เซียวจิ่นซีเห็นเซียวเฉินเหยี่ยนมาแล้ว ก็รีบซ่อนยาพิษเอาไว้นางมือหนึ่งกดหน้าอก อีกมือกุมหน้าผาก ราวกำลังจะถูกทำให้โมโหจนตายแล้ว“เฉินเหยี่ยน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว มิเช่นนั้น ข้าแทบถูกพระชายาของเจ้ายั่วโมโหจนตายทั้งเป็นแล้ว!” กล่าวจบ นางก็ส่งเสียงคร่ำครวญอย่างทรมานสองสามครั้ง เร่งนางกำนัลว่า “เหตุใดยาจึงยังไม่เสร็จอีก ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้ว"นางกำนัลรีบกล่าวว่า “บ่าวจะไปเร่งเดี๋ยวนี้เพคะ องค์หญิงโปรดอย่าได้ทรงกริ้ว เดิมพระวรกายของพระองค์ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อย่าทรงพิโรธจนอาการหนักขึ้นไปอีกเลยนะเพคะ” เสิ่นหรูโจวถูกความไร้ยางอายของเซียวจิ่นซีทำให้อึ้งไปแล้ว นางยกมือขึ้นกอดอกและยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อเซียวเฉินเหยี่ยนได้ฟังการร้องเรียนของเซียวจิ่นซีไปรอบหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วมองไปทางเสิ่นหรูโจวและจี้ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ข้า” ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบบันดาลโทสะ แต่ต้องการรอฟังคำอธิบายจากเสิ่นหรูโจวแทนเสิ่นหรูโจวเลิกคิ้ว หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยความรำคาญใจขึ้นมา“ในห้องนี้ล้วนแต่เป็นคนของนาง ข้าจะกล้าหาเรื่องนางหรือ?” เซียวเฉินเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย กวาดตามองห้องที่เต็มไปด้วยคนนอก “เช่นนั้นพวก
กล่าวจบ นางก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทางประตูสีหน้าของเซียวจิ่นซีแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง รีบพูดว่า “เจ้า…” ใบหน้าของนางซีดขาว ไม่รู้ว่าสิ่งที่เสิ่นหรูโจวกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ทว่าท้องของตนกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเดิมแล้วเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูก็ถูกเต๋อเฟยขวางไว้ “หรูโจว เจ้ารอก่อน!” เมื่อครู่ตอนที่อยู่ด้านนอก นางได้ยินทั้งหมดแล้ว เซียวจิ่นซีป่วยหนัก หากเป็นเช่นนี้จริงก็จำเป็นจะต้องให้เสิ่นหรูโจวช่วยคน เพราะถ้าเซียวจิ่นซีตายไป เฉินเยี่ยนก็จะสูญเสียแรงสนับสนุนอันแข็งแกร่งไปด้วย“หรูโจว อาการป่วยของเสด็จพี่หญิงเจ้าหนักมากจริงหรือ?” นางจับมือของเสิ่นหรูโจวไว้แน่น เกรงว่านางจะหนีไป “ล้วนแต่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน หากพี่หญิงของเจ้าป่วย เจ้าจะต้องช่วยนางนะ!” เซียวจิ่นซีกดท้องอย่างหวาดหวั่น กัดริมฝีปากล่างแน่น เสิ่นหรูโจวหันศีรษะไปมองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็โค้งริมฝีปากขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม“เสด็จแม่ มิใช่ข้าไม่อยากช่วยองค์หญิง แต่เป็นองค์หญิงที่ทรงกล่าวด้วยพระองค์เองเมื่อครู่ว่า ไม่ต้องการให้ข้ารักษาอาการป่วยให้พระองค์” เต๋อเฟยยิ้มเอาใจ “เมื่อครู่พี่หญิงของเจ้าพูดไปเพราะความโมโหน่ะ” “เช่นนั
สีหน้าของเต๋อเฟยย่ำแย่ลงในเสี้ยววินาที นางกัดริมฝีปากไม่ส่งเสียงแล้วกลับเป็นเซียวเฉินเหยี่ยนที่ทนไม่ได้ จับจ้องไปยังหลี่หมัวมัวด้วยด้วยแววตาดุดันเฉียบขาด“บังอาจนัก เป็นเพียงหมัวมัวผู้หนึ่งกลับกล้าต่อปากต่อคำกับพระสนมเต๋อเฟย?” หลี่หมัวมัวค้อมศีรษะเล็กน้อย ทว่าไม่อ่อนน้อม “บ่าวเสียมารยาทแล้วเพคะ ของท่านอ๋องอู่เฉิงโปรดอภัย ทว่าบ่าวเพียงทำไปตามคำสั่งเท่านั้นเพคะ” เสิ่นหรูโจวก็มิได้ยืดเยื้อให้มากความอีก นางเดินมุ่งหน้าไปที่นอกประตู “ในเมื่อกุ้ยเฟยต้องการพบข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งรออยู่แล้ว” เต๋อเฟยขมวดคิ้วกล่าวว่า “หรูโจว…"เสิ่นหรูโจวเพิกเฉยต่อนาง โบกมือให้เซียวจิ่นซี “องค์หญิง หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ องค์หญิงจะต้องทรงอดทนไว้ให้ได้นะเพคะ” กล่าวจบ นางก็เดินส่ายอาดๆ จากไปกับหลี่หมัวมัว ก่อนไปยังถอนใจเสียงดังอีกว่า “เฮ้อ ล้วนเป็นกรรมตามสนองจริงๆ!” เมื่อเซียวจิ่นซีได้ยินคำพูดของนาง ก็โมโหจนคว่ำโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงสีหน้าของเต๋อเฟยไม่น่ามอง เดิมนางต้องการให้เสิ่นหรูโจวรักษาอาการป่วยให้เซียวจิ่นซี แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้เหตุใดเสิ่นหรูโจวจึงควบคุมได้ยากขึ้นทุกวัน
นางกำนัลหลายคนรีบอุ้มเซียวจิ่นซีไปที่ตั่งอย่างลนลาน จากนั้นก็รีบไปยกยามาเซียวจิ่นซีนอนตาปิดสนิทอยู่บนตั่ง นางกำนัลค่อยๆ หยอดยาเข้าไปในปากของนางทีละน้อยเต๋อเฟยมองเซียวจิ่นซีที่กำลังหมดสติ จากนั้นลูบอกของตนเบาๆ แล้วหันศีรษะไปมองเซียวเฉินเหยี่ยน กำชับเบาๆว่า “เฉินเหยี่ยน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม เจ้าก็ไม่อาจหย่ากับหรูโจวเด็ดขาด” ดวงเนตรที่ล้ำลึกดำสนิทของเซียวเฉินเหยี่ยนหรุบต่ำลง พูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอย่างยิ่งว่า “ลูกทราบพ่ะย่ะค่ะ” ตัวเขาในตอนนี้ ก็ไม่อยากหย่าขาดกับเสิ่นหรูโจวอยู่บ้างเช่นกันเต๋อเฟยพยักหน้าและกุมมือของเขาไว้ กล่าวต่ออีกว่า “ส่วนทางจิ่นซีนั้น เจ้า…” “เสด็จแม่โปรดวางพระทัย” เซียวเฉินเหยี่ยนเงยหน้ามองไปทางเซียวจิ่นซีที่อยู่บนตั่ง น้ำเสียงสงบนิ่ง “ลูกจะจัดการอย่างรอบคอบเองพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานั้นเอง หัวหน้าขันทีเฉาก็มาเยือนอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นสถานการณ์วุ่นวายในตำหนัก ก็ถามอย่างตกใจว่า “นี่เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เฉาเต๋อไห่เป็นหัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้หย่งอัน แต่ไรมาคนในวังมักจะให้ความเกรงใจเขาอยู่หลายส่วนเต๋อเฟยรีบปรับสีหน้าแล้วพูดว่
เซียวเฉินเหยี่ยนเหลือบมองฮ่องเต้หย่งอันโดยไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้า “ที่หรูโจวเข้าวังมาก็เพื่อมาตรวจชีพจรให้เสด็จพี่หญิงพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างนั้นเกิดการปะทะคารมกันเล็กน้อย เสด็จพ่อมิต้องกังวลพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “สุขภาพของจิ่นซียังไม่หายดีอีกหรือ?” เมื่อพูดถึงเซียวจิ่นซี ฮ่องเต้หย่งอันจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองไปที่เฉาเต๋อไห่เฉาเต๋อไห่รีบรับคำว่า “ช่วงนี้องค์หญิงทรงพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักพระสนมเต๋อเฟยโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ ทว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ดีนัก เมื่อครู่กระหม่อมเพึ่งไปที่ตำหนักของพระสนมเต๋อเฟยมา องค์หญิงยังทรงหมดสติไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “เหตุใดจู่ๆ ถึงป่วยได้เล่า?” ฮ่องเต้หย่งอันพึมพำ ขมวดคิ้ว “ไป เอาโสมป่าที่เพิ่งส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการต้นนั้นไปมอบให้องค์หญิง บอกให้นางรักษาตัวให้ดี” เฉาเต๋อไห่ค้อมศีรษะลงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาต่อองค์หญิงนัก กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบ เขาก็สาวเท้าออกไปฮ่องเต้หย่งอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในที่สุดสายตาก็มองไปยังเซียวเฉินเหยี่ยนที่อยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า “ช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหรูโจวยังดีอยู่หรือไม่?” ดวงตาที่หรุบต่ำของเ
เซียวเฉินเหยี่ยนถอนใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง ประสานคำนับกล่าวว่า “รางวัลของเสด็จพ่อนั้น ทรงประทานให้ก็เพราะการประสูติของพระอนุชา ลูกอยากจะใช้พระเมตตานี้ไว้ชีวิตโจวอี๋เจี่ยน ให้เขาได้ทำความดีชดใช้ความผิด เปิดอารามพรตขอพรให้พระอนุชา เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อพระเมตตาของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หย่งอันเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่ลึกล้ำจับจ้องอยู่เหนือกระหม่อมของเซียวเฉินเหยี่ยนเป็นเวลานานเฉาเต๋อไห่ก้มศีรษะลง แอบลอบมองสีหน้าของโอรสสวรรค์อย่างเงียบๆในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัดไร้เสียง มีเพียงเสียงที่ฮ่องเต้หย่งอันทรงหมุนประคำข้อมือเบาๆ เท่านั้นในที่สุด ฮ่องเต้หย่งอันก็เอ่ยปากว่า “เจ้าพูดได้น่าฟังเพียงนี้ ทำให้ข้ายากที่จะปฏิเสธ เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่าเถอะ” แววตาของเซียวเฉินเหยี่ยนเป็นประกายเล็กน้อย เรือนกายสูงตระหง่านคุกเข่าลง กล่าวขอบพระทัย “เสด็จพ่อทรงมีพระเมตตา ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงประทานรางวัลพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หย่งอันหรุบตาลง อารมณ์ในดวงตาขุ่นมัวไม่ชัดเจน เขามิได้กล่าวสิ่งใดอีก โบกมือให้เซียวเฉิยนเหยี่ยนถอยออกไปเมื่อเซียวเฉินเหยี่ยนออกจากห้องทรงพระอักษร ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนจำข
เสิ่นหรูโจวมองกุ้ยเฟยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ องค์หญิงเจาหยางทรงเห็นหม่อมฉันขัดตา หม่อมฉันหลบเสียก็พอ ส่วนพระสนมเต๋อเฟยนั้น ระหว่างลูกสะใภ้และแม่สามีเกิดปัญหาเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา หรูโจวสามารถจัดการได้ กุ้ยเฟยไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ” นางรู้ว่ากุ้ยเฟยประสงค์ดีต่อนาง กุ้ยเฟยไม่ใช่คนเลวร้าย อีกอย่างเป็นคนที่มีบุญต้องทดแทน เมื่อบอกว่าต้องการจะระบายโทสะแทนนาง แปดส่วนย่อมเป็นความจริง ทว่านางไม่ต้องการให้เรื่องราวเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งกว่านี้เดิมตระกูลของกุ้ยเฟยก็มากด้วยอิทธิพลอยู่แล้ว ยามนี้ยังมีพระโอรสอีก ไม่แน่ว่าจะไม่เกิดความคิดในการจะแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นมาแม้นางจะมีบุญคุณต่อกุ้ยเฟย ทว่ายามนี้นางยังคงเป็นพระชายาของอ๋องอู่เฉิงอยู่ เมื่อมีความสัมพันธ์ชั้นนี้อยู่ ระหว่างนางกับกุ้ยเฟยก็ยากที่จะเปิดเผยต่อกันอย่างสมบูรณ์ได้ที่นางช่วยกุ้ยเฟย เดิมก็เพื่อชดเชยต่อความเสียใจที่ชาติที่แล้ว ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่กุ้ยเฟยเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือในยามลำบาก ทว่านางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นอีกกุ้ยเฟยเห็นนางไม่เต็มใจจะกล่าว จึงไม่พูดอะไรมากอีก กล่าวเพียงว่า “ตา
เซียวจิ่นซีผู้นั้นดวงตาอยู่สูงเหนือศีรษะ เอาแต่ใจจนเคยชินแล้ว ไม่ว่าต้องการสิ่งใดก็จะต้องคว้ามาไว้ในมือให้ได้ หากเซียวเฉินเหยี่ยนไม่อาจให้นางได้สมตามความต้องการ แล้วนางจะสนับสนุนเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างเต็มกำลังได้อย่างไร?เซียงลั่วกล่าวว่า “พระสนมทรงปรีชา หากกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจปล่อยให้อ๋องอู่เฉิงสองสามีภรรยาแยกทางกันได้จริงๆเพคะ” “ไม่เพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้น” กุ้ยเฟยส่งจอกชาให้เซียงลั่ว สีหน้าเคร่งขรึม“เสิ่นหรูโจวเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็ควรจะคิดแทนนางเช่นกัน ได้ยินว่านางชอบเซียวเฉินเหยี่ยน ชอบขนาดจะเป็นจะตาย แม้แต่การแต่งงานนี้ก็เป็นนางไปขอมาด้วยตนเอง นางย่อมไม่ต้องการหย่าจากเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างแน่นอน” “แต่บ่าวได้ยินมาว่า อ๋องอู่เฉิงกับพระชายาทรงเข้ากันไม่ได้เพคะ” เซียงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเผยสีหน้าเห็นใจออกมา “ในวันเดียวกับที่อ๋องอู่เฉิงสมรสกับพระชายา ยังทรงรับชายารองเข้าจวนด้วยเพคะ ทำให้พระชายาได้รับความอัปยศอย่างมากเลยเพคะ” “มู่หว่านหรงคนนั้นน่ะหรือ?” หัวคิ้วของกุ้ยเฟยเลิกขึ้นสูง นึกถึงท่าทีของมู่หว่านหรงที่คอยพูดสนับสนุนโจวอี๋เจี่ยนในงานเลี้ยงวังห
เสิ่นหรูโจวกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นก็ไม่ผิดแล้ว ในเวลานี้ ความสามารถในการทำงานของตับของพระองค์ได้รับความเสียหายอย่างมากแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซียวจิ่นซีก็คล้ายจะเจ็บยิ่งกว่าเดิมแล้ว เจ็บจนยืดเอวไม่ขึ้นมองเซียวจิ่นซีที่มีสีหน้าเจ็บปวด เซียวเฉินเหยี่ยนก็ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นมีวิธีการรักษาหรือไม่?”เสิ่นหรูโจวมิได้รีบกล่าว นางหยิบขวดยาเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากถุงผ้า เทยาลงบนในกลางฝ่ามือเม็ดหนึ่งยื่นไปที่เบื้องหน้าเซียวจิ่นซี “ทรงเสวยสิ่งนี้ลงไปก่อน” เซียวจิ่นซีฝืนยืดเอวขึ้น มองเสิ่นหรูโจวด้วยสีหน้าหวาดระแวง “นี่คือสิ่งใด?”“สายพระเนตรขององค์หญิงทรงไม่ดีหรือเพคะ นี่คือยาอย่างไรเล่าเพคะ”เซียวจิ่นซีไม่เชื่อว่าเสิ่นหรูโจวจะปรารถนาดีเช่นนี้ ลังเลอยู่นานไม่ยอมรับไปเสิ่นหรูโจวจึงชักมือกลับมา กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า “ไม่เสวยก็ช่างเถอะ ปล่อยให้ทรงปวดตายก็แล้วกัน” เซียวจิ่นซีกัดฟัน คว้าแย่งมาจากนั้นยัดเข้าปากไปเสิ่นหรูโจวโค้งริมฝีปาก หัวเราะอย่างเย้ยหยันทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดวิธีการรักษาออกมา “ตับของพระองค์ยามนี้เสียหายแล้ว หากทรงต้องการมีชีวิตรอด ก็จะต้องตัดตับของพระองค์ออก
เซียวจิ่นซีคิดจะบันดาลโทสะอีกครั้ง ทว่าเซียวเฉินเหยี่ยนขมวดคิ้วมองนาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสด็จพี่ แทนที่จะทรงตรัสสิ่งใดด้วยโทสะเพื่อความสะใจเพียงชั่วครู่ มิสู้ทรงให้เสิ่นหรูโจวตรวจอาการให้พระองค์อย่างว่าง่ายดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ การรักษาพระวรกายให้หายดีสำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะ"เต๋อเฟยก็เกลี้ยกล่อมเช่นกัน “นั่นสิ จิ่นซี อย่าได้เสียเวลาอีกเลย รีบให้หรูโจวตรวจให้เจ้าเถอะ” สุดท้ายแล้ว เซียวจิ่นซีก็ต้องการรักษาชีวิตตน ไม่ว่าจะเคียดแค้นเสิ่นหรูโจวอย่างไร ยามนี้ก็มิใช่เวลาที่จะมาก่อเรื่อง นางจึงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกเซียวเฉินเหยี่ยนมองไปยังเสิ่นหรูโจว พูดเสียงเบาว่า “นี่เป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ เจ้าก็อย่าได้เอาแต่ใจ” เดิมเสิ่นหรูโจวก็ไม่คิดจะจากไปจริงๆ เพียงแค่ขู่เซียวจิ่นซีไปอย่างนั้น บัญชาของฮ่องเต้ไม่อาจฝืน นอกจากนี้ นางก็จำเป็นจะต้องสร้างโอกาสให้ตนได้หย่าเช่นกันนางเดินกลับไปอย่างเรื่อยเฉื่อย นั่งลงข้างกายเซียวจิ่นซี “รบกวนองค์หญิงทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาด้วยเพคะ” สีหน้าของเซียวจิ่นซีไม่น่ามอง ทว่ายังคงทำตามครั้งก่อนที่เสิ่นหรูโจวตรวจอาการให้เซียวจิ
เมื่อเสิ่นหรูโจวได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย สีหน้าก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยดูไปแล้ว จนถึงตอนนี้ยังคงถือได้ว่าราบรื่น ด่านเคราะห์ของท่านพ่ออยู่ที่การศึกครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าเวลานี้ยาของนางส่งไปถึงหรือยัง หากดูตามเวลาก็น่าจะทันการอยู่ขอเพียงท่านพ่อใช้ยาของนาง ก็จะไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้ในภายหลังแล้วนับแต่ได้ถือกำเนิดใหม่กลับมา นางยังมิได้พบท่านพ่อเลย นางจะต้องทำให้ท่านพ่อกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้เซียวเฉินเหยี่ยนเห็นว่าเมื่อนางได้ฟังข่าวของบิดาและพี่ชาย อารมณ์ก็คล้ายจะสงบลงไม่น้อย จึงลองกล่าวว่า “ในอนาคต เจ้ายังคงแก้นิสัยของเจ้าหน่อยเถิด” เสิ่นหรูโจวเงยหน้ามองเขา “นิสัยของข้าเป็นอย่างไร?”“ทุกครั้งที่เจ้าพบกับองค์หญิงเจาหยาง ล้วนมีเรื่องกันจนตึงเครียด” เซียวเฉินเหยี่ยนพยายามพูดอย่างละมุนละม่อม หวังว่านางจะรับฟัง “ถึงอย่างไรนางก็เป็นเสด็จพี่หญิงของข้า เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เจ้าก็แสดงท่าทีที่ดีสักหน่อย อย่าใช้อารมณ์ไปเสียทุกเรื่อง” เสิ่นหรูโจวหัวเราะอย่างเยาะหยันทีหนึ่ง กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ท่านอย่าได้มาบงการข้า” บนใบหน้าของเซียวเฉินเหยี่ยนมีความไม่พอใจวาบผ่าน "หากเจ้ามีสิ่งใดไม่พอใจ อยาก
เริ่มจากชายแดนส่งข่าวด่วนมา บิดาและพี่ชายของเสิ่นหรูโจวจึงนำทัพไปช่วยที่ชายแดน ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไป กลายเป็นฉากที่รายงานการรบถูกส่งมา ท่านแม่ทัพเสิ่นถูกธนูของศัตรูยิงทะลุมือ เนื่องจากขาดแคลนยาและสิ่งของทำให้ไม่มียารักษา ทว่าก็ยังคงรบชนะต่อมา หลังจากแม่ทัพใหญ่เสิ่นกลับมาถึงเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ ก็ล้มป่วยจนต้องนอนอยู่บนเตียงตลอด ส่วนที่จวนอ๋อง เสิ่นหรูโจวกับมู่หว่านหรงทะเลาะกันครั้ง เขาจึงลงโทษกักบริเวณให้นางสำนึกตน นางบังเอิญเป็นหวัดพอดี จึงนอนซมลุกไม่ขึ้น ทำให้ไม่รู้เรื่องที่ท่านแม่ทัพใหญ่เสิ่นได้รับบาดเจ็บผ่านไปไม่กี่วันเมื่อนางรู้ข่าว ก็มาขอร้องต่อหน้าเขา ต้องการให้เขาไปส่งของบำรุงจำนวนหนึ่งไปให้บิดา เขามองใบหน้าที่อ่อนแรงและซีดขาวของนาง ไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย มองดูนางอย่างเย็นชาท้ายที่สุดเขายังคงให้คนไปส่งของ ทว่าเด็กรับใช้ส่งไปในนามของเขา รอจนพวกเขารู้เรื่อง เรื่องราวก็ผ่านไปนานแล้ว ความสัมพันธ์ของเสิ่นหรูโจวและตระกูลเสิ่นก็มาถึงจุดเยือกแข็งแล้วเช่นกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่นางปวดใจอย่างที่สุด และก็เป็นครั้งแรกที่นางใส่อารมณ์กับเขา ดั่งเช่นในยามนี้เซียวเฉิยเหยี่ยนยันรถม้าไว้
สีหน้าของเซียวเฉินเหยี่ยนไม่น่ามองอยู่บ้าง “หรือเจ้าจะให้ข้ายืนรอเจ้าอยู่ด้านนอก?”“ท่านจะนั่งยองลงก็ได้เช่นกัน” ใบหน้าของเสิ่นหรูโจวไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย “ข้าขอบอกท่านไว้เลย เวลานี้ไม่ว่าข้าจะมองท่านที่ใดก็ขัดตาไปหมด หากท่านไม่ต้องการสร้างความอับอายให้ตนเอง ก็อย่าได้มายั่วโมโหข้า!”กล่าวจบ นางก็หมุนตัวเดินเข้าประตูไป จากนั้นปิดประตูลงดัง ‘ปัง’เซียวเฉินเหยี่ยนยืนอยู่ที่เดิม เขากำหมัดแน่นมองประตูใหญ่ที่ถูกปิดสนิท เขารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ทว่าในใจก็เกิดความรู้สึกถึงความแตกต่างขึ้นมาเช่นกันในอดีต ทั้งดวงตาและหัวใจของเสิ่นหรูโจวล้วนมีแต่เขา ไม่มีทางกีดกันเขาไว้ภายนอกอย่างเด็ดขาด ทว่า ในยามนี้ เขาไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะเหยียบเข้าประตูเรือนของนางแล้วอย่างนั้นหรือ?ทว่า ความรู้สึกของคนเปลี่ยนแปลงได้ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เหตุใดเขาจึงโชคไม่ดีเช่นนี้ แต่งงานได้เพียงช่วงสั้นๆ สิบกว่าวัน นางก็ไม่หลงเหลือความรักให้เขาแล้วหลังเสิ่นหรูโจวปิดประตูลง ก็เข้าสู่ห้องของตนเมี่ยวตงเดินมาหาพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านอยากทานสิ่งใด บ่าวจะไปเตรียมให้เจ้าค่ะ” “ไม่ต้องแล้
ชาติก่อนมู่หว่านหรงอาศัยว่าได้รับความโปรดปราน มักแย่งของนางอย่างเปิดเผย ของพระราชทานที่ในวังประทานให้ชายาเอกทุกงานเทศกาลนางก็จะแย่ง ไปช่วยเหลือราษฎรจนสร้างผลงาน นางก็จะแย่งอีก เซียวเฉินเหยี่ยนไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย เวลานี้ยิ่งดี แม้แต่ตัวเขาเองก็จะมาแย่งรางวัลของนางด้วย!เซียวเฉินเหยี่ยนถูกคำพูดของเสิ่นหรูโจวซัดไปเป็นชุด ทำให้ภายในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้างเขาจับข้อมือเสิ่นหรูโจวแน่นไม่ยอมปล่อย ความโมโหในก้นบึ้งของดวงตาปรากฏขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด จับจ้องไปที่เสิ่นหรูโจวแล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่ชิงลงมือก่อนเจ้าก้าวหนึ่ง เจ้าก็คงจะไปขอให้เสด็จพ่อประทานการหย่าให้แล้ว” “ไม่ผิด!” เสิ่นหรูโจวตอบอย่างไม่ลังเลนี่เป็นเรื่องที่นางเฝ้าปรารถนา รอคอยมาสองชาติ!“เจ้า…" เซียวเฉินเหยี่ยนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ รู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกอันซับซ้อนนับหมื่นอัดอั้นอยู่ในอก อึดอัดจนหายใจไม่ออก”โดยพื้นฐานแล้ว เขาดูแคลนต่อการแย่งผลงานสตรี ที่ทำเช่นนี้ ประการแรก เป็นเพราะจดหมายฉบับนั้นของมู่หว่านชิง ประการที่สอง…เขาคิดได้ว่า เสิ่นหรูโจวจะใช้คำสัญญานี้มาหย่ากับเขา เขารู้สึกไม่อยากห
ฉินหมิงตะลึงไป ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านอ๋องไม่เป็นอะไร? คำพูดนี้ของนายน้อยหมายความว่าอย่างไร?”ลู่หวายหนิงดึงฉินหมิงเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด พยายามระงับความตื่นเต้น ลดเสียงเบาลงแล้วกล่าวว่า “ความหมายก็คือบนร่างของอาจารย์ไม่มีผื่นขึ้น อาจารย์อาการภูมิแพ้ไม่กำเริบตอนอยู่กับพี่สาวน่ะสิ” ดวงตาทั้งคู่ของฉินหมิงเบิกกว้าง พูดอย่างตกใจว่า “จริงหรือขอรับ?”ลู่หวายหนิงหัวเราะออกมา “จริงแท้แน่นอน ข้าทำการยืนยันแล้ว” ฉินหมิงรู้สึกไม่อยากเชื่อ “หลายปีมานี้ ไม่ว่าสตรีนางใดสัมผัสท่านอ๋อง ก็ล้วนทำให้ท่านอ๋องเกินอาการแพ้ มีเพียงหญิงที่นายท่านพบในปีที่แล้วนางนั้นที่ไม่เป็นไร” “พูดไปแล้ว ตามหาสตรีนางนั้นไม่เจอเสียที ช่างน่าเสียดายนัก คิดไม่ถึงว่าพระชายาของอ๋องอู่เฉิงก็ไม่ทำให้นายท่านเกิดอาการแพ้เช่นกัน ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ราวสวรรค์ได้สรรค์สร้างมา” “นั่นสิ!” ลู่หวายหนิงเห็นด้วยอย่างมาก “อาจารย์หาผู้หญิงคนนั้นไม่เจอสักที อย่างนั้นพี่สาวก็เป็นคู่ชะตาที่สวรรค์ลิขิตมาให้อาจารย์แล้ว! ถ้าพวกเขามาอยู่ด้วยกันเร็วหน่อยก็ดี ข้าแทบรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว!”ฉินหมิงพยักหน้า จากนั้นก็รีบส่ายหน้าอย่างรุนแรงทันที “
ในขณะที่พูด เขาก็ยื่นศีรษะเข้าไป มองซ้ายมองขวาเป่ยซิวเยี่ยนยื่นมือออกไปผลักหัวของเขาเบาๆ “ไม่ต้องดูแล้ว ไม่มีหรอก” ลู่หวายหนิงตกใจอย่างมาก ดวงตาเบิกจนกลมโตมองไปที่เป่ยซิวเยี่ยนบนใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของเป่ยซิวเยี่ยน ก็มีความประหลาดใจอยู่อย่างเลือนรางเช่นกันลู่หวายหนิงยังคงรู้สึกไม่ยากที่จะเชื่ออยู่บ้าง จึงทำการยืนยันอีกครั้ง “อาจารย์ขอรับ เมื่อครู่พี่สาวสัมผัสถูกท่านแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?” เป่ยซิวเยี่ยนเอนกายไปด้านหลัง พิงลงบนพนักเก้าอี้ ดวงตาล้ำลึกดุจบึงน้ำอันเยือกเย็นหรี่ลงเล็กน้อยเรื่องที่เขาเป็นภูมิแพ้ผู้หญิงมีน้อยคนนักที่จะรู้ เมื่อครู่คิดจะหยุดนางเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง แต่กลับทำให้เรื่องกลับตาลปัตรไปกุมมือของนางเข้าโดยบังเอิญ จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ เขามั่นใจว่าอีกครู่อาการของตนต้องกำเริบ จึงปล่อยให้นางเปลี่ยนยาให้ตนเสียเลย คิดไม่ถึงว่า จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีอาการผิดปกติอะไรอาการคันชาบริเวณเอวคล้ายจะยังไม่จางหายไป ปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยตกลงบนหน้าท้องของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับการยั่วเย้า เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่หวายหนิงร้อ
เป่ยซิวเยี่ยนมองดวงหน้าที่งดงามดั่งหยกของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง หัวใจของเขาก็อ่อนลงอย่างน่าประหลาด “ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีทางผิดคำสัญญา เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็ต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน”เสิ่นหรูโจวพลันหัวเราะออกมาแล้ว มองเป่ยซิวเยี่ยนอย่างซาบซึ้ง “ท่านผู้สำเร็จราชการ ท่านเป็นคนดีจริงๆ ข้าจะต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาท่านให้ได้แน่” ไม่ว่าในชาติก่อนเขาจะก่อกบฏ เพราะเหตุใด เหตุใดจึงถูกคนขนานนามว่าเป็นพญามัจจุราชที่มีชีวิต แต่สำหรับนางแล้ว เขาก็คือคนดีคนหนึ่งเป่ยซิวเยี่ยนตะลึงไปเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่แย้มบานราวบุปผาของนาง ริมฝีปากบางก็อดโค้งขึ้นเล็กน้อยไม่ได้เช่นกัน “คำชมของพระชายาช่างแปลกใหม่เหลือเกิน” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดว่าเขาเป็นคนดีแปลกใหม่? แปลกใหม่ตรงที่ใดกัน?เสิ่นหรูโจวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ว่าบาดแผลของเขาได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว นางจึงถือกล่องยาขึ้นมา“ท่านผู้สำเร็จราชการ สองสามวันนี้บาดแผลของท่านกำลังสมานตัว จะคันอย่างมาก เพียงระวังอย่าไปเกาก็จะหายดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” เป่ยซิวเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ รอจนเสิ่