ครั้นเมื่อได้ยินคำสั่งของฮ่องเต้ทุกคนก็รีบถอยทันไม่มีการอิดออด นักบวชสี่คนเองก็เห็นเหล่านางกำนัลและขันทีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถอยไปด้านหลังก็พากันก้าวถอยหลังตามไปด้วย แยกกันไปคนละฝั่ง สุดท้ายเหลือเพียงเหรินโย่วหลุนและศิษย์น้องเล็กของอารามที่ยืนอยู่ด้วยกัน คนตัวสูงจ้องอีกคนที่มองตนเองอยู่ แต่ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายกลับคล้ายมองผ่านตัวของเขาไป พรึบ ภาพนิมิตรที่ชัดเจนตัดหายไป จูมี่เอินจ้องมองเหรินโย่วหลุ่นด้วยดวงตาสีดำ แพขนตาหนาของนางยังคงมีคราบน้ำตาเล็กๆ เกาะอยู่ ทำให้นางดูบอบบางและเหมือนภาพฝัน ในนิมิตรนั้น นางเห็นเขา เป็นเขาที่เอ่ยถามนางในรถม้าว่านางชื่ออะไร พอนางตอบออกไปหลังจากนั้นการลอบโจมตีก็เกิดขึ้น ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็โดนลูกธนูปักลงที่อกซ้ายทันที ตำแหน่งที่แม่นยำนั้นทำให้เขาไร้ลมหายใจ... จูมี่เอินรู้ทันทีว่าเขามาที่อารามถึงสองครั้งสองคราทำไม ไม่ใช่เพียงเพราะผ่านมาแล้วได้บังเอิญมาช่วยพวกนางดับไฟ การมาของเขาเหตุผลคือนาง! "เจ้าเห็นอะไรใช่ไหม" "..." นางพยักหน้าตอบ ดวงตาที่แดงกร่ำมองไปที่ใบหน้าของเขา เมื่อรู้ตัวก็รีบหลุบดวงตาต่ำลง "คราวนี้เป็นใบ
แต่พวกเขาที่อยู่กับนางมานานถึงหนึ่งปีกลับรู้สึกว่านางก็แค่เด็กตัวเล็กคนหนึ่ง โดยไม่เคยรู้ถึงความสามารถพิเศษของนาง จนหกปีให้หลังก็แทบไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นอีกเลย ซึ่งในตอนนี้เองพวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเช่นกัน เพียงแค่คิดว่าฮ่องเต้อาจชมชอบใบหน้าที่งดงามของน้องเล็กก็เท่านั้น แต่นางและพวกเขาต่างโกหกไปแล้วว่าน้องเล็กเป็นนักบวชหญิง หลังจากนี้จะเป็นยังไงถ้านางตามเขาไป ไม่มีใครกล้าคิดเลย ถ้าความแตกน้องเล็กจะเป็นยังไง ศิษย์พี่ทั้งสี่จึงได้แต่มองนางอย่างกังวล ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้แล้วนั้นก็เบาใจขึ้นมา น้องเล็กหันมองมาที่พวกเขาอีกคราแล้วออกเดินก่อนโดยมีฮ่องเต้เดินตามข้างหลัง ภาพนี้ช่างน่าแปลกตายิ่งนัก คนปกติหากไม่ใช่องครักษ์ก็ต้องเดินตามหลังฝ่าบาท ทว่ากลับเป็นน้องเล็กเดินนำ ส่วนฮ่องเต้กลับเป็นผู้ตาม คล้ายชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังปกป้องหญิงสาวที่ตนรักก็ไม่ปาน จูมี่เอินเดินลงจากเนินเขาของอารามมาก็ถึงพื้นที่ราบ ในดวงตามองเห็นขบวนที่รอรับเสด็จอยู่ไม่ไกล เหรินโย่วหลุนกลับไม่รู้ตัวว่าเขาไม่อาจละสายตาจากนางมาได้สักพักแล้ว ยามเห็นนางเดินขึ้นรถม้าของตน
จูมี่เอินขยับตัวเข้าไปหาชายหนุ่ม พูดชื่อของตนเองออกไปยามนั้นก็พลิกตัวขึ้นบังเขาไว้ "นามของหม่อมฉันคือ จู มี่ เอิ่น อ่ะ!" สิ้นคำของนางธนูก็ปักลง ฉึบ ที่ไหลซ้ายของนางทันที ถ้าหากมองจากมุมที่จูมี่เอินเคยนั่งอยู่แล้วละก็จะรู้ได้เลยว่าถ้านางไม่พลิกตัวยกขึ้นไปบังให้เขาได้ทัน ธนูดอกนั้นที่พุ่งเข้ามาด้วยความไวคงปักเข้าที่ตำแหน่งของหัวใจของคนด้านหลังของนาง เขา ไม่มีทางรอด ตุ๊บ ร่างบางทรุดตัวลงทันที น้ำตาเอ้อคลอที่ดวงตาคู่สวย นางหงายหลังไปเพราะทรงตัวไม่อยู่เมื่อรถม้าหยุดลงกระทันหันเนื่องจากถูกโจมตีจากทุกด้าน เหรินโย่วหลุนคราแรกยังแปลกใจว่านางทำอะไร แต่เมื่อเห็นนางกำลังล้มหงายหลังมาหาเขา ร่างสูงก็ขยับตัวออกไปรับไว้ ตอนนั้นถึงเพิ่งจะเห็นธนูปักที่หัวไหล่ของนาง หมับ มือใหญ่สองข้างจับร่างบางมาพิงตนไว้ได้ทันก่อนนางล้มลงไปที่พื้น ยามหลุบสายตาลงไปมองนางด้วยความตกใจก็พบว่านางเองกำลังมองมายังเขาเช่นกัน สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่เขาอ่านไม่ออกว่านางคิดสิ่งใดอยู่ พรึบๆ ทว่าดวงตาคู่สวยที่คลอไปด้วยน้ำตากลับฉายแสงสีทองออกมา จังหวะนั
"ขอโทษที" เหรินโย่วหลุนรีบลุกขึ้น เขาช่วยประคองนางขึ้นมา นอกจากเสียงดาบประทะกันที่อยู่ประชิดรถม้าแล้วก็ได้ยินคนอีกกลุ่มที่ควบม้าออกไปจัดการนักแม่นธนูที่ดักซุ่มอยู่ในป่า จูมี่เอินถูกประคองขึ้นมานั่งก็นิ่งชะงักมองเขา เมื่อครู่นางหูฟาดหรือไม่ ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้าพูดขอโทษนางแถมยังช่วยประคองนางขึ้นมาอีก เขา...ช่างต่างจากที่นางคิดไว้ "มีอะไรที่ต้องรู้อีกไหม?" เหรินโยว่หลุนขยับตัวไปพิงตรงมุมของรถม้าที่จูมี่เอินเคยนั่ง ดึงร่างบางเข้ามาหาใช้ร่างของตนให้นางแอบอิง ก้มมองคนที่อยู่ในอกก็เห็นว่านางกำลังมองเขาด้วยท่าทางตกใจ "..." จูมี่เอินรีบหลบสายตาที่มองมาสบตากับนางเมื่อครู่ ส่ายหน้าตอบออกไป แต่พอนึกถึงยศของคนตรงหน้าคิดว่าไม่ตอบออกไปเป็นคำพูดคงเป็นการเสียมารยาท จึงพูดต่อว่า "ไม่มีอะไรทำให้พระองค์สวรรคตได้อีกแล้ว เอ่อ แต่เพียงแค่ช่วงนี้เพคะ" จูมี่เอินมองลูกธนูที่อก เหงื่อเม็ดเล็กไหลอาบกรอบหน้าจนทำไรผมปอยเล็กๆ ลู่ไปกับใบหน้านวลของนาง "เจ้าทนอีกหน่อย เดี๋ยวจะเรียกหมอหลวงเข้ามาดูให้" เหรินโย่วหลุนเปิดม่านมองเหตุการณ์ข้างนอก ดูเหมือนฝ่ายของตนต้องชนะแน่ เพราะนักบวชหญิงนอกจากจะมี
ร่างสูงของฮ่องเต้เดินวนไปมารอบรถม้าใบหน้านิ่งเฉยแต่ท่าทางนั้นดูอย่างกระวนกระวาย กงกงเองเพิ่งเคยเห็นฝ่าบาทเก็บอาการไม่อยู่เช่นนี้เป็นครั้งแรก คล้ายผ่านไปนานมากแล้ว ในที่สุดหมอหลวงก็ออกมาเสียที เหรินโย่วหลุนที่รออยู่นานแล้วรีบวิ่งเข้าไปในรถม้า แต่เพียงแค่เปิดม่านออกก็กลับรีบกลับออกมาทันที บนใบหน้าดูแปลกไปเล็กน้อย ดวงตาเบิกโตกว่าปกติ ทำไม ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่านางแต่งตัวไม่เรียบร้อย เมื่อครู่เข้าไปก็เห็นนางนอนหลับอยู่ที่พื้นของรถม้า แม้จะมีเสื้อผ้าปิดไว้ที่หน้าอกลงไปถึงข้อเท้า แต่ก็เห็นไหลมนขาวนวลของนางได้อย่างเต็มตา เหรินโย่วหลุนลอบกลืนน้ำลายตีหน้านิ่ง ส่งเสียงเรียกนางกำนัลไปช่วยกันดูแลนักบวชหญิง ส่วนตัวเองก็เดินไปหาหมอหลวงแทน ก่อนไปยังปรับสีหน้ากลับมาตามเดิม "นางเป็นไงบ้าง" ถึงจะเห็นเต็มตาแล้วว่านางยังไม่ตายแต่ก็ต้องถามอาการไว้เผื่อบ้าง "นางปลอดภัยแล้ว เพียงแค่เสียเลือดมาก ยามนี้จึงสลบไป แต่การเดินทางอาจทำให้แผลของนางระบมได้ ทางที่ดีคงต้องให้นางพักรักษาตัวก่อนพะยะค่ะ" หูจางหมิ่นยามรายงานอาการของคนเจ็บออกไปก็ลอบมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ไปด้วย
นางกำนัลฝาแฝดสองคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลหญิงสาวบนรถม้าก็ลังเลไม่กล้าถามว่าจะให้พา 'คนรัก' ของฝ่าบาทไปพักที่ไหน กระโจมนางกำนัล? หรือกระโจมฝ่าบาท? รถม้านั้นไม่ได้กว้างมาก แม้หญิงสาวจะตัวเล็กแต่ก็นอนขดตัวไว้ตลอด ไม่สามารถยืดตัวได้เต็มที่ คนเจ็บที่น่าสงสารกลับยิ่งดูน่าเวทนาขึ้นไปอีก นี่ขนาดนางตัวเล็กแล้วก็ยังดูน่าอึดอัด ไม่ต้องพูดถึงให้เปลี่ยนเป็นพวกนางกำนัลเข้าไปนอนเลย คงนอนไม่เกินหนึ่งก้านธูปขาก็คงชาไปหมดแล้ว "เจ้าถามสิ" ถิงถิงกระซิบบอก ถึงจะทำงานให้ฮ่องเต้มาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะถามเรื่องนี้ออกไป จึงโยนเรื่องนี้ให้ผู้เป็นพี่รับผิดชอบแทน "เจ้านั้นแหละ" เพยเพยแม้จะเป็นคนที่สุขุมกว่าน้องสาวแต่ก็ยังไม่กล้าถามฮ่องเต้ออกไป นางกำนัลฝาแฝดสองคนเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมือ ยกมือตีไปที่อีกฝ่ายคนละทีสองทีอยู่หน้ากระโจมของฝ่าบาท ขณะที่ไม่มีใครยอมใครอยู่นั้นก็ได้เห็นร่างในชุดขาวดิ้นทองวิ่งเข้าไปในกระโจม ดูผ่านๆ นึกว่าเทพเซียนองค์ใดลอยตัวเข้าไป แต่เมื่อมองที่ชุดอีกทีก็รู้ได้ว่าคือคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติมานานหลายชั่วยามผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว 'หญิงคนรัก' ของฝ่าบาทที
จูมี่เอินที่นิ่งค้างอยู่ในกระโจมไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นางหมุนตัวเดินตามออกไป ยังไงนางก็เป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา นอนที่ไหนก็ได้นางไม่เกี่ยง และดูท่าจะไม่มีกระโจมว่างอีก ฮ่องเต้จะไปบรรทมที่ใดกันหากนางมาพักอยู่ที่นี่ พอเดินออกมาก็เห็นแผ่นหลังสูงของเขาหยุดยืนอยู่หน้ากระโจม นางก็หยุดตาม เขามองซ้ายทีนางก็มองตาม เขามองขวาทีนางก็มองตาม มีอันใดน่าสนใจรึ? เห็นทั้งสองฝั่งก็มีเพียงนายทหารที่มีท่าทางแปลกๆ ฝั่งละคนเท่านั้น เมื่อครู่ก็คล้ายได้ยินเสียงเขาพูดอะไรออกไปแต่นางไม่ทันฟัง "เจ้าตามออกมาทำไม? เดี๋ยวข้าสั่งให้คนเอาอาหารและยาไปให้" เหรินโย่วหลุนเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคนหยุดยืนอยู่ข้างหลัง ก็หันไปบอกนาง ใบหน้าปกติที่เคยเรียบเฉยยามอยู่บนรถม้าด้วยกันก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีสีหน้ากังวลยามมองมาที่นาง ทหารสองคนที่อยู่ห่างกันต่างมองหน้ากันทันที 'เจ้าได้ยินรึไม่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของฮ่องเต้?' 'ทำไมจะไม่ได้ยิน เมื่อครู่สุรเสียงของพระองค์ยังคล้ายจะสั่งตัดหัวพวกเราอยู่เลย' "หม่อมฉันจะไปพักกับนางกำนัลเพคะ" จูมี่เอินย่อตัวลงแล้วเดินจากไปเลย นางพูดเพียงแค่นั้น ไม่สนด
แม้คราแรกเขาพานางมาเพราะต้องการณ์พิสูจน์เรื่องความสามารถของนาง แต่ตอนนี้พอได้ยินนางบอกจะไปจากเขาก็กลับอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ดวงตาคมที่คล้ายไม่แยแสผู้คนแปลเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นหลายส่วน "เจ้ารู้ถึงเหตุผลที่ข้าพาเจ้ามารึไม่?" "..." จูมี่เอินส่ายหน้า "หม่อมฉันเห็นนิมิตรได้แค่ยามเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเท่านั้น ไม่ได้รู้ได้ทุกอย่าง ยามนั้นที่เห็นพระองค์โดนธนูปักเข้าที่อกก็ได้ยินเสียงของตัวเองพูดกับพระองค์อยู่ เลยรู้เพียงว่าต้องตามพระองค์มาเท่านั้นเพคะ" ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้...เหรินโยว่หลุนคิดในใจ "กลับวังหลวงกับเรา" เขาสั่งออกไป ถึงขั้นเปลี่ยนคำเรียกของตนเพื่อแสดงถึงว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจ กล่าวตามตรงเหรินโย่วหลุนยามแรกก็เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง แต่ตอนนี้เหตุผลที่เขาอ้างในใจของตนก็คือ นางมีประโยชน์สำหรับเขา ยังไงก็จะพานางกลับวังไปด้วยให้ได้ โดยไม่รู้ว่าตนนั้นตามหานางมานานถึงสามปีเพราะอะไร "..." จูมี่เอินลังเล มือที่ผสานอยู่ด้วยกันก็บีบเข้าหากันเล็กน้อย นางไม่ได้เห็นนิมิตรอะไรอีกที่ทำให้รู้ว่าตัวนางเข้าไปอยู่ในวังหลวง จึงไม่รู้ว
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา
....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ
จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่