ดูท่า จวนอ๋องคงเกิดเรื่องที่ไม่อาจกล่าวออกมาอย่างเปิดเผยได้จริงๆ นางมองฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นที่มีสีหน้าไม่ดี ยังมีเสิ่นหรูหลันที่มีสีหน้าเย็นชา ก็กำมือเข้าหากันอย่างอดไม่ได้จวนแม้ทัพเข้าข้างคนของตน หากนางยืนกรานไม่ยอมกลับไป ท่านย่ากับพี่สะใภ้ก็จะต่อต้านเพื่อนางจนถึงที่สุดแต่นิสัยเซียวเฉินเหยี่ยนนั้นดื้อรั้น เรื่องที่เขาต้องการทำ ก็มีน้อยคนนักที่จะแปรเปลี่ยนได้ หากเป็นเช่นนี้ จวนแม่ทัพคงเกิดความวุ่นวาย วันนี้ท่านย่ายังป่วยอยู่ อีกทั้งหากท่านพ่อพี่ชายกลับมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะวุ่นวายใจอีกรอบฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นสีหน้าบึ้งตึง กล่าวส่งแขกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านอ๋อง หญิงชราผู้นี้…”คำพูดของนางยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกเสิ่นหรูโจวกล่าวแทรก “ได้ ข้ากลับจวนก็ได้ ท่านไปรอที่หน้าประตูก่อนเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นมองเสิ่นหรูโจวอย่างคาดไม่ถึง “จูจูเอ๋อร์…”เสิ่นหรูโจวส่ายหัวให้นาง ฮูหยินผู้เฒ่าเสิ่นเม้มปาก ทว่าสีหน้าตึงเครียดของเซียวเฉินเหยี่ยนกลับผ่อนคลายลงเล็กน้อยเพียงแต่น้ำเสียงของเสิ่นหรูโจวราวกับออกคำสั่งก็ไม่ปาน คนจำนวนมากดูอยู่เช่นนี้ เขาเสียหน้าอย่างยิ่ง เมื่อก่อนเขาจึงจะเป็นผู้ที่อ
วันนี้ตัวเขากับบุตรชาย ‘เสิ่นยี่’ เข้าร่วมการประชุมราชสำนักพร้อมกัน ในตอนเลิกประชุม เสิ่นยี่มีธุระรั้งอยู่ในวัง เขารีบร้อนกลับจวน แต่รถม้ากลับเสีย ทำเอาเขาร้อนใจจนเส้นเอ็นบนหน้าผากกระตุกไม่หยุด โชคดีที่เจอท่านผู้สำเร็จราชการที่จากเมืองหลวงไปหลายวันเข้า ช่วยเขาในยามยากประดุจการมอบถ่านกลางหิมะ ส่งเขากลับมาผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานของรถม้า บนร่างสวมเสื้อคลุมสีดำ ด้านในเป็นชุดแพรต่วนสีแดงชาดตลอดร่าง บริเวณเอวห้อยจี้หยกประดับที่เรียบง่ายที่สุด ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาซ่อนอยู่ภายใต้ปีกหมวก สามารถเห็นเส้นผมสีขาวเงินได้อย่างเลือนราง ทั่วทั้งร่างให้ความรู้สึกลึกลับและสูงศักดิ์อย่างยิ่งสีริมฝีปากของเขาประดุจหยกโลหิต นิ้วเรียวยาวกำลังเล่นหยกประดับชิ้นหนึ่ง พู่สีชมพูห้อยระอยู่กลางฝ่ามือ กลับเพิ่มความเฉิดฉันให้เขาหลายส่วน“ทางเดียวกัน ไม่ต้องมากมารยาท” เสิ่นมู่ไม่กล้าพูดกับเขามาก และไม่กล้าจ้องมองเขา ท่านผู้สำเร็จราชการสามารถมาส่งเขาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ยิ่งมิอาจทำให้เขาต้องเสียเวลามากไปกว่านี้อีก“เช่นนั้นผู้น้อยก็ขออำลาก่อนแล้วขอรับ” ชายในเสื้อคลุมสีดำเงยคางขึ้นเล็กน
ครั้นเซียวเฉินเหยี่ยนเห็นท่าทางตกใจของนางก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่ได้ฟั่นเฟือน ตั้งแต่หว่านหรงสลบไปเมื่อวานจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย หมอหลวงบอกว่าถ้านางไม่ตื่น นางก็อาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต”อารมณ์ของเสิ่นหรูโจวนิ่งลงเล็กน้อย ภายในรถม้าที่มีแสงสลัว ดวงตาวิหคเพลิงของนางสว่างไสวราวกับดวงดารา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเยือกเย็น“ท่านรีบร้อนเรียกข้ากลับจากตระกูลเสิ่น เพียงเพื่อให้ข้าทำยาให้อนุตัวน้อยของท่านหรือ” เซียวเฉินเหยี่ยนมองเสิ่นหรูโจว ร่องรอยของความไม่พอใจพาดผ่านบนใบหน้าหล่อเหลา “ข้าแค่อยากได้เลือดของเจ้าสักหน่อย หว่านหรงกำลังตกอยู่ในอันตราย การช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ ได้แต่หวังว่าเจ้าจะรู้หลักการทั่วไปนะ” รู้หลักการทั่วไป? หลักการทั่วไปนี้ที่เซียวเฉินเหยี่ยนพูดก็เพื่อให้นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจ จะได้ช่วยอนุตัวน้อยของเขาน่ะสิ! บนริมฝีปากของเสิ่นหรูโจวมีรอยยิ้มเย้ยหยัน ความโกรธเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในใจ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักหรอก นางเพียงเกลียดตัวเองในชาติที่แล้ว และรู้สึกสงสารตัวเองในชาติที่แล้วด้วย เพื่อที่จะได้รักเขา ไม่ว่าความเจ็บช้ำน้ำใจใดก็ยินดีที่จะรับไ
“อย่างไรก็ตาม หนึ่งเดือนนั้นน้อยเกินไป เจ้าและข้าแต่งงานกันด้วยการพระราชทานสมรส ถ้าเราแต่งงานไม่ถึงสองเดือนก็หย่าแล้ว เจ้าและข้าล้วนไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย อย่างน้อยที่สุดก็สามเดือน!”หากเขาไม่รับปาก ก็จะกลับกลายเป็นว่าเขาคือฝ่ายตามตื๊อไม่ปล่อย!เสิ่นหรูโจว ยังไม่คู่ควรกับความรักของเขา!เขาตอบรับแล้ว!ทันใดนั้นดวงตาของเสิ่นหรูโจวก็สว่างวาบขึ้น ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าสดใสได้ ดวงตาอันงดงามก็อดไม่ได้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง “เอาล่ะ แค่สามเดือนเท่านั้น!” ในที่สุดเขาก็ตอบตกลง ชาติที่แล้วนางรอประโยคนี้มาตลอด! ในชาติก่อนที่ตายไป นางไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการ เซียวเฉินเหยี่ยนยังเคยบอกด้วยซ้ำว่า แม้นางจะตายตกไปก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้ นางเป็นฮองเฮาของเขา จะต้องฝังร่วมสุสานกับเขา ในชาติหน้าสานต่อความสัมพันธ์สามีภรรยาและทรมาทรกรรมกันต่อไป! ตอนนั้นนางคิดว่าเขาจิตวิปริตราวกับคนบ้าจริง ๆ นางตายอย่างน่าสังเวช แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นกลับทำไม่ได้ ฝังร่วมสุสานไม่ได้ เพราะเขาหาศพของนางไม่พบ และนางก็จะไม่มีวันสานสัมพันธ์กับเขาในฐานะสามีภรรยาอีกต่อไปด้วย! ชาตินี้ หลังจากผ่านพ้นสามเดือนนี่ไป นางจะสา
ใบหน้าของเสิ่นหรูโจวดูมีความสุข คลี่กระดาษอ่านอย่างระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า บนนั้นระบุเวลาไว้อย่างชัดเจน อธิบายไว้ถึงความไม่ลงรอยกันทางอารมณ์ ดังนั้นจึงจะแยกห่างจากกันไปหาความสุขของตน ทั้งสองไม่ข้องเกี่ยวกันอีก ดีมาก นางยิ้มมุมปาก พับหนังสือหย่าอย่างพิถีพิถันและเก็บมันไว้อย่างดี เมื่อถึงจวนอ๋อง รถม้าหยุดลง เซียวเฉินเหยี่ยนเหลือบมองเสิ่นหรูโจวจากใบหน้าด้านข้าง ลงรถม้าด้วยสีหน้าจมดิ่ง จากนั้นเดินตรงกลับห้องหนังสือ เสิ่นหรูโจวไม่สนใจว่าเขาจะมีสีหน้าอย่างไร และกลับมายังเรือนตนโดยมีหนังสือหย่าอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกับรอยยิ้ม เมี่ยวตงไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในรถม้า เพียงเห็นสีหน้าของเซียวเฉินเหยี่ยนไม่ค่อยสู่ดีนัก อีกทั้งใบหน้าของเสิ่นหรูโจวก็ยิ้มแย้มแจ่มใสซึ่งดูแปลกอยู่บ้าง จึงเอ่ยถาม“พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? ท่านอ๋องรีบร้อนเรียกท่านกลับมาเพียงนี้ เขาจะทำอันใดกันแน่” เสิ่นหรูโจวส่งเสียง “อ่อ” แล้วรินชาหนึ่งถ้วย เอ่ยอย่างใจเย็นเรื่องที่เซียวเฉินเหยี่ยนขอให้นางกรีดเลือดเพื่อช่วยมู่หว่านหรง เมี่ยวตงฟังจบก็ตกใจ ดวงตากลมโตจ้องพลางส่งเสียงด้วยความโกรธ: “ท่านอ๋องทำเกิ
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถงอวิ๋นจึงถอนสายตาจากการมองไปรอบ ๆ ในใจยิ่งรู้สึกหยิ่งผยอง นางเหลือบมองไปด้านข้างของเมี่ยวตง เอ่ยอย่างเหยียดหยาม: “อย่าให้พลาดล่ะ อาการป่วยของพระชายารองของข้าจะหายก็ต่อเมื่อพระชายากรีดเลือด เจ้าเอาเลือดมาให้ข้าเร็วเข้า”เมื่อเห็นนางมีท่าทางน่าหมั่นไส้ ในใจของเมี่ยวตงก็มีแต่ความเกลียดชัง นางระงับความโกรธพลางยื่นชามเลือดให้ถงอวิ๋นรับมันมาอย่างระมัดระวัง ยกขึ้นดูอย่างถ้วนถี่ ยืนยันว่ามันเป็นเลือดมนุษย์ อีกทั้งชามยังใหญ่และมีเลือดเยอะมาก ดังนั้นจึงไม่อาจหาเหตุผลจับผิดได้ในเวลานี้นางมองท่าทางโกรธเกรี้ยวของเมี่ยวตง อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก: “เมื่อก่อนพระชายาเคยยโสเพียงนั้น แต่ตอนนี้นางกลับต่อสู้ดิ้นรนไม่ได้เลย”ใบหน้าเล็กของเมี่ยวตงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางชี้ถงอวิ๋นด้วยนิ้วอันสั่นเทาแล้วพูดขึ้น “เจ้ากล้าพูดเรื่องเหลวไหลถึงพระชายาได้อย่างไร ในสายตาเจ้าไม่มีที่สูงที่ต่ำเลยหรือ?"ถงอวิ๋นแบมืออย่างหยาบคายพลางเยาะเย้ย: “ที่สูงที่ต่ำอะไรกัน พระชายาแล้วอย่างไร? นี่ไม่ได้ให้เลือดกับพระชายารองของข้าหรือ?"นางมองชามที่เต็มไปด้วยเลือ
เอ่ยเช่นนั้นจบ นางก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเซียวเฉินเหยี่ยน กลับกลายเป็นว่าเซียวเฉินเหยี่ยนกดตัวนาง ช่วยนางดึงเสื้อผ้าขึ้นอย่างเรียบร้อย สองมือวางบนไหล่ของสองข้างนาง และดันตัวนางไปด้านหลังความเขินอายเล็กน้อยบนใบหน้าของมู่หว่านหรงจางหายไป เปลี่ยนกลับเป็นความตกตะลึง "ท่านอ๋อง?"ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวเฉินเหยี่ยนไม่ได้แยแส ไม่ได้สะทกสะท้านกับอ้อมกอดของมู่หว่านหรงที่ส่งมาเลย“ร่างกายเจ้าเพิ่งดีขึ้น พักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ”มู่หว่านหรงกัดริมฝีปาก ลอบบีบนิ้วตนแน่น นางอยู่ข้างกายเซียวเฉินเหยี่ยนมานานปานนี้แล้ว แต่เซียวเฉินเหยี่ยนกลับไม่เคยแตะต้องนางเลยเขาทั้งเก่งทั้งมีคุณธรรม รูปโฉมหล่อเหลาเอาการ มีความรับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นมิตรมาก นางจะไม่เฝ้าคะนึงหาเพียงเขาได้อย่างไร?แม้ว่าจะถูกปฏิเสธ นางก็ยังไม่ยอมแพ้ วางสองมือบนแขนของเซียวเฉินเหยี่ยน น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับน้ำพุหนึ่งสาย“ท่านอ๋อง หว่านหรงสบายดี ตอนนี้มียาดีแล้ว หว่านหรงจึงสบายดี รู้สึกสบายตัวขึ้นกว่าแต่ก่อน…”“อย่าเหลวไหล” เสียงของเซียวเฉินเหยี่ยนทุ้มลึกลง ผลักมือของนางออกไป “เจ้าเพิ่งฟื้น จะร่วมหอเลยได้อย่างไร อีกอย่าง อา
ทว่าในเรื่องนี้ เขารู้สึกโกรธอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่เล็กน้อยแต่สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องเหล่านี้ ได้ยินมาว่าเป่ยซิวเยี่ยนจะกลับเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้ว กงฉางจื้อเสียชีวิตไปแล้ว จะไปหาหมอจากที่ไหนมารักษาเขากัน? เรื่องนี้เขาตอบรับมาแล้ว แต่ตอนนี้กลับส่งคนไปไม่ได้ นี่มิใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรอกหรือ ทำให้ผู้สำเร็จราชการขุ่นเคือง ไม่มีเรื่องใดน่าขันไปกว่านี้แล้ว! เมื่อมู่หว่านหรงเห็นท่าทีเป็นกังวลของเซียวเฉินเหยี่ยน ก็ส่งเสียงอ่อนหวานปลอบทันที: "ท่านอ๋อง เหตุการณ์ในอดีตก็ไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว ช่วงนี้ในจวนยุ่งวุ่นวายอยู่หลายวัน คงเหนื่อยเป็นแน่ วันนี้พักอยู่กับหว่านหรงเถิด" แม้ว่านางจะไม่สามารถร่วมหอได้ แต่นางก็ยังคงออดอ้อนให้เขาพักแรมได้ แต่เซียวเฉินเหยี่ยนกลับมองนาง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอื่นใด การแต่งงานกับนางเป็นความรับผิดชอบของเขา นางเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา การร่วมหอก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่อาจรวบรวมความสนใจได้เลยแม้แต่น้อย “ข้ายังมีงานต้องทำ คืนนี้จะไม่รั้งอยู่ที่นี่” “ร่างกายเจ้าไม่ดีนัก พักผ่อนก่อนเถอะ มีเวลาข