ฟางเหนียงให้เด็ก ๆ หัดเล่นหมากล้อมขาวดำ ซึ่งนางซื้อมาเมื่อครั้งเข้าเมืองล่าสุดนี้ นางสอนวิธีเล่นและอธิบายการเล่นหมากล้อมอย่างใจเย็น นางไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าใจมากน้อยแค่ไหนแต่พยายามอธิบายแบบง่าย ๆ ให้ฟัง นางใช้เวลาสอนเล่นเพียงครึ่งชั่วยาม ซึ่งฟางเหรินแฝดพี่จะเข้าใจง่ายกว่าคนน้อง แม้คนน้องจะหัวร้อนกว่าแต่ก็พอเล่นไปได้ เมื่อถึงยามซวีจึงพาเด็ก ๆ เข้านอน ห้องนอนตอนนี้กว้างและเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งเด็ก ๆ นอนกลิ้งได้อย่างสบาย ๆ นางเหน็บผ้าห่มให้ทั้งคู่อย่างเงียบ ๆ เมื่อทั้งสองหลับไปแล้วจึงได้ออกจากห้องไปยังห้องนอนใหญ่อีกห้องหนึ่งซึ่งนางเตรียมไว้ให้ ฟางเหยียนอวี้ ข้าวของที่ซื้อมาก็จัดเก็บไว้ในตู้เรียบร้อยแล้ว มีเพียงผ้าพับที่ยังอยู่ห้องของนางเพราะต้องวัดขนาดของเจ้าตัวก่อนจะตัดเย็บให้ ฟางเหนียงนั่งลงบนเตียงนอนที่มาปัดเช็ดถูอยู่บ่อยครั้ง ผ้าห่มชุดนี้ยังไม่เคยใช้งานแต่ก็ถูกเตรียมไว้รอคนกลับบ้าน นางครุ่นคิดถึงคนในความทรงจำของร่างเดิม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใด และนางยังสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ สงครามไม่ใช่สนามเด็กเล่นแค่รอดกลับมาได้ก็นับว่าดีมากแล้วฟางเหนียงสงบใจ ก่อนจะเริ่มอ่านคั
ชีวิตในแต่ละวันของฟางเหนียงนั้นเป็นระบบระเบียบมาก เช้ามาออกกำลังกายยามเช้า ให้อาหารไก่ อาหารหมู อาหารม้า และรดน้ำผักในตอนเช้า เวลานี้แตงโมสุกหลายลูกแล้ว นางกินไม่ทันจึงได้เก็บไว้ไปขายในเมืองและผักผลไม้หลายอย่างซึ่งออกดอกออกผลในมิติสวรรค์นั้นงดงามมากแม้เวลานี้นางไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่นางก็ไม่ได้รังเกียจหากมันจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพราะอนาคตยังต้องมีค่าใช้จ่ายของเจ้าก้อนแป้งน้อยตามมาด้วย เวลานี้เจ้าก้อนแป้งน้อยขาวอวบอ้วนน่าฟัดยิ่งกว่าวันแรก ที่นางได้พบเจอ แก้มอวบอ้วนนั้นก็น่าบีบน่าจับไปหมด แขนเล็ก ๆ อ้วน ๆ ป้อมนั่นยิ่งทำให้นางเผลอยิ้มมาหลายครั้งอีกหน่อยทั้งคู่คงจะกลิ้งแทนการเดิน ช่วงนี้นางวางแผนไปหาแพะมาเลี้ยงเพื่อจะได้รีดนมให้เจ้าก้อนแป้งกิน ในอนาคตข้างหน้าเจ้าตัวจะได้สูงสมส่วน แม้นางจะชอบที่เจ้าก้อนแป้งอวบอ้วน แต่หากโตขึ้นนางก็อยากให้พวกเขาหล่อเหลา สมส่วนเป็นหนุ่มหล่อให้นางได้มองเจริญหูเจริญตา ยิ่งพวกเขาหน้าตาดีนางยิ่งภูมิใจที่เลี้ยงดูพวกเขามาอย่างดีและในทุกวันจะแบ่งเวลามานั่งเดินลมปราณกันอย่างขยันขันแข็ง ตอนนี้นางอยู่ขั้นต้นระดับห้าแ
ฟางเหนียงหาเศษใบไม้แถวนั้นมาเผาตรงหน้าโพรงกระต่าย ควันไฟลอยเข้าไปในโพรงไม้จนเจ้าก้อนสำลีตัวอ้วนกระโดดออกมา นางใช้กำลังภายในที่มีเพิ่มความเร็วของมือจับมือของมันโยนเข้าไปในมิติอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเจ้ากระต่ายตัวอ้วนยังยืนงงอยู่ภายในมิติ ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มันไม่ทันได้เห็นหน้ามนุษย์ผู้นั้นเสียด้วยซ้ำไปแต่มันก็ยืนงงไม่นาน เมื่อมีครอบครัวของมันตามมาอีกห้าตัวด้วยกัน เมื่อเห็นว่าอยู่กันครบแล้ว พวกมันก็พากันกระโดดไปตามสวนผักอย่างตื่นเต้น และแทะเล็มผักใบเขียวสดใหม่อย่างเอร็ดอร่อยฟางเหนียงมองในมิติเงียบ ๆ ไม่ได้จับพวกมันออกจากสวนผัก เพราะถึงจะกินไปเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก แต่ต่อไปนางจะสร้างรั้วกั้นไว้ไม่ให้มันเดินไปทั่วเช่นเดียวกับไก่ แต่ตอนนี้นางยังต้องสำรวจป่าลึกแถวนี้ให้เสร็จก่อนค่ำ เมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงนางก็เข้าไปกินข้าวกับเด็ก ๆ ในมิติสวรรค์ ซึ่งทั้งคู่ยังพากันเล่นน้ำอย่างสนุกสนานน้ำกับเด็กนี่เป็นของคู่กันจริง ๆ โชคดีที่พวกเขาว่ายน้ำกันเก่งมากแล้ว แต่หากมีอะไรผิดปกตินางก็สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ตลอดเวลา จึงไม่ได้ทำให้นางเป็นห่วงมากนัก&
แม้จะปิดจมูกเอาไว้ แต่กลิ่นเหม็นของมันก็ยังคงอยู่ นางไม่รอช้าเร่งมือเก็บกวาดเห็ดหลินจือและต้นไม้ที่ดูแปลก ๆ ใส่เข้าไปในมิติจนหมด จากนั้นก็รีบจากมาอย่างรวดเร็ว เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ววันนี้นางจึงเดินทางกลับทันทีอีกทั้งทิศนี้ก็สิ้นสุดที่หน้าผา หากต้องการไปที่ภูเขาลูกต่อไปคงต้องอ้อมไปอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งไว้ให้นางเลื่อนระดับลมปราณให้ได้เสียก่อนอีกอย่างวันนี้นางจะทำสตูว์กระต่ายให้เจ้าก้อนแป้งกินจึงรีบกลับบ้านอย่างรวดเร็ว อีกอย่างพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเจ้าแฝดด้วยนางจะได้ไปทำขนมเค้กให้ซึ่งนางไม่ได้ทำนานแล้วอีกอย่างเตาอบสมัยนี้ไม่รู้ว่าทำออกมาแล้วสีขนมเค้กจะออกมาหอมนุ่มหรือจะไหม้แทน นางต้องไปฝึกทำคืนนี้หากไม่ได้ยังไงจะได้ปรับเปลี่ยนสูตรไปด้วยฟางเหนียงใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน ระหว่างทางกลับบ้านนางก็หาบฟืนมาสองมัดเพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นว่านางก็มีฟืนใช้ในฤดูหนาวพวกเขาอาจไม่รู้ว่านางมีทั้งหมดกี่มัดและหาบลงมากี่รอบแล้ว แต่นางไม่ได้สนใจเรื่องนั้น นางแค่ทำให้ไม่ดูแตกต่างจนชาวบ้านสงสัยเท่านั้นเมื่อเข้ามาในบ้านฟางเหนียงก็เอาฟืน
เขาแค่ทำหน้าที่สามีที่ดี พ่อที่ดีส่งเงินมาเลี้ยงดูเท่านั้น แต่ไม่เคยส่งจดหมายไถ่ถามความเป็นอยู่เลย แต่ฟางเหยียนอวี้ก็ยังพอได้ยินจากทหารคนอื่นว่าภรรยาของตนเป็นเช่นไร แม้จะรู้สึกปวดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเงินมาให้เลี้ยงดูบุตรชายเท่านั้น อย่างน้อยก็ขอให้พวกเขามีชีวิต แม้ชีวิตพวกเขาจะไม่ได้ดีมากนักก็ตาม เขานึกถึงใบหน้าของภรรยาในความทรงจำซึ่งมันเลือนรางจนแทบจำไม่ได้ พวกเขาไม่ได้รักกันและแทบไม่ได้มองหน้ากันจึงไม่แปลกที่เขาจะลืมเลือนไปบ้าง ร่างสูงหมุนกายหมายจะไปบ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อไถ่ถามหาภรรยากับลูกของตนเองหวังว่าฟางเหนียงยังมีจิตสำนึกของความเป็นแม่ไม่ขายลูกออกไปก่อนที่เขาจะกลับมา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อภัยนางตลอดชีวิตเป็นแน่“อ้าวนั่นเหยียนอวี้ใช่หรือไม่ กลับมาแล้วหรือ” ลุงหวังที่กลับมาจากไร่ขณะที่กำลังผ่านหน้าบ้านฟางเหนียงไปเอ่ยทักถามอย่างดีใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มดวงตาเป็นประกายยินดี เหยียนอวี้เวลานี้ดูหล่อเหลาและแข็งแกร่งไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว สนามรบทำให้ผู้คนเปลี่ยนไปจริง ๆ แต่เมื่อมองสำรวจร่างสูงสง่าของฟางเหยียนอวี้แล้วกลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาไม่รู้สาเหตุของการกลับบ้านแต่
“ฟางเหริน ฟางหรงไปดูสิใครมาบ้านเรา”“ขอรับ” ทั้งคู่ตอบรับก่อนจะเคลื่อนไหวออกไปทางหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งคู่เปิดประตูออกไป ก็เจอกับร่างสูงตระหง่านมีกลิ่นไอแข็งแกร่งเหมือนมารดายืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้านั้นดูน่ากลัวเล็กน้อย เพราะมีรอยแผลเป็นน่ากลัวอยู่ตรงใต้ตาข้างซ้าย ทว่ามารดาสั่งสอนพวกเขามาอย่างดี มนุษย์ไม่อาจตัดสินใจจากภายนอกได้ บางคนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่พร้อมจะแทงข้างหลังตลอดเวลา แม้พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายมากนัก แต่ก็พอสรุปได้ว่าห้ามตัดสินคนที่หน้าตา ทว่าคนเบื้องหน้าพวกเขากลับไม่รู้จัก“ไม่ทราบท่านลุงเป็นใครหรือขอรับ” ฟางเหรินเอ่ยถามอย่างระวัง ขณะที่คนน้องต่อประโยคให้มารดาที่กำลังทำอาหาร เพราะเขารู้ว่าหากมารดาออกมา อาหารที่นางทำจะไหม้ได้ และกินไม่ได้ ยิ่งวันนี้มีเนื้อกระต่ายพวกเขายิ่งไม่ยอมให้มารดาออกมา จนกว่าจะทำเสร็จ หากฟางเหนียงรู้ความคิดของพวกเขาคงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกเป็นแน่“ตอนนี้ท่านแม่กำลังทำกับข้าว ยังออกมาต้อนรับไม่ได้ขอรับ เดี๋ยวอาหารไหม้” ฟางเหยียนอวี้มองเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาเหมือนกันอย่างนิ่งงัน ทั้งคู่สวมใส่อาภรณ์สีเดียวกันรวบผมทรงเดียวกันทำให้ย
แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลุงหวังเล่าให้ฟังก็รู้สึกปวดใจ ที่ตนปล่อยให้ภรรยาลำบากหาเงินมาสร้างบ้านเองเช่นนี้ แม้เขาจะเป็นทหารมาถึงสี่ปีก็คงไม่ได้บ้านหลังใหญ่เช่นนี้ นอกเสียจากทวงตำแหน่งของตนเองกลับคืนมา แต่แล้วอย่างไรในเมื่อมารดาไม่ได้ต้องการเขาไยจะต่อสู้อย่างไร้ประโยชน์ เมื่อนึกถึงสิ่งที่มารดากระทำ ก็ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น นกกระสาอยู่กินอยู่รังหงส์อย่างสุขสบาย หากเขามีชีวิตที่ดี ครอบครัวคงไม่ต้องลำบากเช่นนี้ แต่เมื่อคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน หากตนเป็นองค์ชายก็คงไม่มีโอกาสเจอภรรยาคนนี้ เขาควรไม่ยึดติดในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองเวลานี้พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ประตูบ้านหลังใหญ่เปิดออก เผยให้เห็นร่างบอบบางราวกับต้นหลิวยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้างดงามดวงตานิ่งสงบมองมาที่ฟางเหยียนอวี้อย่างเงียบ ๆ กลิ่นไอของนางเวลานี้ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคย คนตรงหน้าเขาตอนนี้คือฟางเหนียงที่งดงามและดูอวบอิ่มกว่าแต่ก่อน แววตาที่มองมานั่น มั่นคงและให้ความรู้สึกจิตใจสงบ ทันใดใบหน้างามระบายยิ้มอ่อนโยนออกมา“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ท่านพี่มาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเถอะเจ้าค่ะ จะได้มากินข้าวกัน” น้ำเสียงอ่อนโยนแ
เมื่อร่างบอบบางหายไปจากสายตาแล้ว ฟางเหยียนอวี้จึงมีโอกาสมองสำรวจภายในห้อง ข้าวของทุกชิ้นยังใหม่และมีกลิ่นหอม บ่งบอกว่าเจ้าตัวทำความสะอาดทุกวัน บานหน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวปักลายด้วยดอกเหลียนฮวาสีชมพูอ่อนและปลาสีทองอ้วนกลมแหวกว่ายอยู่ในนั้นเมื่อก่อนเขาไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับฟางเหนียงมากนัก เพราะนางไม่เคยเปิดใจให้เขามาก่อน ความจริงวันนี้เขาทำใจไว้แล้ว ว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายของนาง และเขายินยอมที่หย่าให้นางอย่างเต็มใจ เพื่อนางจะได้พบเจอคนที่รักจริง ๆแต่เวลานี้ใบหน้าคมคายเม้มปากแน่นอย่างคิดหนัก เพราะตอนนี้เขาไม่อยากหย่าแล้ว แต่หากฟางเหนียงต้องการเขาก็คงยินยอม แต่เมื่อคิดถึงไออุ่นที่ได้รับในวันที่กลับบ้านก็รู้สึกหวงแหนช่วงเวลาดี ๆ เช่นนี้เอาไว้เวลานี้หัวใจเขากลับรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่คิดว่ากลับบ้านมาจะได้อาบน้ำ สวมเสื้อผ้าที่นางเตรียมไว้ให้ และยังมีอาหารรอแม้จะไม่รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของนางเป็นอย่างไร แต่ดูจากแก้มอวบอิ่มและแขนอวบอ้วน พุงน้อย ๆ ของลูกชายแล้ว น่าจะอร่อยมาก เขารีบอาบน้ำและเริ่มคาดหวังกับอาหารที่ยังส่
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ