“นายสิงห์” นานพอสมควรที่สิงหายืนนิ่งอยู่ที่เดิม นานจนกระทั่งดวงตาคู่สวยเปิดออก พร้อมกับเสียงที่แหบเล็กน้อยเอ่ยเรียก “กลับมาแล้วเหรอ?” ณัฐรินีย์ขยับลุกขึ้นนั่ง เพราะเพิ่งตื่นนอนและไม่ระวังตัวทำให้เสื้อที่สวมใส่เลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องขาวๆ เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไร แต่คนที่มองอยู่ตลอดเวลาเห็นเข้าเต็มๆ ตา สิงหาลอบกระแอมไอ ก่อนจะตอบสั้นๆ อย่างคนสงวนคำ “อืม” “นายสิงห์หิวหรือยัง?” “เพิ่งบ่ายสาม” “อ่า... นิดคิดว่านอนไปหลายชั่วโมงซะอีก” เธอยกมือขึ้นมัดผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนใหม่ และนั่นทำให้ชายเสื้อสั้นๆ เปิดขึ้นสูงกว่าเดิม ชายหนุ่มรีบหันหน้าไปทางอื่น เขาไม่อยากมองผิวขาวๆ นั่นอีก ผู้หญิงอะไร... ไม่ระวังตัวเอาซะเลย ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย แล้วตัวอันตรายก็ไม่ใช่ใคร เขานี่ไง... สิงหาโทษว่ามันเป็นเพราะเมื่อคืนเขาเพิ่งได้ครอบครองร่างกายนี้ไป แม้จะไม่ได้เกิดจากความรัก แต่น้ำมันกับไฟเมื่ออยู่ใกล้กันก็ย่อมทำให้เกิดกองเพลิงที่ใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นไฟกับน้ำมันที่เคยใกล้ชิดกันมาก่อนแบบนี้ ทว่า... ถึงจะคิดแบบนั้นแต่สิงหากลับไม่ยักจะเดินหนีไป ร่างสูงใหญ่ยืนปักหลักอยู่ที่เดิม ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้
ฝนที่ตกยาวนานจนดึกดื่นทำให้อากาศบนเกาะเย็นลงไปหลายองศา โดยเฉพาะพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนอื่นอย่างบ้านของเจ้าของเกาะตะวันฉาย ภายในบ้านหลังน้อยอุณภูมิลดต่ำ แม้แต่บาร์บี้ที่ชอบอากาศเย็นยังขดตัวเข้าหากองผ้าเพื่อหาไออุ่นสิงหานอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนหลังใหญ่ ไม่ใช่เพราะเขาหนาวจนนอนไม่ได้ สิงหาชินกับอากาศแบบนี้แล้ว แต่เพราะใจพะวงถึงใครบางคนที่อยู่ด้านนอกมากกว่า“ทำไมต้องสนใจด้วยวะ” สิงหาถามตัวเองแบบนั้น แต่การกระทำกลับเป็นไปในทิศทางตรงข้าม ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนในความมืดจนบาร์บี้ที่นอนอยู่บนกองผ้าของตัวเองผงกหัวขึ้นมองตามหงิง“อะไร? อยากให้ออกไปดูเหรอ?”หงิง“ก็ได้ๆ เพราะบาร์บี้หรอกนะ เดี๋ยวจะออกไปดูให้ว่าข้างนอกเป็นยังไง”พูดจบสิงหาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินออกจากห้องไป เขาโทษว่าเป็นเพราะสุนัขตัวโตทำให้เขาต้องออกไปข้างนอกทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วงอะไรทั้งนั้นอากาศข้างนอกเย็นกว่าในห้องนอนหลายเท่า สิงหาที่ช่วงหลังมานี้ใส่กางเกงนอนตัวเดียวแทนการนอนเปลือยยังรู้สึกหนาวนิดๆ ตาคมรีบมองหาคนที่ควรจะนอนอยู่บนโซฟา แต่กลับไม่มี...“หายไปไหน?”ขายาวก้าวไปดูใกล้ๆ เพื่อความแน่ใจ ก่อนจะสบถคำ
ในตอนที่ณัฐรินีย์กลับมาจากคอกหมู เธอก็ต้องแปลกใจกับความปกติของบ้าน ที่จริงแล้วมันไม่ควรปกติ อย่างน้อยหลังคาที่เริ่มเห็นรูรั่วในเวลากลางวันก็ควรถูกซ่อมให้เรียบร้อย หรือว่านายสิงห์จะลืม เมื่อเช้าเธอย้ำแล้วแท้ๆกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ณัฐรินีย์ต้องระเห็ดเข้าไปนอนร่วมเตียงกับเจ้าของบ้านในวันที่ฝนตก เธอยอมรับว่านอนบนเตียงมันก็สบายดี แต่ลึกๆ ในใจเธอกำลังกลัว ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะถูกนายสิงห์ล่วงเกิน แต่เธอกลัวว่าตัวเองจะล่วงเกินนายสิงห์มากกว่าเธอบอกไปหรือยังนะว่านายสิงห์ในเวลานี้ได้ตัดผมสั้นแล้ว เขาหั่นหนวดจนสั้นติดผิวเนื้อ ยามที่ใบหน้าคมคายไร้หนวดและผมยาวๆ มาปกปิดมันดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นายสิงห์ถึงลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง รู้แค่ว่าการเปลี่ยนแปลงของนายสิงห์ทำเอาเธอใจสั่นจนอยู่ไม่สุข ถึงได้เร่งให้เจ้าของบ้านรีบซ่อมหลังคา เธอจะได้ออกมานอนข้างนอกเสียที“นายสิงห์” เสียงใสเอ่ยเรียกคนหัวโต๊ะในตอนที่ทั้งคู่กำลังจัดการมื้อเย็นด้วยกันอย่างเงียบเชียบ ตั้งแต่สิงหาตัดผมสั้น ณัฐรินีย์ก็พูดคุยกับเขาน้อยกว่าปกติ เธอกลัวว่าตัวเองจะหัวใจวายตาย นายสิงห์เวอร์ชั่นนี้หล่อเหลาน้อยเสียเมื่อไหร่
“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ”“นายสิงห์มีอะไรหรือเปล่า?” ณัฐรินีย์เอียงคอเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย“ฉันมีธุระสำคัญอยากพาเธอไปด้วย”“ธุระอะไรคะ?”“งานแต่งของไลลา”..เพราะคำพูดของสิงหาเมื่อเช้ามืด ทำให้ตอนนี้ณัฐรินีย์ได้เหยียบแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกในรอบสองเดือนกว่า เธอถูกพามาที่ร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง หลังจากมาถึงพนักงานก็พาเธอขึ้นมาที่ชั้นสาม จับเธอนั่งลงบนเก้าอี้ และจัดการแต่งหน้าทำผมให้เธอโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำประมาณชั่วโมงครึ่งณัฐรินีย์ก็ถูกเปลี่ยนลุคจนจำแทบไม่ได้ ร่างบอบบางอยู่ในชุดราตรีสีเหลืองอ่อนขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้ขาวกว่าเดิม เอวคอดมีผ้าสีเหลืองมัสตาร์ดพันรอบเป็นโบว์เพื่อไม่ให้ดูจืดชืด เส้นผมดำยาวถูกดัดเป็นลอนและเบี่ยงมาข้างขวาทั้งหมด ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสุภาพแต่ไม่ดูซีดป่วย โดยรวมแล้วดูดีจนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่คิดว่าเป็นตัวเอง“มาแล้วครับ”พอแต่งตัวเสร็จณัฐรินีย์ก็ถูกจูงลงมาชั้นล่าง เพียงแค่เท้าแตะลงบนพื้นเย็นเฉียบ เสียงติดสุภาพของคนที่เป็นเจ้าของร้านและดีไซน์เนอร์ก็ดังขึ้น เรียกให้ใครบางคนหันมามองเธอด้วยดวงตาคมกริบเหมือนในละครไม่มีผิด เพราะในเวลานี้ทุกอย่า
หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จ ณัฐรินีย์ก็พบว่าสิงหายืนรอเธออยู่หน้าห้องน้ำเหมือนเดิมร่างสูงใหญ่ยืนพิงผนังสีสะอาด มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างถือมือถือเครื่องบางไว้ ใบหน้าคมเข้มก้มมองเครื่องมือสื่อสารในมือ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนดูดุ เรียกสายตาจากใครหลายคนให้หันไปสนใจณัฐรินีย์รู้สึกเหมือนมีเปลวไฟเกิดขึ้นที่หัว เพราะตรงนี้เป็นห้องน้ำหญิง ผู้คนส่วนมากจึงเป็นผู้หญิง ทำให้ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวอย่างนายสิงห์เป็นที่สนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ส่วนมากได้แต่เมี่ยงๆ มองๆ ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปทักทายเป็นจริงเป็นจัง อาจจะเป็นเพราะหน้าไม่รับแขกของสิงหานั่นแหละยกเว้นคนหนึ่ง“สวัสดีค่ะ”ผู้หญิงสวยหวานราวกับนางฟ้าส่งเสียงหวานหยดย้อยทักทายสิงหา ใบหน้าที่ก้มอยู่เงยขึ้นมอง ดวงตาคมมีประกายบางอย่างที่ทำให้ณัฐรินีย์หัวร้อนกว่าเดิม เธอกัดฟันไม่พอใจ ตั้งท่าจะเดินเข้าไปแทรกกลางโดยไม่สนมารยาทอะไรทั้งนั้น แต่ทว่า...“นิ่ม!”ร่างบางชะงักกึก หันไปตามเสียงเรียกนั้นแม้จะรู้ว่าเจ้าของเสียงไม่ได้เรียกตัวเอง“นิ่มจริงๆ ด้วย มางานด้วยเหรอ?”ใคร?“ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น กุ๊กไง เราเคยสนิทกันเมื่อตอนรับน้องรวมคณะนะ”
“นายสิงห์!”ตึก ตึก ตึก“นายสิงงงงงห์!” ณัฐรินีย์ร้องเรียกไปพลาง วิ่งตามคนขายาวไปพลาง เหนื่อยกว่าปกติสองเท่าจนหอบแฮ่กๆไม่รอก็ไม่รอ เธอไม่วิ่งตามแล้ว!หญิงสาวหยุดวิ่งเมื่อเริ่มทนไม่ไหว เธอปล่อยชายประโปรงยาวๆ ที่ยกขึ้นมาตอนวิ่งลง ก้มหน้าเท้าแขนกับเข่าหอบหายใจเธอจะไม่เหนื่อยเลยถ้าไม่ได้ใส่ชุดรุงรังนี้ ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอก แต่ทำให้ลำบากแบบนี้ณัฐรินีย์กลับไปใส่เสื้อยืดกับกางเกงปกติดีกว่ากึกรองเท้าหนังมันวาวหยุดลงตรงหน้าคนที่ก้มหอบ ณัฐรินีย์เห็นแล้ว... แต่เธอทำเป็นไม่สนใจ ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรองเท้านั่นด้วยซ้ำ“งอน?”“เหอะ!” เธอตอบแค่นั้น ไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่สิงหาก็น่าจะรู้แล้วว่าในตอนนี้เธอไม่ปกติที่จริงแล้วณัฐรินีย์ไม่ใช่สาวเจ้าอารมณ์ ไม่ได้มีนิสัยขี้งอนขี้น้อยใจอะไร การที่เธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักที่เอนเอียงทำให้เธอไม่ชอบเรียกร้อง เพราะถึงเรียกร้องไปเธอก็ไม่มีทางได้อยู่แล้ว หลายคนจึงพูดถึงเธอในทำนองว่าเธอไร้ความรู้สึก เย็นชา แต่ไม่ใช่เลย... ณัฐรินีย์คนนี้มีความรู้สึก แต่แค่ไม่เคยแสดงออกมาต่างหากพอปิดบังความรู้สึกตัวเองเก่ง ณัฐรินีย์ก็ถูกเหมารวมว่าเป็นห
หญิงสาวที่ไม่เคยออกมาจากเกาะมองวิวเมืองด้วยความเพลินตา เมื่อวานเธอมัวแต่ตื่นตกใจจนไม่ได้สังเกตวิถีชีวิตของคนในจังหวัด ที่นี่ต่างจากกรุงเทพฯ ที่เธอเกิด หรือนิวยอร์กที่เธอจากมา มันมีความวุ่นวายตามประสาจังหวัดท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็ไม่ได้แออัดเท่าเมืองหลวง คนพื้นที่ปะปนไปกับนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่าชาวบ้านทั่วไปจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยน่าสนใจทีเดียวในขณะที่ณัฐรินีย์กำลังเพลิดเพลินกับการสังเกตผู้คนอยู่นั้น คนที่รับหน้าที่ขับรถก็ทำหน้าหงุดหงิดไม่หาย ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าใบหน้าดุๆ ยิ่งบึ้งตึง สิงหากำลังไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุดเมื่อเช้า... ในจังหวะที่เขากำลังปั่นป่วนเพราะถูกหนูนิดตัวแสบยั่วเย้าจนแตกตื่น อารมณ์กำลังร้อนระอุได้ที่ กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่แล้ว... แต่เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น สิงหาหมายมั่นไว้แล้วว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาจะอาละวาด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามใจนึกเพราะเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง“เหมือนจะเป็นรูมเซอร์วิสนะ” ณัฐรินีย์หันมาบอกเขาหลังจากส่องตาแมว เธอเลิกคิ้วขึ้นเหมือนถามว่าใครเป็นคนสั่งรูมเซอร์วิสขึ้นมาถ
“นายสิงห์...” แผ่นหลังที่สัมผัสกับเตียงนอนทำให้หญิงสาวได้สติคืนมา มือเรียวรีบดันอกกว้างไว้เมื่อสิงหาขยับกาย เตรียมทาบทับเธอให้จมไปกับเตียง “หืม” เสียงของสิงหาในยามนี้นุ่มนวลจนจั๊กจี้ไปทั้งตัว ณัฐรินีย์เกือบจะเคลิบเคลิ้มให้กับสายตาที่ร้อนแรงคู่นั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลบางอย่างที่สำคัญมากจนทำให้เธอต้องขัดใจเขา “นายสิงห์ ไม่ได้นะ” เธอรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากไว้ ส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพราะสิงหาขมวดคิ้วขัดใจที่ไม่ได้บดขยี้จูบลงมา “ทำไม?” “ระ...เรา เพิ่งกินข้าวมา” นี่คือเหตุผลสำคัญที่ณัฐรินีย์ไม่ยอมให้สิงหาจูบ เธอไม่ได้รังเกียจเขา แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่หลังกินข้าวแบบนี้ “ไม่เห็นเป็นไร” “เป็น!” เธอแย้งทันที ส่ายหวือปิดปากแน่นไม่ยอมให้สิงหาแตะต้องเด็ดขาด “นิดอยากแปรงฟันก่อน” “ได้” พูดแค่นั้น ร่างของณัฐรินีย์ก็ลอยคว้างขึ้นอีกครั้ง สิงหาก้าวเร็วๆ ไปที่ห้องน้ำ เขาวางร่างเล็กกว่าลงหน้าอ่างล้างหน้า หยิบแปรงสีฟันยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างสีขึ้นมา บีบยาสีฟันเนื้อขาวกลิ่นมิ้นต์สดชื่นใส่จนเต็ม “ถ้าแปรงฟันแล้วจะมีข้ออ้างอะไรอีกไหม” “ไม่มีแล้ว” “ดี” สิงหาส่งแปรงสีฟันสีอ่อนให้ณัฐรินีย์ มองเธอค่อยๆ แ
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา