ยบอกเด็ก ๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาเลือกซื้อหมูซึ่งนางไม่ได้ซื้อมาเยอะเพราะจะเป็นภาระหนักเกินไป ตอนนี้นางทำงานคนเดียวและมีเพียงเด็กเท่านั้น จึงซื้อมาเพียงแค่สองตัวเท่านั้น ซึ่งทางร้านจะนำไปส่งในหมู่บ้านเย่วซินให้นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาสงสัยว่าอยู่ ๆ มีหมูโผล่มาได้อย่างไรเมื่อจัดการส่วนนี้ได้แล้วฟางเหนียงจึงพาเด็ก ๆ เลือกซื้อเกวียนม้า ซึ่งราคาแพงถึงสองร้อยตำลึง ส่วนเกวียนวัวราคาร้อยตำลึง ฟางเหนียงเลือกซื้อม้าแทน เพราะการเดินทางจะได้สะดวกมากขึ้น ส่วนวัวนั้นนางก็อยากเลี้ยงไว้จะได้ช่วยงานด้วย แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะเริ่มต้น คนเดียวกลัวจะดูแลไม่ทั่วถึงเพราะยังต้องดูแลเด็ก ๆ ด้วย
“รนหาที่ตาย”ฟางเหนียงพูดอย่างเย็นชา ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ร่างบอบบางพุ่งเข้าหาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่หวาดกลัว ทันใดนั้นในมือของนางก็ปรากฏดาบเล่มยาวขึ้นอย่างน่าตกใจ สองร่างถอยหลบหนีอย่างตื่นตระหนก“นางมีของวิเศษ”ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน แม้จะตกใจในคราแรกแต่เวลานี้กลับกระหายอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง หลังจากตั้งสติได้จึงร่วมมือกันพุ่งเข้าหาสตรีนั้นเต็มกำลัง อย่างไรวันนี้พวกเขาต้องได้ของวิเศษและคัมภีร์นั่นมาให้ได้ ร่างบอบบางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่มือตวัดแกร่งเข้าหาศัตรูอย่างดุดัน ทุกการลงมือล้วนพุ่งเข้าจุดสำคัญของร่างกายเคร้ง เคร้ง เคร้ง!!!ฉัวะ!!!เปรี๊ยง!สามร่างพัวพันกันอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานร่างบุรุษทั้งสองก็ถอยห่างออกไป ดวงตามีความตื่นตระหนกตกใจ ความกดดันและไอสังหารที่ส่งมาทำให้พวกเขาขยับตัวอย่างยากลำบาก และนั่นทำให้พวกเขาพลาดพลั้งหลายครั้งจนตอนนี้บาดแผลเริ่มเต็มร่างกาย ทว่าแม้มีบาดแผลหลายแห่งแต่ก็เป็นบาดแผลที่พวกเขาหลบหลีกจุดสำคัญของร่างกายแล้ว หากพวกเขาหลบไม่ทันก็
หลังจากที่เตรียมเสร็จแล้วจึงเริ่มลงมือก่อไฟและทำทันที นางนำซี่โครงหมูมาลวกกับน้ำในมิติสวรรค์เพื่อดับกลิ่นคาวจากนั้นจึงตักซี่โครงออกแล้วตั้งหม้อน้ำเปล่าต้ม โดยรอให้เดือด ก่อนจะไปขยับไฟให้อยู่ในระดับปานกลาง ขั้นตอนนี้ทำให้นางหงุดหงิดเล็กน้อย หากมีคนมาช่วยใส่ไฟและดูไฟให้คงดีไม่น้อย เมื่อน้ำเดือดก็รีบนำซี่โครงไปต้มทันทีตามด้วยขิงและต้นหอมที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้รอจนกระทั่งเนื้อหมูสุกจึงได้ตักออกอีกครั้ง และนำไปล้างน้ำเปล่าสามสี่รอบจนใส ส่วนขิงกับต้นหอมนั้นทิ้งไปเพราะนางใส่ไว้ไม่ให้มีกลิ่นคาวเท่านั้นจากนั้นจึงตั้งกระทะเทน้ำมันลงเล็กน้อยแล้วนำซี่โครงหมูไปผัดจนผิวเนื้อเริ่มตึง ๆ จึงใส่สวนผสมอื่น ๆ ฟางเหนียงเทน้ำในมิติที่เตรียมไว้เทใส่ในกระทะจากนั้นก็ปิดฝาตุ๋นไว้ประมาณครึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัวอีกครั้งระหว่างนั้นฟางเหนียงก็ทำต้มซุปปลาให้เด็ก ๆ กินเพื่อสุขภาพอีกอย่างหนึ่งปลานางจับมาจากในมิติที่เคยจับไปปล่อยเอาไว้ นางจัดการฆ่าและขอดเกล็ดปลาอย่างชำนาญ ปลาที่เลี้ยงในมิติสวรรค์ไม่มีกลิ่นคาวเหมือนปลาทั่วไปทำให้
ฟางเหนียงซึ่งอยู่ในร้านเซี่ยโหย่วเอ่ยถามเซี่ยอวี้เสียงเรียบ แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนไป แต่ในใจตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน แม้นางจะหาเงินมาได้มากในหนึ่งเดือนมานี้แต่หากใช้จ่ายแบบนี้ครอบครัวของพวกเขาจะต้องกลับมายากจนอีกครั้ง “ฮูหยินฟางท่านฟังไม่ผิดหรอก คัมภีร์พวกนี้ใช่ว่าจะมีขายง่าย ๆ จะมีก็จะเป็นของปลอมหากฝึกตามอาจจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรก แต่ท่านเองก็มีวรยุทธ์เหตุใดต้องหาคัมภีร์เริ่มต้นด้วย” เซี่ยอวี้เอ่ยถามอย่างสงสัย มองสตรีตรงหน้าที่วันนี้งดงามมีน้ำมีนวลมากกว่าเดิม หากนางไม่ทำทรงผมว่าเป็นสตรีแต่งงานแล้วคงมีคนมาเกี้ยวพาราสีมากมาย และมาวันนี้นางสวมหมวกปีกสานปิดบังใบหน้าไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความงามไปได้ เสียดายคนที่งดงามและมากความสามารถเช่นนี้แต่งงานแล้ว ไม่รู้ว่าบุรุษผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร“ข้าต้องการหนึ่งเล่ม” ฟางเหนียงไม่ได้ตอบคำถามของเซี่ยอวี้ แต่บอกความต้องการของตนเอง พร้อมหยิบตั๋วเงินหนึ่งตำลึงทองให้อีกฝ่ายอย่างจนใจ แม้ราคาจะแพงจนน้ำตานางแทบไหล แต่เพื่ออนาคตจึงต้องยินยอมใจจ่าย อีกทั้งตัวนางเองก็สนใจพวกวรยุทธ์เช่นกัน นางจำได้ว่าเข้าเมืองครั้งที่แล้วมีคนหมายเอาชีวิตเพราะวิชาสะ
ทว่าทันทีที่มาถึงบ้านฟางเหนียงก็ได้รับข่าวจากคนในหมู่บ้านว่าลู่หลิ่งบ้านตระกูลลู่ถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย อีกฝ่ายหนีออกจากป่าลึกมาได้ ชาวบ้านจึงได้ให้การช่วยเหลือ แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัสทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ฟางเหนียงเม้มปากแน่น นางรู้ว่าทำไมพวกเขาเข้าไปในป่าลึกเพราะพวกนั้นหวังจะเจอสมุนไพรและร่ำรวยชั่วข้ามคืนเช่นเดียวกับนาง และทั้งตอนนี้ตระกูลฝั่งมารดาของนางก็มีบ้านหลังใหญ่ให้คนอื่นอิจฉาเช่นกัน จึงทำให้มีบุรุษหลายคนเข้าป่าตามคำสั่งภรรยา นางจำคนชื่อลู่หลิ่งได้เนื่องจากเคยมาช่วยนางสร้างบ้านมาก่อนในโลกนี้ฟางเหนียงไม่รู้ว่าเวลาคนเสียชีวิตต้องทำอย่างไร แต่นางก็ให้ซองเงินช่วยเหลือไปหนึ่งตำลึง เพื่อจะได้ซื้อโลงศพดี ๆ และซื้ออาหารเลี้ยงแขกด้วย ซึ่งลู่ชิงภรรยาอีกฝ่ายแม้จะรับเงินไป แต่ก็มองนางราวกับนางเป็นต้นเหตุการณ์ตายของสามี จากนั้นนางจึงไม่ไปปรากฏตัวในงานอีกเพราะนางก็ได้ช่วยเหลือตามสมควรแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก และนางไม่ได้เป็นคนบอกให้ขึ้นเขาไปป่าลึกเพื่อหาสมุนไพรเสียหน่อย นั่นอยู่ที่ความโลภของพวกเขาเอง ขนาดตัวนางยังบาดเจ็บกลับมาแล้วคนที่ไม่เคยผ่านความเป็นคว
นางนำผงถ่านมาผสมกับน้ำมันหมูขั้นตอนการทำค่อนข้างยุ่งยาก เพราะไม่มีN70 หรือ N8000 ในยุคปัจจุบันที่ทำให้สบู่มีฟอง จึงต้องใช้ไขมันหมูทดแทน สบู่นี้สามารถเก็บไว้ได้นานแต่จะมีฟองน้อย หากมีน้ำมันมะกอกจะทำให้มีฟองมากกว่านี้ และยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นมากกว่าอีกด้วยส่วนน้ำหอมนางใช้ดอกกุกลาบที่ปลูกไว้ข้างบ้านมาคั้นน้ำผสม ความรู้ส่วนนี้ได้มาจากญาติผู้พี่ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่วัน ๆ อยู่กับห้องแล็บในวันสิ้นโลก มีช่วงหนึ่งสบู่ขาดแคลนเจ้าตัวก็สอนวิธีโบราณกับคนอื่น ๆ จึงพอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ ตั้งแต่มาที่นี่ฟางเหนียงได้ทดลองทำหลายอย่าง นางไม่ได้เชี่ยวชาญมากนัก ส่วนมากจะจำได้ตอนที่ญาติผู้พี่เล่าให้ฟังเท่านั้น ทว่าตั้งแต่ญาติผู้พี่ถูกพวกทางการเชิญตัวไปทดลองทำยาต้านเชื้อไวรัสนางก็ไม่ค่อยได้พบบ่อยหนักหลังจากที่เด็ก ๆ ไปอาบน้ำฟางเหนียงก็ทำอาหารเย็นวันนี้นางทำไก่ตุ๋นเกาลัดและไข่ตุ๋นอย่างง่ายอีกหนึ่งอย่าง นางเริ่มก่อไฟหุงข้าวไว้ก่อนจะไปลงมือเชือดไก่ในมิติอีกหนึ่งตัว นางลงมือทำอย่างคล่องแคล่วใช้เวลาเพียงไม่นานไก่ก็ถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อย จากนั้นจึงได้เตรียมส่วนผสมอื่น ๆ ซึ่งมีเกาลัดหรือที่นี่เรียกว่าลี่จึเป
ฟางเหนียงให้เด็ก ๆ หัดเล่นหมากล้อมขาวดำ ซึ่งนางซื้อมาเมื่อครั้งเข้าเมืองล่าสุดนี้ นางสอนวิธีเล่นและอธิบายการเล่นหมากล้อมอย่างใจเย็น นางไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าใจมากน้อยแค่ไหนแต่พยายามอธิบายแบบง่าย ๆ ให้ฟัง นางใช้เวลาสอนเล่นเพียงครึ่งชั่วยาม ซึ่งฟางเหรินแฝดพี่จะเข้าใจง่ายกว่าคนน้อง แม้คนน้องจะหัวร้อนกว่าแต่ก็พอเล่นไปได้ เมื่อถึงยามซวีจึงพาเด็ก ๆ เข้านอน ห้องนอนตอนนี้กว้างและเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งเด็ก ๆ นอนกลิ้งได้อย่างสบาย ๆ นางเหน็บผ้าห่มให้ทั้งคู่อย่างเงียบ ๆ เมื่อทั้งสองหลับไปแล้วจึงได้ออกจากห้องไปยังห้องนอนใหญ่อีกห้องหนึ่งซึ่งนางเตรียมไว้ให้ ฟางเหยียนอวี้ ข้าวของที่ซื้อมาก็จัดเก็บไว้ในตู้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงผ้าพับที่ยังอยู่ห้องของนางเพราะต้องวัดขนาดของเจ้าตัวก่อนจะตัดเย็บให้ ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงนอนที่มาปัดเช็ดถูอยู่บ่อยครั้ง ผ้าห่มชุดนี้ยังไม่เคยใช้งานแต่ก็ถูกเตรียมไว้รอคนกลับบ้าน นางครุ่นคิดถึงคนในความทรงจำของร่างเดิม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใด และนางยังสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ สงครามไม่ใช่สนามเด็กเล่นแค่รอดกลับมาได้ก็นับว่าดีมากแล้วฟางเหนียงสงบใจ ก่อนจะเริ่มอ่านคั
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ