เซียวจิ่นซีเห็นเซียวเฉินเหยี่ยนมาแล้ว ก็รีบซ่อนยาพิษเอาไว้นางมือหนึ่งกดหน้าอก อีกมือกุมหน้าผาก ราวกำลังจะถูกทำให้โมโหจนตายแล้ว“เฉินเหยี่ยน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว มิเช่นนั้น ข้าแทบถูกพระชายาของเจ้ายั่วโมโหจนตายทั้งเป็นแล้ว!” กล่าวจบ นางก็ส่งเสียงคร่ำครวญอย่างทรมานสองสามครั้ง เร่งนางกำนัลว่า “เหตุใดยาจึงยังไม่เสร็จอีก ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้ว"นางกำนัลรีบกล่าวว่า “บ่าวจะไปเร่งเดี๋ยวนี้เพคะ องค์หญิงโปรดอย่าได้ทรงกริ้ว เดิมพระวรกายของพระองค์ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว อย่าทรงพิโรธจนอาการหนักขึ้นไปอีกเลยนะเพคะ” เสิ่นหรูโจวถูกความไร้ยางอายของเซียวจิ่นซีทำให้อึ้งไปแล้ว นางยกมือขึ้นกอดอกและยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อเซียวเฉินเหยี่ยนได้ฟังการร้องเรียนของเซียวจิ่นซีไปรอบหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วมองไปทางเสิ่นหรูโจวและจี้ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ข้า” ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบบันดาลโทสะ แต่ต้องการรอฟังคำอธิบายจากเสิ่นหรูโจวแทนเสิ่นหรูโจวเลิกคิ้ว หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยความรำคาญใจขึ้นมา“ในห้องนี้ล้วนแต่เป็นคนของนาง ข้าจะกล้าหาเรื่องนางหรือ?” เซียวเฉินเหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย กวาดตามองห้องที่เต็มไปด้วยคนนอก “เช่นนั้นพวก
กล่าวจบ นางก็หมุนตัวมุ่งหน้าไปทางประตูสีหน้าของเซียวจิ่นซีแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง รีบพูดว่า “เจ้า…” ใบหน้าของนางซีดขาว ไม่รู้ว่าสิ่งที่เสิ่นหรูโจวกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ทว่าท้องของตนกลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเดิมแล้วเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูก็ถูกเต๋อเฟยขวางไว้ “หรูโจว เจ้ารอก่อน!” เมื่อครู่ตอนที่อยู่ด้านนอก นางได้ยินทั้งหมดแล้ว เซียวจิ่นซีป่วยหนัก หากเป็นเช่นนี้จริงก็จำเป็นจะต้องให้เสิ่นหรูโจวช่วยคน เพราะถ้าเซียวจิ่นซีตายไป เฉินเยี่ยนก็จะสูญเสียแรงสนับสนุนอันแข็งแกร่งไปด้วย“หรูโจว อาการป่วยของเสด็จพี่หญิงเจ้าหนักมากจริงหรือ?” นางจับมือของเสิ่นหรูโจวไว้แน่น เกรงว่านางจะหนีไป “ล้วนแต่เป็นคนครอบครัวเดียวกัน หากพี่หญิงของเจ้าป่วย เจ้าจะต้องช่วยนางนะ!” เซียวจิ่นซีกดท้องอย่างหวาดหวั่น กัดริมฝีปากล่างแน่น เสิ่นหรูโจวหันศีรษะไปมองนางทีหนึ่ง จากนั้นก็โค้งริมฝีปากขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม“เสด็จแม่ มิใช่ข้าไม่อยากช่วยองค์หญิง แต่เป็นองค์หญิงที่ทรงกล่าวด้วยพระองค์เองเมื่อครู่ว่า ไม่ต้องการให้ข้ารักษาอาการป่วยให้พระองค์” เต๋อเฟยยิ้มเอาใจ “เมื่อครู่พี่หญิงของเจ้าพูดไปเพราะความโมโหน่ะ” “เช่นนั
สีหน้าของเต๋อเฟยย่ำแย่ลงในเสี้ยววินาที นางกัดริมฝีปากไม่ส่งเสียงแล้วกลับเป็นเซียวเฉินเหยี่ยนที่ทนไม่ได้ จับจ้องไปยังหลี่หมัวมัวด้วยด้วยแววตาดุดันเฉียบขาด“บังอาจนัก เป็นเพียงหมัวมัวผู้หนึ่งกลับกล้าต่อปากต่อคำกับพระสนมเต๋อเฟย?” หลี่หมัวมัวค้อมศีรษะเล็กน้อย ทว่าไม่อ่อนน้อม “บ่าวเสียมารยาทแล้วเพคะ ของท่านอ๋องอู่เฉิงโปรดอภัย ทว่าบ่าวเพียงทำไปตามคำสั่งเท่านั้นเพคะ” เสิ่นหรูโจวก็มิได้ยืดเยื้อให้มากความอีก นางเดินมุ่งหน้าไปที่นอกประตู “ในเมื่อกุ้ยเฟยต้องการพบข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งรออยู่แล้ว” เต๋อเฟยขมวดคิ้วกล่าวว่า “หรูโจว…"เสิ่นหรูโจวเพิกเฉยต่อนาง โบกมือให้เซียวจิ่นซี “องค์หญิง หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ องค์หญิงจะต้องทรงอดทนไว้ให้ได้นะเพคะ” กล่าวจบ นางก็เดินส่ายอาดๆ จากไปกับหลี่หมัวมัว ก่อนไปยังถอนใจเสียงดังอีกว่า “เฮ้อ ล้วนเป็นกรรมตามสนองจริงๆ!” เมื่อเซียวจิ่นซีได้ยินคำพูดของนาง ก็โมโหจนคว่ำโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงสีหน้าของเต๋อเฟยไม่น่ามอง เดิมนางต้องการให้เสิ่นหรูโจวรักษาอาการป่วยให้เซียวจิ่นซี แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้เหตุใดเสิ่นหรูโจวจึงควบคุมได้ยากขึ้นทุกวัน
นางกำนัลหลายคนรีบอุ้มเซียวจิ่นซีไปที่ตั่งอย่างลนลาน จากนั้นก็รีบไปยกยามาเซียวจิ่นซีนอนตาปิดสนิทอยู่บนตั่ง นางกำนัลค่อยๆ หยอดยาเข้าไปในปากของนางทีละน้อยเต๋อเฟยมองเซียวจิ่นซีที่กำลังหมดสติ จากนั้นลูบอกของตนเบาๆ แล้วหันศีรษะไปมองเซียวเฉินเหยี่ยน กำชับเบาๆว่า “เฉินเหยี่ยน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม เจ้าก็ไม่อาจหย่ากับหรูโจวเด็ดขาด” ดวงเนตรที่ล้ำลึกดำสนิทของเซียวเฉินเหยี่ยนหรุบต่ำลง พูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นอย่างยิ่งว่า “ลูกทราบพ่ะย่ะค่ะ” ตัวเขาในตอนนี้ ก็ไม่อยากหย่าขาดกับเสิ่นหรูโจวอยู่บ้างเช่นกันเต๋อเฟยพยักหน้าและกุมมือของเขาไว้ กล่าวต่ออีกว่า “ส่วนทางจิ่นซีนั้น เจ้า…” “เสด็จแม่โปรดวางพระทัย” เซียวเฉินเหยี่ยนเงยหน้ามองไปทางเซียวจิ่นซีที่อยู่บนตั่ง น้ำเสียงสงบนิ่ง “ลูกจะจัดการอย่างรอบคอบเองพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานั้นเอง หัวหน้าขันทีเฉาก็มาเยือนอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นสถานการณ์วุ่นวายในตำหนัก ก็ถามอย่างตกใจว่า “นี่เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เฉาเต๋อไห่เป็นหัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้หย่งอัน แต่ไรมาคนในวังมักจะให้ความเกรงใจเขาอยู่หลายส่วนเต๋อเฟยรีบปรับสีหน้าแล้วพูดว่
เซียวเฉินเหยี่ยนเหลือบมองฮ่องเต้หย่งอันโดยไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้า “ที่หรูโจวเข้าวังมาก็เพื่อมาตรวจชีพจรให้เสด็จพี่หญิงพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างนั้นเกิดการปะทะคารมกันเล็กน้อย เสด็จพ่อมิต้องกังวลพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” “สุขภาพของจิ่นซียังไม่หายดีอีกหรือ?” เมื่อพูดถึงเซียวจิ่นซี ฮ่องเต้หย่งอันจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองไปที่เฉาเต๋อไห่เฉาเต๋อไห่รีบรับคำว่า “ช่วงนี้องค์หญิงทรงพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักพระสนมเต๋อเฟยโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ ทว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ดีนัก เมื่อครู่กระหม่อมเพึ่งไปที่ตำหนักของพระสนมเต๋อเฟยมา องค์หญิงยังทรงหมดสติไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “เหตุใดจู่ๆ ถึงป่วยได้เล่า?” ฮ่องเต้หย่งอันพึมพำ ขมวดคิ้ว “ไป เอาโสมป่าที่เพิ่งส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการต้นนั้นไปมอบให้องค์หญิง บอกให้นางรักษาตัวให้ดี” เฉาเต๋อไห่ค้อมศีรษะลงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาต่อองค์หญิงนัก กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบ เขาก็สาวเท้าออกไปฮ่องเต้หย่งอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในที่สุดสายตาก็มองไปยังเซียวเฉินเหยี่ยนที่อยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า “ช่วงนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหรูโจวยังดีอยู่หรือไม่?” ดวงตาที่หรุบต่ำของเ
เซียวเฉินเหยี่ยนถอนใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง ประสานคำนับกล่าวว่า “รางวัลของเสด็จพ่อนั้น ทรงประทานให้ก็เพราะการประสูติของพระอนุชา ลูกอยากจะใช้พระเมตตานี้ไว้ชีวิตโจวอี๋เจี่ยน ให้เขาได้ทำความดีชดใช้ความผิด เปิดอารามพรตขอพรให้พระอนุชา เช่นนี้จึงจะไม่ผิดต่อพระเมตตาของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หย่งอันเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาที่ลึกล้ำจับจ้องอยู่เหนือกระหม่อมของเซียวเฉินเหยี่ยนเป็นเวลานานเฉาเต๋อไห่ก้มศีรษะลง แอบลอบมองสีหน้าของโอรสสวรรค์อย่างเงียบๆในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัดไร้เสียง มีเพียงเสียงที่ฮ่องเต้หย่งอันทรงหมุนประคำข้อมือเบาๆ เท่านั้นในที่สุด ฮ่องเต้หย่งอันก็เอ่ยปากว่า “เจ้าพูดได้น่าฟังเพียงนี้ ทำให้ข้ายากที่จะปฏิเสธ เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่เจ้าว่าเถอะ” แววตาของเซียวเฉินเหยี่ยนเป็นประกายเล็กน้อย เรือนกายสูงตระหง่านคุกเข่าลง กล่าวขอบพระทัย “เสด็จพ่อทรงมีพระเมตตา ลูกขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงประทานรางวัลพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หย่งอันหรุบตาลง อารมณ์ในดวงตาขุ่นมัวไม่ชัดเจน เขามิได้กล่าวสิ่งใดอีก โบกมือให้เซียวเฉิยนเหยี่ยนถอยออกไปเมื่อเซียวเฉินเหยี่ยนออกจากห้องทรงพระอักษร ก็มุ่งหน้าไปที่เรือนจำข
เสิ่นหรูโจวมองกุ้ยเฟยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ องค์หญิงเจาหยางทรงเห็นหม่อมฉันขัดตา หม่อมฉันหลบเสียก็พอ ส่วนพระสนมเต๋อเฟยนั้น ระหว่างลูกสะใภ้และแม่สามีเกิดปัญหาเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา หรูโจวสามารถจัดการได้ กุ้ยเฟยไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ” นางรู้ว่ากุ้ยเฟยประสงค์ดีต่อนาง กุ้ยเฟยไม่ใช่คนเลวร้าย อีกอย่างเป็นคนที่มีบุญต้องทดแทน เมื่อบอกว่าต้องการจะระบายโทสะแทนนาง แปดส่วนย่อมเป็นความจริง ทว่านางไม่ต้องการให้เรื่องราวเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งกว่านี้เดิมตระกูลของกุ้ยเฟยก็มากด้วยอิทธิพลอยู่แล้ว ยามนี้ยังมีพระโอรสอีก ไม่แน่ว่าจะไม่เกิดความคิดในการจะแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นมาแม้นางจะมีบุญคุณต่อกุ้ยเฟย ทว่ายามนี้นางยังคงเป็นพระชายาของอ๋องอู่เฉิงอยู่ เมื่อมีความสัมพันธ์ชั้นนี้อยู่ ระหว่างนางกับกุ้ยเฟยก็ยากที่จะเปิดเผยต่อกันอย่างสมบูรณ์ได้ที่นางช่วยกุ้ยเฟย เดิมก็เพื่อชดเชยต่อความเสียใจที่ชาติที่แล้ว ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่กุ้ยเฟยเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือในยามลำบาก ทว่านางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นอีกกุ้ยเฟยเห็นนางไม่เต็มใจจะกล่าว จึงไม่พูดอะไรมากอีก กล่าวเพียงว่า “ตา
เซียวจิ่นซีผู้นั้นดวงตาอยู่สูงเหนือศีรษะ เอาแต่ใจจนเคยชินแล้ว ไม่ว่าต้องการสิ่งใดก็จะต้องคว้ามาไว้ในมือให้ได้ หากเซียวเฉินเหยี่ยนไม่อาจให้นางได้สมตามความต้องการ แล้วนางจะสนับสนุนเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างเต็มกำลังได้อย่างไร?เซียงลั่วกล่าวว่า “พระสนมทรงปรีชา หากกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจปล่อยให้อ๋องอู่เฉิงสองสามีภรรยาแยกทางกันได้จริงๆเพคะ” “ไม่เพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้น” กุ้ยเฟยส่งจอกชาให้เซียงลั่ว สีหน้าเคร่งขรึม“เสิ่นหรูโจวเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็ควรจะคิดแทนนางเช่นกัน ได้ยินว่านางชอบเซียวเฉินเหยี่ยน ชอบขนาดจะเป็นจะตาย แม้แต่การแต่งงานนี้ก็เป็นนางไปขอมาด้วยตนเอง นางย่อมไม่ต้องการหย่าจากเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างแน่นอน” “แต่บ่าวได้ยินมาว่า อ๋องอู่เฉิงกับพระชายาทรงเข้ากันไม่ได้เพคะ” เซียงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเผยสีหน้าเห็นใจออกมา “ในวันเดียวกับที่อ๋องอู่เฉิงสมรสกับพระชายา ยังทรงรับชายารองเข้าจวนด้วยเพคะ ทำให้พระชายาได้รับความอัปยศอย่างมากเลยเพคะ” “มู่หว่านหรงคนนั้นน่ะหรือ?” หัวคิ้วของกุ้ยเฟยเลิกขึ้นสูง นึกถึงท่าทีของมู่หว่านหรงที่คอยพูดสนับสนุนโจวอี๋เจี่ยนในงานเลี้ยงวังห