ลู่หวายหนิงดวงตาเปล่งประกาย มองเป่ยซิวเยี่ยนพร้อมกับกล่าว “พี่สาวมาแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์ท่านลองถามนางอย่างละเอียดดีหรือไม่?”เป่ยซิวเยี่ยนจ้องมองขวดและหลอดฉีดยาที่หน้าตาแปลกประหลาดนั่น กล่าวเย็นชา “เก็บของพวกนี้ไปก่อน”จากนั้นหันไปมองฉินหมิงกล่าว “ให้นางเข้ามา”ไม่นานนัก เสิ่นหรูโจวก็ถูกพาเข้ามานางเห็นว่าลู่หวายหนิงก็อยู่ด้วย คิดในใจว่าเขาต้องนำยาแก้ปวดให้เป่ยซิวเยี่ยนดูแล้วเป็นแน่ ต่อจากนี้เป่ยซิวเยี่ยนก็น่าจะต้องถามถึงเรื่องของยาแก้ปวด จากนั้นนางก็จะสามารถเอ่ยปากเรื่องความร่วมมือได้แล้ว!นางมองเป่ยซิวเยี่ยนด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเป่ยซิวเยี่ยนยังคงเย็นชา “เรื่องการรักษาอาการป่วยให้กุ้ยเฟย เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือไม่? ขาดยาอะไร ก็รีบบอก ข้าจะให้คนไปจัดเตรียม”รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นหรูโจวจืดจางลงไปไม่น้อย เหตุใดจึงไม่เอ่ยถึงยาแก้ปวดกันนะ?“ไม่ขาดอะไร ข้าเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมหมดแล้ว”เป่ยซิวเยี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ กล่าว“อืม”ด้วยน้ำเสียงเมินเฉยเพียงคำเดียวเสิ่นหรูโจวเห็นเขาไม่เอ่ยถามเรื่องยาเลยสักคำ ก็เข้าใจแล้วเกรงว่าเป่ยซิวเยี่ย
เป่ยซิวเยี่ยนเหลือบตาเล็กน้อย จ้องมองเสิ่นหรูโจวใบหน้าอันงดงามราวกับภาพวาดของเสิ่นหรูโจวเงียบสงบ น้ำเสียงเย็นยะเยือกแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว“ในสนามรบถูกฟันได้ง่าย การบาดเจ็บเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง ท่านพ่อกับท่านพี่ของข้าก็อยู่ในสนามรบเช่นกัน ในฐานะที่ข้าเป็นคนในครอบครัว ย่อมหวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย และในสนามรบไม่ได้มีเพียงท่านพ่อกับท่านพี่ของข้า ยังมีท่านพ่อ พี่น้อง ลูกหลานของคนอีกนับแสน ชีวิตของพวกเขาก็จะถูกจดจำเช่นกัน”“ในเมื่อการศึกไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เหล่าทหารได้ถูกกำหนดว่าต้องเผชิญกับการบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าหวังว่าจะพยายามช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็อย่าได้เป็นโรคเรื้อรัง หรือแม้แต่การเสียชีวิตเนื่องจากขาดยารักษา”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเสิ่นหรูโจวก็หดหู่ลงเล็กน้อง เมื่อนึกถึงเรื่องการตายในสนามรบของท่านพ่อกับท่านพี่เมื่อชาติก่อนขึ้นมามีชาติถึงมีบ้าน ตระกูลเสิ่นของพวกเขาจงรักภักดีทั้งครอบครัว ป้องปกชาติ แต่การเสียสละชีวิต กลับทำให้ครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขาต้องแตกสาแหรกขาดชาตินี้นางไม่ต้องการความจงรักภักดีอะไรทั้งสิ้น นางเพียงแค่อยากให้คนในครอบครัว
ยังมีคนแก่สองคนที่เดินตามผู้หญิงคนนั้นเข้ามา ก็คือพ่อแม่สามีของผู้หญิงคนนั้นเดิมทีเมื่อเห็นว่ามีคนจะพาตัวลูกสะใภ้มาที่เมืองหลวง ให้ตายยังไงพวกเขาก็ไม่ยอม เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นระหว่างทาง จะเป็นอันตรายต่อหลานทั้งสามคนของพวกเขาแต่ทันทีที่เห็นเงินที่จวนอุปราชให้ ก็ตอบตกลงทันทีหลังจากที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาก็มองซ้ายแลขวา จนลูกตาแทบจะถลนออกมา เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงเพราะความมั่งคั่งของจวนอ๋องหลังจากมองไปรอบ ๆ ก็เห็นชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงกลางท่านนั้น ผู้ที่มีโฉมหน้าหล่อเหลายิ่ง รอบ ๆ ตัวเต็มไปด้วยแรงกดดันและลมหายใจเย็นยะเยือก ท่านนี้จะต้องเป็นท่านอุปราชผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอย่างแน่นอนนางเฉินสองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง รีบคุกเข่าคารวะทันที “กระหม่อมคาระวะท่านอุปราช”หญิงสาวที่นอนอยู่บนเปลเองก็ขยับเช่นเดียวกัน นำมือข้างหนึ่งประคองเอวเพื่อจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ “หม่อมฉันนางหลัวอวิ๋น...”“ไม่ต้องมากพิธี” ไม่รอให้นางลุกขึ้น เป่ยซิวเยี่ยนส่งเสียงห้ามนางเอาไว้ สายตาที่เฉยชาหยุดอยู่ที่นางครู่หนึ่ง จากนั้นหันหน้ามองเสิ่นหรูโจว “ตรวจชีพจรก่อนเถอะ”“ได้” เสิ่นหรูโจวสี
ยายเฒ่าเฉินกระทืบเท้า กล่าวอย่างร้อนใจ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ตั้งท้องลูกอยู่ดี ๆ จะให้คลอดก่อนกำหนดได้อย่างไร? คลอดตอนนี้สิถึงจะต้องตาย!”ตาเฒ่าเฉินรู้ตัวตนของเสิ่นหรูโจว จึงไม่กล้าพูดจาจาบจ้วง แต่เต็มไปด้วยความเดือดดาล“ต่อให้เป็นพระชายา ก็จะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จากสามคนพูดเหลือหนึ่งคน จากเป็นก็พูดว่าตาย จะเกิดไปหน่อยแล้วกระมัง!”เสิ่นหรูโจวกล่าว “ตอนนี้หญิงตั้งครรภ์ขยับไม่ได้แล้ว น้ำที่สะสมในท้องของนางรุนแรงมาก หากดึงดันต่อไปอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิต”สองสามีภรรยาเฒ่าต่างพูดโต้แย้งเป็นเสียงเดียวกันว่า“เป็นไปไม่ได้” ท่ามกลางเสียงทะเลาะเบาะแว้ง นางหลัวอวิ๋นสีหน้าตื่นตระหนก กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พระชายา ที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงงั้นหรือ?”เสิ่นหรูโจวหันไปมองนาง ดวงตาหงส์คู่นั้นใสแจ๋วราวกับน้ำ“จริงแท้แน่นอน ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับการรักษาโดยด่วน”สำหรับหญิงตั้งครรภ์แล้ว เป็นการยากที่จะตัดสินใจเรื่องการคลอดก่อนกำหนด นางหลัวอวิ๋นกัดริมฝีปาก พูดไม่ออกไปครู่หนึ่งร่างกายของนางย่อมรู้ตัวเองดี อันที่จริงนางรู้สึกมานานแล้วว่าท้องของตนผิดปกติ ไม่ง่ายดายเหมือนกับคนท้องทั่วไป
นางรู้ดีว่า นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา การได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้จะได้รับแค่เพียงครั้งเดียว ถ้าหากไปแล้ว นางอาจจะได้ไปยมโลกจริง ๆ !เสิ่นหรูโจวพยักหน้า “ได้!”“ไม่ได้!” ยายเฒ่าเฉินตบต้นขาอย่างร้อนใจ “เจ้าไม่คิดถึงตนเองก็คิดถึงลูกบ้าง เด็กที่คลอดออกมาก่อนกำหนดจะมาพร้อมกับโรคร้าย!”เสิ่นหรูโจวขมวดคิ้วทันที น้ำเสียงเย็นยะเยือกเล็กน้อย “ข้าบอกแล้ว ว่าถ้าดึงดันไปจนครบกำหนดจะอันตรายมาก อาจจะถึงแก่ชีวิตของผู้ใหญ่!”ตาเฒ่าเฉินกล่าวขึ้นมาทันควัน “เช่นนั้นเด็กจะปลอดภัยหรือไม่?”ดวงตาของเสิ่นหรูโจวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที นางกวาดสายตามองสองสามีภรรยา ตาเฒ่าเฉินทำหน้าตา“ข้ายอมถอยให้แล้ว” ขอเพียงแค่สามารถช่วยชีวิตหลานเอาไว้ได้ก็จะไม่เอาความยายเฒ่าเฉินจ้องมองนางด้วยไปหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง รอคอยคำตอบของนางนางแสยะยิ้ม “พวกเจ้า...ไม่เข้าใจเหตุผลเอาเสียเลย!”ลู่หวายหนิงกล่าวอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าเพื่อหลานแล้ว ไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตของลูกสะใภ้?”นางหลัวอวิ๋นไม่ได้ส่งเสียง สีหน้าทุกข์ทรมานตาเฒ่าเฉินไม่พอใจที่ถูกเด็กน้อยคนหนึ่งสั่งสอน “เรื่องใน
ภายในเรือนรับรองแขก นางหลัวอวิ๋นนอนอยู่บนตั่ง ยื่นมือออกไปเพื่อให้ท่านหมอจับชีพจรตลอดบ่าย หมอที่ออกไปจากจวนอุปราช ต่างก็พูดถึงเรื่องที่นางหลัวอวิ๋นตั้งครรภ์แฝดสาม บรรดาชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์แต่ว่า เรื่องที่ชาวบ้านรู้นั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือจะต้องให้คนในวังหลวงรู้ ว่ามีสตรีคนหนึ่งที่อาการเหมือนกันกับกุ้ยเฟยเสิ่นหรูโจวกล่าวกำชับเป็นพิเศษ ว่าวันพรุ่งนี้ให้คนตามหาท่านหมอมาสักสองสามคน ทางที่ดี ควรเป็นหมอหลวงจากในวังหลวง ลู่หวายหนิงเข้าใจ และไปลงมือทำและเสิ่นหรูโจวก็ควรจะกลับบ้านได้แล้ว นางหลัวอวิ๋นนอนอยู่บนตั่ง สายตามองตามนางไป กล่าวอย่างสงสัย “พระชายา...”เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของนาง เสิ่นหรูโจวเดินตรงไปหานาง กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “มีความกังวลใจอยู่เล็กน้อยใช่หรือไม่?”นางหลัวอวิ๋นเม้มริมฝีปาก พยักหน้าเสิ่นหรูโจวกุมมือของนาง กล่าวปลอบโยนนางเบา ๆ “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้ามีความมั่นใจว่าจะรักษาเจ้ากับลูกเอาไว้ได้”น้ำเสียงของนางใสกังวานน่าฟัง แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางหลัวอวิ๋นที่ตื่นเต้นก็สงบใจลงนางจ้องมองเสิ่นหรูโจวด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เสิ่นหรูโจวนึกถึงแหวนหยกวงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกเกิดความไม่พอใจขึ้นมาในใจอีกครั้ง เหตุใดช่วงนี้ถึงได้นึกถึงเรื่องการหายตัวไปขึ้นมาบ่อย ๆ ?จิตใจของนางว้าวุ่นเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องราวของเป่ยซิวเยี่ยนอย่างละเอียดอีก“พระชายา ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางหลัวอวิ๋นจ้องมองสีท้องฟ้าด้านนอก ตระหนักได้ว่าตนเองยื้อเวลาของชาวบ้านนานถึงเพียงนี้แล้ว รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เสิ่นหรูโจวพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนให้ดี ๆ วันพรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าอีก”ยุ่งมาทั้งวัน เสิ่นหรูโจวรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากกลับจวน นางกินอะไรง่าย ๆ เล็กน้อย หลังจากอาบน้ำแล้ว ก็รีบนอนบนเตียงแล้วก็หลับไปทันใดนั้นคิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากัน การหายใจยุ่งเหยิงขึ้นไม่น้อยในฝัน ในระหว่างที่นางกำลังเคลิ้มก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง กดนางเอาไว้ใต้ล่าง ลมหายใจที่หนักหน่วงอยู่ข้างหู แฝงไปด้วยความร้อนพ่นใส่หูของนาง นางเอียงหัวเพราะจั๊กจี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปบนร่างกายของนางอย่างไร้ระเบียบ ดึงเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของนาง ลูบคลำที่ใต้กระโปรงของนางหัวสมองของนางเต็มไปด้วยความมึนงง แต่เข้าใ
แหงนหน้ามองดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงท่านพ่อและท่านพี่ที่อยู่ชายแดนไกลเมื่อนับเวลาแล้ว เรื่องที่ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บน่าจะเป็นเวลาอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ นางยังมีเวลา รอให้จัดการเรื่องของกุ้ยเฟยเรียบร้อย นางก็จะได้ร่วมมือกับเป่ยซิวเยี่ยน แล้วก็นำยาส่งไปที่ชายแดนนางภาวนาในใจ “หวังว่าท่านพ่อกับท่านพี่จะปลอดภัยทุกอย่าง รีบกลับมาในเร็ววัน”เช้าตรู่ เสิ่นหรูโจวเพิ่งจะตื่นนอน หลังจากล้างหน้าแล้ว กำลังหวีผมเมี่ยวตงหยิบปิ่นหยกสีขาวลายหงส์อันหนึ่งออกมา กำลังจะปักลงไปบนผมของเสิ่นหรูโจว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่ด้านนอก นางเกือบจะทำหลุดมือ มุ่ยปากกล่าวอย่างไม่พอใจ“ผู้ใดมาเอะอะโวยวายข้างนอก แต่เช้าตรู่เช่นนี้กัน?”ไม่นานนัก ชุนซิ่วก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี“คุณหนู พระชายารองมาเจ้าค่ะ จะเข้ามาให้ได้ เสี่ยวเถาเสี่ยวเวยขวางนางไว้อยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”ก่อนหน้านี้เสิ่นหรูโจวเคยพูด ห้ามปล่อยให้ใครเข้ามาตามอำเภอใจ ชุนซิ่วและอีกสองคนจดจำกฎข้อนี้ได้ เฝ้าประตูอย่างเข้มงวด ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาโดยพลการอย่างเด็ดขาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่น่ารำคาญเช่นมู่หว่านหร