ด้านล่างที่ทางเดินของลานพิธี อวี้ซูหนี่บุตรสาวของเสนาบดีอวี้เองก็มาดูพิธีขอฝนในครั้งนี้ด้วยเพราะได้รับมอบหมายให้เป็นคนดูแลงานในครั้งนี้ นางเดินทางจากเมืองหลวงมายังพื้นที่ห่างไกลก่อนงานหนึ่งวัน ทำท่าคล้ายตนเป็นผู้จัดงานแต่ความจริงแล้วนางนั้นได้ผลักภาระไปให้คนอื่น ซึ่งนางได้ส่งคนผู้นั้นมาเตรียมงานก่อนนางแล้วสองวัน งานพวกนี้ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
แต่ที่รับงานนี้มาก็เพียงเพื่อหวังให้ตนเองได้อยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้สักครา ก่อนที่พ่อของนางจะช่วยนางเข้าไปในวังหลัง อย่างน้อยนางต้องทำให้พระองค์จดจำนางในทางที่ดีไว้ก่อน หากนางเข้าไปโดยใช้อำนาจของบิดากดดันฮ่องเต้ให้รับนางเป็นสนมในตำหนักอีกคน ยามนั้นก็คงไม่ถูกพระองค์แลตามองมาเป็นแน่ นางไม่อยากเป็นเหมือนกับสนมคนอื่นในวังหลวง ไม่มีใครไม่รู้ว่าฮ่องเต้นั้นไม่เคยไปเยี่ยมวังหลังแม้สักครา นางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับตนไม่ได้
อวี้ซูหนี่นั้นเหนือกว่าสนมพวกนั้นอยู่มาก บิดาเป็นถึงอัครเสนาบดีผู้มีอำนาจมากสุดลองจากฮ่องเต้พระองค์เดียว บ้านของนางสืบเชื้อสายมารุ่นต่อรุ่นเป็นขุนนางเก่าแก่ในวังหลวง พี่ชายนางยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น สิ่งนี้สนมคนอื่นไม่อาจเทียบนางได้
นางถูกบิดาพูดกรอกหูมาตั้งแต่เด็กว่านางคือฮองเฮา ดวงของนางเกิดมามีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ทุกคนในเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ ยามนางเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา
แต่เมื่อเดินทางมาที่หมู่บ้านซึ่งห่างไกลความเจริญเช่นนี้นางกลับรู้ว่าคนที่นี่ไม่มีใครรู้จักนางสักคน ก่อนออกมาที่ลานพิธีนางถึงได้แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างดี ให้ตนดูเด่นที่สุด ไม่มีใครในหมู่บ้านที่ไม่มองมาที่นาง นางนั้นรังเกียจสายตาของพวกบุรุษพวกนั้นนักแต่ก็ต้องวางท่าทางสง่างามไว้ไม่แสดงออกมาให้ใครเห็นถึงความไม่พอใจจากนางได้
ไม่ไกลจากที่นางอยู่ เมื่อเสียงกลองสงบลงเป็นครั้งคราว อวี้ซูหนี่ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของหญิงชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนเนินเขาซึ่งดังมาก ดังจนมาถึจุดที่นางยืนอยู่ หญิงสาวพวกนั้นได้แต่มองลานพิธีไกลๆ เพราะไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ มีเพียงนางที่ได้รับสิทธิพิเศษ โดยการอ้างอำนาจของบิดาในการมาช่วยดูแลพิธีกรรม
เสียงของหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนกลุ่มนั้นดังมาถึงหูของนาง อวี้ซูหนี่ได้ยินเรื่องที่พวกนางคุยกันทั้งหมด พอได้ยินก็ถึงกลับยิ้มชั่วร้ายอย่างดูถูกดูแคลนหญิงชาวบ้านกลุ่มนั้นไม่ได้
อวี้ซูหนีอยากรู้นักว่าคนที่หมายตาตำแหน่งฮองเฮานั้นหน้าตาเป็นเช่นไร นางจึงหันไปมองทางหญิงสาวกลุ่มนั้นที่อยู่ห่างออกไป
'หน้าตาบ้านๆ ต่อให้แต่งตัวสวยขนาดไหนก็ไม่มีทางเป็นที่ต้องตาต้องใจของฝ่าบาทได้หรอก'
เห็นหน้าของหญิงสาวพวกนั้นแล้วนางก็เบาใจมากกว่าเดิม ไหนจะหญิงสาวอีกคนที่ยืนห่างออกไปที่สวมโต้วลี่ปิดบังใบหน้าคงขี้ริ้วขี้เหร่จนไม่อาจให้คนมองได้ เหอะ ไม่มีใครสู้นางได้สักคน
อวี้ซูหนี่หันกลับไปคร้านที่จะใส่ใจ ตำแหน่งฮองเฮายังไงเสียก็ต้องเป็นของนางอยู่แล้ว
งานซ้อมทำพิธีเสร็จสิ้นแล้ว เมื่ออวี้ซูหนี่กลับมาที่โรงเตี๊ยมเก่าๆ ในหมู่บ้าน นางก็เลือกชุดที่สั่งให้บ่าวรับใช้ถือมาด้วยหลายชุดอยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เลือกออกมาได้
ชุดสีขาวชุดนี้จะทำให้นางดูโดดเด่นกว่าผู้อื่น ไม่มีใครจะมาเทียบนางได้ นางยืนลูบอาภรณ์ที่ตนเลือกพลางรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย การที่นางต้องมาอยู่ในโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อแห่งนี้ทำเอานางอึดอัดไม่ใช่น้อย แต่พอนึกถึงสายพระเนตรของฝ่าบาทที่จะมองมาที่นางในวันพรุ่งนี้ด้วยชุดนี้แล้ว นางก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที รอยยิ้มสวยที่ไม่ได้ดูจริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของนาง
บ่าวรับใช้ที่พากันก้มหน้างุ่นต่างถอดถอนใจที่ในที่สุดนายของตนก็เลือกชุดออกมาได้เสียที พวกนางนั้นยังกลัวว่าหากไม่มีชุดที่ถูกใจคงโดนเฆี่ยนตีอีกเป็นแน่ คนภายนอกอาจคิดว่าคุณหนูของนางนั้นใส่ซื่อบริสุทธิ์ชอบทำบุญเข้าอาราม บริจาคสิ่งของ แต่คนในจวนทุกคนต่างรู้ถึงนิสัยเอาแต่ใจของอวี้ซูหนี่ดี เวลาอารมณ์ไม่ดีนางมักจะชอบเฆี่ยนตีบ่าวในจวนเพื่อระบายอารมณ์อยู่ร่ำไป
พวกนางยังเคยพูดว่าหากอวี้ซูหนี่ได้เป็นเฮาเฮาขึ้นมาจริงๆ ยามนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แทบไม่อยากนึกถึงอนาคตของแคว้นเลย
ที่อารามหมู่บ้านจิ้ง
"กลับไปพักผ่อนเถิดงานที่เหลือข้าจะจัดการเอง" จูมี่เอินเห็นพวกศิษย์พี่ซ้อมพิธีมาเหนื่อยๆ ยังจะมาช่วยนางทำงานอีกก็อดที่จะออกปากไล่ไม่ได้
เถียงกันอยู่นานสองนานจูมี่เอินก็เป็นฝ่ายชนะ พวกศิษย์พี่ต่างพากันแยกย้ายไป บางคนก็ไปอ่านคัมภีร์ บางคนก็ไปนั่งสมาธิ ทุกคนต่างคิดว่าการมีน้องเล็กนั้นช่วยให้ตนได้มีเวลาฝึกฝนกว่าเดิมมาก ในใจทั้งรักทั้งเอ็นดูนาง
จูมี่เอินมองส่งพวกเขาจากไปคนละทางในใจพลางคิด
'พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะได้เห็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เองกับตา'
นางเองก็ภาวนาขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านทำนาทำไร่ไม่ได้มานานแล้ว พืชผลน้อยยิ่งนัก น้ำในลำธารด้านหลังก็แห้งเหือดจนแทบไม่เหลือ กว่านางจะตักมาจนเต็มโอ่งได้ก็นานหลายชั่วยาม
ในตอนนี้จูมี่เอินนั้นไม่อาจควบคุมการมองเห็นภาพนิมิตรได้ นางพยายามฝึกอยู่หลายครั้งก็ไม่เป็นผล จะเห็นก็เห็นเองไม่มีกำหนดว่ากี่วันถึงเห็น
เรื่องที่นางเห็นส่วนมากคืออันตรายและการจากไปของผู้คน ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าฝนจะตกหรือไม่ ไม่สามารถมองเห็นอนาคตของแคว้นเซียวได้ ยามนี้นางเองก็ทำได้เพียงขอให้พีธีในวันพรุ่งนี้ผ่านไปด้วยดี และขอให้ฝนตกลงมาเสียที
จูมี่เอินไม่ใช่เทพเซียนนางหารู้ไม่ว่าพิธีขอฝนในวันพรุ่งนี้กลับไม่ราบลื่นอย่างที่นางหวัง....
วันทำพิธีขอฝน นักบวชหลวงนามหวังวั่งซูที่เดินทางมาซ้อมพิธีเมื่อวานก่อนวันจริงก็ได้พบข่าวร้าย นักบวชของอารามแห่งหนึ่งเกิดล้มป่วยท้องเสียกระทันหัน ทำให้นักบวชที่จะต้องเข้าทำพิธีในวันนี้ขาดไปหนึ่งคน เขาทำงานให้วังหลวงมานาน สองปีที่ผ่านมาฝนไม่ตกเขาเองก็กระวนกระวายใจ หวังว่าพิธีในวันนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลเสียที กลับไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในใจคิดถึงคำพูดของคนในเมืองหลวงที่ต่อว่าฮ่องเต้ ว่าเป็นคนที่พอได้ขึ้นครองราชก็ไม่มีฝนอีกเลยคล้ายดาวหายนะ ต่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นออกมา ปากชาวบ้านไหนเลยจะห้ามได้ พวกเขาต่างพากันพูดเช่นนั้นลับหลังฮ่องเต้ พากันกระจ่ายข่าวเสียหายออกไป จนตอนนี้ทุกคนมากกว่าครึ่งก็คิดเช่นนั้นไปแล้ว หากครานี้ฝนไม่ตกอีก ฮ่องเต้คงตกเป็นประเด็นในการพูดถึงอีกเช่นเคย บัลลังก์ของพระองค์ก็จะสั่นคลอนมากกว่าเดิม รอบนี้ดันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก หวังวั่งซูเลยคิดว่าอาจมีคนวางแผนไว้ให้พิธีกรรมวันนี้พังไม่เป็นท่า นักบวชนั้นไม่ใช่ว่าจะหามาเพิ่มไม่ได้ แต่ใกล้เปิดพิธีแล้วไม่น่าจะหาได้ทัน เพราะจากที่คาดการณ์ไว้นักบวชที่เขาเชิญมาใน
นางกัดฟันแน่น ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวไม่น่ามอง ดวงตามีความไม่พอใจอยู่หลายส่วน อวี้ซูหนี่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมตัวขนาดนี้พระองค์ไม่แม้แต่จะมองมา นางทำได้เพียงมองชายเสื้อของฮ่องเต้จากไปด้วยใจที่ขุ่นเคือง ไม่เป็นไรๆ พระองค์กำลังอยู่ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ คงไม่มีเวลาสนใจรอบข้าง ยังไงหลังจากนี้นางยังมีโอกาสเอาตัวเองไปให้พระองค์ได้ยลโฉม เมื่อพิธีเสร็จสิ้นนางจะไปเดินไปหาฮ่องเต้ด้วยตนเอง เอาตัวเองไปอวดต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นก็ยกความดีความชอบในการจัดงานครั้งนี้มาเป็นของตน ก่อนหน้านี้บิดาของนางเองก็คงได้บอกฮ่องเต้ไปแล้วว่านางมีส่วนช่วยดูแลงานในครั้งนี้ หากฝนตกต้องตามฤดูกาลนางก็จะได้ความดีความชอบมากขึ้นไปอีก เรื่องพิธีในวันนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อนางในการขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคตได้ พอคิดได้ดังนั้นนางก็ใจเย็นลง ทอดสายตามองเพียงชายเสื้อคลุมของฮ่องเต้ที่เริ่มจากไปไกลแล้ว เมื่อฮ่องเต้เดินพ้นไปชาวบ้านที่มารอดูพิธีที่คราแรกก้มหัวลงถึงพื้นก็ยืดตัวขึ้น นั่งรอดูพิธีกรรมต่อไป ทางด้านนักบวชที่ตั้งแถวอยู่ทั้งหมดสี่แถวก็แหวกออกเป็นสองฝั่ง ในมือของแต่ละคนจะถือของไม่เหมือนกัน บ้างเป็นรวงข้าว บ้างเป็
จูมี่เอินยืนก้มตัวรอรับขบวนเสด็จ ระหว่างรอนั้นที่หางตาก็เห็นผู้ที่เดินนำมาหน้าสุด ปลายอาภรณ์ของเขาเป็นสีทองสะท้อนกับแสงแดดจนแสบตา เจิดจ้าจนนางต้องหรี่ตาลงหลบแสงสีทองรอบตัวของคนผู้นั้น นี่สินะคือฮ่องเต้ของแคว้น คนที่มีบุญธิการเหนือผู้คนนับหมื่นนับแสน สมแล้วที่มีสายเลือดมังกร เพียงแค่เห็นปลายของฉลองพระองค์ยังทำให้ผู้คนหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้ พรึบๆ จูมี่เอินภาวนาไม่ให้เห็นภาพนิมิตรตอนทำพิธีเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดั่งใจนึก ภาพนั้นชัดเจนแจ่มชัด เป็นครั้งที่สองที่เห็นสีสันเช่นนั้นในนิมิตรของตน นิมิตรที่นางเห็นคือบุรุษผู้นั้น ผู้ที่ทรงสวมอาภรณ์สีทองสว่างจนแสบตา นางมองเห็นแท่นพิธี ต่อมาก็เห็นแท่นพิธีพังลง ร่างสูงใหญ่เพียงร่างเดียวที่อยู่บนนั้นก็ตกลงไปด้วย เขาถูกแผ่นไม้ที่สร้างแท่นพิธีขึ้นมาทับถมหายไปในซากไม้ ยามนั้นก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่โดยไม่มีการตั้งเค้าจากฝนมาก่อน หมับ แต่ยังไม่ทันได้สติกลับมาจากในนิมิตรดี ขาสั้นๆ ก็ก้าวออกมาแทรกผ่านนักบวชคนอื่นจากแถวหลังขึ้นมาด้านหน้าด้วยสัญชาตญาณ จูมี่เอินเอื้อมมือออกไปคว้าแขนคนนั้นๆ ที่ก
"ซาน เอ้อร์ อี" นางนับเลขถอยหลังให้เขาฟัง คลื่น ซ่า ฝนตกลงมาทันที ไม่มีการตั้งเค้ามาก่อน ชาวบ้านพากันส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ ยังไม่ทันเริ่มพิธีเลย ฝนก็ตกลงมา ทว่าดีใจได้เพียงชั่วครู่ต่างก็ต้องก็ต้องพากันเงียบเสียงลงทันที ครืนนนนนน เพล้ง เหรินโย่วหลุนหันไปมอง แท่นพิธีที่ทำจากไม้ยกสูงกว่าตัวคนที่มีผ้าปูไว้อย่างสวยงามพังลงมา กระถางธูปใหญ่สีเขียวที่ตกลงมาจากบนนั้น หล่นลงพื้นจนแตกละเอียด ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าถ้าเขายืนอยู่บนนั้นจะโดนกองไม้ทับมาที่ตัวขนาดไหน ผู้คนคงลือออกไปในทางเสียๆ หายๆ ว่าแม้แต่แค่ทำพิธีกรรมฟ้ายังไม่อาจเป็นใจ ช่วยให้เขาทำพิธีได้สำเร็จ หรืออาจจะพากันพูดว่าพอฮ่องเต้ได้รับการลงโทษจากฟ้า เทพสวรรค์ก็ประทานฝนลงมาเป็นการเยาะเย้ยแทนกันแน่ จูมี่เอินมือสั่นตกใจ นางเองก็หันไปเห็นภาพซ้อนทับขึ้นมาจากในนิมิตร แต่นางกลับสามารถช่วยชายผู้นี้ไว้ได้อีกครา แท่นพีธีไม่ได้พังเมื่อฮ่องเต้ขึ้นไป แต่พังเพราะรับน้ำจากน้ำฝนที่กำลังตกลงมาไม่ไหว เป็นเพราะนางรั้งเขาไว้ได้ทัน ดียิ่งนัก ค่อยโล่งใจหน่อย จูมี่เอินหันกลับมามองมือของตน นางพยายามดึงมือกลับไป อยากหน
โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง อวี้ซูหนี่โกรธจัด ฝนบ้านั้นจู่ๆ ก็ตกลงมา แถมยังเกิดเรื่องผิดพลาดในงานขึ้นอีก แท่นพิธีดันล้มลงมาไม่เป็นท่า นางอุตส่าห์แต่งตัวกว่าหลายชั่วยามจนออกมาเป็นที่พอใจ พอจะได้ให้ฮ่องเต้ยลโฉมหน่อยฝนพวกนั้นก็ตกลงมาจนหน้าของนางเสียโฉมไปหมด "โอ้ย!" บ่าวโชคร้ายคนหนึ่งกลับถูกนางตีเพราะเรื่องในวันนี้ไม่ได้ดั่งใจ มือเรียวที่ถือแส้หวดออกไปไม่ยั้ง ไม่สามารถคลายโทสะในใจให้หายไปได้เลยสักนิด จนนางเหนื่อยไปแล้วนั้นแหละถึงยอมรามือ ร่างของบ่าวผู้โชคร้ายถูกหามออกไป จังหวะนั้นกลับมีทหารบุกเข้ามาในห้องของนาง ไม่ทันได้พูดอะไรบอกนางแม้สักนิด อวี้ซูหนี่ก็โดยลากตัวออกไปแล้ว "จะทำอะไร ปล่อยข้า ปล่อย! รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าเป็นใคร ข้าจะจัดการพวกเจ้าเสีย ปล่อยข้า! พวกชั้นต่ำเอามือสกปรกออกไปนะ ข้าจะสั่งตัดมือพวกเจ้าซะ!" นางโวยวายและดิ้นไปมา ซ้ำร้ายยังออกปากด่าทอทหารของฮ่องเต้เสียๆ หายๆ ไม่หยุดตลอดทาง บ่าวรับใช้ของนางที่ตัวยังเปียกน้ำฝนอยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ตามเจ้านายที่ถูกลากออกไป คนกลุ่มนั้นดูก็รู้ว่าเป็นคนของทางการ ใครจะกล้าไปขัดขวาง คุณหนูของพวกเขานั้นเรื่องด
ห้องน้ำชาส่วนตัวแห่งหนึ่งในหมู่บ้านจิ้ง ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วสายฝนที่กระหน่ำลงมาเริ่มเบาบางลงแล้วและไม่นานก็หยุดลง ทิ้งไว้เพียงความเย็นชุ่มช่ำและหยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่ทั่วบริเวณ "ไม่สำเร็จ?" คนที่ลอบวางแผนในครั้งนี้ถึงกลับตามมาดูความสำเร็จของตนด้วยตนเอง ยามนี้เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างหันหลังให้คนที่มารายงาน คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินจึงถามย้ำอีกรอบ ทั้งที่เขาวางแผนยัดเงินให้นักบวชคนนั้นแล้วแต่นักบวชหลวงก็ยังหาคนมาแทนได้ ฝนก็ดันตกลงมาอีก แถมแผนที่วางไว้เรื่องแท่นพิธีก็ไม่สำเร็จ ไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปตามแผนเลยสักนิด "มีนักบวชหญิงคนหนึ่งในงานพิธีรั้งฮ่องเต้ไว้ ไม่แน่บางทีนางอาจจะรู้เรื่องที่ข้าน้อยสั่งให้คนไปเลื่อยขาแท่นพิธีไว้ขอรับ" ชายรับใช้คนสนิทของเขารายงานอีกรอบ ทั้งคู่อยู่ในห้องที่มืดสนิทมีเพียงแสงเล็กน้อยจากบานหน้าต่างที่ผู้เป็นนายเปิดไว้ ทำให้ยามนี้ไม่เห็นหน้าของทั้งคู่เลย คนหนึ่งหันหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ในมุมมืด "ไปจัดการนักบวชหญิงเสีย" "ขอรับ" สิ้นคำสั่งชายในมุมมืดก็จากไป "ศิษย์พี่อี ท่านว่าอย่างไรนะ?" จูมี่เอินออกมาพบศิษย์พี่อีของตนที่
"ฝ่าบาทจะทรงเสด็จไปไหนหรือพะยะค่ะ" กงกงมองฮ่องเต้ของตนทำท่าจะเดินออกไปจากที่พักก็อดที่จะถามไม่ได้ ฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน ด้านนอกเป็นหมู่บ้านที่มีแต่ดินเมื่อโดนฝนตกใส่ทางเดินก็เฉอะแฉะและลื่นน่าจะไม่เหมาะให้พระองค์ย่างกายออกไป "ไปอารามของหมู่บ้านจิ้ง" เหรินโย่วหลุนตอบเพียงคำเดียว ขบวนเสด็จก็ตั้งแถวทันที ผู้ติดตามขบวนเสด็จทุกคนได้ถูกสั่งให้ไปเปลี่ยนชุดก่อนหน้านั้นสักพักแล้ว พอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ได้ยินคำสั่งเดินทางของฝ่าบาททันที คล้ายกับว่าพระองค์ทรงคิดไว้นานแล้ว รอเพียงแค่ฝนหยุดตกเท่านั้น เหรินโย่วหลุนมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่ในใจกลับตื่นเต้นจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ต่อไป เขาต้องไป ต้องไปหาเด็กสาวคนนั้น ผ่านไปสามปีแล้วดวงตาของนางยังคงเหมือนเดิมไม่ไปเปลี่ยน แต่ตัวของนางคล้ายไม่โตขึ้นเท่าไหร่เลยเดาไม่ออกเลยว่านางมีอายุเท่าไหร่ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากรู้เรื่องคนอื่นเช่นนี้ นี่มันออกจะแปลกใหม่สำหรับเขาไม่น้อย ..... "ไฟไหม้หรือ!" จูมี่เอินรีบวิ่งออกมาหน้าตาตื่น มองไฟที่กำลังลุกไหม้อารามฝั่งของอาจารย์ก็ได้แต่ตกใจไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฝนเพิ่งตกไป ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำ ไม่ม
จูมี่เอินเมื่อเข้าไปถึงตัวอาจารย์ได้ก็รีบคว้าตัวเขาจะพาออกไปด้านนอก แต่เมื่อสัมผัสโดนตัวของเขาแล้วก็ได้แต่ทรุดตัวลง ไม่สนเรื่องชายหญิง ไม่สนเรื่องความถูกต้อง นางยกร่างของอาจารย์ขึ้นมากอดไว้ในอก "อ้าก!" นางร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบใบหน้า ส่งเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดออกมาจากก้นบึ่งของหัวใจ พบร่างของอาจารย์แล้ว เขาไม่โดนไฟไหม้แต่ก็ไม่มีลมหายใจแล้วเช่นกัน มองดูควันรอบกายก็เข้าใจได้ว่าเขาจากไปด้วยสิ่งใด "ฮึก ฮึก ไม่ ไม่ ฮื้ออออ ท่านฟื้น ท่านฟื้น ฟื้นขึ้นมา ข้าสัญญาจะเป็นเด็กดี ข้าสัญญาจะเชื่อฟังท่าน ฮึก ข้าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอีก ข้าขอโทษ อ้าก..." นางร้องไห้คล้ายจะขาดใจตายให้ได้ ก้มลงร้องไห้กับอกของอาจารย์อยู่นานสองนาน ไม่สนว่ารอบกายเป็นอย่างไร สติไร้ความนึกคิดไปชั่วขณะ ราวกับพร้อมจะจากไปกับอาจารย์ของตน เปลวไฟรอบตัวร้อนมากแต่นางกลับไม่รู้สึก เสียงของไฟที่ไม้แผ่นไม้ดังประทุจนเกิดเสียงรอบด้าน แต่นางก็ไม่ได้ยิน ผ่านไปสักพักร่างบางยืดตัวขึ้น ดวงตาเหม่อลอยถอดมองไปยังเปลวเพลงรอบตัว ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจากไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา
....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ
จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่