เพลิงโทสะของเขาพวยพุ่งขึ้นมาในทันที ใบหน้าอันหล่อเหลากริ้วโกรธจนบิดเบี้ยว“เสิ่นหรูโจว ลงมาให้เดี๋ยวนี้!”เสิ่นหรูโจวนั่งอยู่ด้านหน้าของเป่ยซิวเยี่ยน นางคว้าเสื้อคลุมของเป่ยซิวเยี่ยนไว้โดยไม่รู้ตัวเป่ยซิวเยี่ยนในยามนี้ก็คือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตนาง นางจะต้องจับไว้ให้มั่นแม้นางจะรู้สึกว่าการอยู่ใกล้เป่ยซิวเยี่ยนถึงเพียงนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่สายตาของเซียวเฉินเหยี่ยนบอกนางว่า หากลงจากม้าตอนนี้ นางจะต้องถูกจับกลับไปแน่นึกถึงวันคืนที่ถูกกักขังอย่างไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน นางก็รู้สึกลนลานขึ้นมา ไม่ต้องการตกอยู่ในกำมือของเซียวเฉินเหยี่ยนอย่างเด็ดขาดเซียวเฉินเหยี่ยนเห็นนางไม่คิดจะลงจากม้าแม้แต่น้อย กระทั่งมีเจตนาจะให้เป่ยซิวเยี่ยนคุ้มครองนางด้วย เพลิงโทสะก็ยากที่จะระงับต่อไปได้อีกเขากำนิ้วทั้งห้าแน่น มองเป่ยซิวเยี่ยนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู “ท่านผู้สำเร็จราชการแทน โปรดปล่อยพระชายาของข้าลงมา ข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างมาก” เป่ยซิวเยี่ยนหรุบตาลง มองเพียงเสิ่นหรูโจว เห็นมือของนางจับเสื้อคลุมของเขาไว้แน่น ริมฝีปากเม้มแน่น ดูแล้วต่อต้านอย่างมากเซียวเฉินเหย
พูดไม่ถูกว่าในใจหวาดกลัวหรือโมโหกันแน่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนหมดแรง ไม่อยากไล่ต่อไปแล้วเขาเข้าไปในรถม้า พูดอย่างเย็นชาว่า “กลับจวน” หลังจากหนีพ้นสายตาของเซียวเฉินเหยี่ยนได้ เสิ่นหรูโจวก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง คาดว่าเซียวเฉินเหยี่ยนไม่น่าจะไล่ตามมาแล้วในดวงตาอันงดงามของนางมีความขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านผู้สำเร็จราชการแทนมากที่ลงมือช่วยเหลือ ท่านผู้สำเร็จราชการแทน ปล่อยข้าลงข้างทางก็พอเจ้าค่ะ” เสียงของเป่ยซิวเยี่ยนดังมาจากทางหลังหู “รีบร้อนอะไรกัน เป็นเจ้าที่เกาะอยู่บนหลังม้าของข้าไม่ยอมลงไปต่างหาก” เสิ่นหรูโจวหน้าแดงเล็กน้อย ไม่กล้าแก้ตัวมากนักทว่า การควบม้าด้วยความเร็วบนถนน เดิมก็เป็นเรื่องที่พบไม่มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนึ่งชายหนึ่งหญิงขี่ม้าตัวเดียวกัน ตลอดทางพวกเสิ่นหรูโจวทั้งสองคนดึงดูดสายตาคนที่ผ่านไปมาไม่น้อย เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง และที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกอึดอัด ก็คือความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งสองนางเงยหน้ามองเขา น้ำเสียงแสดงความขอบคุณว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการแทน วันนี้ตอนอยู่ในวัง ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพูดให้ข้า ไม่อย่างนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เกรงว
ราวกับภูตผีดลใจ เขาเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “เจ้าเคยไปที่ถ้ำกลางเชิงเขาของภูเขาหลีบ้างหรือไม่?”หัวข้อนี้เปลี่ยนเร็วเกินไป คำถามก็ประหลาดเป็นอย่างมากเสิ่นหรูโจวส่ายหัวตามความเป็นจริง “ไม่เคยไป” นางเคยขึ้นไปที่ยอดของภูเขาหลี และยังเคยตกลงมาจากยอดเขา แต่ไม่เคยไปที่ถ้ำอะไรนั่น“เหตุใดจู่ๆ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนถึงได้ถามเรื่องนี้?”ใบหน้าหล่อเหลาของเป่ยซิวเยี่ยนมีความผิดปกติวาบผ่าน คิ้วงามประณีตลดต่ำลงเบาๆ ทว่าน้ำเสียงกลับมิได้เปลี่ยน “ไม่มีสิ่งใด ถามไปอย่างนั้นเอง” เสิ่นหรูโจวส่งเสียง “อ่อ” ทีหนึ่ง มิได้ถามสิ่งใดอีก แม้นางจะรู้สึกแปลกใจ ทว่าก็ไม่อยากจะพูดถึงภูเขาหลีอีกตอนนั้นนางก็หายตัวไปในภูเขาหลีแห่งนั้นเอง ตอนกลับมายังกำแหวนปานจื่อหยกไว้อีกวงหนึ่ง พอคิดถึงแหวนปานจื่อหยกวงนั้น นางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาคนทั้งสองต่างพร้อมใจกันเลิกสนทนาในหัวข้อนี้ เป่ยซิวเยี่ยนควบคุมม้าอย่างมั่นคง พาเสิ่นหรูโจวเหยาะย่างไปตามท้องถนนอันคึกคัก“ท่านผู้สำเร็จราชการแทน นี่พวกเราจะไปที่ใดกัน?” เสิ่นหรูโจวดูแล้วทิศนี้ไม่คล้ายกับทางกลับบ้านของนางเสียงของเป่ยซิวเยี่ยนเรียบเฉย “กลับจวนอุปรา
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาล้วนหวังดีต่อนาง คิดอยากจะดึงนางมาปกป้องอยู่ข้างกาย แต่นางกลับขึ้นม้าของเป่ยซิวเยี่ยน ไม่แม้จะเหลือบมองเขา จากเขาไปอย่างไร้ไมตรีเหมือนที่ลู่หวายหนิงพูด นางกับเป่ยซิวเยี่ยนจึงจะเป็นคนในเส้นทางเดียวกัน!เมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ เพลิงอันชั่วร้ายกองหนึ่งในก้นบึ้งของจิตใจก็ลุกโชนขึ้นมา แผดเผาจนศีรษะของเขาพองโต จู่ๆ ก็นึกถึงฝันอันแปลกประหลาดนั้นขึ้นมาอีกเขาเห็นเสิ่นหรูโจวที่อยู่ในฝันยิ้มให้เขา ทั่วทั้งดวงตาเต็มไปด้วยความรัก เอาแต่เกาะติดอยู่ข้างกายเขาตลอด เหตุใดในความเป็นจริง เสิ่นหรูโจวกลับห่างเขาออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ทีละก้าวทีละก้าวความฝันกับความเป็นจริงกำลังต่อสู้กันอยู่เบื้องหน้า เขากลับแยกไม่ค่อยออกแล้วว่าสิ่งใดคือความจริงกันแน่ รู้สึกจิตใจว้าวุ่นอย่างมากในยามนั้นเอง มู่หว่านหรงก็เดินเข้ามาเมื่อเห็นด้านหลังของเซียวเฉินเหยี่ยนไม่มีคน หินที่ทับอยู่ในใจของนางจึงหล่นลงพื้นได้ในที่สุดเมื่อครู่เซียวเฉินเหยี่ยนให้นางกลับจวนก่อน นางยังคิดว่าเขาไปหาเสิ่นหรูโจวแล้ว ต้องการพาเสิ่นหรูโจวกลับมาไม่ได้กลับมาย่อมดีที่สุด นางหุบมุมปากลง แสร้งทำเป็นห่วงใยถามว่า “ท่านอ๋อง พร
เสิ่นหรูโจวมองเขาอย่างคาดไม่ถึงทีหนึ่ง การกระทำที่ใจกว้างและมีมารยาทเช่นนี้ ทำให้ความประหม่าตลอดทางเมื่อครู่ของนางดูเหมือนจะเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยไปแล้ว นางมิได้จับมือของเขาโดยตรง ทว่าจับข้อมือของเขาไว้แล้วลงจากม้า“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางค้อมศีรษะยิ้มบางๆในเวลานี้ ลู่หวายหนิงก็ตามกลับมาที่ด้านหลังเช่นกันเขาลงจากม้า เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม “ท่านอาจารย์ พี่สาว พวกท่านควบม้าเร็วเกินไปแล้ว ข้าตามไม่ทันเลย” ดวงตาใสกระจ่างของเขามีความเจ้าเล่ห์สายหนึ่งวาบผ่าน ที่จริงแล้วเขาตามอยู่ด้านหลังคอยดูพวกเขาอยู่ตลอด แต่เขาจงใจรักษาระยะห่าง เพื่อไม่ไปรบกวนภาพแสนสวยงามนั่นเป่ยซิวเยี่ยนมิได้กล่าวสิ่งใด เดินตรงเข้าไปในจวนอุปราชลู่หวายหนิงก็รีบดึงเสิ่นหรูโจวตามไปเช่นกันในห้องหนังสือ เป่ยซิวเยี่ยนถอดเสื้อคลุมออก พาดไว้บนราวแขวน“ยาของเจ้าข้าได้เห็นแล้ว ไม่เลวจริงๆ ยาแก้ปวดแก้อักเสบเป็นสิ่งจำเป็นในสนามรบจริงๆ ข้าสามารถร่วมมือกับเจ้าได้ ข้าออกเงินเจ้าออกแรง” เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ หยิบน้ำชาที่เตรียมไว้เรียบร้อยก่อนแล้วบนโต๊ะขึ้นมา หลังจิบเบาๆ ไปคำหนึ่ง สายตาก็มองไปที่เสิ่นหรูโจว “เจ้ามีเท่าไห
ในที่สุด ความร่วมมืออันน่ายินดีก็บรรลุผลแล้ว ลู่หวายหนิงก็มีความสุขอย่างมาก เขากล่าวอย่างร่าเริงว่า“ดีเหลือเกิน แบบนี้พวกทหารก็มีทางรอดแล้ว โชคดีที่ได้พี่สาวช่วย หากเหล่าทหารรู้ว่าเป็นพี่สาวจัดหายาให้พวกเขา จะต้องรู้สึกขอบคุณท่านมากอย่างแน่นอน” “ควรขอบคุณท่านผู้สำเร็จราชการแทนมากกว่า” นางมองไปที่เป่ยซิวเยี่ยนด้วยแววตาชื่นชม “ผู้สำเร็จราชการแทนห่วงใยราษฎร คอยทำเพื่อพวกเขาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด” ในมุมมองของนาง เป่ยซิวเยี่ยนมิใช่ขุนนางทรงอำนาจที่คนเพียงพูดถึงก็หน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัวนานแล้ว แต่เป็นขุนนางน้ำดีที่ทำเพื่อปวงประชาแม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดหลายปีต่อจากนี้เขาต้องก่อกบฏ แต่เขาก็เป็นขุนนางที่ดีจริงๆเป่ยซิวเยี่ยนมองสบสายตาชื่นชมของนาง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ควรค่าแก่การพูดถึง” “ไม่ใช่เพียงแค่นี้” เสิ่นหรูโจวหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง แววตาของนางอ่อนโยนและจริงใจ“ท่านผู้สำเร็จราชการแทนให้ความเท่าเทียมต่อชายหญิง ไม่ดูแคลนอิสตรี และยังมีมารยาทอย่างมาก เต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้คน สรุปแล้ว เมื่อได้สัมผัสกับท่านผู้สำเร็จรา
เมื่อกล่าวจบ เขายังขยิบตาให้เป่ยซิวเยี่ยนด้วยเป่ยซิวเยี่ยนขมวดคิ้วมองเขาทีหนึ่ง “กินข้าวก็กินข้าว เหตุใดจึงได้พูดมากถึงเพียงนี้” ลู่หวายหนิงมุ่ยปากน้อยๆ ของตน ก้มลงเคี้ยวข้าวอย่างไม่สบอารมณ์อาจารย์ช่างไม่เข้าใจความพยายามของเขาเลยเห็นเขาถูกดุ เสิ่นหรูโจวก็รู้สึกสงสารอยู่บ้าง จึงหันหน้าไปพูดกับเขาว่า “หวายหนิงช่างต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้นจริงๆ” พึ่งพูดจบ เมื่อหันกลับมา นางก็เห็นผัดหน่อไม้อ่อนสะดุ้งไฟจานนั้นวางอยู่เบื้องหน้าของตนเสิ่นหรูโจวมองเป่ยซิวเยี่ยนด้วยดวงตาที่เบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างงุนงง เป่ยซิวเยี่ยนชักมือกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกินข้าวต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลู่หวายหนิงเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แย้มยิ้มอย่างเบิกบาน อาจารย์ช่างรู้ความเหลือเกิน!เขารีบพูดกับเสิ่นหรูโจวทันทีว่า “พี่สาว อาจารย์ตั้งใจสละของดีให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ ดูสิว่าเขารู้จักรักถนอมคนเพียงใด! ท่านก็อย่าได้ผิดต่อความตั้งใจของเขา รีบกินให้มากหน่อย” มือที่ถือตะเกียบของเป่ยซิวเยี่ยนชะงักเล็กน้อย ส่งสายตาอันยากอธิบายไปที่ลู่หวายหนิงเหตุใดเรื่องต่างๆ เมื่อถูกเขาพูดออกมาก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป?
ลู่หวายหนิงมีท่าทีแบบ ‘ข้าเข้าใจทุกอย่าง’ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์“อาจารย์ ท่านก็อย่าได้ปิดบังอีกเลย วันนี้ท่านถึงขนาดให้พี่สาวอยู่กินข้าวด้วยแล้ว ท่านจะต้องชอบนางอย่างแน่นอน คิดจะแต่งนางกลับมาเป็นอาจารย์หญิงของข้า ใช่ไหมขอรับ!” ดวงตาของเป่ยซิวเยี่ยนหรี่ลง ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นยื่นมือไปดีดหน้าผากของลู่หวายหนิงอย่างแรงครั้งหนึ่ง“หุบปาก เจ้าอายุยังน้อยเช่นนี้ ทั้งวันในหัวเอาแต่คิดสิ่งใดกันนะ?” ลู่หวายหนิงถูหน้าผากของตน บ่นพึมพำอย่างไม่ยินยอมว่า “แม้หวายหนิงอายุยังน้อย แต่สิ่งที่ควรรู้ก็รู้หมดแล้วนะขอรับ!” “พอแล้ว” เป่ยซิวเยี่ยนเหลือบมองเขาอย่างเยียบเย็นทีหนึ่ง กล่าวอย่างโหดร้ายว่า “ในเมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ไปคัดตำราพิชัยสงครามของซุนวู[footnoteRef:1]ห้ารอบ เจ้าจะได้ไม่เอาแต่คิดเรื่องไร้สาระทั้งวัน” [1: พิชัยสงครามซุนวู หรือ พิชัยสงครามซุนจื่อ เป็นตำรายุทธศาสตร์การทหารหรือตำราพิชัยสงครามของจีน ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราวหกร้อยปีก่อนคริสตกาลโดยซุนจื่อ นักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุครณรัฐของจีน เนื้อหาในตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มี 13 บท แต่ละบทเน้นถึงแต่ละแง่มุมของกา