ดวงตาของเสิ่นเยี่ยหงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมืด แววตากริบเต็มไปด้วยความเฉียบขาด
เขาลุกขึ้นนั่งปรายตามองกู้เฉียวจิงที่แอบอิงนอนอยู่เคียงข้าง เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาเปิดประตูเดินออกไปด้านนอก ทันทีที่เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวกู้เฉียวจิงก็ตื่นแล้วเธอนอนนิ่งแสร้งทำเป็นหลับต่อ
เกือบจะรุ่งเช้า เสิ่นเยี่ยหงก็เดินไปปลุกบุตรชายบอกให้ว่าตนเองจะเข้าเมืองเพียงคนเดียว จากนั้นก็หายไปเกือบครึ่งค่อนวันชายหนุ่มถึงกลับมา
เมื่อปรากฏกายนางก็รับรู้ทันทีกลิ่นอายของสามีเปลี่ยนไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะกับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง สักพักความแข็งกร้าวในดวงตาชายหนุ่มก็จางลงปรับสีหน้ายิ้มจาง ๆ พูดขึ้น
“ข้าจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง รายละเอียดข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างเดินทาง” จากนั้นเขาก็หันไปสั่งบุตรชาย
“ไปเก็บข้าวของเอาเท่าที่จำเป็นก็พอ”
กู้เฉียวจิงตกตะลึง เสิ่นเยี่ยหงแตกต่างจากสามีคนเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่นางไม่ใช่ตัวจริงทว่ากลับรู้สึกมีก้อนจุกหนึ่งดันขึ้นมาที่คอ นางกำลังน้อยใจ
เสิ่นเยี่ยหงเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของนาง เขาเดินเข้ามากุมมือของภรรยาแล้วพูดขึ้น
“น้องหญิง...ความทรงจำข้ากลับมาแล้ว ครอบครัวข้าอยู่ที่เมืองหลวง...เจ้ายินยอมจะติดตามข้าไปหรือไม่”
กู้เฉียวจิงแค่นเสียงเย้ยหยันตนเองในคอ บิดามารดานางล้วนสิ้นไปหมดแล้ว ถามเช่นนี้...เสิ่นเยี่ยหงต้องการสิ่งใด..ทว่านางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใด กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
“สามีเปรียบเสมือนแผ่นฟ้าของข้า ท่านไปที่ใดข้าก็พร้อมจะติดตามท่านไป”
เสิ่นเยี่ยหงไม่มีคำปลอบโยนอื่นอีก สำหรับเขาเรื่องที่ผ่านมาคล้ายความฝันค่ำคืนหนึ่งตัวตนที่แท้จริงเขาหาใช่บุรุษชอบป้อนคำหวาน กู้เฉียวจิงเองก็ไม่คร่ำครวญสิ่งใดต่อ นางกลับเดินเข้าไปหาบุตรชายเพื่อเก็บของที่สำคัญเพียงพอในการเดินทางเท่านั้น
เมื่อเช้าเสิ่นเยี่ยหงเข้าไปในเมืองเพื่อนำทรัพย์สินทั้งหมดไปขาย แม้กระทั่งหนังสุนัขจิ้งจอกที่ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงหวานล้ำก็ถูกนำไปแลกเป็นเงินเรียบร้อย เขาซื้อรถม้าพร้อมกับอาหารแห้งจำนวนหนึ่ง
ทั้งที่บอกว่าจะอธิบาย ทว่าตลอดการเดินทางเสิ่นเยี่ยหงหาได้เอื้อยเอ่ยคำใดหรือประโยคใด ชายหนุ่มใส่ใจทั้งหมดไปกับการเตรียมการเดินทาง เขาปลอมตัวเป็นชายขับรถม้า ให้กู้เฉียวจิงและกู้ซวินนั่งอยู่ภายในรถม้าปิดผ้าม่าน ไร้การพูดคุย
กู้ซวินเดิมก็เป็นเด็กว่าง่ายรู้ความยิ่งนัก เขาไม่กล้าเอ่ยถามเพียงแต่กอดมารดาแน่น บิดาเปลี่ยนไปแล้ว บิดากลายเป็นคนอื่นแล้ว ในความรู้สึกตอนนี้บิดาที่รู้จักไม่ต่างจากตายจากไป ตอนนี้เหมือนเขาเหลือแค่เพียงมารดาเท่านั้น
กู้เฉียวจิงรับรู้ถึงความรู้สึกของบุตรชาย ความเย็นชาของบิดาคงทำให้สะเทือนใจไม่น้อย นางจึงกล่าวปลอบโยน “ไม่ต้องห่วงมีแม่อยู่ทุกอย่างต้องดี”
เดินทางติดต่อกันสิบกว่าวันก็ถึงเมืองหลวง กู้เฉียวจิงเปิดผ้าม่านออกดูภายนอก เมืองหลวงแคว้นต้าเฟิ่งแตกต่างจากเมืองที่จากมายิ่งนัก ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างล้วนสวมอารมณ์งดงาม รถม้าคันหรูหราวิ่งขวักไขว่อยู่บนถนน บ้านเรือนใหญ่อบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นอายของถิ่นฮองเต้ แม้กระทั่งกู้ซวินที่ตกอยู่ในความเศร้าสร้อยก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น
“ท่านแม่ที่นี่คือเมืองหลวง เมืองฉางอี้หรือขอรับ”
กู้เฉียวจิงพยักหน้าแล้วบอกบุตรชายด้วยเสียงอ่อนโยน “ต่อไปเราจะพักอยู่ที่เมืองนี้”
เสิ่นเยี่ยหงปราดตามองเข้าไปในรถม้า นัยน์ตาไม่สามารถคาดเดาความคิดได้ สักพักรถม้ามาจอดนิ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลเสิ่น
“บังอาจ เอารถม้าของเจ้าออกไปเดียวนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่เจ้าจะมาทำนิสัยเหิมเกริมได้”
เสียงชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่เฝ้าประตูแผดเสียงตะโกนข่มขวัญ ทว่าไม่ทำให้เสิ่นเยี่ยหงรู้สึกหวาดกลัว เขาเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้น
“จางลู่ เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ”
กลิ่นอายของชายแปลกหน้าทำให้คนเฝ้าประตูชะงัก ขณะที่เสิ่นเยี่ยหงเดินเข้ามาเขาก็จับทวนในมือแน่นอย่างระวัง ทว่าหลังจากเห็นใบหน้าชายตรงหน้าชัดเจน สีหน้าของเขาก็กลายเป็นแตกตื่น เสียงคุกเข่าลงกระทบพื้นดังสนั่น ร่างกายสั่นเทาใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ
ตึก ตึก เสียงฝีเท้าซอยถี่รีบเร่งเขามาตามระเบียงทางเดิน ลัวมามาที่กำลังช่วยเสิ่นฮูหยินเช็ดถูดูแลเครื่องประดับก็ขมวดคิ้ว “บ่าวคนใด เหตุใดเสียกริยาเช่นนี้”สวีเหยียนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าฉายความสงสัย “คงมีเรื่องด่วน เจ้าออกไปดูเถิด” ทว่ายังไม่ทันลัวมามาจะออกไป บ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งมาถึงหน้าประตูห้องเสียงตะโกนเรียกดังมาก่อนเจ้าตัว “ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าค่ะ” น้ำเสียงระคนตื่นเต้นยินดีกระตุ้นความสนใจ สวีเหยียนจึงเอ่ยถามน้ำเสียงร่ำสั่น “เข้ามาพูดจาดี ๆ เกิดอันใดขึ้น” อีชิงถลาเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า น้ำหูน้ำตาของนางไหลท่วมใบหน้าเอ่ยน้ำเสียงสะอื้น “คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ..ฮูหยิน..ท่านหงอี้โหวกลับมาแล้ว เจ้าค่ะ ” สวีเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นถาม“เยี่ยหงกลับมาแล้ว..แล้วตอนนี้คนอยู่ที่ใด”“ห้องโถงเรือนใหญ่เจ้าค่ะ...” เสิ่นฮูหยินพยายามรักษากริยา นางแทบอยากจะวิ่งออกไปยังเรือนใหญ่ให้เร็วที่สุดทว่าก็ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าให้ถี่ขึ้นเท่านั้น เสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาจากห้องโถง ฝีเท้าของเสิ่นฮูหยินชะงักช้าลงนางก้าวเข้าไปอย่างรู้สึกหวาดหวั่นใจเสิ่นเยี่ยหงเงยหน้าหั
กู้เฉียวจิงหลังจากตรวจดูข้าวของบุตรชายเสร็จ นางก็เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาไต่ถาม “เจ้าชื่ออะไร” น้ำเสียงและแววตาของกู้เฉียวจิงไม่ได้ข่มขู่หรือแข็งกร้าว มันเรียบนิ่งเย็นชา ทำให้อี้เหมยเกิดอาการประหม่า “เรียนแม่นางกู้ ข้าน้อยชื่ออี้เหมยเจ้าค่ะ” ลัวมามาคิดว่ากู้เฉียวจิงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้บ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งมารับใช้ ทว่าอี้เหมยแม้จะไม่เคยรับใช้ผู้สูงศักดิ์โดยตรง แต่ก็คล่องแคล่วอีกอย่างก็ทำงานในจวนมานาน จึงคิดว่าไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด “อี้เหมยหรือ...ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเกี่ยวกับจวนตระกูลเสิ่น เจ้าจะพอให้ความกระจ่างได้หรือไม่” อี้เหมยเงยหน้ามองกู้เฉียวจิง ภาพตรงหน้าเป็นสตรีสวมชุดสีชมพู่ดอกไห่ถังสดใส ใบหน้างดงามเพริศแพร้ว ยิ่งพินิจที่แววตามันกระตุ้นใจของนางกระตุก ไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกถึงกลิ่นอายความโหดร้าย “แม่นางจะสอบถามสิ่งใด หากผู้น้อยตอบได้ ..ยินดีจะตอบอย่างไม่ปิดบังเจ้าค่ะ” กู้เฉียวจิงปรับสีหน้ายิ้มพราย “เหตุใดเจ้ากล่าวจึงจริงจังเพียงนั้น เจ้าก็ทราบว่าข้ามาจากถิ่นไกล..แค่อยากจ
สีหน้าของเสิ่นเยี่ยหงทมึงตึงขึ้น เขาลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ภายในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาลแทบอยากจะเดินปราดออกไปจากห้อง “เรื่องนี้ ยังไม่ต้องตัดสินใจ...ข้าไม่มีทางจะปล่อยให้เจ้าออกไปอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า” กู้เฉียวจิงยิ้มเยาะในใจ ที่นางกล้าพูดขนาดนี้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหย่าต่างหาก จะทิ้งนางหาใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ทว่าหากจะต้องไป ก็คงต้องขอเยอะๆ สักหน่อย นางรีบกล่าวน้ำเสียงร้อนรนทว่าก็แฝงความเด็ดเดียว “ท่านพี่.. ถึงแม้ข้าจะเป็นหญิงสาวชาวบ้าน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเป็นอนุของผู้ใด หากท่านจะเมตตาข้าจะขอทรัพย์สินสักก้อนออกไปตั้งตัว เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้วต่อคนฐานะเช่นข้า..และอีกอย่างข้าก็มีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง” เสิ่นเยี่ยหง ตวัดสายตามองกลับมากล่าวขัดน้ำเสียงสูง “เจ้าไม่เป็นห่วงกู้ซวินหรือ”กู้เฉียวจิงจ้องมองกลับ สายตานางหาได้เกรงกลัวอีกฝ่าย“..เหตุใดท่านเอ่ยถามเช่นนี้...หากกู้ซวินสามารถไปกับข้าได้ ข้าย่อมยินดี แต่..ท่านพี่..ท่านทราบดี ไม่มีทางที่พวกท่านจะยินยอม นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้ว อีกอย่
“ชุนเอ๋อร์ ทานข้าวเช้ามาแล้วหรือยังรับพร้อมกันกับแม่ได้หรือไม่”เกาเหยาชุนเงยหน้าสบตากับมารดา แววตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยทำให้คำกล่าวที่จะปฏิเสธก็ถูกกลืนลงไป“เจ้าค่ะ ท่านแม่” นางเดินไปนั่งตรงข้ามมารดาจากนั้นก็รับช้อนชามจากบ่าวไพร่ก้มหน้ากินโจ๊กหมูอย่างเงียบ ๆ เกาฮูหยินปรายสายตามมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง หลังจากทานข้าวเสร็จ เกาเหยาชุนหยิบผ้าเช็ดปากแล้วเงยหน้ามองมารดาเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา“ท่านแม่”“เจ้าคงจะไม่มาบอกแม่ ว่ายินยอมเป็นฮูหยินรองใช่หรือไม่”หญิงสาวหยักหน้าเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด นางรักเสิ่นเยี่ยหงมาตั้งหลายปี สัญญาหมั้นหมายก็มีแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้หาได้มีคนผิด ทำไมนางจะต้องแก้ไขด้วยเล่า“ให้แม่ไปคุยกับทางโน้นเสียก่อน อย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพียงสตรีชาวบ้าน เสิ่นฮูหยินอาจจะมีวิธีจัดการที่เหมาะสม ไยเจ้าต้องรีบลดเกียรติตนเองเช่นนี้” น้ำเสียงของเกาฮูหยินเต็มไปด้วยความอ่อนใจ แม้เกาเหยาชุนจะรู้สึกผิดกับมารดา ทว่านางเติบโตมาพร้อมกับเสิ่นเยี่ยหง บุรุษที่นางหลงรักมาหลายปี นิสัยใจคอของชายหนุ่มนางล้วนกระจ่างใจยิ่งกว่าใจตนเองเสียอีก “ท่านแม่..ลูกขอโ
กู้เฉียวจิง อยู่ในฐานะสตรีจากบ้านนอก อีกทั้งยังไม่ได้รับฐานะอันใด จะกระทำสิ่งใดล้วนไม่ต้องระมัดระวังมากมายนัก นางตอบรับคำอี้เหมย ในขณะที่กำลังปรับเปลี่ยนการแต่งกาย ลัวมามาก็มาเยือน นางคารวะกู้เฉียวจิงอย่างนอบน้อมอยู่หน้ากั้นฉากแล้วกล่าวขึ้น"แม่นางกู้ อาจารย์ที่ท่านโหวเชิญมาสอนคุณชายได้มาถึงจวนแล้ว ฮูหยินจึงให้ข้ามาแจ้งท่านพร้อมเชิญคุณชายไปพบอาจารย์เจ้าค่ะ”รวดเร็วยิ่งนักกู้เฉียวจิงกระพริบตานิ่งพินิจชั่วครู่แล้วพูดขึ้น“กู้ซวิน ในเมื่ออาจารย์มาถึงแล้วจะเสียมารยาทไม่ได้.. เจ้าจงตามลัวมามาไปพบอาจารย์เสีย ไว้วันหลังแม่จะพาเจ้าออกไปข้างนอกชดเชยให้”กู้ซวินแม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ติดตามมารดาไป ทว่าเขาเองก็เป็นเด็กใฝ่รู้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ที่เชิญมาสอนตนเองโดยเฉพาะมาถึงแล้วก็ตื่นเต้นยินดีกลบความผิดหวังนั่นจนมิด“ขอรับท่านแม่”กู้เฉียวจิง หันไปพูดกับลัวมามา“ข้าฝากกู้ซวินด้วยนะ ลัวมามา”ลัวมามาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งตัวอ่อน“การปรนนิบัติท่านเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” พูดเสร็จ จากนั้นนางก็หันไปผ่ายมือเชิญกู้ซวินอย่างอ่อนน้อมยิ่งกว่า แม้ฐานะขอ
อี้เหมยและอี้หลิง พากู้เฉียงจิงเดินเข้าร้านเครื่องประดับ ร้านอาภรณ์ ร้านผ้าไหม ร้านเครื่องหอม เข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายร้าน หากมีมูลค่ามากหน่อย ก็ให้ร้านไปส่งของและเก็บเงินจากจวนตระกูลเสิ่น บุรุษสูงโปร่งสวมชุดสีคราม ยื่นพิงเสาระเบียงหอเฟิ่งหลางท่วงท่าดูเกียจคร้าน ทว่าสายตาที่พินิจกู้เฉียงจิงกลับเฉียบคมหวังจะเห็นอีกฝ่ายให้ทะลุปุโปร่ง เขาหมุนจอกชาในมือไปมาแล้วถามขึ้น “นั่นหรือ.. สตรีที่เสิ่นเยี่ยหงพากลับมาด้วย” บ่าวข้างกายรีบตอบ “ขอรับ เห็นว่ามีบุตรชายด้วยหนึ่งคน” กู้เฉียวจิงรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมอง นางเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาดุจดั่งหยกบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง แม้บุรุษผู้นั้นจะยิ้มทักทายอย่างบุรุษเสเพล กระนั้นนางก็รู้สึกถึงความอำมหิตของอีกฝ่าย นางรีบดึงสายตากลับอย่างไม่ใส่ใจ ที่นี่ย่อมมีบุคคลไม่ธรรมดาอยู่มาก หลีกเลี่ยงเสียหน่อยจะดีกว่าเซียวหลีหยวนจ้องมองแผ่นหลังกู้เฉียงจิงที่กำลังเดินห่างออกไป ครุ่นคิดถึงสายตาเย็นชาของนางเมื่อสักครู่ “สมกับเป็นเสิ่นเยี่ยหง มักมีเรื่องให้ตกตะลึงอยู่เสมอ” เมื่อเดินมากพอสมควร ร่างกาย
กัวเล่อเยี่ยนเชิญกู้เฉียวจิงไปนั่งพร้อมทั้งรินน้ำชาพลางเอ่ย“ต้องขออภัยคุณหนู คนของข้าเสียมารยาทยิ่ง”กู้เฉียวจิงเหม่อมองนิ้วมือทั้งเรียวเล็กและขาวผุดผ่อง ที่ยืนจอกชามาตรงหน้า ผงสมุนไพรเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ตรงช่วงแขนทำให้นางเกือบจะเอามือไปปัดออก นางรู้สึกว่าตนเองเสียอาการยิ่ง พลันได้สติ รีบรับจอกชามาแล้วพูดขึ้น“คุณหนูเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านมีฐานะสูงส่งไม่อาจจะเปิดเผยตน ข้าเข้าใจ” “ไม่ทราบว่านามของท่านคือ ?”“...ข้า กู้เฉียวจิงเจ้าค่ะ..เอ่อ ฐานะของข้าค่อนข้างที่จะ..ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก ข้าพึ่งมาเมืองหลวงเมื่อวาน” กัวเล่อเยี่ยนยิ้มละมุน ท่าทีบ่งบอกว่าหาได้ใส่ใจฐานะของอีกฝ่าย นางเอ่ย“ข้าอดแปลกใจไม่ได้...ท่านทราบเรื่องที่ข้ามีวิชาแพทย์ทั้งได้เล่าเรียนกับอาจารย์เหิง..เพราะแม้กระทั่งคนในครอบครัวก็หาได้รู้เรื่องนี้ไม่...”ความลับอย่างไรก็ควรเป็นความลับ การที่กู้เฉียวจิงเอ่ยพูดความลับของคนอื่น ย่อมทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ นางจึงรีบพูด“ต้องขออภัยคุณหนูกัว ต่อไปเรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ส่งเดชอีก” ใบหน้างดงามส่ายเบา ๆ ไม่ให้คนลำบากใจ “มิใช่เช่นนั้น ... เดิมไม่ใช่ความลับ เพียงแต่
วี๊ด... กู้เฉียวจิงได้ยินเสียงวี๊ดดังก้องในหัว นางรู้สึกวูบไหวไปมา ภาพในหัวล้วนมัวไม่ชัดเจนแถบได้ยินเสียงครางต่ำ นางรู้สึกล่องลอยมีบางอย่างที่แทรกเข้ามาในร่างกาย มือใหญ่นวดคลึงไปทั่วร่าง คลับคล้ายกำลังมีบุรุษเสพสุขอยู่บนร่างกายนาง สติเริ่มแจ่มชัดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย แม้จะยังรู้สึกมึนงงก็รับรู้ถึงความร้อนผ่าวและกระแทกแทรกเข้ามาในส่วนล่างที่กระชั้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจหญิงสาวเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ นางรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า!!จะเป็นไปได้อย่างไร กระสุนเมื่อสักครู่ ไม่มีทางที่จะยังมีชีวิตอยู่หรือว่าจะเป็นจิตสุดท้าย หญิงสาวนึกขำ จะตายอยู่แล้วทำไมถึงไปคิดเรื่องนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยตัวปล่อยกายเสพสุขดีกว่า อีกอย่างบุรุษในอุดมคติของนางแรงเยอะไม่น้อย และส่วนนั้นก็พอเหมาะ แถมยังขยันจูบนวดคลึงไปทั่วร่างความเสียวซ่านไต่ระดับเกินจะทนไหว ร่างอรชนเกร็งตัวชายหนุ่มคนนั้นก็หยุดขยับก้มลงจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นที่สอดแทรกเข้ามากู้เฉียวจิงก็ตอบรับตวัดพัวพันเหมือนจะเป็นการกระตุ้นบุรุษผู้นั้นแรงกระแทกกระชั้นเร่งจังหวะถี่ขึ้น“อ่า.
กัวเล่อเยี่ยนเชิญกู้เฉียวจิงไปนั่งพร้อมทั้งรินน้ำชาพลางเอ่ย“ต้องขออภัยคุณหนู คนของข้าเสียมารยาทยิ่ง”กู้เฉียวจิงเหม่อมองนิ้วมือทั้งเรียวเล็กและขาวผุดผ่อง ที่ยืนจอกชามาตรงหน้า ผงสมุนไพรเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ตรงช่วงแขนทำให้นางเกือบจะเอามือไปปัดออก นางรู้สึกว่าตนเองเสียอาการยิ่ง พลันได้สติ รีบรับจอกชามาแล้วพูดขึ้น“คุณหนูเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านมีฐานะสูงส่งไม่อาจจะเปิดเผยตน ข้าเข้าใจ” “ไม่ทราบว่านามของท่านคือ ?”“...ข้า กู้เฉียวจิงเจ้าค่ะ..เอ่อ ฐานะของข้าค่อนข้างที่จะ..ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก ข้าพึ่งมาเมืองหลวงเมื่อวาน” กัวเล่อเยี่ยนยิ้มละมุน ท่าทีบ่งบอกว่าหาได้ใส่ใจฐานะของอีกฝ่าย นางเอ่ย“ข้าอดแปลกใจไม่ได้...ท่านทราบเรื่องที่ข้ามีวิชาแพทย์ทั้งได้เล่าเรียนกับอาจารย์เหิง..เพราะแม้กระทั่งคนในครอบครัวก็หาได้รู้เรื่องนี้ไม่...”ความลับอย่างไรก็ควรเป็นความลับ การที่กู้เฉียวจิงเอ่ยพูดความลับของคนอื่น ย่อมทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ นางจึงรีบพูด“ต้องขออภัยคุณหนูกัว ต่อไปเรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ส่งเดชอีก” ใบหน้างดงามส่ายเบา ๆ ไม่ให้คนลำบากใจ “มิใช่เช่นนั้น ... เดิมไม่ใช่ความลับ เพียงแต่
อี้เหมยและอี้หลิง พากู้เฉียงจิงเดินเข้าร้านเครื่องประดับ ร้านอาภรณ์ ร้านผ้าไหม ร้านเครื่องหอม เข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายร้าน หากมีมูลค่ามากหน่อย ก็ให้ร้านไปส่งของและเก็บเงินจากจวนตระกูลเสิ่น บุรุษสูงโปร่งสวมชุดสีคราม ยื่นพิงเสาระเบียงหอเฟิ่งหลางท่วงท่าดูเกียจคร้าน ทว่าสายตาที่พินิจกู้เฉียงจิงกลับเฉียบคมหวังจะเห็นอีกฝ่ายให้ทะลุปุโปร่ง เขาหมุนจอกชาในมือไปมาแล้วถามขึ้น “นั่นหรือ.. สตรีที่เสิ่นเยี่ยหงพากลับมาด้วย” บ่าวข้างกายรีบตอบ “ขอรับ เห็นว่ามีบุตรชายด้วยหนึ่งคน” กู้เฉียวจิงรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมอง นางเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาดุจดั่งหยกบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง แม้บุรุษผู้นั้นจะยิ้มทักทายอย่างบุรุษเสเพล กระนั้นนางก็รู้สึกถึงความอำมหิตของอีกฝ่าย นางรีบดึงสายตากลับอย่างไม่ใส่ใจ ที่นี่ย่อมมีบุคคลไม่ธรรมดาอยู่มาก หลีกเลี่ยงเสียหน่อยจะดีกว่าเซียวหลีหยวนจ้องมองแผ่นหลังกู้เฉียงจิงที่กำลังเดินห่างออกไป ครุ่นคิดถึงสายตาเย็นชาของนางเมื่อสักครู่ “สมกับเป็นเสิ่นเยี่ยหง มักมีเรื่องให้ตกตะลึงอยู่เสมอ” เมื่อเดินมากพอสมควร ร่างกาย
กู้เฉียวจิง อยู่ในฐานะสตรีจากบ้านนอก อีกทั้งยังไม่ได้รับฐานะอันใด จะกระทำสิ่งใดล้วนไม่ต้องระมัดระวังมากมายนัก นางตอบรับคำอี้เหมย ในขณะที่กำลังปรับเปลี่ยนการแต่งกาย ลัวมามาก็มาเยือน นางคารวะกู้เฉียวจิงอย่างนอบน้อมอยู่หน้ากั้นฉากแล้วกล่าวขึ้น"แม่นางกู้ อาจารย์ที่ท่านโหวเชิญมาสอนคุณชายได้มาถึงจวนแล้ว ฮูหยินจึงให้ข้ามาแจ้งท่านพร้อมเชิญคุณชายไปพบอาจารย์เจ้าค่ะ”รวดเร็วยิ่งนักกู้เฉียวจิงกระพริบตานิ่งพินิจชั่วครู่แล้วพูดขึ้น“กู้ซวิน ในเมื่ออาจารย์มาถึงแล้วจะเสียมารยาทไม่ได้.. เจ้าจงตามลัวมามาไปพบอาจารย์เสีย ไว้วันหลังแม่จะพาเจ้าออกไปข้างนอกชดเชยให้”กู้ซวินแม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ติดตามมารดาไป ทว่าเขาเองก็เป็นเด็กใฝ่รู้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ที่เชิญมาสอนตนเองโดยเฉพาะมาถึงแล้วก็ตื่นเต้นยินดีกลบความผิดหวังนั่นจนมิด“ขอรับท่านแม่”กู้เฉียวจิง หันไปพูดกับลัวมามา“ข้าฝากกู้ซวินด้วยนะ ลัวมามา”ลัวมามาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งตัวอ่อน“การปรนนิบัติท่านเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” พูดเสร็จ จากนั้นนางก็หันไปผ่ายมือเชิญกู้ซวินอย่างอ่อนน้อมยิ่งกว่า แม้ฐานะขอ
“ชุนเอ๋อร์ ทานข้าวเช้ามาแล้วหรือยังรับพร้อมกันกับแม่ได้หรือไม่”เกาเหยาชุนเงยหน้าสบตากับมารดา แววตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยทำให้คำกล่าวที่จะปฏิเสธก็ถูกกลืนลงไป“เจ้าค่ะ ท่านแม่” นางเดินไปนั่งตรงข้ามมารดาจากนั้นก็รับช้อนชามจากบ่าวไพร่ก้มหน้ากินโจ๊กหมูอย่างเงียบ ๆ เกาฮูหยินปรายสายตามมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง หลังจากทานข้าวเสร็จ เกาเหยาชุนหยิบผ้าเช็ดปากแล้วเงยหน้ามองมารดาเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา“ท่านแม่”“เจ้าคงจะไม่มาบอกแม่ ว่ายินยอมเป็นฮูหยินรองใช่หรือไม่”หญิงสาวหยักหน้าเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด นางรักเสิ่นเยี่ยหงมาตั้งหลายปี สัญญาหมั้นหมายก็มีแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้หาได้มีคนผิด ทำไมนางจะต้องแก้ไขด้วยเล่า“ให้แม่ไปคุยกับทางโน้นเสียก่อน อย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพียงสตรีชาวบ้าน เสิ่นฮูหยินอาจจะมีวิธีจัดการที่เหมาะสม ไยเจ้าต้องรีบลดเกียรติตนเองเช่นนี้” น้ำเสียงของเกาฮูหยินเต็มไปด้วยความอ่อนใจ แม้เกาเหยาชุนจะรู้สึกผิดกับมารดา ทว่านางเติบโตมาพร้อมกับเสิ่นเยี่ยหง บุรุษที่นางหลงรักมาหลายปี นิสัยใจคอของชายหนุ่มนางล้วนกระจ่างใจยิ่งกว่าใจตนเองเสียอีก “ท่านแม่..ลูกขอโ
สีหน้าของเสิ่นเยี่ยหงทมึงตึงขึ้น เขาลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ภายในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาลแทบอยากจะเดินปราดออกไปจากห้อง “เรื่องนี้ ยังไม่ต้องตัดสินใจ...ข้าไม่มีทางจะปล่อยให้เจ้าออกไปอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า” กู้เฉียวจิงยิ้มเยาะในใจ ที่นางกล้าพูดขนาดนี้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหย่าต่างหาก จะทิ้งนางหาใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ทว่าหากจะต้องไป ก็คงต้องขอเยอะๆ สักหน่อย นางรีบกล่าวน้ำเสียงร้อนรนทว่าก็แฝงความเด็ดเดียว “ท่านพี่.. ถึงแม้ข้าจะเป็นหญิงสาวชาวบ้าน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเป็นอนุของผู้ใด หากท่านจะเมตตาข้าจะขอทรัพย์สินสักก้อนออกไปตั้งตัว เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้วต่อคนฐานะเช่นข้า..และอีกอย่างข้าก็มีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง” เสิ่นเยี่ยหง ตวัดสายตามองกลับมากล่าวขัดน้ำเสียงสูง “เจ้าไม่เป็นห่วงกู้ซวินหรือ”กู้เฉียวจิงจ้องมองกลับ สายตานางหาได้เกรงกลัวอีกฝ่าย“..เหตุใดท่านเอ่ยถามเช่นนี้...หากกู้ซวินสามารถไปกับข้าได้ ข้าย่อมยินดี แต่..ท่านพี่..ท่านทราบดี ไม่มีทางที่พวกท่านจะยินยอม นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้ว อีกอย่
กู้เฉียวจิงหลังจากตรวจดูข้าวของบุตรชายเสร็จ นางก็เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาไต่ถาม “เจ้าชื่ออะไร” น้ำเสียงและแววตาของกู้เฉียวจิงไม่ได้ข่มขู่หรือแข็งกร้าว มันเรียบนิ่งเย็นชา ทำให้อี้เหมยเกิดอาการประหม่า “เรียนแม่นางกู้ ข้าน้อยชื่ออี้เหมยเจ้าค่ะ” ลัวมามาคิดว่ากู้เฉียวจิงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้บ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งมารับใช้ ทว่าอี้เหมยแม้จะไม่เคยรับใช้ผู้สูงศักดิ์โดยตรง แต่ก็คล่องแคล่วอีกอย่างก็ทำงานในจวนมานาน จึงคิดว่าไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด “อี้เหมยหรือ...ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเกี่ยวกับจวนตระกูลเสิ่น เจ้าจะพอให้ความกระจ่างได้หรือไม่” อี้เหมยเงยหน้ามองกู้เฉียวจิง ภาพตรงหน้าเป็นสตรีสวมชุดสีชมพู่ดอกไห่ถังสดใส ใบหน้างดงามเพริศแพร้ว ยิ่งพินิจที่แววตามันกระตุ้นใจของนางกระตุก ไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกถึงกลิ่นอายความโหดร้าย “แม่นางจะสอบถามสิ่งใด หากผู้น้อยตอบได้ ..ยินดีจะตอบอย่างไม่ปิดบังเจ้าค่ะ” กู้เฉียวจิงปรับสีหน้ายิ้มพราย “เหตุใดเจ้ากล่าวจึงจริงจังเพียงนั้น เจ้าก็ทราบว่าข้ามาจากถิ่นไกล..แค่อยากจ
ตึก ตึก เสียงฝีเท้าซอยถี่รีบเร่งเขามาตามระเบียงทางเดิน ลัวมามาที่กำลังช่วยเสิ่นฮูหยินเช็ดถูดูแลเครื่องประดับก็ขมวดคิ้ว “บ่าวคนใด เหตุใดเสียกริยาเช่นนี้”สวีเหยียนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าฉายความสงสัย “คงมีเรื่องด่วน เจ้าออกไปดูเถิด” ทว่ายังไม่ทันลัวมามาจะออกไป บ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งมาถึงหน้าประตูห้องเสียงตะโกนเรียกดังมาก่อนเจ้าตัว “ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าค่ะ” น้ำเสียงระคนตื่นเต้นยินดีกระตุ้นความสนใจ สวีเหยียนจึงเอ่ยถามน้ำเสียงร่ำสั่น “เข้ามาพูดจาดี ๆ เกิดอันใดขึ้น” อีชิงถลาเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า น้ำหูน้ำตาของนางไหลท่วมใบหน้าเอ่ยน้ำเสียงสะอื้น “คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ..ฮูหยิน..ท่านหงอี้โหวกลับมาแล้ว เจ้าค่ะ ” สวีเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นถาม“เยี่ยหงกลับมาแล้ว..แล้วตอนนี้คนอยู่ที่ใด”“ห้องโถงเรือนใหญ่เจ้าค่ะ...” เสิ่นฮูหยินพยายามรักษากริยา นางแทบอยากจะวิ่งออกไปยังเรือนใหญ่ให้เร็วที่สุดทว่าก็ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าให้ถี่ขึ้นเท่านั้น เสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาจากห้องโถง ฝีเท้าของเสิ่นฮูหยินชะงักช้าลงนางก้าวเข้าไปอย่างรู้สึกหวาดหวั่นใจเสิ่นเยี่ยหงเงยหน้าหั
ดวงตาของเสิ่นเยี่ยหงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมืด แววตากริบเต็มไปด้วยความเฉียบขาด เขาลุกขึ้นนั่งปรายตามองกู้เฉียวจิงที่แอบอิงนอนอยู่เคียงข้าง เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาเปิดประตูเดินออกไปด้านนอก ทันทีที่เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวกู้เฉียวจิงก็ตื่นแล้วเธอนอนนิ่งแสร้งทำเป็นหลับต่อ เกือบจะรุ่งเช้า เสิ่นเยี่ยหงก็เดินไปปลุกบุตรชายบอกให้ว่าตนเองจะเข้าเมืองเพียงคนเดียว จากนั้นก็หายไปเกือบครึ่งค่อนวันชายหนุ่มถึงกลับมา เมื่อปรากฏกายนางก็รับรู้ทันทีกลิ่นอายของสามีเปลี่ยนไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะกับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง สักพักความแข็งกร้าวในดวงตาชายหนุ่มก็จางลงปรับสีหน้ายิ้มจาง ๆ พูดขึ้น “ข้าจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง รายละเอียดข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างเดินทาง” จากนั้นเขาก็หันไปสั่งบุตรชาย “ไปเก็บข้าวของเอาเท่าที่จำเป็นก็พอ” กู้เฉียวจิงตกตะลึง เสิ่นเยี่ยหงแตกต่างจากสามีคนเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่นางไม่ใช่ตัวจริงทว่ากลับรู้สึกมีก้อนจุกหนึ่งดันขึ้นมาที่คอ นางกำลังน้อยใจ เสิ่นเยี่ยหงเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของ
กู้เฉียวจิงรู้สึกได้พักเต็มอิ่ม จนกระทั่งเกือบเที่ยงจึงมีฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าประตู สัมผัสของเธอยังเฉียบคมทำให้นางลืมตาขึ้น สักพักก็มีเสียงใสกระจ่างขานจากข้างนอก “ท่านแม่..ข้าเข้าไปนะขอรับ” เด็กน้อยไม่รอคำตอบ เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาหยุดฝีเท้ายืนอยู่ข้างเตียงมองมารดา กู้เฉียวจิงรีบหลับตาและรับรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายพินิจอยู่ มือน้อย ๆ มาแตะที่แขนของเธอพลางเขย่าเบา ๆ “ท่านแม่..ท่านพ่อบอกข้าเอาไว้ว่า หากเที่ยงแล้วท่านยังไม่ตื่นให้มาปลุกท่าน ท่านตื่นขึ้นมาทานอะไรสักหน่อยเถอะขอรับ” หญิงสาวคล้ายพยายามลืมตาขึ้น นางมองเด็กชายน้อยตรงหน้า นี่คือบุตรชายของนาง กู้ซวิน ทั้งที่ความทรงจำไม่ใช่ของเธอทว่ากลับมีความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง นางปรายสายตามองไปยังมือน้อย ๆ ใช่แล้วมันถ่ายทอดมาจากตรงนั้น นางลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถาม “ท่านพ่อเจ้า ยังไม่กลับมาอีกหรือ” เด็กน้อยส่ายหน้า “ท่านพ่อสั่งความไว้ วันนี้จะเข้าป่าลึกอาจจะกลับมาตอนตะวันตกดินขอรับ ท่านพ่อต้มโจ๊กหมูเอาไว้ ข้าอุ่นไว้ตลอดเวลา เดี๋ยวข้าไปยกน้ำมาให้ท่านแม่ล้างหน้าล้า