บทสุดท้าย เมื่อผมกลายเป็นภรรยาและหม่าม้าที่ดีเข้าเดือนเมษายนที่แสนร้อนระอุ เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และเป็นปีที่เจ้าแฝดต้องเข้าเรียนด้วย เราเลยตกลงกันว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ทะเลในช่วงนี้แทน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจึงเกิดขึ้น ผมนั่งเก็บกระเป๋าให้ตัวเองและพี่ปราชญ์ในห้อง แต่เด็กๆ วิ่งเข้ามาทีละคนแล้วชูของในมืออย่างอารมณ์ดีพลางถามว่า“หม่าม้าโปรดเอากางเกงในสีเหลืองเป็ดไปได้ไหม?”“หม่าม้าเปลี่ยมเอารองเท้าผ้าใบคู่นี้ไปด้วยได้ไหม?”“หม่าม้าปลื้มไม่รู้จะเอาอะไรไป หม่ามาเก็บกระเป๋าให้ปลื้มได้ไหมครับ?”“หม่าม้าปกเอาของเล่นไปด้วยได้ไหม?”“ปักษ์เอาคุณเสือไปด้วยนะหม่าม้า”“.....................” นั่นแหละครับ ผมเลยทำได้เพียงต้อนเด็กๆ กลับห้องแล้วเก็บกระเป๋าให้ทีละคน พลางคิดในใจว่าเมื่อไรจะเปิดเทอม!! ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของให้น้องปันเป็นคนสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่เสียงรถยนต์จะทำให้เด็กๆ วิ่งกรูกันลงไปข้างล่างพลางส่งเสียงดังไปตลอดทางว่า“พ่อมาแล้วววววววววว”ผมนวดขมับ ก่อนจะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วเดินลงไปข้างล่าง ทันเห็นว่าพี่ปราชญ์กำลังถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
บทนำ“ผมเกลียดพี่ เกลียดพี่ได้ยินไหม!!!!”“แต่พัชจะเอาความเกลียดทั้งหมดมาลงที่ลูกไม่ได้!”“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อผมไม่เคยคิดอยากให้เด็กนั่นเกิดมาด้วยซ้ำ!!!เป็นพี่! พี่ทั้งนั้นที่ทำให้ผมต้องเป็นบ้าแบบนี้!!!”“ถ้าพัชเชื่อแบบนั้นก็มาตีพี่ ทำพี่ พัชจะตบพี่จะตีพี่ยังไงก็ได้พี่จะไม่โกรธไม่ว่าพัชสักคำ แต่พัชอย่าเอามาลงที่ลูกได้ไหม พี่ขอร้อง”“ฮ่าๆ อึก ฮ่าๆ แล้วตอนที่พัชขอร้องพี่ว่าไม่อยากแต่งงานกับพี่ทำไมตอนนั้นพี่ไม่ฟังพัชบ้าง?”“พัชชา?”“ฮ่าๆ ผมเกลียดพี่ พี่ปราชญ์....”ผมหลับตาลงไม่กล้าจ้องมองภาพของคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง ผมไม่กล้าจ้องมองภาพนั้น ก่อนจะที่น้ำตาจะหลั่งรินเมื่อเห็นว่าด้านหลังของทั้งคู่มีร่างเล็กกำลังยืนร้องไห้อย่างน่าสงสาร ผมอยากเข้าไปกอดเจ้าตัว แต่สิ่งที่คว้าไว้มีเพียงแค่ภาพเงา ผมหัวเราะอย่างไร้เสียง รู้ดีว่าผมไม่มีทางกลับไปได้อีกแล้ว เพราะผมตายแล้ว....หากเปรียบชีวิตของผมเป็นละครบทหนึ่งผมคงเป็นตัวร้ายในละครชีวิตเรื่องนั้น ชื่อผมคือ พัชชา แซ่เจริญ เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวพงษ์พัฒน์ แซ่เจริญ เจ้าของห้างสรรพสินค้ามากมายในประเทศไทย อาจจะเพราะว่ามารดาตายตั้งแต่ผม
บทที่ 1 เมื่อผมตาย และได้เกิดใหม่งานแต่งงานของผมและพี่ปราชญ์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวพงษ์พัฒน์ แต่ไม่ใช่กับผมที่ไม่อยากให้งานแต่งงานนี้เกิดขึ้น ผมร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้พี่ปราชญ์ถอนคำพูด บอกทุกคนว่ามันไม่จริง แต่พี่ปราชญ์พูดแค่ว่า“พี่ปราชญ์พัชขอล่ะ พี่ไปบอกทุกคนได้ไหมว่าสิ่งที่พี่พูดมันไม่จริงๆ พัชขอร้อง”“แต่น้องพัช พี่รักเรานะ เป็นพี่ไม่ได้หรือ? พี่สัญญาจะว่าจะดูแลพัชอย่างดี เป็นพี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”“พี่พูดบ้าอะไร!พัชไม่ได้รักพี่ พัชรักพี่ปรัช พี่ได้ยินไหม?!”“พัช.....”และใช่ พี่ปราชญ์รักผม แต่ผมไม่ได้รักพี่ปราชญ์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนั้น ตอนที่ผมกำลังบ้าคลั่งเรื่องงานแต่งงานกับพี่ปรัช วันงานผมไม่มีความสุขเลย แต่ที่ต้องแต่งเพราะเป็นครั้งแรกที่ป๊าร้องไห้และบอกให้ผมรักษาเกียรติของตัวเอง ผมจึงจำต้องแต่งกับพี่ปราชญ์อย่างช่วยไม่ได้ และคืนวันแต่งงานผมดื่มจนตัวเองขาดสติอีกครั้งเพราะความผิดหวัง และความเสียใจ จนมีอะไรกับพี่ปราชญ์อีกครั้ง และเช้าวันต่อมาผมก็ไล่พี่ปราชญ์ออกจากบ้านของตัวเองอีกครั้ง ใช่ เรือนหอที่ผมควรได้อยู่กับพี่ปรัช กลับเป็นพี่ปราชญ์ที่ผมต้อง
บทที่ 2 เมื่อผมต้องเจอกับเหล่าเพื่อนรักพี่ปรัชไม่ได้รักผม นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรรู้และเข้าใจได้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าจะเพราะความโง่ของตัวเองหรือเพราะอะไร ผมถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับโอกาสอีกครั้ง ในเมื่อเขาไม่รัก ผมก็แค่ไปรักคนที่รักผม ก็แค่นั้น ข่าวประกาศการยกเลิกงานหมั้น และงานแต่งงานที่เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเป็นไปอย่างราบรื่น จริงๆ ไม่ได้ราบรื่นเพราะมีกระแสข่าวมากมายในวงการบันเทิงไฮโซ แต่ถามว่าผมที่ผ่านมาแล้วแคร์หรือเปล่า? ก็ถ้าเป็นผมก่อนตายผมคงแคร์ แต่ต้องไม่ใช่กับผมที่ผ่านความตายมาแล้วในตอนนี้ ผมเดินลงมาจากบันไดบ้านในตอนเช้า แล้วยกยิ้มเมื่อเห็นป๊าตบหน้าอกตัวเอง แล้วเลื่อนอ่านข่าวในไอแพดออกเสียงดังอย่างหงุดหงิดว่า“ไฮโซทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้า เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวกะทันหัน เปลี่ยนแล้วทำไม! อาพัชอีจะเปลี่ยนกี่คนก็ได้ ฮึ่ม!” แม้แต่ตอนนี้ป๊าก็ยังคงยืนข้างผม ผมอมยิ้มมองป๊าด้วยสายตาอ่อนลง ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนนั้นผมคงร้องไห้ฟูมฟายหาว่าป๊าไม่รักแล้วหนีขึ้นห้องไปร้องไห้โฮแล้ว แต่ต้องไม่ใช่กับผมตอนนี้ ผมเดินเข้าไปกอดพุงกลมๆ ของป๊า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“ป๊า อย่าลืมเ
บทที่ 3 เมื่อผมแต่งงานกับคนที่รักผม (มาก)“พี่ปราชญ์ว่าชุดนี้สวยไหมครับ?” ผมหมุนตัวโชว์ให้พี่ปราชญ์ที่กำลังนั่งมองผมลองชุดแต่งงานด้วยสีหน้ามีความสุข เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักพลางขยับแว่น แล้วชมเสียงดังว่า“สวยครับ น้องพัชใส่ชุดอะไรก็สวย” เมื่อได้ยินผมก็ฉีกยิ้มกว้าง แอบเขินพี่พนักงานที่แอบอมยิ้มเหมือนกัน ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนชุดอีกชุดแล้วออกมา คราวนี้พี่ปราชญ์พอเห็นก็ขยับแว่นแล้วพยักหน้าหงึกหงักตอบเสียงดังก่อนผมจะถามเสียอีกว่า “พี่ชอบชุดนี้ครับสวยมากเลย” ใช่ ชุดที่ผมสวมเป็นชุดสูทลูกไม้แขนยาวผ่าหน้า เว้าหลังสวย รับกับกางขายาวสีขาว แน่นอนว่าชุดนี้ดูจะเปิดเผยเนื้อหนังไปหน่อย แต่ถ้าพี่ปราชญ์ว่าสวยผมก็โอเค“งั้นเอาเป็นชุดนี้นะครับ” ผมเอ่ยกับพี่พนักงานก่อนที่เธอจะพยักหน้า แล้วผมก็เดินมาดึงพี่ปราชญ์ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับพี่พนักงานว่า “ต่อไปเป็นคนนี้ครับ รบกวนขอชุดสูทเข้ากับชุดนี้หน่อยนะครับ” พี่ปราชญ์จับมือผมแล้วย่นคิ้วลงพลางกระซิบกับผมเสียงเบาว่า“พี่ใส่ชุดอะไรก็ได้ครับ” ผมมองพี่ปราชญ์ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงจริงจังว่า“ไม่ได้สิครับ พี่เป็นว่าที่สามีพัชนะ จะใส่ชุดอะไรก็ได้ได้อย่างไรครับ?” ผมเ
บทที่ 4 เมื่อผมพยายามชวนสามีปั๊มเบบี้“หรือพัชควรไปเรียนทำอาหารไหมพี่ปราชญ์?” เช้าวันแรกของการแต่งงานเต็มไปกลิ่นอวลของความสุข พี่ปราชญ์ได้หยุดงานสัปดาห์หนึ่ง แต่ยังไม่มีแพลนฮันนีมูนเพราะเรายังตกลงกันไม่ได้ว่าควรไปที่ไหนดี ผมอยากไปเที่ยวต่างประเทศแต่พี่ปราชญ์อยากพาผมไปเที่ยวเหนือ และความอยากตามใจสามีผมเลยเออออว่าจะไปขึ้นเหนือกับพี่ปราชญ์ เราเลยสรุปแพลนกันไว้ว่าจะไปสิ้นเดือนนี้ คืออีกประมาณสองสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่ผมอรุณสวัสดิ์ด้วยความรักกับพี่ปราชญ์จนล้นเต็มใบหน้า เราก็อาบน้ำแล้วลงมาด้านล่างเพื่อทำอาหาร แน่นอนว่ามื้อแรกนี้พี่ปราชญ์เป็นคนทำเพราะผมทำอาหารไม่เป็น อาเมน....“ถ้าน้องพัชอยากเรียนทำอาหารพี่สอนได้นะครับ?” พี่ปราชญ์ในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวไดโนเสาร์ที่ผมซื้อมาเอ่ยรับด้วยเสียงอารมณ์ดี ใบหน้าแจ่มใส พลางขยับแว่นสายตาหนาเตอะนั่นเบาๆ ก่อนจะหันหลังไปผัดข้าวต่อ“ดีเลย งั้นทุกวันหยุดพี่เรามาเรียบทำอาหารกัน” ผมเอ่ยพลางลุกขึ้นไปกอดเอวพี่ปราชญ์จากด้านหลัง ก่อนจะชะโงกหน้ามองข้าวผัดในกระทะทำเอาพี่ปราชญ์อมยิ้ม ก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวมาให้ผมชิม“ขาดรสอะไรครับ?”“อื้ม ขอเค็มอีกหน่อยครับ”“โอเค”
บทที่ 5 เมื่อชีวิตหลังแต่งงานของผมเต็มไปด้วยความสุข“พี่ปราชญ์อย่ากัดนมพัช!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อตื่นมาแล้วเจอพี่ปราชญ์เวอร์ชันตบะแตก ทั้งดูดทั้งดึงหน้าอกผมจนแดงไปหมด แถมเสื้อนอนที่ใส่ไว้เมื่อคืนก็ถูกพี่ปราชญ์ถอดออกทิ้งลงข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้!ผมล่ะรักพี่ปราชญ์เวอร์ชันนี้จริงๆ!!!“ขอโทษค่ะ นมน้องพัชมันล่อตาพี่ พี่อดใจไม่ไหวจริงๆ ” พี่ปราชญ์พูดทั้งที่กำลังใช้ลิ้นเลียวนรอบๆ ฐาน แล้วเอ่ยพ่นลมร้อนใส่จนผมตัวสั่นเพราะความเสียวไปหมด“อื้อ อย่าเป่าลมใส่พัชนะ!” ผมดันหน้าพี่ปราชญ์ออก แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าอกตัวเองที่เปื้อนรอยดูดและรอยแดงช้ำจนน่ากลัว “พอเลย พัชเจ็บนะพี่ปราชญ์” ผมเอ่ยด้วยเสียงงอนนิดหน่อย พี่ปราชญ์ที่เหมือนสำนึกผิด รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนจะเข้ามากอดปลอบผมเสียงอ่อน“โอเคครับ พี่ขอโทษนะ เจ็บมากไหม พี่ขอดูหน่อยค่ะ” เมื่อได้ยินผมหรี่ตาลงมองพี่ปราชญ์ด้วยสายตารู้ทัน ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนีเข้าห้องน้ำไปทันที “น้องพัช!!” แล้วพี่ปราชญ์ก็เอ่ยเรียกผมอยู่หน้าห้องน้ำเสียงเศร้า เฮ้อ ไอ้มีความสุขนะใช่ แต่พี่ปราชญ์เล่นทำทุกวันมันก็เหนื่อยเป็นธรรมดาไหม!........................ชีวิตหลังแต่
บทที่ 6 เมื่อผมตั้งท้องน้องโปรดและต้องปะทะฝีปากกับเพื่อนรักหลังจากประกาศเรื่องตั้งท้องผ่านไอจีก็ผ่านมาแล้วเกือบสัปดาห์ คุณแม่ทำตามที่พูดส่งบัตรเชิญมาให้ผมกับพี่ปราชญ์เข้าร่วมงานเต้นรำจริงๆ ผมที่ไม่ได้แพ้ท้องหนักแค่เวียนหัวตอนตื่น กับอาเจียนเมื่อได้กลิ่นคาวปลา นอกนั้นอาการอะไรก็เล็กน้อยมาก เลยคิดจะไปร่วมงานครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อคุณแม่ แต่เพื่อความสะใจของตัวเองล้วนๆ เพราะได้ยินว่าณินินแพ้ท้องหนักมาก เลยมาร่วมงานไม่ได้ และผมจะทำให้ณินินต้องอิจฉาตาร้อนไปเลยว่าผมมีความสุขจากสามีและลูกมากขนาดไหนและเมื่อวันงานมาถึงผมก็แต่งตัวด้วยชุดสูทสุภาพสีขาว คู่กับสูทดำของพี่ปราชญ์ เจ้าตัวที่กำลังขับรถเอ่ยกับผมในระหว่างติดไฟแดงไปด้วยว่า “น้องพัชโอเคใช่ไหมครับ พี่เป็นห่วงเรากับลูกมากนะ” พี่ปราชญ์เขากังวลว่าผมจะไปแพ้ท้องที่งานเลยไม่อยากให้ผมไป แต่เพื่อแสดงความสุขจนแสงออกปากให้คนพวกนั้นได้เห็นมีหรือที่ผมจะยอมแพ้ง่ายๆ และสิ่งที่ผมทำได้คือการใช้ชีวิตให้ดีและมีความสุขเท่านั้น!“พัชพกยามาเผื่อแล้วด้วยครับ พี่ปราชญ์สบายใจได้ พัชสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีครับ” ผมเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง ขณะจับมือพี่ปราชญ์มากุมแล้วจุ๊บ
บทสุดท้าย เมื่อผมกลายเป็นภรรยาและหม่าม้าที่ดีเข้าเดือนเมษายนที่แสนร้อนระอุ เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และเป็นปีที่เจ้าแฝดต้องเข้าเรียนด้วย เราเลยตกลงกันว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ทะเลในช่วงนี้แทน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจึงเกิดขึ้น ผมนั่งเก็บกระเป๋าให้ตัวเองและพี่ปราชญ์ในห้อง แต่เด็กๆ วิ่งเข้ามาทีละคนแล้วชูของในมืออย่างอารมณ์ดีพลางถามว่า“หม่าม้าโปรดเอากางเกงในสีเหลืองเป็ดไปได้ไหม?”“หม่าม้าเปลี่ยมเอารองเท้าผ้าใบคู่นี้ไปด้วยได้ไหม?”“หม่าม้าปลื้มไม่รู้จะเอาอะไรไป หม่ามาเก็บกระเป๋าให้ปลื้มได้ไหมครับ?”“หม่าม้าปกเอาของเล่นไปด้วยได้ไหม?”“ปักษ์เอาคุณเสือไปด้วยนะหม่าม้า”“.....................” นั่นแหละครับ ผมเลยทำได้เพียงต้อนเด็กๆ กลับห้องแล้วเก็บกระเป๋าให้ทีละคน พลางคิดในใจว่าเมื่อไรจะเปิดเทอม!! ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของให้น้องปันเป็นคนสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่เสียงรถยนต์จะทำให้เด็กๆ วิ่งกรูกันลงไปข้างล่างพลางส่งเสียงดังไปตลอดทางว่า“พ่อมาแล้วววววววววว”ผมนวดขมับ ก่อนจะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วเดินลงไปข้างล่าง ทันเห็นว่าพี่ปราชญ์กำลังถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
บทที่ 19 เมื่อผมได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่รักผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ จำได้ว่าเพิ่งนั่งรถกลับบ้านหลังไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน? แล้วทำไมผมกลับมาที่บ้านได้? ผมก้าวเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะพบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายผมกำลังนั่งที่เก้าอี้โยกในห้องนั่งเล่น เธอนั่งลูบท้องในขณะที่กำลังยกยิ้มพลางฮัมเพลงในลำคอ ก่อนจะเงยหน้าหันมามองผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “สวัสดีค่ะน้องพัช” เมื่อได้ยินผมรู้สึกสั่นไหวในใจ ก่อนจะก้าวขาไปหาอีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนพื้นตรงขาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหวว่า“ม้า?” ผู้หญิงที่ผมมักจะเห็นในรูปยกยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า“ค่ะ หม่าม้าดีใจนะคะที่ได้เห็นน้องพัชมีความสุข” ผมเม้มปากน้ำตาคลอ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกลั้นน้ำตาว่า“แต่พัชจะมีความสุขกว่านี้ถ้าม้าอยู่กับพัชด้วย” หม่าม้ายกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า“ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หม่าม้าเฝ้ามองน้องพัชมาตลอดเลยนะคะ” ผมเงยหน้ามองหม่าม้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า“ถ้าอย่างนั้นหม่าม้าก็คงเห็นว่าพัชเป็นคนดีใช่ไหมครับ?” เมื่อ
บทที่ 18 เมื่อผมต้องไปงานแข่งกีฬาสีโรงเรียนของลูกปีนี้น้องโปรดขึ้นชั้นป.1 แล้ว แน่นอนว่ามีกิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ งานกีฬาสีที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน น้องโปรดแข่งวิ่ง 100 เมตร กับวิ่งผลัด และลงแข่งฟุตบอลตัวสำรองด้วย วันเวลาที่ผ่านมาผมมองเห็นได้ว่าน้องโปรดตั้งใจมากกับงานกีฬาสีครั้งแรกนี้ของตัวเอง ส่วนเด็กๆ คนอื่นก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างดีด้วยความรักของผมและพี่ปราชญ์ น้องปลื้มอายุได้ 5 ขวบตอนี้ขึ้นอนุบาลหนึ่ง น้องเปลี่ยม 3 ขวบ และเจ้าแฝด 1 ขวบ ส่วนพี่ปราชญ์กับผมก็มีความสุขดีครับ วันนี้เป็นวันศุกร์กีฬาสีจัดขึ้นวันแรก ผมในฐานะหม่าม้าจึงขนเด็กๆ และพี่ปราชญ์มาให้กำลังใจน้องโปรด ที่โรงเรียน “ปก ปักษ์อย่าดิ้นครับ” พี่ปราชญ์ที่อุ้มลูกชายสองคนไว้ในมือเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะดิ้นออกจากพี่ปราชญ์“หาพี่” น้องปกเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่น้องโปรดที่กำลังเดินขบวน ก่อนที่น้องปักษ์จะเบะปากแล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนนักว่า“พี่โปด หาพี่โปด” พี่ปราชญ์เลยต้องปลอบเจ้าแฝดยกใหญ่ น้องปลื้มหยิบเอาป้ายกระดาษแข็งที่นั่งวาดหลายวันมานี้ขึ้นชู แล้วมีน้องเปลี่ยมเอ่ยเสียงดังเป็นลำโพงเล็กๆ ว่า“พี่โปรดฉู้ๆ พี่โปรด!!!” ผม
บทที่ 17 เมื่อผมคลอดลูกแฝดหลังสงกรานต์ผมเตรียมตัวซื้อเสื้อผ้าให้น้องปลื้มเพื่อเตรียมไปโรงเรียนเดือนหน้านี้ ส่วนน้องโปรดกำลังขึ้นอนุบาลสอง ผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องโปรดอีกชุด เพราะชุดเก่าเจ้าตัวคับแน่นไปหน่อย ช่วยไม่ได้ที่น้องโปรดกำลังโตก็แบบนี้ เนื่องด้วยผมท้องลูกแฝดท้องจึงใหญ่กว่าปกติจนน่ากลัว ผมเลยเคลื่อนไหวน้อยมาก และโชคดีที่มีพี่นิ้งคอยดูเด็กๆ ในช่วงนี้ เดือนเมษายนไม่มีอะไรมากไปกว่าความซนของเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเปิดเทอมในเดือนต่อมา น้องโปรดและน้องปลื้มต้องไปโรงเรียน แน่นอนว่าวันแรกผมอยากไปส่งลูกที่โรงเรียน แต่เพราะหน้าท้องที่ใหญ่มากทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมจึงทำได้เพียงมองป๊าพาเด็กๆ ไปส่งที่โรงเรียนแทน“บ๊ายบ่ายฮะหม่าม้า” น้องปลื้มพูดพลางกลั้นน้ำตาสุดชีวิต ผมเดินไปลูบหัวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงปลอบโยนว่า“เดี๋ยวพี่โปรดไปส่งที่ห้องนะครับ น้องปลื้มไม่ต้องร้องนะ” น้องโปรดเข้ามากอดน้องปลื้มก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนน้าน้องปลื้ม”“อื้ม” น้องปลื้มปาดน้ำตา ก่อนจะยกยิ้มจับมือพี่ชายเดินขึ้นรถตู้ตามด้วยป๊าที่อารมณ์ดีทำหน้าที่ไปส่งหลาน พี่ปราชญ์ไปทำงานตั้ง
บทที่ 16 เมื่อผมกำลังทำลูกกับพี่ปราชญ์ตามธรรมชาติ“อ๊ะ อ๊า.....” ผมกรีดร้องเสียงดังเมื่อพี่ปราชญ์จับไหล่ผม แล้วดึงไปข้างหลัง พลางกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมอย่างรุนแรง ผมนัยน์ตาพร่ามัวก้มหน้าลงยันแขนกับเตียง ก่อนจะกรีดร้องเมื่อแก่นกายของพี่ปราชญ์เข้ามากระแทกย้ำๆ ที่ปากมดลูกจนผมเสียวไปทั้งตัว ก่อนจะปล่อยออกมารอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผมตัวอ่อนเหลวไปกับเตียง ก่อนที่แก่นกายของพี่ปราชญ์จะหลุดออกจากช่องทางของผม จนน้ำด้านในไหลทะลักออกมาข้างนอก ผมนอนหอบหายใจเสียงดัง ก่อนจะถูกพี่ปราชญ์พลิกตัวกลับมานอนหงาย “พี่ปราชญ์?” ผมเอ่ยเรียกพี่ปราชญ์เสียงเบา เมื่ออีกฝ่ายจับขาผมพาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนจะถูไถแก่นกายที่กำลังอ่อนตัวที่ปากทางของผมที่กำลังอ้าออก เพราะหุบไม่ลง“อีกรอบนะคะเผื่อลูกไม่ติด” ผมเม้มปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนไปว่า“จูบพัชหน่อย” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็ก้มลงจูบผมก่อนจะค่อยๆ สอดแก่นกายที่กำลังแข็งตัวเข้ามาในร่างกายของอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ “อื้อ” ผมร้องครางพลางหลับตาก่อนจะหมดสติไปเพราะความอ่อนเพลีย แล้วผมก็ไม่รู้แล้วว่าต่อจากนั้นพี่ปราชญ์ทำอะไรต่อ เพราะหลับไปตื่
บทที่ 15 เมื่อผมต้องดูแลพี่ปราชญ์“คนไข้ดูเหมือนจะมีบุคลิกแตกแยกครับ” ผมมองหน้าหมออย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเม้มปากกอดตัวเอง แน่นแล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า“หมายถึงพี่ปราชญ์อีกคนหรือครับ?” คุณหมอพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“จากการส่งตรวจเอกซเรย์สมองพบว่าคนไข้ปกติดีครับ แต่จากการสอบถามทางจิตวิทยาพบว่าคนไข้เหมือนจะแตกแยกบุคลิกออกมาอีกหนึ่งบุคลิกครับ หมอสงสัยว่าอาจจะเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงส่งผลให้ส่วนของความจำและบุคลิกมีปัญหา เลยทำให้คนไข้สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง....”“ถ้าอย่างนั้นมีโอกาสหายไหมครับ?” ผมเอ่ยถามหมอเสียงเครือ พลางปาดน้ำตาออกจากหางตา“แน่นอนครับ แต่ญาติต้องอดทนหน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนเรื่องราวที่คนไข้สร้างขึ้นมาจะเป็นในแง่ลบทั้งสิ้นส่งผลให้จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”“ครับ” ผมเอ่ยเสียงตอบรับก่อนจะพูดคุยอีกนิดหน่อยก็ออกมา แล้วเดินกลับที่ห้องพักของพี่ปราชญ์ พอเข้าไปเจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในไอแพด ก่อนจะกดปิดหน้าจอฯ เมื่อเห็นผมเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า“หมอว่าอย่างไรบ้าง?” ผมเม้มปากกลั้นน้ำตา เพราะความเย็นชาห่างเหินที่พี่ปราชญ
บทที่ 14 เมื่อผมพาครอบครัวไปเที่ยวทะเลเข้าเดือนเมษายนเพราะช่วงเทศกาลสงกรานต์ผมคิดว่าคนเยอะ เราเลยเลือกที่จะไปทะเลต้นเดือนแทน แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะอยู่ดีช่วงนี้ ตอนนี้น้องเปลี่ยม 5 เดือนแล้วเจ้าตัวจ้ำม่ำมาก แขนเป็นปั้นๆ ให้กินอะไรกินหมด แถมกินเก่งอีกต่างหาก เป็นขวัญใจของป๊าเลยที่ได้หลานอ้วนจ้ำม่ำแบบน้องเปลี่ยม วันที่เราเลือกไปทะเลเราออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงเช้า เดินทางไปถึงพัทยาคงประมาณ 9-10 โมงเช้าได้ เราเลยขับรถไปเองชิวๆ ไม่เครียดหรือเร่งรีบอะไร ผมนั่งที่เบาะหน้าหยิบโทรศัพท์เอามาถ่ายเด็กๆ3 คนที่นั่งเรียงกันในคาร์ซีทอย่างตลก โดยมีน้องเปลี่ยมนั่งตรงกลาง น้องโปรดข้างซ้าย และน้องปลื้มข้างขวา ผมลงสตอรี่มีคนกดเข้ามาดู เยอะมาก ก่อนจะหันกลับมาเปิดเพลงเด็กๆ คลอไปตลอดทางให้เด็กข้างหลังเปิดคอนเสิร์ตร้องตามกันอย่างสบายใจ ได้สตอรี่ไปอีกหนึ่งตะเข็บ“พี่ว่าเราต้องเปลี่ยนรถแล้วน้องพัช” พี่ปราชญ์เอ่ยเมื่อผมเอาแต่ถ่ายสตอรี่เด็กๆ ร้องเพลงอยู่ข้างหลัง ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับกดเซฟคลิปไว้ในเครื่อง“พัชเห็นด้วยเลย เดี๋ยวพอเด็กๆ โตกว่านี้จะไม่มีที่นั่งเอา” ผมพูดก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพี่ปราชญ์ที่ฮั
บทที่ 13 เมื่อผมต้องเลี้ยงเด็กสามคนในเดือนถัดมาพี่ปราชญ์ลาออกจากรองประธานของพิพิศภักดีแล้ว ป๊าแทบจะจุดพลุฉลองเมื่อรู้ว่าพี่ปราชญ์จะเข้ามาช่วยบริหารงานแทน และตอนนี้ที่อายุครรภ์ผมได้ 5 เดือนแล้วเราก็เพิ่งไปตรวจเพศลูกมาและเป็นผู้ชายอีกครั้ง พี่ปราชญ์แทบปล่อยโฮเพราะอยากได้ลูกสาว ส่วนผมเฉยๆ เพราะจะเพศไหนผมก็รักทั้งหมด และเพราะพี่ปราชญ์ต้องเริ่มเรียนรู้งานกับป๊า เพื่อความสะดวกและอะไรหลายๆ อย่างป๊าเลยเสนอว่าจะยกบ้านเป็นชื่อผม แล้วให้ผมกับพี่ปราชญ์ และเด็กๆ ย้ายกลับไปที่นั่น เพื่อความสะดวกในอะไรหลายๆ อย่าง ส่วนเรื่องรถรับ-ส่งของน้องโปรดก็ต้องยกเลิกไป เพราะต่อไปป๊าที่ว่างงานแล้วจะเป็นคนขับรถไปรับ-ส่งหลานเองเช้า-เย็นเรียกได้ว่าป๊าเห่อหลานสุดๆ และดูเหมือนน้องโปรดเองก็ชอบที่อากงไปรับตัวเองที่โรงเรียนมากกว่าด้วยเช่นกัน ผมย้ายกลับไปอยู่ที่ห้องตัวเองกับพี่ปราชญ์ เด็กๆ แยกห้องไปนอนคนละห้องตามที่ป๊าต้องการ เจ้าตัวถึงกับรีโนเวทบ้านเพื่อเด็กๆ เป็นเดือนๆ เลย ที่สำคัญคือทำห้องให้เจ้าก้อนที่สามในท้องผมล่วงหน้าไปแล้วด้วย เรียกได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ผมมีความสุขมาก และก็อยากแบ่งปันกับทุกคนด้วยจึงลงสตอรี่
บทที่ 12 เมื่อผมไปงานเลี้ยงรุ่นเข้าเดือนมิถุนายน ต้นเดือนนี้มีงานเลี้ยงรุ่นมหาลัยของผม แน่นอนว่าผมนัดกับเก้า นิลและยี่หวาไว้ที่งานแล้ว รวมไปถึงพี่ปราชญ์ด้วยที่ลางานตอนบ่ายเพื่อพาผมไปงานเลี้ยงรุ่น โดยที่ผมจะฝากน้องปลื้มไว้กับป๊าและพี่นิ้ง วันนี้ผมแต่งตัวจัดเต็มอย่าบอกใคร ลงโพสต์สตอรี่ตั้งแต่เมื่อวานที่ไปร้านทำผมซื้อเสื้อผ้า แล้วฝากน้องปลื้มไว้กับพี่นิ้งแล้ว และโชคดีที่น้องโปรดไปโรงเรียนแล้วไม่อย่างนั้นผมคงหัวหมุนกว่านี้ แน่นอนว่าวันนี้มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ผมรู้สึกตัวเองมาสักพักแล้วว่ากินเก่งขึ้น มันหิวแบบผมต้องกินอันนั้นอันนี้ให้ได้พอไม่ได้กินก็จะเก็บไปนอยเองคนเองเงียบๆ อาการแปลกๆ ที่ผมคุ้นชินเร่งเร้าให้เมื่อวานนี้ผมแวะซื้อที่ตรวจครรภ์มาหลายยี่ห้อก่อนกลับบ้าน แล้วมาแอบตรวจวันนี้คนเดียว เพราะป๊ามารับน้องปลื้มตั้งแต่เช้าเช้าที่แปลว่าเช้าจริงๆ ตั้งแต่ 7 โมงนู้น ผมเลยอยู่บ้านคนเดียวแต่งตัวแต่งหน้าทำผมเตรียมไปงานเลี้ยงรุ่นตอนบ่ายสามโมง งานจัดที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ ผมเลยมาเตรียมลุ้นว่าตัวเองท้องหรือไม่ตอนนี้คนเดียว ก่อนจะยิ้มบ้างยกมือลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยขอ