“นายสิงห์...” แผ่นหลังที่สัมผัสกับเตียงนอนทำให้หญิงสาวได้สติคืนมา มือเรียวรีบดันอกกว้างไว้เมื่อสิงหาขยับกาย เตรียมทาบทับเธอให้จมไปกับเตียง “หืม” เสียงของสิงหาในยามนี้นุ่มนวลจนจั๊กจี้ไปทั้งตัว ณัฐรินีย์เกือบจะเคลิบเคลิ้มให้กับสายตาที่ร้อนแรงคู่นั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลบางอย่างที่สำคัญมากจนทำให้เธอต้องขัดใจเขา “นายสิงห์ ไม่ได้นะ” เธอรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากไว้ ส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพราะสิงหาขมวดคิ้วขัดใจที่ไม่ได้บดขยี้จูบลงมา “ทำไม?” “ระ...เรา เพิ่งกินข้าวมา” นี่คือเหตุผลสำคัญที่ณัฐรินีย์ไม่ยอมให้สิงหาจูบ เธอไม่ได้รังเกียจเขา แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่หลังกินข้าวแบบนี้ “ไม่เห็นเป็นไร” “เป็น!” เธอแย้งทันที ส่ายหวือปิดปากแน่นไม่ยอมให้สิงหาแตะต้องเด็ดขาด “นิดอยากแปรงฟันก่อน” “ได้” พูดแค่นั้น ร่างของณัฐรินีย์ก็ลอยคว้างขึ้นอีกครั้ง สิงหาก้าวเร็วๆ ไปที่ห้องน้ำ เขาวางร่างเล็กกว่าลงหน้าอ่างล้างหน้า หยิบแปรงสีฟันยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างสีขึ้นมา บีบยาสีฟันเนื้อขาวกลิ่นมิ้นต์สดชื่นใส่จนเต็ม “ถ้าแปรงฟันแล้วจะมีข้ออ้างอะไรอีกไหม” “ไม่มีแล้ว” “ดี” สิงหาส่งแปรงสีฟันสีอ่อนให้ณัฐรินีย์ มองเธอค่อยๆ แ
สวบ“อ๊า!!”เสียงครางสองเสียงดังประสานกัน เมื่อณัฐรินีย์ตัดสินใจกดกายเข้าหาท่อนเนื้อยาวใหญ่จนสุดโคนเสียงแรกคือเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่มากเท่าความสุขสมที่ได้รับ ส่วนเสียงที่สองนั้นเต็มไปด้วยความเสียดเสียวล้วนๆ“อื้อ... เจ็บจัง”“พักก่อนก็ได้” นับว่าวันนี้เป็นวันที่สิงหาใจเย็นที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนมีอาหารจานโปรดวางอยู่ตรงหน้าแต่ยังกินไม่ได้ จะว่าทรมานก็ทรมาน แต่ถ้าหากสิงหารีบกินเกินไป เขาก็อาจจะกินได้แค่ครั้งเดียวสำหรับสิงหา ครั้งเดียวมันไม่พอ“ไม่” ฝ่ายที่นั่งอยู่บนตัวส่ายหน้าไปมา “นิดจะทำ”สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขามองดูคนอวดเก่งที่พยายามดันกายขึ้นช้าๆ ฟันขาวที่กัดริมฝีปากตัวเองจนซีดดูก็รู้ว่าเธอเจ็บปวดแค่ไหน แต่มันไม่ได้ทำให้เธอหยุดตัวเองได้เลย...“เจ็บ...เสียว”สองคำที่มีความหมายต่างกันออกมาจากริมฝีปากสั่นระริกเป็นระยะ ณัฐรินีย์วางมือลงบนกล้ามเนื้อหน้าท้องของสิงหา ใช้เป็นที่ค้ำกายยามขยับตัวขึ้นและลงจนกระทั่งผ่านไประยะหนึ่ง คนที่ควบคุมทุกอย่างก็เหมือนว่าจะเริ่มปรับตัวได้ สะโพกอิ่มยกขึ้นลงอย่างไม่ติดขัด แต่ก็ยังเชื่องช้าเพราะจับจังหวะไม่ได้จนสิงหาเอื้
แกร๊กๆๆ “อื้อ~” แกร๊กๆๆ “นายสิงห์ อย่าทำเสียงดังได้ไหม นิดง่วงนะ” แกร๊กๆๆ “นายสิงห์!” ในที่สุดคนง่วงก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นนั่งตะโกนเรียกหาคนที่ทำเสียงรบกวนอย่างหงุดหงิด “นิดบอกว่าง่วง! ทำไมนายสิงห์ไม่เข้าใจ นิดได้นอนไปนิดเดียวเองนะ!” “อะไรของเธอ” สิงหาที่ถูกเสียงแหลมๆ ดังปลุกยกหัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งลงหมอนนุ่มเหมือนเดิม ใช่ว่าจะมีแต่เธอที่ง่วงเสียเมื่อไหร่ สิงหาเองก็ง่วงเหมือนกัน และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วย เสียงที่ดังอยู่ใกล้ตัวทำให้ณัฐรินีย์ตั้งสติ ค่อยๆ ลืมตาที่บวมเป่งขึ้น เธอไม่ต้องตามหานาน เพียงแค่หันนิดเดียวก็เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่มีรอยขีดข่วนแดงๆ กระจายเต็มพื้นที่อยู่ข้างๆ สิงหานอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนี้ แต่เธอได้ยินเสียงแกร๊กๆ นั่นดังมาจากประตู หรือว่า... หงิง... “บาร์บี้!” คนที่เคยงอแงเพราะความง่วงรีบลุกขึ้นทันที ร่างบอบบางเซเล็กน้อยจนเกือบล้ม ก่อนจะกลับมายืนตรงได้ในวินาทีถัดมา ยังดีที่สิงหาสวมใส่เสื้อผ้าให้เธอเรียบร้อยแล้ว ถึงจะโล่งไปหน่อยเพราะไม่ได้สวมชั้นใน มีเพียงแค่เสื้อตัวยาวๆ ที่ปิดถึงขาอ่อนกันอุจาดตาเท่านั้น แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เธอนอนเป็นชีเปลือยทั้งคืนเป็นไห
“เธอ”“...”“เธอ!”“...”“หนูนิด”“จ๋า?” เจ้าของชื่อหนูนิดขานรับเสียงหวาน หันกลับมายิ้มสดใสขัดกับสีหน้าดุดันของสิงหาอย่างสิ้นเชิง “มาหาหนูนิดถึงที่นี่ มีธุระอะไรเหรอ?”ณัฐรินีย์วางกระป๋องน้ำลง เธอเดินเข้าไปหาคนที่ยืนเท้าแขนกับคอกหมู ยื่นหน้าเข้าใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน“หรือว่าคิดถึงหนูนิด เมื่อคืนก็ให้นอนกอดแล้วไง”“ณัฐรินีย์...”หญิงสาวยู่หน้า ถอยห่างอย่างมีแง่งอน “เสียงดุอีกและ เรียกชื่อจริงอีกและ ไหนบอกให้เป็นเมีย ไม่เรียกเธอก็เรียกแต่ชื่อจริง ผัวเมียที่ไหนห่างเหินแบบนี้”“อย่าพูดแบบนี้” สิงหาเตือนเสียงดุ เขามองไปรอบบริเวณเมื่อไม่พบเจอคนอื่นอยู่ก็ค่อยโล่งใจ“ทำไม? หรือจริงๆ แล้วนายสิงห์ไม่ได้คิดอะไรกับนิดแล้ว แบบนั้นเราลดสถานะได้นะ นิดไม่ถือหร๊อก”“หนูนิด เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนคิดเองเออเองตั้งแต่เมื่อไหร่?” สิงหาถอนหายใจ ยกแขนขึ้นกอดอกมองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาระอา แต่ก็แฝงไปด้วยความเอ็นดูกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วหลังจากที่สิงหาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะให้อภัยผู้หญิงคนนี้ มันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่สิงหาไม่ฝันร้ายถึงช่วงเวลาที่พิการอีก และก็เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่สิงหามีเพื่อนร่วมเตียงที่ไม่ใช่แค่เพื
“เกาะตะวันฉายกำลังจะมีนายหญิง เรื่องจริงหรือวะ?”แม่ครัวใหญ่เท้าสะเอวถามเด็กสาวอายุสิบหกปีชื่อว่ากระถิน เด็กคนนี้ปกติไม่ค่อยได้มายุ่งกับงานครัวหรืองานอื่นๆ ของเกาะเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวตั้งใจว่าจะเรียนหมอ เลยตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว และนายสิงห์เองก็สนับสนุนเต็มที่แต่จู่ๆ วันนี้เด็กที่แทบไม่เคยได้เห็นหัวกลับตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันและวิ่งปรี่เข้ามาในโรงครัว มาถึงก็พูดเรื่องเหลือเชื่อเกินไปจนแม่ครัวคนอื่นพากันเลิกสนใจ มีแค่อ้วนเพียงคนเดียวที่ยังยืนฟังเด็กสาวพูดเจือยแจ้วไม่หยุด“พี่อ้วนก็ไปเชื่อมัน” ลูกมือคนหนึ่งพูด สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่องที่กระถินพูดเด็ดขาด “นายสิงห์เคยสนใจใครที่ไหน บางทีนายหญิงของเกาะนี้อาจจะเป็นหอยมุกซักตัวหนึ่งก็ได้”“แต่กระถินไม่ได้โกหกนะจ๊ะ” เด็กสาวยืนยัน เธอไม่ได้โกหกจริงๆ เมื่อวานเธอเห็นกับตา “พี่ผู้หญิงคนนั้นดูยังไงก็ไม่ใช่แขกธรรมดา นายสิงห์ถึงขั้นให้พี่เอกพาเดินชมฟาร์ม แล้วกระถินก็เห็นด้วยว่าพี่สาวคนสวยเดินกลับบ้านพร้อมนายสิงห์ ไม่เชื่อป้าอ้วนก็ถามลูกชายดูสิ”“เอกมันไม่เล่าหรอก เรื่องของเจ้านาย” เธอแอบจิกกัดเด็กสาวไปหนึ่งที แต่ดูเหมือนว่าคนที่กำ
สิงหารู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองเหนื่อยง่ายขึ้น หงุดหงิดง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ดูขัดหูขัดตาไปหมด แม้แต่เอกสิทธิ์คนสนิทยังโดนสิงหาดุกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ชายหนุ่มวินิจฉัยตัวเองว่าเป็นเพราะช่วงนี้เขานอนน้อยเกินไป รวมถึงปัญหาที่กำลังรุมเร้าเข้ามาทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน ปัญหาที่ว่าคือฝั่งทะเลอันดามันกำลังจะเจอกับพายุอีกครั้งในรอบปี สิงหาเพิ่งเลี้ยงหอยลอตใหม่ไปไม่ถึงเดือน ถ้าโดนเต็มๆ มูลค่าความเสียหายคงไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าทิศทางพายุจะไม่มีผลกับผลผลิตของเขา ทว่าเขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี เขาคงนอนน้อยเกินไปจริงๆ “นายสิงห์ครับ” “อืม” สิงหายกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ ขานรับลูกน้องเสียงแผ่ว “ไม่สบายหรือเปล่าครับ?” “ผมสบายดี แค่นอนน้อย คุณมีอะไร?” ชายหนุ่มกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งหลังจากเผยความอ่อนแอให้เอกสิทธิ์ได้เห็น ตั้งแต่สูญเสียไลลาไปเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำตัวอ่อนแออีก ไม่ใช่เพราะเขารักตัวเองมากขึ้น แต่เพราะคำขอร้องแกมดุด่าของใครบางคนต่างหาก... . “ถ้ายูจะฆ่าตัวตายก็ไปตายที่อื่น ตรงนี้ไอจะสูบบุหรี่” “...” “ไปไม่ได้เหรอ? ทำไมตอนลุกขึ้นมาปีนสะพานถึงทำได้?” “...” “ทำไมถึงอยากฆ่าตัวต
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดเจ้าของเกาะตะวันฉายคือวันที่ผู้คนบนเกาะเฝ้ารอมากที่สุด เพราะนอกจากจะมีของกินหลากหลายไม่อั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เยอะจนถ้าไม่เมาห้ามกลับบ้านแล้ว ยังมีรางวัลที่สิงหามีมาแจกทุกปีทั้งๆ ที่เป็นวันเกิดตัวเองแม้ปีนี้สิงหาจะยุ่งจนลืมวันเกิด แต่เขาก็เตรียมของที่จะแจกได้ทัน เหมือนกับที่ชาวบ้านทุกคนเตรียมงานขนาดกลางเสร็จภายในเวลาหกโมงเย็น งานง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเริ่มขึ้นทันทีที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า“อันนี้กำไลที่มีเลขของใครของมัน รักษาให้ดี เพราะถ้าทำหายก็จะหมดสิทธิ์ได้ของขวัญจากนายสิงห์นะจ๊ะ”ณัฐรินีย์ชะเง้อคอมองเหตุการณ์บริเวณซุ้มทางเข้า มีเด็กสาวสองสามคนและเอกสิทธิ์ยืนประจำที่ แจกกำไลข้อมือกระดาษให้แขกที่มาร่วมงานทุกคนที่เดินผ่าน หญิงสาวนึกสนุกอยากร่วมแจมด้วยจึงทิ้งสิงหาไว้ข้างหลัง แล้วรีบมาต่อแถวกับชาวบ้านอย่างหน้าชื่นตาบาน“คุณนิด?” เอกสิทธิ์เกือบผงะถอยหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับรอยยิ้มหวานๆ จากแขกคนพิเศษของสิงหาที่ยืนอยู่ตรงหน้า “มาทำอะไรครับ?”“นิดมาเอากำไลค่ะ” เธอตอบเสียงสดใส พลางยื่นแขนมาให้เอกสิทธิ์สวมกำไลกระดาษนั่นให้เอกสิทธิ์ลังเล เขาพยายามมองหาส
ณัฐรินีย์ส่งยิ้มให้กระแตเมื่อต้องเดินสวนทางกัน แต่อีกฝ่ายกลับมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะเดินเชิดหน้าจากไปเหมือนไม่อยากเสียเวลาเสวนากับเธอแม้แต่วินาทีเดียว“เด็กหนอเด็ก”ณัฐรินีย์เลิกให้ความสนใจกับเด็กสาว เธอเดินเข้าไปหาสิงหา ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าแก้วเครื่องดื่มที่กระแตเอามาให้ไม่มีน้ำเหลือแม้แต่หยดเดียว...“นายสิงงงงห์ เรื่องนายหญิงนี่เป็นความจริงหรือคร๊าบ” ใครบางคนที่ณัฐรินีย์ไม่รู้จักเอ่ยถามขึ้น อีกฝ่ายดูเมามาย ไม่เห็นแม้กระทั่งเธอที่ยืนอยู่ข้างหลังสิงหาแบบนี้เรียกได้ว่านินทาระยะเผาขนเชียวล่ะ...“ไม่รู้สิ”“เอ๋?? ไม่รู้ได้ยางงาย นายสิงห์ไม่ต้องเขินหรอกน่า บอกมาตรงๆ ผมจะได้ทำตัวถูกงาย”“ก็ทำตัวปกตินั่นแหละ ไม่ต้องสนใจ”“ม่ายด้ายคร๊าบม่ายด้าย” ชายขี้เมาโบกมือไปมา เสียงยานคางขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง “เมียนาย อึ่ก! จะให้ผมไม่สนใจได้ยางงาย... เอิ๊ก”คนที่อยู่ในบทสนทนายกมือขึ้นปิดปาก เธอขำชายขี้เมาที่พูดจบแล้วก็หลับไปทันที ท่าทางแบบนี้วันพรุ่งนี้คงจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สมัยเธออยู่อเมริกาเธอก็มีสภาพนี้บ่อยๆ จนนิคกี้ต้องหอบกลับอพาร์ทเม้นท์เป็นประจำ“แอบฟังคนอื่นคุยกัน
กลับมาที่เกาะได้ไม่ถึงเดือน สองสามีภรรยาก็ต้องขึ้นฝั่งอีกครั้ง ทั้งคู่บินตรงไปกรุงเทพฯ และเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลโดยไม่หยุดพัก เมื่อเช้าสิงหาได้รับสายจากนิโคลัส แต่นิโคลัสไม่ได้เป็นคนคุย เขายื่นโทรศัพท์ให้คุณหญิงสุดา เธอรับไว้แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ลูกสาวและลูกเขยรู้ “พ่อเขาหมดสติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเลยกู้ชีพกลับมาได้ แต่หมอบอกว่าพ่อเขาต้องทำบายพาสหัวใจ เพราะตรวจเจอเส้นเลือดตีบสามเส้น” ณัฐรินีย์ใจหายวาบ เร่งเร้าให้สิงหาหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด ก่อนจะพากันกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลช่วงบ่ายแก่ เปิดประตูห้องพิเศษเข้าไปก็เจอกับคุณหญิงสุดาที่นั่งอยู่ข้างเตียง ถัดไปเป็นนิโคลัส และใกล้กันกับนิโคลัสคือณัฐริกา “พี่นิ่ม” “หนูนิด” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง ณัฐริการ้องไห้ออกมาเพราะไม่ได้เจอหน้าน้องสาวมาหลายปี เธอคิดถึงหนูนิด แต่ยิ่งคิดถึงเธอก็ยิ่งละอายใจ เพราะถ้าหนูนิดไม่ช่วยเธอไว้วันนั้น น้องสาวเธอคงไม่ถูกส่งไปไกลจากบ้านแบบนี้ “คิดถึง” “นิดก็คิดถึงพี่นิ่ม” แฝดน้องผละออก มองสำรวจพี่สาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นด้วยสายตารักใคร่ “ดูผุดผ่องขึ้นนะคะ ไปทำอะไรมา”
“พี่สิงห์” ร่างบอบบางถลาเข้าหาอ้อมกอดของสามี พออ้อมแขนอบอุ่นโอบรัด น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นทาง ณัฐรินีย์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง เธอเป็นเพียงคนๆ หนึ่งที่มีความรู้สึกเปราะบางเหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอร้องไห้หลายครั้งแต่ไม่มีใครเห็น เธอเจ็บปวดเป็นพันครั้งแต่ไม่มีใครมาสนใจ ความเจ็บปวดซ้ำๆ ทำให้เธอต้องสร้างกำแพงขึ้นมา ทำเหมือนว่าตัวเองคือคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าใคร เจ็บแค่ไหน เสียใจแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่วันนี้เธอรู้แล้วว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไป ถ้ามีอ้อมกอดที่พร้อมกอดก็อย่าลังเลที่จะรับมัน ถ้ามีอกกว้างให้ซับน้ำตาก็อย่าลังเลที่จะร้องไห้ออกมา บางทีการร้องไห้อาจจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย “ไม่เป็นไรนะ” คำพูดสั้นๆ พร้อมกับมือที่ลูบเส้นผมเบาๆ ทำให้ณัฐรินีย์ปล่อยโฮ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอร้องไห้ขนาดนี้ ร้องเหมือนว่าโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย ร้องเหมือนว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ให้ร้องอีก เธอร้องจนปวดหัว ร้องจนหูอื้อ ร้องจนเสื้อที่สิงหาใส่เปียกชื้น แต่ถึงอย่างนั้นอ้อมแขนแกร่งก็ไม่ปล่อยให้เธอห่างกาย คุณหญิงสุดามองภาพนั้นทั้งน้ำตา นานแค่ไหนแล้
เพี๊ยะ!! ใบหน้างดงามหันตามแรงฟาดของฝ่ามือ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวแข็งค้าง สิงหาตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพความรุนแรงแบบนี้ ส่วนคนเป็นแม่ก็ไม่คิดว่าลูกจะถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายอีกครั้ง “ลูกไม่รักดี!!!” “คุณคะ!” “เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกมันไม่รักดี ไม่เคยทำให้ฉันกับแม่แกภูมิใจเลย! ต้องให้ฉันตบตีแกอีกกี่ครั้งแกถึงจะคิดได้ห้ะ!” สิงหากำมือแน่น เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ต้องมาเห็นเมียถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกแบบนี้... ถึงเขาจะเลวแต่เขาไม่เคยคิดลงมือทำร้ายผู้หญิงเลยซักครั้ง แม้แต่ณัฐรินีย์เองเขาก็ไม่เคยตบตี ต่อให้ตอนที่ยังไม่ได้รักเขาก็ไม่คิดจะทำ แล้วทำไมพ่อแท้ๆ ถึงทำกับลูกได้ขนาดนี้ “คุณพ่อครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น สิงหาหันกลับไปมอง ดวงตาเขาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ให้พ่อใจเย็นได้ยังไงนิค ลูกนิ่มก็หายตัวไป ส่วนคนที่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์” ท้ายประโยคคุณหมอกระแทกกระทั้นใส่ลูกสาวที่ตนเองเพิ่งลงมือทำร้ายร่างกายไป ณัฐรินีย์ไม่ต่างจากถูกทำร้ายร่างกายและเหยียบย่ำความรู้สึกซ้ำๆ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ
“นิโคลัสมันแต่งงานกับพี่สาวฝาแฝดของเมียแก” “พี่สาวฝาแฝด!?” สิงหาตกใจจนคำพูดของเพื่อนเกือบไม่เข้าหู พี่สาวฝาแฝด เขาเพิ่งรู้ว่าเมียตัวเองมีพี่สาวฝาแฝด “อืม หน้าเหมือนกันอย่างกับคนเดียวกัน ฉันเกือบสับสนไปแล้ว” “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนที่สิงหาสืบข้อมูลของณัฐรินีย์เพื่อแก้แค้นเขาไม่ได้สนใจครอบครัวของเธอเลย เขาสนแค่ถ้าจับเธอมาได้ครอบครัวเธอจะต้องเสียใจจนกระอักเลือดเพราะยังไงณัฐรินีย์ก็คือลูก และเพราะความไม่รอบคอบของเขานี่เอง เขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าการจับตัวณัฐรินีย์มามันทำอะไรครอบครัวนั้นไม่ได้เลย และที่สำคัญ...หนูนิดของเขามีพี่สาวฝาแฝด บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเหมือนถูกปลดล็อก สิงหาถึงบางอ้อทันทีเมื่อรู้ว่าณัฐรินีย์มีพี่สาวฝาแฝด ถ้าหากคืนนั้นเธอไม่ได้ขับรถชนเขา คนที่ชนก็น่าจะเป็นพี่สาวเธอ เพราะวันนั้นเขาเห็นหน้าคนขับ และเขาจำได้ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับณัฐรินีย์ราวกับแกะ “แล้วยังไงต่อ” “เมียแกกลับไปอยู่บ้าน ฉันไม่รู้มากกว่านี้ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ราฟาเอลสะอึกเมื่อเห็นแววตาวาววับของเพื่อนสนิท เขากระแอมไอ รีบแก้คำพูดก่อนจะโดนดีดออกจากห้องโทษฐานบอกว่าเมียของมันไม่สำคัญ “ที่จริงแล้วเรื่อ
สิงหาฝัน... เขาฝันว่าตัวเองทะเลาะกับณัฐรินีย์ด้วยเรื่องที่เธอโกหกเขา เธอไม่ได้เป็นคนขับรถชนเขาเพราะเธอขับรถไม่เป็น แม้แต่พวงมาลัยเธอยังไม่เคยจับมันมาก่อน ลึกๆ แล้วสิงหาดีใจที่รู้แบบนั้น แต่เขาก็เสียใจอยู่ดีที่เธอเลือกที่จะปกปิดและโกหกมาตลอด เพราะถ้าหาก... ถ้าหากว่าเขาเลวกว่านี้อีกซักนิด แล้วเผลอทำอะไรรุนแรงกับคนบริสุทธิ์ลงไป เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นในความฝันก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ยินคำบอกรักจากเธอเป็นครั้งแรก ที่จริงจะเรียกว่าครั้งแรกก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเคยได้ยินคำนั้นในวันแต่งงานของเรา เพียงแต่เขาไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเธอพูดมันจากความรู้สึกจริงๆ บรรยากาศในวันนั้นมันเป็นใจเกินไป ณัฐรินีย์อาจจะพูดเพียงเพราะสถานการณ์พาไป ทว่าครั้งนี้สิงหาเชื่อสนิทใจ แม้จะเป็นแค่เพียงคำพูดในความฝัน แต่สิงหากลับรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้ยินมัน และมันก็ทำให้หัวใจที่ปิดตายมานานสั่นคลอน ความรู้สึกภายในมันร่ำร้องบอกออกมาว่าตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขารักหนูนิด น่าเสียดายที่ในฝันนั้นสิงหาไม่ได้บอกกลับไป เขาได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่จ
บรรยากาศภายในรถเงียบงันเมื่อสิงหาไม่ได้พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะเปิดเพลงคลอเหมือนขามาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้มือเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัย ไม่ถึงสองนาทีรถราคาไม่แพงนักก็เลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ “ที่จริงเราน่าจะพักที่โรงพยาบาล” ณัฐรินีย์ออกความเห็น แต่ก็เข้าใจว่าสิงหาไม่ได้เจ็บป่วยหนักอะไร ถ้าต้องพักที่โรงพยาบาลมันก็เหมือนกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขาลงจากรถ หยิบของจากเบาะหลัง ก่อนจะส่งกุญแจให้พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับทิปจำนวนหนึ่ง ณัฐรินีย์ก้าวลงจากรถอย่างงุนงง เธอเดินตามหลังสิงหาเข้าไปในโรงแรมก็พบว่าเขาเช็กอินเรียบร้อยแล้ว “ห้องอยู่ชั้นสาม ห้อง 303 นะคะ ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาได้เลยค่ะ” สิงหารับคีย์การ์ดมาถือไว้ เขาไม่ได้ตอบอะไร เมื่อได้ของที่ต้องการก็เดินจ้ำอ้าวไม่แม้แต่รอเมียที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังมา “พี่สิงห์!” ณัฐรินีย์หอบแฮ่ก “ปวดแขนมากเหรอถึงได้รีบเดินขนาดนี้” “...” “พี่สิงห์ ทำไมไม่พูดกับนิด” “...” “พี่สิ-“ ติ๊ง “ไว้ไปคุยกันในห้อง” ณัฐรินีย์ชาไปทั้งตัวเมื่อน้ำเสียงของสิงหาไม่ได้อบอุ่นเหมือนเคย หรือถ้าพูดให้ถูกคือน้ำเสียงข
หลังจากเคี่ยวกรำเมียมาเป็นอาทิตย์สิงหาก็เกือบน้ำตาตกใน เมื่อวันหนึ่งณัฐรินีย์เดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ว่า “พี่สิงห์ คืนนี้ห้ามกวนนิดนะ พอดีว่าน้องแดงเดือดมา” สิงหาเข่าอ่อน เขาเคยคิดว่าตัวเองน้ำยาดีพอ แต่นี่เขาไม่ได้ป้องกันมาเกือบเดือนแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าเมียเขาจะตั้งท้องเสียที ยืนยันได้จากน้องแดงเดือดที่มาตรงเวลาจนน่าโมโห บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ กับครอบครัวที่พร้อมมากๆ ทั้งอายุและการเงินอย่างเขาและณัฐรินีย์กลับยากที่จะมีลูก แต่กับเด็กๆ ที่พลาดจนตั้งท้องเป็นว่าเล่นกลับมีอย่างง่ายดาย และสุดท้ายเด็กทารกที่ไม่รู้อะไรก็มักจะถูกทอดทิ้งเสมอ เหมือนกับเขาที่ถูกทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แบเบาะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นใคร พ่อเป็นใคร รู้แค่ตัวเองเป็นลูกครึ่ง แต่ครึ่งอะไรสิงหาไม่เคยคิดอยากจะหาคำตอบ ตอนเด็กๆ เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงขายบริการ มีลูกกับแขกแล้วเลี้ยงไม่ไหวเลยเอาเขามาทิ้งเป็นภาระให้กับคนอื่น แต่พอเขาเอาเรื่องไปเล่าให้แม่ครูฟังแม่ครูก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่าซักวันแม่จะกลับมารับเขาไปอยู่ด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สิงหารู้จักคำว่า
“อื้อ”เจ้าสาวคนสวยครางในลำคอเบาๆ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสเข้ากับฟูกนุ่มที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสด สิงหาค่อยๆ ปลดแขนเรียวที่เกี่ยวรั้งต้นคอตนเองออก ก่อนจะขยับออกห่างจากเจ้าสาวที่นอนทอดกายมองมาไม่วางตาดวงตาสุกสกาวมองตามสามีตามประเพณีที่ขยับออกห่างด้วยหัวใจที่เรียบสนิท ทั้งๆ ที่เหมือนกำลังจะถูกทอดทิ้งแต่ณัฐรินีย์กลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะกลับมาและสิงหาก็กลับมาจริงๆ“หนูนิด” สิงหาเรียกเจ้าสาว ก่อนจะช่วยพยุงให้ร่างบอบบางลุกขึ้นนั่งดีๆ “พี่ให้”“มันคือ?”“แหวนวงแรกที่พี่เก็บเงินซื้อได้” สิงหาหมุนแหวนราคาไม่กี่หมื่นให้ณัฐรินีย์ดู เพชรเม็ดเล็กๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อแหวนส่องประกายล้อแสงไฟจากตะเกียงจนวาววับ “ตอนเรียนจบ พี่นึกอยากมีเครื่องประดับก็เลยเอาเงินเก็บที่ทำงานช่วงเรียนมาซื้อ ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ต่อให้อดอยากแค่ไหน เพราะมันคือสมบัติชิ้นแรกที่พี่มี”“แล้วทำไมถึงให้นิด ของสำคัญแบบนี้พี่สิงห์ควรเก็บไว้ที่ตัวเอง”สิงหาเงยหน้าจากแหวนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าสาว มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ของสำคัญ ก็ต้องอยู่กับคนสำคัญ”“พี่สิงห์ นิดไม่ชิน” ณัฐรินีย์ก้มหน้าหลบ
พิธีการแต่งงานของเกาะตะวันฉายไม่ได้อิงกับศาสนาหรือพิธีของประเทศไหนเป็นหลัก เพราะที่นี่เป็นเกาะ เปรียบเสมือนแผ่นดินเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากแผ่นดินหลัก ทำให้วิถีการใช้ชีวิตหรือความเชื่อของคนบนเกาะต่างจากคนทั่วไป อย่างเช่นผู้คนที่นี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้เชื่อคำสอนของใคร พวกเขาแค่เชื่อในตัวเอง และมีที่พึ่งทางใจเป็นพ่อปู่ที่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ณัฐรินีย์ถูกสิงหาจับจูงไปตรงส่วนทำพิธี ที่ตรงนั้นถูกจัดให้อยู่ในทะเลที่สูงระดับครึ่งหน้าแข้ง มีซุ้มดอกไม้สีขาวตั้งเด่น ไม่มีบาทหลวง ไม่มีคนทำพิธี เพราะสิงหาเคยบอกว่าการแต่งงานมันคือเรื่องราวของคนสองคน ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำกับ มีเพียงแค่น้ำทะเลที่เหมือนเหมือนชีวิตและจิตวิญญาณโอบล้อมไว้ก็เพียงพอแล้ว บ่าวสาวหยุดลงเมื่อลุยน้ำไปจนถึงหน้าซุ้มดอกไม้ ทั้งคู่หันกลับไปมองบนฝั่ง ชาวบ้านนับร้อยยืนมองคู่แต่งงานอยู่บนนั้น ไม่มีใครเข้ามาใกล้ และจะไม่มีใครได้ยินว่าทั้งสองคนพูดคุย หรือให้คำสัญญาอะไรต่อกัน สมกับที่สิงหาบอก การแต่งงานบนเกาะตะวันฉายคือเรื่องของคนแค่สองคนเท่านั้น สิงหาเลิกสนใจผู้มาร่วมงาน เขาหันกลับมามองเจ้าสาวของตนเอง ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน มือบา