ราวกับภูตผีดลใจ เขาเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “เจ้าเคยไปที่ถ้ำกลางเชิงเขาของภูเขาหลีบ้างหรือไม่?”หัวข้อนี้เปลี่ยนเร็วเกินไป คำถามก็ประหลาดเป็นอย่างมากเสิ่นหรูโจวส่ายหัวตามความเป็นจริง “ไม่เคยไป” นางเคยขึ้นไปที่ยอดของภูเขาหลี และยังเคยตกลงมาจากยอดเขา แต่ไม่เคยไปที่ถ้ำอะไรนั่น“เหตุใดจู่ๆ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนถึงได้ถามเรื่องนี้?”ใบหน้าหล่อเหลาของเป่ยซิวเยี่ยนมีความผิดปกติวาบผ่าน คิ้วงามประณีตลดต่ำลงเบาๆ ทว่าน้ำเสียงกลับมิได้เปลี่ยน “ไม่มีสิ่งใด ถามไปอย่างนั้นเอง” เสิ่นหรูโจวส่งเสียง “อ่อ” ทีหนึ่ง มิได้ถามสิ่งใดอีก แม้นางจะรู้สึกแปลกใจ ทว่าก็ไม่อยากจะพูดถึงภูเขาหลีอีกตอนนั้นนางก็หายตัวไปในภูเขาหลีแห่งนั้นเอง ตอนกลับมายังกำแหวนปานจื่อหยกไว้อีกวงหนึ่ง พอคิดถึงแหวนปานจื่อหยกวงนั้น นางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาคนทั้งสองต่างพร้อมใจกันเลิกสนทนาในหัวข้อนี้ เป่ยซิวเยี่ยนควบคุมม้าอย่างมั่นคง พาเสิ่นหรูโจวเหยาะย่างไปตามท้องถนนอันคึกคัก“ท่านผู้สำเร็จราชการแทน นี่พวกเราจะไปที่ใดกัน?” เสิ่นหรูโจวดูแล้วทิศนี้ไม่คล้ายกับทางกลับบ้านของนางเสียงของเป่ยซิวเยี่ยนเรียบเฉย “กลับจวนอุปรา
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาล้วนหวังดีต่อนาง คิดอยากจะดึงนางมาปกป้องอยู่ข้างกาย แต่นางกลับขึ้นม้าของเป่ยซิวเยี่ยน ไม่แม้จะเหลือบมองเขา จากเขาไปอย่างไร้ไมตรีเหมือนที่ลู่หวายหนิงพูด นางกับเป่ยซิวเยี่ยนจึงจะเป็นคนในเส้นทางเดียวกัน!เมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ เพลิงอันชั่วร้ายกองหนึ่งในก้นบึ้งของจิตใจก็ลุกโชนขึ้นมา แผดเผาจนศีรษะของเขาพองโต จู่ๆ ก็นึกถึงฝันอันแปลกประหลาดนั้นขึ้นมาอีกเขาเห็นเสิ่นหรูโจวที่อยู่ในฝันยิ้มให้เขา ทั่วทั้งดวงตาเต็มไปด้วยความรัก เอาแต่เกาะติดอยู่ข้างกายเขาตลอด เหตุใดในความเป็นจริง เสิ่นหรูโจวกลับห่างเขาออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ทีละก้าวทีละก้าวความฝันกับความเป็นจริงกำลังต่อสู้กันอยู่เบื้องหน้า เขากลับแยกไม่ค่อยออกแล้วว่าสิ่งใดคือความจริงกันแน่ รู้สึกจิตใจว้าวุ่นอย่างมากในยามนั้นเอง มู่หว่านหรงก็เดินเข้ามาเมื่อเห็นด้านหลังของเซียวเฉินเหยี่ยนไม่มีคน หินที่ทับอยู่ในใจของนางจึงหล่นลงพื้นได้ในที่สุดเมื่อครู่เซียวเฉินเหยี่ยนให้นางกลับจวนก่อน นางยังคิดว่าเขาไปหาเสิ่นหรูโจวแล้ว ต้องการพาเสิ่นหรูโจวกลับมาไม่ได้กลับมาย่อมดีที่สุด นางหุบมุมปากลง แสร้งทำเป็นห่วงใยถามว่า “ท่านอ๋อง พร
เสิ่นหรูโจวมองเขาอย่างคาดไม่ถึงทีหนึ่ง การกระทำที่ใจกว้างและมีมารยาทเช่นนี้ ทำให้ความประหม่าตลอดทางเมื่อครู่ของนางดูเหมือนจะเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยไปแล้ว นางมิได้จับมือของเขาโดยตรง ทว่าจับข้อมือของเขาไว้แล้วลงจากม้า“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางค้อมศีรษะยิ้มบางๆในเวลานี้ ลู่หวายหนิงก็ตามกลับมาที่ด้านหลังเช่นกันเขาลงจากม้า เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม “ท่านอาจารย์ พี่สาว พวกท่านควบม้าเร็วเกินไปแล้ว ข้าตามไม่ทันเลย” ดวงตาใสกระจ่างของเขามีความเจ้าเล่ห์สายหนึ่งวาบผ่าน ที่จริงแล้วเขาตามอยู่ด้านหลังคอยดูพวกเขาอยู่ตลอด แต่เขาจงใจรักษาระยะห่าง เพื่อไม่ไปรบกวนภาพแสนสวยงามนั่นเป่ยซิวเยี่ยนมิได้กล่าวสิ่งใด เดินตรงเข้าไปในจวนอุปราชลู่หวายหนิงก็รีบดึงเสิ่นหรูโจวตามไปเช่นกันในห้องหนังสือ เป่ยซิวเยี่ยนถอดเสื้อคลุมออก พาดไว้บนราวแขวน“ยาของเจ้าข้าได้เห็นแล้ว ไม่เลวจริงๆ ยาแก้ปวดแก้อักเสบเป็นสิ่งจำเป็นในสนามรบจริงๆ ข้าสามารถร่วมมือกับเจ้าได้ ข้าออกเงินเจ้าออกแรง” เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ หยิบน้ำชาที่เตรียมไว้เรียบร้อยก่อนแล้วบนโต๊ะขึ้นมา หลังจิบเบาๆ ไปคำหนึ่ง สายตาก็มองไปที่เสิ่นหรูโจว “เจ้ามีเท่าไห
ในที่สุด ความร่วมมืออันน่ายินดีก็บรรลุผลแล้ว ลู่หวายหนิงก็มีความสุขอย่างมาก เขากล่าวอย่างร่าเริงว่า“ดีเหลือเกิน แบบนี้พวกทหารก็มีทางรอดแล้ว โชคดีที่ได้พี่สาวช่วย หากเหล่าทหารรู้ว่าเป็นพี่สาวจัดหายาให้พวกเขา จะต้องรู้สึกขอบคุณท่านมากอย่างแน่นอน” “ควรขอบคุณท่านผู้สำเร็จราชการแทนมากกว่า” นางมองไปที่เป่ยซิวเยี่ยนด้วยแววตาชื่นชม “ผู้สำเร็จราชการแทนห่วงใยราษฎร คอยทำเพื่อพวกเขาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด” ในมุมมองของนาง เป่ยซิวเยี่ยนมิใช่ขุนนางทรงอำนาจที่คนเพียงพูดถึงก็หน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัวนานแล้ว แต่เป็นขุนนางน้ำดีที่ทำเพื่อปวงประชาแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดหลายปีต่อจากนี้เขาต้องก่อกบฏ แต่เขาก็เป็นขุนนางที่ดีจริงๆเป่ยซิวเยี่ยนมองสบสายตาชื่นชมของนาง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ควรค่าแก่การพูดถึง” “ไม่ใช่เพียงแค่นี้” เสิ่นหรูโจวหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง แววตาของนางอ่อนโยนและจริงใจ“ท่านผู้สำเร็จราชการแทนให้ความเท่าเทียมต่อชายหญิง ไม่ดูแคลนอิสตรี และยังมีมารยาทอย่างมาก เต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้คน สรุปแล้ว เมื่อได้สัมผัสกับท่านผู้สำเร็จรา
เมื่อกล่าวจบ เขายังขยิบตาให้เป่ยซิวเยี่ยนด้วยเป่ยซิวเยี่ยนขมวดคิ้วมองเขาทีหนึ่ง “กินข้าวก็กินข้าว เหตุใดจึงได้พูดมากถึงเพียงนี้” ลู่หวายหนิงมุ่ยปากน้อยๆ ของตน ก้มลงเคี้ยวข้าวอย่างไม่สบอารมณ์อาจารย์ช่างไม่เข้าใจความพยายามของเขาเลยเห็นเขาถูกดุ เสิ่นหรูโจวก็รู้สึกสงสารอยู่บ้าง จึงหันหน้าไปพูดกับเขาว่า “หวายหนิงช่างต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้นจริงๆ” พึ่งพูดจบ เมื่อหันกลับมา นางก็เห็นผัดหน่อไม้อ่อนสะดุ้งไฟจานนั้นวางอยู่เบื้องหน้าของตนเสิ่นหรูโจวมองเป่ยซิวเยี่ยนด้วยดวงตาที่เบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างงุนงง เป่ยซิวเยี่ยนชักมือกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกินข้าวต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลู่หวายหนิงเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แย้มยิ้มอย่างเบิกบาน อาจารย์ช่างรู้ความเหลือเกิน!เขารีบพูดกับเสิ่นหรูโจวทันทีว่า “พี่สาว อาจารย์ตั้งใจสละของดีให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ ดูสิว่าเขารู้จักรักถนอมคนเพียงใด! ท่านก็อย่าได้ผิดต่อความตั้งใจของเขา รีบกินให้มากหน่อย” มือที่ถือตะเกียบของเป่ยซิวเยี่ยนชะงักเล็กน้อย ส่งสายตาอันยากอธิบายไปที่ลู่หวายหนิงเหตุใดเรื่องต่างๆ เมื่อถูกเขาพูดออกมาก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป?
ลู่หวายหนิงมีท่าทีแบบ ‘ข้าเข้าใจทุกอย่าง’ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์“อาจารย์ ท่านก็อย่าได้ปิดบังอีกเลย วันนี้ท่านถึงขนาดให้พี่สาวอยู่กินข้าวด้วยแล้ว ท่านจะต้องชอบนางอย่างแน่นอน คิดจะแต่งนางกลับมาเป็นอาจารย์หญิงของข้า ใช่ไหมขอรับ!” ดวงตาของเป่ยซิวเยี่ยนหรี่ลง ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นยื่นมือไปดีดหน้าผากของลู่หวายหนิงอย่างแรงครั้งหนึ่ง“หุบปาก เจ้าอายุยังน้อยเช่นนี้ ทั้งวันในหัวเอาแต่คิดสิ่งใดกันนะ?” ลู่หวายหนิงถูหน้าผากของตน บ่นพึมพำอย่างไม่ยินยอมว่า “แม้หวายหนิงอายุยังน้อย แต่สิ่งที่ควรรู้ก็รู้หมดแล้วนะขอรับ!” “พอแล้ว” เป่ยซิวเยี่ยนเหลือบมองเขาอย่างเยียบเย็นทีหนึ่ง กล่าวอย่างโหดร้ายว่า “ในเมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ไปคัดตำราพิชัยสงครามของซุนวู[footnoteRef:1]ห้ารอบ เจ้าจะได้ไม่เอาแต่คิดเรื่องไร้สาระทั้งวัน” [1: พิชัยสงครามซุนวู หรือ พิชัยสงครามซุนจื่อ เป็นตำรายุทธศาสตร์การทหารหรือตำราพิชัยสงครามของจีน ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราวหกร้อยปีก่อนคริสตกาลโดยซุนจื่อ นักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุครณรัฐของจีน เนื้อหาในตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มี 13 บท แต่ละบทเน้นถึงแต่ละแง่มุมของกา
ชุนซิ่ววางมือบนหัวใจแล้วตบเบาๆ “ช่วงบ่ายตอนที่คนของจวนอุปราชมารับของไป บอกว่าท่านไม่เป็นอะไร และยังสร้างผลงานใหญ่ในวังด้วย พวกเราถึงได้วางใจเจ้าค่ะ” เมี่ยวตงเดินเข้ามาจับแขนของเสิ่นหรูโจว แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “คุณหนู ท่านอ๋องพาท่านไปที่ใดกัน? ได้รังแกท่านหรือไม่?”เสิ่นหรูโจวหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “เปล่าหรอก พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าข้ายังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ?”นางหมุนกายรอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณหนูของพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ถูกรังแกง่ายๆ เหมือนลูกพลับนิ่มเสียหน่อย แล้วจะถูกเขารังแกได้อย่างไร?”“เป็นเยี่ยงนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” ซุนซิ่วถอนใจอย่างโล่งอกทีหนึ่ง แล้วกล่าวต่ออย่างไม่พอใจนักว่า “ท่านอ๋องทำกับท่านเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ พวกบ่าวเห็นกับตาว่า คนของพระองค์ตีท่านจนสลบแล้วยัดใส่รถม้าไป ช่างทำเกินไปแล้ว!”เมี่ยวตงมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโหของชุนซิ่ว กัดริมฝีปาก แต่ยังคงไม่กล้าบอกนางว่า ตอนที่คุณหนูอยู่ที่จวนอ๋องยังต้องเผชิญกับเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก“เอาเถอะ เรื่องในวันนี้ก็อย่าได้พูดออกไปแล้ว” เสิ่นหรูโจวยิ้มปลอบพวกนางครั้งหนึ่ง จากนั้นยื่นนิ้วออกไปโบกที่เบื้องหน้าของพวกนาง “ไ
“ห้ามลูบนะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นไม้ปัดขนไก่ด้ามหนึ่งก็ฟาดไปที่หลังมือของเมี่ยวตงเมี่ยวตงร้องอุทานเสียงต่ำทีหนึ่ง โชคดีที่ตอบสนองได้ไว ดึงมือกลับมาในทันที ไม่เช่นนั้นหลังมือคงถูกตีจนบวมแล้วแววตาของเสิ่นหรูโจวเย็นลงทันที ขมวดคิ้วมองไปอย่างไม่พอใจในมือเสี่ยวเอ้อร์ของร้านถือไม้ขนไก่อยู่ด้ามหนึ่ง สายตาดูแคลนกวาดตามองพวกเสิ่นหรูโจวทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบหนึ่ง จากนั้นแค่นเสียงออกจากจมูกทีหนึ่ง “ไม่ซื้อก็อย่าเที่ยวจับ!” กล่าวจบ ไม้ปัดขนไก่ในมือด้ามนั้นของเขาก็ปัดไปบนชุดเบาๆน้ำเสียงของเสิ่นหรูโจวเย็นชาดุจน้ำแข็ง “พวกเจ้าปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้หรือ?” เมี่ยวตงกำฝ่ามือแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโหเสี่ยวเอ้อร์ในร้านมีท่าทีเย่อหยิ่งอย่างมาก ไม่แม้แต่จะมองพวกนางตรงๆ “แขกทั้งสองท่านโปรดอภัย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะปรารถนาดีต่อพวกท่าน เสื้อผ้าชุดนี้แพงอย่างมาก หากลูบจนเสียหายขึ้นมาพวกท่านอาจชดใช้ไม่ไหว” เสิ่นหรูโจวหัวเราะอย่างเยาะหยันครั้งหนึ่ง “เสื้อผ้าอะไรกันลูบเพียงครั้งเดียวก็พังแล้ว ร้านของพวกเจ้าช่างไม่เหมือนใครจริงๆ” “ร้านของพวกเราไม่เหมาะกับทั้งสองท่านจริงๆ