บทนำ
“ผมเกลียดพี่ เกลียดพี่ได้ยินไหม!!!!”
“แต่พัชจะเอาความเกลียดทั้งหมดมาลงที่ลูกไม่ได้!”
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อผมไม่เคยคิดอยากให้เด็กนั่นเกิดมาด้วยซ้ำ!!!เป็นพี่! พี่ทั้งนั้นที่ทำให้ผมต้องเป็นบ้าแบบนี้!!!”
“ถ้าพัชเชื่อแบบนั้นก็มาตีพี่ ทำพี่ พัชจะตบพี่จะตีพี่ยังไงก็ได้พี่จะไม่โกรธไม่ว่าพัชสักคำ แต่พัชอย่าเอามาลงที่ลูกได้ไหม พี่ขอร้อง”
“ฮ่าๆ อึก ฮ่าๆ แล้วตอนที่พัชขอร้องพี่ว่าไม่อยากแต่งงานกับพี่ทำไมตอนนั้นพี่ไม่ฟังพัชบ้าง?”
“พัชชา?”
“ฮ่าๆ ผมเกลียดพี่ พี่ปราชญ์....”
ผมหลับตาลงไม่กล้าจ้องมองภาพของคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ผมไม่กล้าจ้องมองภาพนั้น ก่อนจะที่น้ำตาจะหลั่งรินเมื่อเห็นว่าด้านหลังของทั้งคู่มีร่างเล็กกำลังยืนร้องไห้อย่างน่าสงสาร ผมอยากเข้าไปกอดเจ้าตัว แต่สิ่งที่คว้าไว้มีเพียงแค่ภาพเงา ผมหัวเราะอย่างไร้เสียง รู้ดีว่าผมไม่มีทางกลับไปได้อีกแล้ว เพราะผมตายแล้ว....
หากเปรียบชีวิตของผมเป็นละครบทหนึ่งผมคงเป็นตัวร้ายในละครชีวิตเรื่องนั้น ชื่อผมคือ พัชชา แซ่เจริญ เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวพงษ์พัฒน์ แซ่เจริญ เจ้าของห้างสรรพสินค้ามากมายในประเทศไทย อาจจะเพราะว่ามารดาตายตั้งแต่ผมเกิด ป๊าจึงรักผมมาก ยอมประเคนทุกสิ่งมาให้ผมอย่างไม่เคยบ่น ทุกสิ่งไม่ว่าผมต้องการอะไร ใช่ แม้แต่คนที่ผมชอบป๊าก็ยังหามาประเคนให้ผมอย่างไม่รีรอ....
ปรัชญา พิพิศภักดี เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลพิพิศภักดี ตระกูลรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศไทย และทุกครั้งที่มีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าในเครือแซ่เจริญ ทางพิพิศภักดีจะต้องเข้ามาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อยู่เสมอ และเพราะแบบนั้นโครงการสร้างห้างสรรพสินค้าที่ภูเก็ต แลกกับการให้ผมได้หมั้นหมายกับลูกชายคนเล็กจึงเป็นข้อเสนอที่มีแต่ได้กับได้กับทางนั้น และใช่ทางนั้นตกลงรับคำขอของผม ผมที่เพิ่งเข้ามหาลัยได้ไม่นานจึงเต็มไปด้วยความฝันอันหอมหวานที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
คู่หมั้นที่แสนหล่อเหลา เก่งกาจ เพียบพร้อมด้วยฐานะและเงินทอง ไม่ว่าจะมองมุมไหนทั้งคู่ก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เหมาะสมกันอย่างไม่ต้องสงสัย และมาถึงคำถามที่ว่าสุดท้ายแล้วทำไมผมถึงได้ไปแต่งงานกับพี่ปราชญ์ได้? ใช่ เริ่มต้นมันเริ่มจากวันนั้น วันที่พี่ปรัชมารับผมไปทานข้าวไม่ได้ เลยให้พี่ชายบุญธรรมมารับผมไปทานข้าวแทน ปราชญ์ปรากรณ์ พิพิศภักดี ลูกชายบุญธรรมที่อายุมากกว่าผม 7 ปี ผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของน้องชายเสมอมา สามีของผม และพ่อของลูกในอนาคต ใช่ วันนั้นไม่เหมือนวันอื่นๆ ผมโกรธที่พี่ปรัชไม่มารับผมไปทานข้าวเพราะติดงานด่วน จึงงอแงให้อีกฝ่ายมาหาให้ได้ จนสุดท้ายคนที่ต้องมาหาผมกลับเป็นคนคนนั้น พี่ปราชญ์ ไม่ใช่พี่ปรัช
“ทำไมเป็นพี่! ผมอยากไปทานข้าวกับพี่ปรัช!”
“ปรัชไม่ว่างครับน้องพัช เราหิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่พาไปกินของโปรดเราดีไหม?”
มันน่าแปลกนะที่คนไม่ใช่คู่หมั้นกลับรู้ได้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบทานอะไร แต่พี่ปรัชกลับไม่เคยรู้เลยว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร มีเพียงแค่พี่ปราชญ์เท่านั้นที่รู้เรื่องทุกอย่างของผมดีที่สุด และวันนั้นก็จบลงที่พี่ปราชญ์พาผมไปทานข้าว และพี่ปรัชส่งดอกไม้มาขอโทษผม ทำให้ผมมีความสุขมากอีกวัน และเพราะแบบนั้นจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยๆ ในระยะหลัง ที่พี่ปรัชงานยุ่งจนไม่มีเวลามาให้คู่หมั้นอย่างผมเลย
“เป็นพี่อีกแล้วหรือ?”
“ขอโทษนะครับน้องพัชที่เป็นพี่อีกแล้ว”
และหลังจากนั้นผมก็เจอพี่ปราชญ์บ่อยกว่าหน้าคู่หมั้นตัวเองจนเรียบจบ ใช่ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผมเรียนมหาลัยคนที่มารับ-ส่งผม คอยพาไปกินข้าวดูหนังกลับเป็นพี่ปราชญ์ ไม่ใช่พี่ปรัชที่แทบไม่เคยมีเวลามาหาผมเลย จนกระทั่งวันนั้นที่ผมดื่มเหล้าหนักเพราะน้อยใจในคู่หมั้นตัวเอง ผมดื่มหนักมาก มากจนขาดสติ เอาแต่ร่ำร้องว่าพี่ปรัชไม่มีเวลาให้ บ่นพึมพำอยู่แบบนั้นเหมือนเป็นคนบ้า แต่พอตื่นมาอีกวัน คนที่นอนข้างผมกลับเป็นพี่ปราชญ์...
ใช่ ในคืนนั้นผมเมาจนมีอะไรกับพี่ปราชญ์ และนั่นไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจของพี่ปราชญ์ คนที่แอบชอบผมมานานมากแล้ว....
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเป็นพี่!!!!”
“น้องพัชใจเย็นก่อน พี่อธิบายได้”
“ไม่ ออกไปให้พ้นจากหน้าพัชนะ พัชเกลียดพี่”
“พี่ขอโทษ... แต่อย่าเกลียดพี่เลยนะ พี่ขอโทษคนดี”
“ไม่ ออกไป ไป!!!!!”
วันนั้นผมไล่พี่ปราชญ์ออกไปอย่างกับหมูกับหมา ไล่ออกไปทั้งๆ ที่พี่ปราชญ์พยายามขอโทษผม และอ้อนวอนผม แต่เพราะความโกรธ ความอาย และความรู้สึกผิดต่อพี่ปรัช ผมจึงไล่พี่ปราชญ์ออกไป หลังจากวันนั้นพี่ปราชญ์พยายามงอนง้อผม ขอโทษและทำทุกอย่าง เพื่อให้ผมยกโทษให้แต่ผมกลับเลือกที่จะเพิกเฉยและไล่พี่ปราชญ์ออกไปจากชีวิตอย่างไม่ลังเล
“ต้องให้พัชพูดอีกกี่รอบพี่ถึงจะเข้าใจ ออกไปจากชีวิตพัช พัชเกลียดพี่ พี่ยินไหม!!!”
“พี่ขอโทษจริงๆ น้องพัช พี่ขอโทษ...”
ตอนนั้นพี่ปราชญ์แทบจะกอดขาผมเพื่ออ้อนวอนขอให้ได้อยู่ต่อในชีวิตผม ในฐานะอะไรก็ได้ แต่เพราะความรู้สึกผิด และความกลัวในตอนนั้น ผมจึงทำได้เพียงไล่พี่ปราชญ์ออกไปจากชีวิตเหมือนหมูเหมือนหมา แต่พี่ปราชญ์ก็คือพี่ปราชญ์ นอกจากจะไม่ออกไปจากชีวิตผมแล้ว ยังทำทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผมที่รู้สึกหวาดกลัวว่าความลับที่ตัวเองนอนกับพี่ปราชญ์จะถูกคนอื่นรู้ ก็เริ่มเร่งรัดให้งานแต่งงานกับพี่ปรัชเกิดเร็วขึ้น และเพราะแบบนั้นจึงเกิดเรื่องนั้นขึ้น....
ป๊าเป็นฝ่ายออกหน้าพูดคุยเรื่องงานแต่งงานระหว่างผมกับพี่ปรัชอย่างที่ผมร้องขอ และทางคุณลุงและคุณป้าเองต่างก็เห็นชอบด้วย เพราะผมกับพี่ปรัชเราหมั้นกันมานานมากแล้ว และผมเองก็เรียนจบแล้ว สมควรที่จะแต่งงานกันได้แล้ว แน่นอนว่าต้องมีคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่คิดว่าคนคนนั้นจะเป็นตัวของพี่ปรัชเอง พี่ปรัชอ้างว่าผมยังเด็กและควรใช้ชีวิตให้มากกว่านี้ เขาอ้างว่างานเยอะ และเป็นช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวทำให้การแต่งงานเป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับเขา วันนั้นผมบุกเข้าไปหาพี่ปรัชถึงที่คอนโดฯ ด้วยความโกรธเมื่อรู้ว่าพี่ปรัชเป็นคนปฏิเสธงานแต่งงานของเรา และผมก็เจอเข้ากับณินินเลขาของพี่ปรัช และเจ้าของห้องที่กำลังพูดคุยเรื่องงานกันอยู่อย่างเคร่งเครียดที่คอนโดฯ
“ทำไมพี่ถึงปฏิเสธงานแต่งงานของเราพี่ปรัช!!!”
“เพราะตอนนี้พี่มีเรื่องให้ต้องทำไงครับน้องพัช พี่ยังแต่งกับเราไม่ได้”
“แค่นี้เองหรือ? พัชสัญญาจะเป็นภรรยาที่ดีให้พี่ เพราะฉะนั้นแต่งงานกับพัชไม่ได้หรือ?”
“พี่ขอโทษนะพัช แต่ตอนนี้พี่อยากโฟกัสกับงานก่อน”
และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มสังเกตว่าณินินเลขาของพี่ปรัชเองก็หน้าตาดีไม่น้อยเลย และเพราะความหวาดระแวง และด้วยเรื่องอื่นๆ สะสมผมเลยเริ่มระรานณินินอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหึงหวงพี่ปรัช จนกระทั่งวันนั้นงานวันเกิดของผมที่พี่ปรัชที่เป็นคู่หมั้นควรมาอวยพรผม กลับเลือกที่จะส่งพี่ปราชญ์และของขวัญมาที่งานของผมแทนตัวเองอีกครั้ง และนั่นทำให้ผมตบหน้าพี่ปราชญ์กลางงาน และไล่อีกฝ่ายออกไป ไม่ว่าจะด้วยความน้อยใจหรืออะไรก็ตามแต่ ผมทำแบบนั้น เขวี้ยงของขวัญในมือพี่ปราชญ์ทิ้ง ตบพี่ปราชญ์ และขับรถไปหาพี่ปรัชที่บริษัท ไปอาละวาดยกใหญ่ที่บริษัทจนพี่ปรัชดุผมเสียงดังเป็นครั้งแรกอย่างไม่อดทน
“พอ!!!”
“!!!!!!!!!!!”
“ถ้าพี่มันทำหน้าที่คู่หมั้นของเราไม่ดีนัก งั้นยกเลิกเรื่องหมั้นไปเลย!”
“พี่ปรัช?”
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้โฮกอดพี่ปรัชแน่น ขอร้องและอ้อนวอนให้พี่ปรัชอย่ายกเลิกเรื่องหมั้นอย่างหมดท่า ต่อหน้าต่อตาพี่ปราชญ์ที่ขับรถตามมาที่หลัง ก่อนจะจากไปเมื่อเห็นว่าผมและพี่ปรัชคืนดีกันแล้วอย่างเงียบๆ
ผ่านไป 1 ปีแล้วแต่งงานแต่งงานของผมกับพี่ปรัชก็ยังไม่เกิดขึ้น ผมรอ รอ และรออย่างอดทน แต่พี่ปรัชก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงาน ผมพยายามทำความเข้าใจเรื่องงานของพี่ปรัช พยายามเข้าใจว่าพี่ปรัชงานยุ่งแค่ไหน พยายามแล้วพยายามเล่า แต่สุดท้ายแล้วความพยายามของผมก็มาถึงทางตันเมื่อพี่ปรัชพูดออกมาต่อหน้าทุกคนว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน และคงไม่สามารถแต่งงานกับผมได้อีกต่อไป ป๊าโกรธมากกับเรื่องนั้น ต่อว่าทางพิพิศภักดีอย่างไม่ไว้หน้า ผมหน้าชา และตอนนั้นร้องไห้อย่างทำอะไรไม่ได้ และเพราะแบบนั้นพี่ปรัชที่ทนกับคำต่อว่าของป๊าไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออดว่า
“แล้วน้องพัชดีแค่ไหนกันครับ? แอบไปนอนกับพี่ปราชญ์เป็นปีแล้ว ทำไมยังหน้าด้านหมั้นกับพี่อยู่ได้?หห”
“พี่พูดอะไร?!”
ผมหยุดร้องไห้จ้องมองพี่ปรัชด้วยสายตาสั่นไหว ก่อนที่พี่ปรัชจะประจานผมต่อหน้าคนอื่นๆ ว่าผมมันหน้าด้านแค่ไหน หมั้นกับคนน้อง แต่ไปนอนอ้าขาให้คนพี่ ป๊า ที่รับเรื่องนั้นไม่ได้พยายามถามผมว่าจริงไหม แต่ผมพยายามปฏิเสธเพราะความกลัวและความอาย
“พัชไม่ได้ทำ พี่อย่ามาใส่ร้ายพัชนะ!!” ผมตะโกนลั่นแต่พี่ปรัชกลับหัวเราะ แล้วหันไปมองพี่ปราชญ์ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงอ่านยากว่า
“งั้นพี่ปราชญ์บอกมาว่าจริงไหมที่พี่กับพัชนอนด้วยกันแล้ว?”
ผมหันไปมองหน้าพี่ปราชญ์อย่างขอร้องไม่ให้พี่ปราชญ์พูดความจริงออกมา และโกหกทุกคนไป แต่สิ่งที่พี่ปราชญ์ในตอนนั้นทำคือ หลบสายตาผม แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า
“ใช่ครับ ผมกับน้องพัชเรามีอะไรกันแล้ว”
“พี่พูดบ้าอะไร มันไม่จริง ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ!!!” ผมเหมือนคนบ้าวิ่งเข้าไปเขย่าพี่ปราชญ์อย่างคนไม่ได้สติ เอาแต่บอกให้พี่ปราชญ์ถอนคำพูดในสิ่งที่พูดออกไปอย่างบ้าคลั่ง ป๊าทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างหมดแรง คนอื่นๆ ต่างตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น และเพราะแบบนั้นในเวลาต่อ ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือหน้าตา การยกเลิกงานหมั้นของผมและพี่ปรัชจึงเกิดขึ้น และงานแต่งงานของผมก็จัดขึ้นในเวลาต่อมา แต่ไม่ใช่กับพี่ปรัชที่ผมหลงรัก แต่เป็นพี่ปราชญ์ที่ผมไม่รักและเกลียดแทน
+++++
Lady Zombie
25/10/67
บทที่ 1 เมื่อผมตาย และได้เกิดใหม่งานแต่งงานของผมและพี่ปราชญ์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวพงษ์พัฒน์ แต่ไม่ใช่กับผมที่ไม่อยากให้งานแต่งงานนี้เกิดขึ้น ผมร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้พี่ปราชญ์ถอนคำพูด บอกทุกคนว่ามันไม่จริง แต่พี่ปราชญ์พูดแค่ว่า“พี่ปราชญ์พัชขอล่ะ พี่ไปบอกทุกคนได้ไหมว่าสิ่งที่พี่พูดมันไม่จริงๆ พัชขอร้อง”“แต่น้องพัช พี่รักเรานะ เป็นพี่ไม่ได้หรือ? พี่สัญญาจะว่าจะดูแลพัชอย่างดี เป็นพี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”“พี่พูดบ้าอะไร!พัชไม่ได้รักพี่ พัชรักพี่ปรัช พี่ได้ยินไหม?!”“พัช.....”และใช่ พี่ปราชญ์รักผม แต่ผมไม่ได้รักพี่ปราชญ์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนั้น ตอนที่ผมกำลังบ้าคลั่งเรื่องงานแต่งงานกับพี่ปรัช วันงานผมไม่มีความสุขเลย แต่ที่ต้องแต่งเพราะเป็นครั้งแรกที่ป๊าร้องไห้และบอกให้ผมรักษาเกียรติของตัวเอง ผมจึงจำต้องแต่งกับพี่ปราชญ์อย่างช่วยไม่ได้ และคืนวันแต่งงานผมดื่มจนตัวเองขาดสติอีกครั้งเพราะความผิดหวัง และความเสียใจ จนมีอะไรกับพี่ปราชญ์อีกครั้ง และเช้าวันต่อมาผมก็ไล่พี่ปราชญ์ออกจากบ้านของตัวเองอีกครั้ง ใช่ เรือนหอที่ผมควรได้อยู่กับพี่ปรัช กลับเป็นพี่ปราชญ์ที่ผมต้อง
บทที่ 2 เมื่อผมต้องเจอกับเหล่าเพื่อนรักพี่ปรัชไม่ได้รักผม นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรรู้และเข้าใจได้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าจะเพราะความโง่ของตัวเองหรือเพราะอะไร ผมถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง ในเมื่อเขาไม่รัก ผมก็แค่ไปรักคนที่รักผม ก็แค่นั้น ข่าวประกาศการยกเลิกงานหมั้น และงานแต่งงานที่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเป็นไปอย่างราบรื่น จริงๆ ไม่ได้ราบรื่นเพราะมีกระแสข่าวมากมายในวงการบันเทิงไฮโซ แต่ถามว่าผมที่ผ่านมาแล้วแคร์หรือเปล่า? ก็ถ้าเป็นผมก่อนตายผมคงแคร์ แต่ต้องไม่ใช่กับผมที่ผ่านความตายมาแล้วในตอนนี้ ผมเดินลงมาจากบันไดบ้านในตอนเช้า แล้วยกยิ้มเมื่อเห็นป๊าตบหน้าอกตัวเอง แล้วเลื่อนอ่านข่าวในไอแพดออกเสียงดังอย่างหงุดหงิดว่า“ไฮโซทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้า เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกะทันหัน เปลี่ยนแล้วทำไม! อาพัชอีจะเปลี่ยนกี่คนก็ได้ ฮึ่ม!” แม้แต่ตอนนี้ป๊าก็ยังคงยืนข้างผม ผมอมยิ้มมองป๊าด้วยสายตาอ่อนลง ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนนั้นผมคงร้องไห้ฟูมฟายหาว่าป๊าไม่รักแล้วหนีขึ้นห้องไปร้องไห้โฮแล้ว แต่ต้องไม่ใช่กับผมตอนนี้ ผมเดินเข้าไปกอดพุงกลมๆ ของป๊า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“ป๊า อย่าลืมเ
บทที่ 3 เมื่อผมแต่งงานกับคนที่รักผม (มาก)“พี่ปราชญ์ว่าชุดนี้สวยไหมครับ?” ผมหมุนตัวโชว์ให้พี่ปราชญ์ที่กำลังนั่งมองผมลองชุดแต่งงานด้วยสีหน้ามีความสุข เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพลางขยับแว่น แล้วชมเสียงดังว่า“สวยครับ น้องพัชใส่ชุดอะไรก็สวย” เมื่อได้ยินผมก็ฉีกยิ้มกว้าง แอบเขินพี่พนักงานที่แอบอมยิ้มเหมือนกัน ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนชุดอีกชุดแล้วออกมา คราวนี้พี่ปราชญ์พอเห็นก็ขยับแว่นแล้วพยักหน้าหงึกหงักตอบเสียงดังก่อนผมจะถามเสียอีกว่า “พี่ชอบชุดนี้ครับสวยมากเลย” ใช่ ชุดที่ผมสวมเป็นชุดสูทลูกไม้แขนยาวผ่าหน้า เว้าหลังสวย รับกับกางขายาวสีขาว แน่นอนว่าชุดนี้ดูจะเปิดเผยเนื้อหนังไปหน่อย แต่ถ้าพี่ปราชญ์ว่าสวยผมก็โอเค“งั้นเอาเป็นชุดนี้นะครับ” ผมเอ่ยกับพี่พนักงานก่อนที่เธอจะพยักหน้า แล้วผมก็เดินมาดึงพี่ปราชญ์ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับพี่พนักงานว่า “ต่อไปเป็นคนนี้ครับ รบกวนขอชุดสูทเข้ากับชุดนี้หน่อยนะครับ” พี่ปราชญ์จับมือผมแล้วย่นคิ้วลงพลางกระซิบกับผมเสียงเบาว่า“พี่ใส่ชุดอะไรก็ได้ครับ” ผมมองพี่ปราชญ์ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า“ไม่ได้สิครับ พี่เป็นว่าที่สามีพัชนะ จะใส่ชุดอะไรก็ได้ได้อย่างไรครับ?” ผมเ
บทที่ 4 เมื่อผมพยายามชวนสามีปั๊มเบบี้“หรือพัชควรไปเรียนทำอาหารไหมพี่ปราชญ์?” เช้าวันแรกของการแต่งงานเต็มไปกลิ่นอวลของความสุข พี่ปราชญ์ได้หยุดงานสัปดาห์หนึ่ง แต่ยังไม่มีแพลนฮันนีมูนเพราะเรายังตกลงกันไม่ได้ว่าควรไปที่ไหนดี ผมอยากไปเที่ยวต่างประเทศแต่พี่ปราชญ์อยากพาผมไปเที่ยวเหนือ และความอยากตามใจสามีผมเลยเออออว่าจะไปขึ้นเหนือกับพี่ปราชญ์ เราเลยสรุปแพลนกันไว้ว่าจะไปสิ้นเดือนนี้ คืออีกประมาณสองสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่ผมอรุณสวัสดิ์ด้วยความรักกับพี่ปราชญ์จนล้นเต็มใบหน้า เราก็อาบน้ำแล้วลงมาด้านล่างเพื่อทำอาหาร แน่นอนว่ามื้อแรกนี้พี่ปราชญ์เป็นคนทำเพราะผมทำอาหารไม่เป็น อาเมน....“ถ้าน้องพัชอยากเรียนทำอาหารพี่สอนได้นะครับ?” พี่ปราชญ์ในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวไดโนเสาร์ที่ผมซื้อมาเอ่ยรับด้วยเสียงอารมณ์ดี ใบหน้าแจ่มใส พลางขยับแว่นสายตาหนาเตอะนั่นเบาๆ ก่อนจะหันหลังไปผัดข้าวต่อ“ดีเลย งั้นทุกวันหยุดพี่เรามาเรียบทำอาหารกัน” ผมเอ่ยพลางลุกขึ้นไปกอดเอวพี่ปราชญ์จากด้านหลัง ก่อนจะชะโงกหน้ามองข้าวผัดในกระทะทำเอาพี่ปราชญ์อมยิ้ม ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวมาให้ผมชิม“ขาดรสอะไรครับ?”“อื้ม ขอเค็มอีกหน่อยครับ”“โอเค”
บทที่ 5 เมื่อชีวิตหลังแต่งงานของผมเต็มไปด้วยความสุข“พี่ปราชญ์อย่ากัดนมพัช!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อตื่นมาแล้วเจอพี่ปราชญ์เวอร์ชันตบะแตก ทั้งดูดทั้งดึงหน้าอกผมจนแดงไปหมด แถมเสื้อนอนที่ใส่ไว้เมื่อคืนก็ถูกพี่ปราชญ์ถอดออกทิ้งลงข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้!ผมล่ะรักพี่ปราชญ์เวอร์ชันนี้จริงๆ!!!“ขอโทษค่ะ นมน้องพัชมันล่อตาพี่ พี่อดใจไม่ไหวจริงๆ ” พี่ปราชญ์พูดทั้งที่กำลังใช้ลิ้นเลียวนรอบๆ ฐาน แล้วเอ่ยพ่นลมร้อนใส่จนผมตัวสั่นเพราะความเสียวไปหมด“อื้อ อย่าเป่าลมใส่พัชนะ!” ผมดันหน้าพี่ปราชญ์ออก แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าอกตัวเองที่เปื้อนรอยดูดและรอยแดงช้ำจนน่ากลัว “พอเลย พัชเจ็บนะพี่ปราชญ์” ผมเอ่ยด้วยเสียงงอนนิดหน่อย พี่ปราชญ์ที่เหมือนสำนึกผิด รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนจะเข้ามากอดปลอบผมเสียงอ่อน“โอเคครับ พี่ขอโทษนะ เจ็บมากไหม พี่ขอดูหน่อยค่ะ” เมื่อได้ยินผมหรี่ตาลงมองพี่ปราชญ์ด้วยสายตารู้ทัน ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีเข้าห้องน้ำไปทันที “น้องพัช!!” แล้วพี่ปราชญ์ก็เอ่ยเรียกผมอยู่หน้าห้องน้ำเสียงเศร้า เฮ้อ ไอ้มีความสุขนะใช่ แต่พี่ปราชญ์เล่นทำทุกวันมันก็เหนื่อยเป็นธรรมดาไหม!........................ชีวิตหลังแต่
บทที่ 6 เมื่อผมตั้งท้องน้องโปรดและต้องปะทะฝีปากกับเพื่อนรักหลังจากประกาศเรื่องตั้งท้องผ่านไอจีก็ผ่านมาแล้วเกือบสัปดาห์ คุณแม่ทำตามที่พูดส่งบัตรเชิญมาให้ผมกับพี่ปราชญ์เข้าร่วมงานเต้นรำจริงๆ ผมที่ไม่ได้แพ้ท้องหนักแค่เวียนหัวตอนตื่น กับอาเจียนเมื่อได้กลิ่นคาวปลา นอกนั้นอาการอะไรก็เล็กน้อยมาก เลยคิดจะไปร่วมงานครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อคุณแม่ แต่เพื่อความสะใจของตัวเองล้วนๆ เพราะได้ยินว่าณินินแพ้ท้องหนักมาก เลยมาร่วมงานไม่ได้ และผมจะทำให้ณินินต้องอิจฉาตาร้อนไปเลยว่าผมมีความสุขจากสามีและลูกมากขนาดไหนและเมื่อวันงานมาถึงผมก็แต่งตัวด้วยชุดสูทสุภาพสีขาว คู่กับสูทดำของพี่ปราชญ์ เจ้าตัวที่กำลังขับรถเอ่ยกับผมในระหว่างติดไฟแดงไปด้วยว่า “น้องพัชโอเคใช่ไหมครับ พี่เป็นห่วงเรากับลูกมากนะ” พี่ปราชญ์เขากังวลว่าผมจะไปแพ้ท้องที่งานเลยไม่อยากให้ผมไป แต่เพื่อแสดงความสุขจนแสงออกปากให้คนพวกนั้นได้เห็นมีหรือที่ผมจะยอมแพ้ง่ายๆ และสิ่งที่ผมทำได้คือการใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุขเท่านั้น!“พัชพกยามาเผื่อแล้วด้วยครับ พี่ปราชญ์สบายใจได้ พัชสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีครับ” ผมเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง ขณะจับมือพี่ปราชญ์มากุมแล้วจุ๊บ
บทที่ 7 เมื่อผมต้องเลี้ยงลูกเพื่อเป็นหม่าม้าที่ดีการเลี้ยงเด็กไม่เคยง่าย ผมเชื่อแบบนั้นและมันก็เป็นไปตามนั้น เมื่อออกจากโรงพยาบาล ผมก็หอบลูกกลับไปเลี้ยงที่บ้านป๊า ป๊ามีสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจกับหลานชายตัวอวบอ้วน แน่ล่ะ ถ้าผมไม่เบรกไว้เชื่อเถอะว่าคงเขียนพินัยกรรมยกให้หลานหมด ผมส่ายหน้าไม่สนใจ ก่อนจะนั่งมองน้องโปรดดื่มนมจากขวด เนื่องด้วยผมเป็นเพศพิเศษ จึงไม่มีน้ำนมเป็นธรรมดา เรารับบริจาคน้ำนมจากคุณแม่ที่มีน้ำเหลือเยอะแทน สัปดาห์แรกพี่ปรัชลางานเพื่อมาช่วยผมเลี้ยงลูกที่บ้านป๊า เราสองคนไม่ได้นอนกันหลายคืนติดๆ กันอยู่ แต่พอผ่านไปสักอาทิตย์เราก็เริ่มชินและปรับตัวได้พี่ปราชญ์เลยออกไปทำงานครึ่งวัน แล้วหอบงานกลับมาทำที่บ้านแทน เพื่อช่วยผมเลี้ยงลูก เป็นอยู่แบบนี้เป็นเดือน จนกระทั่งคุณแม่โทรมาหาพี่ปราชญ์บอกให้ผมพาหลานไปหาที่บ้านบ้าง ผมกับพี่ปราชญ์เลยเตรียมเก็บของใส่ตะกร้า แล้วพาน้องโปรดไปที่บ้านคุณแม่ เมื่อมาถึงคนแรกที่ผมเจอไม่ใช่คุณแม่แต่เป็นณินินที่ได้ยินว่าย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านพี่ปรัชแล้ว ผมเม้มปากกอดลูกแน่น พี่ปราชญ์ที่เดินตามหลังถือตะกร้ามาเงยหน้ามองณินินก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มารอปรัช
บทที่ 8 เมื่อผมกำลังวางแผนมีลูกคนที่สองผมตื่นตอนหกโมงเช้า อาบน้ำเก็บของและมองพี่ปราชญ์อุ้มลูกออกจากบ้านไปนอนที่คาร์ซีทในรถ ก่อนจะที่เราจะเก็บของและเตรียมตัวออกเดินทางไปที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องไปเช็กอินที่โรงแรมใกล้ๆ ก่อน ผมกับพี่ปราชญ์หาอะไรรองท้องเล็กๆ ที่ร้านสะดวกซื้อข้างทาง ก่อนที่ระหว่างแวะปั๊มจะป้อนนมและข้าวเช้าให้น้องโปรดที่กำลังอารมณ์ดี เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนิดๆ เดินทางมาถึงชลบุรี เช็ดอินเข้าโรงแรมที่เป็นบังกะโล 2 ห้องนอนแล้วนั่งพักผ่อน ก่อนจะออกเดินทางไปสวนสัตว์ในช่วงบ่าย ผมเก็บกระเป๋าใส่ตู้ และนั่งเล่นกับลูก รอพี่ปราชญ์ประกอบเตียงให้น้องโปรดอีกห้อง “น้องโปรดอยากมีน้องไหมครับ?” ผมเอ่ยถามลูกอย่างอารมณ์ดี เพราะผมอยากมีลูกกับพี่ปราชญ์อีกหลายๆ คน“น้องคือใยกั๊บ” น้องโปรดมองผมด้วยดวงตาใสซื่อ ก่อนที่ผมจะเอ่ยกับน้องโปรดว่า“น้องคือเพื่อนอีกคนครับ คนที่จะมาเล่นของเล่นกับน้องโปรด” เจ้าตัวย่นคิ้วก่อนจะส่ายหน้า ทำเอาผมหัวเราะครืน“ไม่อาว โปดจาเล่งคนเดียว”“ฮ่าๆ ” ผมก้มลงหอมแก้มเจ้าลูกชายอย่างมันเขี้ยว ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะเพราะจั๊กจี้ ผมกับลูกเล่นกอดรัดกันสัก
บทสุดท้าย เมื่อผมกลายเป็นภรรยาและหม่าม้าที่ดีเข้าเดือนเมษายนที่แสนร้อนระอุ เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และเป็นปีที่เจ้าแฝดต้องเข้าเรียนด้วย เราเลยตกลงกันว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ทะเลในช่วงนี้แทน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจึงเกิดขึ้น ผมนั่งเก็บกระเป๋าให้ตัวเองและพี่ปราชญ์ในห้อง แต่เด็กๆ วิ่งเข้ามาทีละคนแล้วชูของในมืออย่างอารมณ์ดีพลางถามว่า“หม่าม้าโปรดเอากางเกงในสีเหลืองเป็ดไปได้ไหม?”“หม่าม้าเปลี่ยมเอารองเท้าผ้าใบคู่นี้ไปด้วยได้ไหม?”“หม่าม้าปลื้มไม่รู้จะเอาอะไรไป หม่ามาเก็บกระเป๋าให้ปลื้มได้ไหมครับ?”“หม่าม้าปกเอาของเล่นไปด้วยได้ไหม?”“ปักษ์เอาคุณเสือไปด้วยนะหม่าม้า”“.....................” นั่นแหละครับ ผมเลยทำได้เพียงต้อนเด็กๆ กลับห้องแล้วเก็บกระเป๋าให้ทีละคน พลางคิดในใจว่าเมื่อไรจะเปิดเทอม!! ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของให้น้องปันเป็นคนสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่เสียงรถยนต์จะทำให้เด็กๆ วิ่งกรูกันลงไปข้างล่างพลางส่งเสียงดังไปตลอดทางว่า“พ่อมาแล้วววววววววว”ผมนวดขมับ ก่อนจะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วเดินลงไปข้างล่าง ทันเห็นว่าพี่ปราชญ์กำลังถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
บทที่ 19 เมื่อผมได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่รักผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ จำได้ว่าเพิ่งนั่งรถกลับบ้านหลังไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน? แล้วทำไมผมกลับมาที่บ้านได้? ผมก้าวเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะพบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายผมกำลังนั่งที่เก้าอี้โยกในห้องนั่งเล่น เธอนั่งลูบท้องในขณะที่กำลังยกยิ้มพลางฮัมเพลงในลำคอ ก่อนจะเงยหน้าหันมามองผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “สวัสดีค่ะน้องพัช” เมื่อได้ยินผมรู้สึกสั่นไหวในใจ ก่อนจะก้าวขาไปหาอีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนพื้นตรงขาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหวว่า“ม้า?” ผู้หญิงที่ผมมักจะเห็นในรูปยกยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า“ค่ะ หม่าม้าดีใจนะคะที่ได้เห็นน้องพัชมีความสุข” ผมเม้มปากน้ำตาคลอ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกลั้นน้ำตาว่า“แต่พัชจะมีความสุขกว่านี้ถ้าม้าอยู่กับพัชด้วย” หม่าม้ายกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า“ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หม่าม้าเฝ้ามองน้องพัชมาตลอดเลยนะคะ” ผมเงยหน้ามองหม่าม้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า“ถ้าอย่างนั้นหม่าม้าก็คงเห็นว่าพัชเป็นคนดีใช่ไหมครับ?” เมื่อ
บทที่ 18 เมื่อผมต้องไปงานแข่งกีฬาสีโรงเรียนของลูกปีนี้น้องโปรดขึ้นชั้นป.1 แล้ว แน่นอนว่ามีกิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ งานกีฬาสีที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน น้องโปรดแข่งวิ่ง 100 เมตร กับวิ่งผลัด และลงแข่งฟุตบอลตัวสำรองด้วย วันเวลาที่ผ่านมาผมมองเห็นได้ว่าน้องโปรดตั้งใจมากกับงานกีฬาสีครั้งแรกนี้ของตัวเอง ส่วนเด็กๆ คนอื่นก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างดีด้วยความรักของผมและพี่ปราชญ์ น้องปลื้มอายุได้ 5 ขวบตอนี้ขึ้นอนุบาลหนึ่ง น้องเปลี่ยม 3 ขวบ และเจ้าแฝด 1 ขวบ ส่วนพี่ปราชญ์กับผมก็มีความสุขดีครับ วันนี้เป็นวันศุกร์กีฬาสีจัดขึ้นวันแรก ผมในฐานะหม่าม้าจึงขนเด็กๆ และพี่ปราชญ์มาให้กำลังใจน้องโปรด ที่โรงเรียน “ปก ปักษ์อย่าดิ้นครับ” พี่ปราชญ์ที่อุ้มลูกชายสองคนไว้ในมือเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะดิ้นออกจากพี่ปราชญ์“หาพี่” น้องปกเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่น้องโปรดที่กำลังเดินขบวน ก่อนที่น้องปักษ์จะเบะปากแล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนนักว่า“พี่โปด หาพี่โปด” พี่ปราชญ์เลยต้องปลอบเจ้าแฝดยกใหญ่ น้องปลื้มหยิบเอาป้ายกระดาษแข็งที่นั่งวาดหลายวันมานี้ขึ้นชู แล้วมีน้องเปลี่ยมเอ่ยเสียงดังเป็นลำโพงเล็กๆ ว่า“พี่โปรดฉู้ๆ พี่โปรด!!!” ผม
บทที่ 17 เมื่อผมคลอดลูกแฝดหลังสงกรานต์ผมเตรียมตัวซื้อเสื้อผ้าให้น้องปลื้มเพื่อเตรียมไปโรงเรียนเดือนหน้านี้ ส่วนน้องโปรดกำลังขึ้นอนุบาลสอง ผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องโปรดอีกชุด เพราะชุดเก่าเจ้าตัวคับแน่นไปหน่อย ช่วยไม่ได้ที่น้องโปรดกำลังโตก็แบบนี้ เนื่องด้วยผมท้องลูกแฝดท้องจึงใหญ่กว่าปกติจนน่ากลัว ผมเลยเคลื่อนไหวน้อยมาก และโชคดีที่มีพี่นิ้งคอยดูเด็กๆ ในช่วงนี้ เดือนเมษายนไม่มีอะไรมากไปกว่าความซนของเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเปิดเทอมในเดือนต่อมา น้องโปรดและน้องปลื้มต้องไปโรงเรียน แน่นอนว่าวันแรกผมอยากไปส่งลูกที่โรงเรียน แต่เพราะหน้าท้องที่ใหญ่มากทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมจึงทำได้เพียงมองป๊าพาเด็กๆ ไปส่งที่โรงเรียนแทน“บ๊ายบ่ายฮะหม่าม้า” น้องปลื้มพูดพลางกลั้นน้ำตาสุดชีวิต ผมเดินไปลูบหัวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงปลอบโยนว่า“เดี๋ยวพี่โปรดไปส่งที่ห้องนะครับ น้องปลื้มไม่ต้องร้องนะ” น้องโปรดเข้ามากอดน้องปลื้มก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนน้าน้องปลื้ม”“อื้ม” น้องปลื้มปาดน้ำตา ก่อนจะยกยิ้มจับมือพี่ชายเดินขึ้นรถตู้ตามด้วยป๊าที่อารมณ์ดีทำหน้าที่ไปส่งหลาน พี่ปราชญ์ไปทำงานตั้ง
บทที่ 16 เมื่อผมกำลังทำลูกกับพี่ปราชญ์ตามธรรมชาติ“อ๊ะ อ๊า.....” ผมกรีดร้องเสียงดังเมื่อพี่ปราชญ์จับไหล่ผม แล้วดึงไปข้างหลัง พลางกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมอย่างรุนแรง ผมนัยน์ตาพร่ามัวก้มหน้าลงยันแขนกับเตียง ก่อนจะกรีดร้องเมื่อแก่นกายของพี่ปราชญ์เข้ามากระแทกย้ำๆ ที่ปากมดลูกจนผมเสียวไปทั้งตัว ก่อนจะปล่อยออกมารอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผมตัวอ่อนเหลวไปกับเตียง ก่อนที่แก่นกายของพี่ปราชญ์จะหลุดออกจากช่องทางของผม จนน้ำด้านในไหลทะลักออกมาข้างนอก ผมนอนหอบหายใจเสียงดัง ก่อนจะถูกพี่ปราชญ์พลิกตัวกลับมานอนหงาย “พี่ปราชญ์?” ผมเอ่ยเรียกพี่ปราชญ์เสียงเบา เมื่ออีกฝ่ายจับขาผมพาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนจะถูไถแก่นกายที่กำลังอ่อนตัวที่ปากทางของผมที่กำลังอ้าออก เพราะหุบไม่ลง“อีกรอบนะคะเผื่อลูกไม่ติด” ผมเม้มปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนไปว่า“จูบพัชหน่อย” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็ก้มลงจูบผมก่อนจะค่อยๆ สอดแก่นกายที่กำลังแข็งตัวเข้ามาในร่างกายของอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ “อื้อ” ผมร้องครางพลางหลับตาก่อนจะหมดสติไปเพราะความอ่อนเพลีย แล้วผมก็ไม่รู้แล้วว่าต่อจากนั้นพี่ปราชญ์ทำอะไรต่อ เพราะหลับไปตื่
บทที่ 15 เมื่อผมต้องดูแลพี่ปราชญ์“คนไข้ดูเหมือนจะมีบุคลิกแตกแยกครับ” ผมมองหน้าหมออย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเม้มปากกอดตัวเอง แน่นแล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า“หมายถึงพี่ปราชญ์อีกคนหรือครับ?” คุณหมอพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“จากการส่งตรวจเอกซเรย์สมองพบว่าคนไข้ปกติดีครับ แต่จากการสอบถามทางจิตวิทยาพบว่าคนไข้เหมือนจะแตกแยกบุคลิกออกมาอีกหนึ่งบุคลิกครับ หมอสงสัยว่าอาจจะเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงส่งผลให้ส่วนของความจำและบุคลิกมีปัญหา เลยทำให้คนไข้สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง....”“ถ้าอย่างนั้นมีโอกาสหายไหมครับ?” ผมเอ่ยถามหมอเสียงเครือ พลางปาดน้ำตาออกจากหางตา“แน่นอนครับ แต่ญาติต้องอดทนหน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนเรื่องราวที่คนไข้สร้างขึ้นมาจะเป็นในแง่ลบทั้งสิ้นส่งผลให้จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”“ครับ” ผมเอ่ยเสียงตอบรับก่อนจะพูดคุยอีกนิดหน่อยก็ออกมา แล้วเดินกลับที่ห้องพักของพี่ปราชญ์ พอเข้าไปเจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในไอแพด ก่อนจะกดปิดหน้าจอฯ เมื่อเห็นผมเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า“หมอว่าอย่างไรบ้าง?” ผมเม้มปากกลั้นน้ำตา เพราะความเย็นชาห่างเหินที่พี่ปราชญ
บทที่ 14 เมื่อผมพาครอบครัวไปเที่ยวทะเลเข้าเดือนเมษายนเพราะช่วงเทศกาลสงกรานต์ผมคิดว่าคนเยอะ เราเลยเลือกที่จะไปทะเลต้นเดือนแทน แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะอยู่ดีช่วงนี้ ตอนนี้น้องเปลี่ยม 5 เดือนแล้วเจ้าตัวจ้ำม่ำมาก แขนเป็นปั้นๆ ให้กินอะไรกินหมด แถมกินเก่งอีกต่างหาก เป็นขวัญใจของป๊าเลยที่ได้หลานอ้วนจ้ำม่ำแบบน้องเปลี่ยม วันที่เราเลือกไปทะเลเราออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงเช้า เดินทางไปถึงพัทยาคงประมาณ 9-10 โมงเช้าได้ เราเลยขับรถไปเองชิวๆ ไม่เครียดหรือเร่งรีบอะไร ผมนั่งที่เบาะหน้าหยิบโทรศัพท์เอามาถ่ายเด็กๆ3 คนที่นั่งเรียงกันในคาร์ซีทอย่างตลก โดยมีน้องเปลี่ยมนั่งตรงกลาง น้องโปรดข้างซ้าย และน้องปลื้มข้างขวา ผมลงสตอรี่มีคนกดเข้ามาดู เยอะมาก ก่อนจะหันกลับมาเปิดเพลงเด็กๆ คลอไปตลอดทางให้เด็กข้างหลังเปิดคอนเสิร์ตร้องตามกันอย่างสบายใจ ได้สตอรี่ไปอีกหนึ่งตะเข็บ“พี่ว่าเราต้องเปลี่ยนรถแล้วน้องพัช” พี่ปราชญ์เอ่ยเมื่อผมเอาแต่ถ่ายสตอรี่เด็กๆ ร้องเพลงอยู่ข้างหลัง ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับกดเซฟคลิปไว้ในเครื่อง“พัชเห็นด้วยเลย เดี๋ยวพอเด็กๆ โตกว่านี้จะไม่มีที่นั่งเอา” ผมพูดก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพี่ปราชญ์ที่ฮั
บทที่ 13 เมื่อผมต้องเลี้ยงเด็กสามคนในเดือนถัดมาพี่ปราชญ์ลาออกจากรองประธานของพิพิศภักดีแล้ว ป๊าแทบจะจุดพลุฉลองเมื่อรู้ว่าพี่ปราชญ์จะเข้ามาช่วยบริหารงานแทน และตอนนี้ที่อายุครรภ์ผมได้ 5 เดือนแล้วเราก็เพิ่งไปตรวจเพศลูกมาและเป็นผู้ชายอีกครั้ง พี่ปราชญ์แทบปล่อยโฮเพราะอยากได้ลูกสาว ส่วนผมเฉยๆ เพราะจะเพศไหนผมก็รักทั้งหมด และเพราะพี่ปราชญ์ต้องเริ่มเรียนรู้งานกับป๊า เพื่อความสะดวกและอะไรหลายๆ อย่างป๊าเลยเสนอว่าจะยกบ้านเป็นชื่อผม แล้วให้ผมกับพี่ปราชญ์ และเด็กๆ ย้ายกลับไปที่นั่น เพื่อความสะดวกในอะไรหลายๆ อย่าง ส่วนเรื่องรถรับ-ส่งของน้องโปรดก็ต้องยกเลิกไป เพราะต่อไปป๊าที่ว่างงานแล้วจะเป็นคนขับรถไปรับ-ส่งหลานเองเช้า-เย็นเรียกได้ว่าป๊าเห่อหลานสุดๆ และดูเหมือนน้องโปรดเองก็ชอบที่อากงไปรับตัวเองที่โรงเรียนมากกว่าด้วยเช่นกัน ผมย้ายกลับไปอยู่ที่ห้องตัวเองกับพี่ปราชญ์ เด็กๆ แยกห้องไปนอนคนละห้องตามที่ป๊าต้องการ เจ้าตัวถึงกับรีโนเวทบ้านเพื่อเด็กๆ เป็นเดือนๆ เลย ที่สำคัญคือทำห้องให้เจ้าก้อนที่สามในท้องผมล่วงหน้าไปแล้วด้วย เรียกได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ผมมีความสุขมาก และก็อยากแบ่งปันกับทุกคนด้วยจึงลงสตอรี่
บทที่ 12 เมื่อผมไปงานเลี้ยงรุ่นเข้าเดือนมิถุนายน ต้นเดือนนี้มีงานเลี้ยงรุ่นมหาลัยของผม แน่นอนว่าผมนัดกับเก้า นิลและยี่หวาไว้ที่งานแล้ว รวมไปถึงพี่ปราชญ์ด้วยที่ลางานตอนบ่ายเพื่อพาผมไปงานเลี้ยงรุ่น โดยที่ผมจะฝากน้องปลื้มไว้กับป๊าและพี่นิ้ง วันนี้ผมแต่งตัวจัดเต็มอย่าบอกใคร ลงโพสต์สตอรี่ตั้งแต่เมื่อวานที่ไปร้านทำผมซื้อเสื้อผ้า แล้วฝากน้องปลื้มไว้กับพี่นิ้งแล้ว และโชคดีที่น้องโปรดไปโรงเรียนแล้วไม่อย่างนั้นผมคงหัวหมุนกว่านี้ แน่นอนว่าวันนี้มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ผมรู้สึกตัวเองมาสักพักแล้วว่ากินเก่งขึ้น มันหิวแบบผมต้องกินอันนั้นอันนี้ให้ได้พอไม่ได้กินก็จะเก็บไปนอยเองคนเองเงียบๆ อาการแปลกๆ ที่ผมคุ้นชินเร่งเร้าให้เมื่อวานนี้ผมแวะซื้อที่ตรวจครรภ์มาหลายยี่ห้อก่อนกลับบ้าน แล้วมาแอบตรวจวันนี้คนเดียว เพราะป๊ามารับน้องปลื้มตั้งแต่เช้าเช้าที่แปลว่าเช้าจริงๆ ตั้งแต่ 7 โมงนู้น ผมเลยอยู่บ้านคนเดียวแต่งตัวแต่งหน้าทำผมเตรียมไปงานเลี้ยงรุ่นตอนบ่ายสามโมง งานจัดที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ ผมเลยมาเตรียมลุ้นว่าตัวเองท้องหรือไม่ตอนนี้คนเดียว ก่อนจะยิ้มบ้างยกมือลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยขอ