กู้เฉียวจิงรู้สึกได้พักเต็มอิ่ม จนกระทั่งเกือบเที่ยงจึงมีฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าประตู สัมผัสของเธอยังเฉียบคมทำให้นางลืมตาขึ้น สักพักก็มีเสียงใสกระจ่างขานจากข้างนอก
“ท่านแม่..ข้าเข้าไปนะขอรับ”
เด็กน้อยไม่รอคำตอบ เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาหยุดฝีเท้ายืนอยู่ข้างเตียงมองมารดา กู้เฉียวจิงรีบหลับตาและรับรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายพินิจอยู่ มือน้อย ๆ มาแตะที่แขนของเธอพลางเขย่าเบา ๆ
“ท่านแม่..ท่านพ่อบอกข้าเอาไว้ว่า หากเที่ยงแล้วท่านยังไม่ตื่นให้มาปลุกท่าน ท่านตื่นขึ้นมาทานอะไรสักหน่อยเถอะขอรับ”
หญิงสาวคล้ายพยายามลืมตาขึ้น นางมองเด็กชายน้อยตรงหน้า นี่คือบุตรชายของนาง กู้ซวิน ทั้งที่ความทรงจำไม่ใช่ของเธอทว่ากลับมีความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งไปทั่วร่าง นางปรายสายตามองไปยังมือน้อย ๆ ใช่แล้วมันถ่ายทอดมาจากตรงนั้น
นางลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถาม
“ท่านพ่อเจ้า ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เด็กน้อยส่ายหน้า “ท่านพ่อสั่งความไว้ วันนี้จะเข้าป่าลึกอาจจะกลับมาตอนตะวันตกดินขอรับ ท่านพ่อต้มโจ๊กหมูเอาไว้ ข้าอุ่นไว้ตลอดเวลา เดี๋ยวข้าไปยกน้ำมาให้ท่านแม่ล้างหน้าล้างตาจะได้ทานข้าวนะขอรับ”
กู้เฉียวจิงไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน จึงอดตื้นตันซาบซึ้งไปกับเด็กน้อยไม่ได้ อดีตนักฆ่าอย่างกู้เฉียวจิงจึงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ลำบากเจ้าแล้ว”
เด็กน้อยรีบวิ่งออกไปเอาน้ำ พลางคอยปรนนิบัติมารดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จากนั้นก็ออกไปตักโจ๊กใส่ถ้วยรอกู้เฉียวจิง ดูน่ารักน่าเอ็นดู
ในขณะที่ทานโจ๊ก กู้เฉียวจิงพลางนึกถึงชะตาของกู้ซวิน หลังจากเข้าตระกูลเสิ่น ทว่ารายละเอียดตัวประกอบเล็ก ๆ มีน้อยมากกล่าวถึงไม่กี่ฉาก นางจำได้ว่าเด็กคนนี้ออกรบกับเสิ่นเยี่ยหง ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต ตอนนั้นเองที่กู้เฉียวจิงคลั่งเกือบเสียสติ
เด็กที่แสนดีขนาดนี้กลับต้องมาตาย นักเขียนชะตาโหดร้ายไม่เบา หลังจากทานอิ่มแล้ว พักผ่อนครึ่งค่อนวัน เรี่ยวแรงพลังก็ได้คืนมาหลายส่วน กู้เฉียวจิงบิดตัวไปมา
“แม่จะออกไปเดินดูสวนเสียหน่อย”
กู้ซวินรีบออกมาห้ามปราม “ไม่ได้นะขอรับท่านแม่ ท่านจะไม่สบายเอาได้ ท่านพ่อสั่งเอาไว้ให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่เรือนเท่านั้น”
กู้เฉียวจิงเอามือลูบแขนบุตรชายเบา ๆ “แม่เบื่อที่จะอยู่ในห้องแล้ว ไม่ต้องห่วงแม่จะรับผิดกับพ่อเจ้าเอง”
“ข้าไม่ได้กลัวท่านพ่อจะดุ แต่กลัวท่านไม่สบาย”
“แม่เข้าใจแล้ว ถ้าแม่รู้สึกเหนื่อยจะรีบพักไม่ฝืนตนเองเด็ดขาดได้หรือไม่” กู้ซวินรู้ไม่อาจจะห้ามปรามมารดาจึงพยักหน้าและเดินตามออกไป
แม้ตัวเรือนจะหลังเล็กทว่าก็เก็บกวาดสะอาดสะอ้าน กู้เฉียวจิง พลางมองไปรอบ ๆ นางไม่คิดจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดของที่นี่ เพราะคืนนี้หลังเสิ่นเยี่ยหงฟื้นความทรงจำ ภายใน 1-2 วันเธอจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงกับเขาและแน่นอนที่นี่ไม่มีสิ่งที่ควรคู่จะนำไปด้วย ทุกอย่างล้วนมีพร้อมในจวนตระกูลเสิ่น
ในขณะที่กู้เฉียวจิงนั่งเล่นเอนกายอยู่บริเวณกลางเรือน กู้ซวินก็เอาผ้าห่มที่นอนของนางออกมาผึงแดดไม่มีท่าทีเกียจคร้านหรือเคืองมารดาแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกรักใคร่เด็กน้อยมากขึ้นไปอีก ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ มันใกล้จะลับขอบฟ้า เสิ่นเยี่ยหงก็กลับมาถึงเรือน
เมื่อประตูเข้ามา เห็นกู้เฉียวจิงยืนรอรับอยู่ ใบหน้าคมคายเข้มก็ระบายเต็มไปด้วยความอบอุ่น บุรุษในความทรงจำกับได้มาเห็นตรงหน้าให้ความรู้สึกลึกซึ้งแตกต่างกัน ที่สำคัญชายผู้นี้หาได้มีความเย็นชาเฉกเช่นในนิยายบรรยาย กลิ่นอายไม่มีรัศมีเข็นฆ่าอย่างที่แม่ทัพเสิ่นควรจะเป็นแม้แต่น้อย
เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่เธอได้ผ่านช่วงเวลาเร้าร้อนสัมผัสใกล้ชิดกัน เป็นสามีที่อ่อนโยนอบอุ่นให้ภรรยาและบุตรชาย ดวงตาที่จ้องมองมาทำให้หัวใจของเธออุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ พลันใจของกู้เฉียวจิงก็รู้สึกสั่นคลอน หากอยู่ที่นี่ด้วยกันเช่นนี้ต่อไปชีวิตคงสงบและดีไม่น้อย นางอดขำตนเองไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณของกู้เฉียวจิงคนเดิมกลืนกินนางไปแล้วกระมั้ง
“คิดอะไรอยู่หรือ”
เสิ่นเยี่ยหงเดินเข้ามาปัดปอยผมตรงหน้าของภรรยาด้วยความมืออันแผ่วเบาอ่อนโยน
“เปล่าเจ้าค่ะ...ข้าแค่รู้สึกโชคดีที่มีท่านอยู่”
“ข้าก็เช่นกัน...เจ้ามาดูสิ ในที่สุดข้าก็จับจิ้งจอกได้ เฝ้ารอมาตั้งนานก็สำเร็จหนังของมันจะเอาทำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกกันหนาวให้เจ้าได้แล้ว”
กู้เฉียวจิงยิ้มอ่อนหวาน “ท่านพี่...แต่ว่าหนังจิ้งจอกขายได้ราคายิ่งนัก ท่านเอาไปขายเถอะ มันล้ำค่าจนเกินไป”
“ได้อย่างไร...ข้าตั้งใจนำมาให้เจ้านะ สำหรับเจ้าไม่มีสิ่งใดล้ำค่าเกินไป...เจ้าไม่ต้องกังวลเนื้อไก่ป่าพวกนั้น ก็ขายได้ราคา”
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ท่านจะเข้าไปในเมืองหรือไม่ขอรับ”
“ไปสิ เราจะไปขายไก่ป่ากัน”
“ข้าไปด้วยนะขอรับ”
“อืม..ไปด้วยกัน ไว้โตกว่านี้สักหน่อย พ่อจะพาไปล่าสัตว์ด้วย”
ครอบครัวสุขสรรค์อบอุ่นยิ่งนัก นัยน์ตาของกู้เฉียวจิงแววหมองหม่นหลุบต่ำลง หลังจากเสิ่นเยี่ยหงคืนความทรงจำ ทุกอย่างก็อาจจะสลายไป นางรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
“ข้าจะต้มข้าว ท่านพี่ไปอาบน้ำเถอะ...”
“ได้ ๆ ซวินเอาไก่พวกนี้ไปขังไว้ วันนี้พ่อจะย่างเนื้อจิ้งจอกให้พวกเจ้ากิน”
หลังจากทานข้าวเสร็จเตรียมจะเข้านอน กู้เฉียวจิงก็หยิบยาออกมาในฐานะเป็นนักฆ่าเรื่องวางยาไม่ใช่เรื่องยาก
“ท่านพี่ดื่มน้ำเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยหงรับน้ำมาจากภรรยา พลางส่งสายตาหวานซึ้งเจตนาในแววตาชัดเจนคืนนี้เขาจะเคี้ยวกร่ำนางเช่นเคยกู้เฉียวจิงยิ้มเอียงอาย ความจริงนางไม่ได้อ่อนแอ่อันใด เพราะแต่ละคืนนางไม่ได้พักผ่อนเลยต่างหาก
ขณะที่เสิ่นเยี่ยหงกำลังดื่มน้ำ กู้เฉียวจิงพลันรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง ภายในใจรู้สึกกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็น นางปลอบให้ใจสงบลง นี่คงเป็นนิสัยของเจ้าของเดิม
“น้องหญิงเข้านอนกันเถอะ”
หลังจากดื่มน้ำเสร็จ เสิ่นเยี่ยหงก็ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เขาพร้อมจะขึ้นเตียงแล้วเมื่อโน้มกายทับร่างมือใหญ่ของเขาก็ลูบไล้ไปทั่วร่างของหญิงสาว กู้เฉียวจิงสั่นสะท้านถึงจะอย่างไรเสิ่นเยี่ยหงก็นับว่าเป็นบุรุษแปลกหน้า ทำให้การแสดงออกดูเขินอายและไร้เดียงสา กระตุ้นอารมณ์ของเสิ่นเยี่ยหงให้ฮึกเหิม
ทว่าไม่ทันที่เขาจะสอดประสานพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง
“โอ้ย!!”
ชายหนุ่มเอามือกุมหัวที่เหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ กู้เฉียวจิงเบิกตากว้างอย่างตกใจนางไม่คาดว่าเสิ่นเยี่ยหงจะมีอาการตอบสนองเช่นนี้
“ท่านพี่..ท่านเป็นอะไร”
สิ้นคำถาม เสิ่นเยี่ยหงก็หมดสติไป กู้เฉียวจิงจะเขย่าอย่างไรก็ไม่ได้สติ
หลังจากตรวจดูอาการดูเหมือนว่าจะแค่หมดสติไปเท่านั้น กู้เฉียวจิงถอนหายใจโล่งอก นางหยิบยาขึ้นมาอ่านว่ามีคำเตือนหรือไม่ ข้างขวดมีตัวหนังสือเล็ก ๆ อยู่ ๆ เมื่อเพ่งดูก็เห็นอักษรชัดเจนเขียนเอาไว้
อาการข้างเคียง ปวดหัวอย่างรุนแรง
กู้เฉียงจิงสบถคำหยาบในใจ
แต่ก็ช่างเถอะเป็นนางเองที่ไม่ระวัง หลังจากนั้นนางก็นำขวดยากลับไปวางที่เดิม นั่งไปเฝ้าไปเกือบสองชั่วยามเสิ่นเยี่ยหงก็ยังไม่ได้สติ กู้เฉียวจิงจึงคล้อยหลับไป
จวบจนกลางดึก เสิ่นเยี่ยหงก็ลืมตาขึ้น
แววตาชายหนุ่มหาได้เป็นเช่นเดิม
ดวงตาของเสิ่นเยี่ยหงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมืด แววตากริบเต็มไปด้วยความเฉียบขาด เขาลุกขึ้นนั่งปรายตามองกู้เฉียวจิงที่แอบอิงนอนอยู่เคียงข้าง เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาเปิดประตูเดินออกไปด้านนอก ทันทีที่เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวกู้เฉียวจิงก็ตื่นแล้วเธอนอนนิ่งแสร้งทำเป็นหลับต่อ เกือบจะรุ่งเช้า เสิ่นเยี่ยหงก็เดินไปปลุกบุตรชายบอกให้ว่าตนเองจะเข้าเมืองเพียงคนเดียว จากนั้นก็หายไปเกือบครึ่งค่อนวันชายหนุ่มถึงกลับมา เมื่อปรากฏกายนางก็รับรู้ทันทีกลิ่นอายของสามีเปลี่ยนไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะกับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง สักพักความแข็งกร้าวในดวงตาชายหนุ่มก็จางลงปรับสีหน้ายิ้มจาง ๆ พูดขึ้น “ข้าจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง รายละเอียดข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างเดินทาง” จากนั้นเขาก็หันไปสั่งบุตรชาย “ไปเก็บข้าวของเอาเท่าที่จำเป็นก็พอ” กู้เฉียวจิงตกตะลึง เสิ่นเยี่ยหงแตกต่างจากสามีคนเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่นางไม่ใช่ตัวจริงทว่ากลับรู้สึกมีก้อนจุกหนึ่งดันขึ้นมาที่คอ นางกำลังน้อยใจ เสิ่นเยี่ยหงเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของ
ตึก ตึก เสียงฝีเท้าซอยถี่รีบเร่งเขามาตามระเบียงทางเดิน ลัวมามาที่กำลังช่วยเสิ่นฮูหยินเช็ดถูดูแลเครื่องประดับก็ขมวดคิ้ว “บ่าวคนใด เหตุใดเสียกริยาเช่นนี้”สวีเหยียนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าฉายความสงสัย “คงมีเรื่องด่วน เจ้าออกไปดูเถิด” ทว่ายังไม่ทันลัวมามาจะออกไป บ่าวคนดังกล่าวก็วิ่งมาถึงหน้าประตูห้องเสียงตะโกนเรียกดังมาก่อนเจ้าตัว “ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าค่ะ” น้ำเสียงระคนตื่นเต้นยินดีกระตุ้นความสนใจ สวีเหยียนจึงเอ่ยถามน้ำเสียงร่ำสั่น “เข้ามาพูดจาดี ๆ เกิดอันใดขึ้น” อีชิงถลาเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า น้ำหูน้ำตาของนางไหลท่วมใบหน้าเอ่ยน้ำเสียงสะอื้น “คุณชายใหญ่เจ้าค่ะ..ฮูหยิน..ท่านหงอี้โหวกลับมาแล้ว เจ้าค่ะ ” สวีเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นถาม“เยี่ยหงกลับมาแล้ว..แล้วตอนนี้คนอยู่ที่ใด”“ห้องโถงเรือนใหญ่เจ้าค่ะ...” เสิ่นฮูหยินพยายามรักษากริยา นางแทบอยากจะวิ่งออกไปยังเรือนใหญ่ให้เร็วที่สุดทว่าก็ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าให้ถี่ขึ้นเท่านั้น เสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาจากห้องโถง ฝีเท้าของเสิ่นฮูหยินชะงักช้าลงนางก้าวเข้าไปอย่างรู้สึกหวาดหวั่นใจเสิ่นเยี่ยหงเงยหน้าหั
กู้เฉียวจิงหลังจากตรวจดูข้าวของบุตรชายเสร็จ นางก็เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาไต่ถาม “เจ้าชื่ออะไร” น้ำเสียงและแววตาของกู้เฉียวจิงไม่ได้ข่มขู่หรือแข็งกร้าว มันเรียบนิ่งเย็นชา ทำให้อี้เหมยเกิดอาการประหม่า “เรียนแม่นางกู้ ข้าน้อยชื่ออี้เหมยเจ้าค่ะ” ลัวมามาคิดว่ากู้เฉียวจิงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้บ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งมารับใช้ ทว่าอี้เหมยแม้จะไม่เคยรับใช้ผู้สูงศักดิ์โดยตรง แต่ก็คล่องแคล่วอีกอย่างก็ทำงานในจวนมานาน จึงคิดว่าไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด “อี้เหมยหรือ...ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเกี่ยวกับจวนตระกูลเสิ่น เจ้าจะพอให้ความกระจ่างได้หรือไม่” อี้เหมยเงยหน้ามองกู้เฉียวจิง ภาพตรงหน้าเป็นสตรีสวมชุดสีชมพู่ดอกไห่ถังสดใส ใบหน้างดงามเพริศแพร้ว ยิ่งพินิจที่แววตามันกระตุ้นใจของนางกระตุก ไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกถึงกลิ่นอายความโหดร้าย “แม่นางจะสอบถามสิ่งใด หากผู้น้อยตอบได้ ..ยินดีจะตอบอย่างไม่ปิดบังเจ้าค่ะ” กู้เฉียวจิงปรับสีหน้ายิ้มพราย “เหตุใดเจ้ากล่าวจึงจริงจังเพียงนั้น เจ้าก็ทราบว่าข้ามาจากถิ่นไกล..แค่อยากจ
สีหน้าของเสิ่นเยี่ยหงทมึงตึงขึ้น เขาลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ภายในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาลแทบอยากจะเดินปราดออกไปจากห้อง “เรื่องนี้ ยังไม่ต้องตัดสินใจ...ข้าไม่มีทางจะปล่อยให้เจ้าออกไปอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของข้า” กู้เฉียวจิงยิ้มเยาะในใจ ที่นางกล้าพูดขนาดนี้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหย่าต่างหาก จะทิ้งนางหาใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ทว่าหากจะต้องไป ก็คงต้องขอเยอะๆ สักหน่อย นางรีบกล่าวน้ำเสียงร้อนรนทว่าก็แฝงความเด็ดเดียว “ท่านพี่.. ถึงแม้ข้าจะเป็นหญิงสาวชาวบ้าน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเป็นอนุของผู้ใด หากท่านจะเมตตาข้าจะขอทรัพย์สินสักก้อนออกไปตั้งตัว เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้วต่อคนฐานะเช่นข้า..และอีกอย่างข้าก็มีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง” เสิ่นเยี่ยหง ตวัดสายตามองกลับมากล่าวขัดน้ำเสียงสูง “เจ้าไม่เป็นห่วงกู้ซวินหรือ”กู้เฉียวจิงจ้องมองกลับ สายตานางหาได้เกรงกลัวอีกฝ่าย“..เหตุใดท่านเอ่ยถามเช่นนี้...หากกู้ซวินสามารถไปกับข้าได้ ข้าย่อมยินดี แต่..ท่านพี่..ท่านทราบดี ไม่มีทางที่พวกท่านจะยินยอม นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้ว อีกอย่
“ชุนเอ๋อร์ ทานข้าวเช้ามาแล้วหรือยังรับพร้อมกันกับแม่ได้หรือไม่”เกาเหยาชุนเงยหน้าสบตากับมารดา แววตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยทำให้คำกล่าวที่จะปฏิเสธก็ถูกกลืนลงไป“เจ้าค่ะ ท่านแม่” นางเดินไปนั่งตรงข้ามมารดาจากนั้นก็รับช้อนชามจากบ่าวไพร่ก้มหน้ากินโจ๊กหมูอย่างเงียบ ๆ เกาฮูหยินปรายสายตามมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง หลังจากทานข้าวเสร็จ เกาเหยาชุนหยิบผ้าเช็ดปากแล้วเงยหน้ามองมารดาเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา“ท่านแม่”“เจ้าคงจะไม่มาบอกแม่ ว่ายินยอมเป็นฮูหยินรองใช่หรือไม่”หญิงสาวหยักหน้าเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด นางรักเสิ่นเยี่ยหงมาตั้งหลายปี สัญญาหมั้นหมายก็มีแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้หาได้มีคนผิด ทำไมนางจะต้องแก้ไขด้วยเล่า“ให้แม่ไปคุยกับทางโน้นเสียก่อน อย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพียงสตรีชาวบ้าน เสิ่นฮูหยินอาจจะมีวิธีจัดการที่เหมาะสม ไยเจ้าต้องรีบลดเกียรติตนเองเช่นนี้” น้ำเสียงของเกาฮูหยินเต็มไปด้วยความอ่อนใจ แม้เกาเหยาชุนจะรู้สึกผิดกับมารดา ทว่านางเติบโตมาพร้อมกับเสิ่นเยี่ยหง บุรุษที่นางหลงรักมาหลายปี นิสัยใจคอของชายหนุ่มนางล้วนกระจ่างใจยิ่งกว่าใจตนเองเสียอีก “ท่านแม่..ลูกขอโ
กู้เฉียวจิง อยู่ในฐานะสตรีจากบ้านนอก อีกทั้งยังไม่ได้รับฐานะอันใด จะกระทำสิ่งใดล้วนไม่ต้องระมัดระวังมากมายนัก นางตอบรับคำอี้เหมย ในขณะที่กำลังปรับเปลี่ยนการแต่งกาย ลัวมามาก็มาเยือน นางคารวะกู้เฉียวจิงอย่างนอบน้อมอยู่หน้ากั้นฉากแล้วกล่าวขึ้น"แม่นางกู้ อาจารย์ที่ท่านโหวเชิญมาสอนคุณชายได้มาถึงจวนแล้ว ฮูหยินจึงให้ข้ามาแจ้งท่านพร้อมเชิญคุณชายไปพบอาจารย์เจ้าค่ะ”รวดเร็วยิ่งนักกู้เฉียวจิงกระพริบตานิ่งพินิจชั่วครู่แล้วพูดขึ้น“กู้ซวิน ในเมื่ออาจารย์มาถึงแล้วจะเสียมารยาทไม่ได้.. เจ้าจงตามลัวมามาไปพบอาจารย์เสีย ไว้วันหลังแม่จะพาเจ้าออกไปข้างนอกชดเชยให้”กู้ซวินแม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ติดตามมารดาไป ทว่าเขาเองก็เป็นเด็กใฝ่รู้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ที่เชิญมาสอนตนเองโดยเฉพาะมาถึงแล้วก็ตื่นเต้นยินดีกลบความผิดหวังนั่นจนมิด“ขอรับท่านแม่”กู้เฉียวจิง หันไปพูดกับลัวมามา“ข้าฝากกู้ซวินด้วยนะ ลัวมามา”ลัวมามาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งตัวอ่อน“การปรนนิบัติท่านเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” พูดเสร็จ จากนั้นนางก็หันไปผ่ายมือเชิญกู้ซวินอย่างอ่อนน้อมยิ่งกว่า แม้ฐานะขอ
อี้เหมยและอี้หลิง พากู้เฉียงจิงเดินเข้าร้านเครื่องประดับ ร้านอาภรณ์ ร้านผ้าไหม ร้านเครื่องหอม เข้า ๆ ออก ๆ อยู่หลายร้าน หากมีมูลค่ามากหน่อย ก็ให้ร้านไปส่งของและเก็บเงินจากจวนตระกูลเสิ่น บุรุษสูงโปร่งสวมชุดสีคราม ยื่นพิงเสาระเบียงหอเฟิ่งหลางท่วงท่าดูเกียจคร้าน ทว่าสายตาที่พินิจกู้เฉียงจิงกลับเฉียบคมหวังจะเห็นอีกฝ่ายให้ทะลุปุโปร่ง เขาหมุนจอกชาในมือไปมาแล้วถามขึ้น “นั่นหรือ.. สตรีที่เสิ่นเยี่ยหงพากลับมาด้วย” บ่าวข้างกายรีบตอบ “ขอรับ เห็นว่ามีบุตรชายด้วยหนึ่งคน” กู้เฉียวจิงรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมอง นางเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาดุจดั่งหยกบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง แม้บุรุษผู้นั้นจะยิ้มทักทายอย่างบุรุษเสเพล กระนั้นนางก็รู้สึกถึงความอำมหิตของอีกฝ่าย นางรีบดึงสายตากลับอย่างไม่ใส่ใจ ที่นี่ย่อมมีบุคคลไม่ธรรมดาอยู่มาก หลีกเลี่ยงเสียหน่อยจะดีกว่าเซียวหลีหยวนจ้องมองแผ่นหลังกู้เฉียงจิงที่กำลังเดินห่างออกไป ครุ่นคิดถึงสายตาเย็นชาของนางเมื่อสักครู่ “สมกับเป็นเสิ่นเยี่ยหง มักมีเรื่องให้ตกตะลึงอยู่เสมอ” เมื่อเดินมากพอสมควร ร่างกาย
กัวเล่อเยี่ยนเชิญกู้เฉียวจิงไปนั่งพร้อมทั้งรินน้ำชาพลางเอ่ย“ต้องขออภัยคุณหนู คนของข้าเสียมารยาทยิ่ง”กู้เฉียวจิงเหม่อมองนิ้วมือทั้งเรียวเล็กและขาวผุดผ่อง ที่ยืนจอกชามาตรงหน้า ผงสมุนไพรเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ตรงช่วงแขนทำให้นางเกือบจะเอามือไปปัดออก นางรู้สึกว่าตนเองเสียอาการยิ่ง พลันได้สติ รีบรับจอกชามาแล้วพูดขึ้น“คุณหนูเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านมีฐานะสูงส่งไม่อาจจะเปิดเผยตน ข้าเข้าใจ” “ไม่ทราบว่านามของท่านคือ ?”“...ข้า กู้เฉียวจิงเจ้าค่ะ..เอ่อ ฐานะของข้าค่อนข้างที่จะ..ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก ข้าพึ่งมาเมืองหลวงเมื่อวาน” กัวเล่อเยี่ยนยิ้มละมุน ท่าทีบ่งบอกว่าหาได้ใส่ใจฐานะของอีกฝ่าย นางเอ่ย“ข้าอดแปลกใจไม่ได้...ท่านทราบเรื่องที่ข้ามีวิชาแพทย์ทั้งได้เล่าเรียนกับอาจารย์เหิง..เพราะแม้กระทั่งคนในครอบครัวก็หาได้รู้เรื่องนี้ไม่...”ความลับอย่างไรก็ควรเป็นความลับ การที่กู้เฉียวจิงเอ่ยพูดความลับของคนอื่น ย่อมทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ นางจึงรีบพูด“ต้องขออภัยคุณหนูกัว ต่อไปเรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ส่งเดชอีก” ใบหน้างดงามส่ายเบา ๆ ไม่ให้คนลำบากใจ “มิใช่เช่นนั้น ... เดิมไม่ใช่ความลับ เพียงแต่
ตอนที่ 60 บทบาทต่อไป...พี่สาวจงหงวน “คุณหนูหวัง...ถึงโรงเตี้ยมแล้วขอรับ” เสียงพ่อบ้านเฉิงเอ่ยเรียกอยู่นอกรถม้าด้วยเสียงนอบน้อม พอหวังเว่ยซินเลิกผ้าม่านออกมา ก็เจอป้ายขนาดใหญ่หอสุราชิงเห่อ โรงเตี้ยมใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง หวังเว่ยซินถอนหายใจ มิต้องสงสัย คงไม่ได้เริ่มต้นแบบชีวิตสตรีชาวบ้านทั่วไปเสียแล้ว นางก้าวลงรถม้า พ่อบ้านเฉิงก็เอ่ยบอก “นี่คือเอกสารของท่านขอรับ เมื่อสักครู่คนเอามาส่งแล้ว” “รบกวนแล้ว ขอบคุณพ่อบ้านเฉิงมาก” “มิกล้า มิกล้า โรงเตี้ยมนี้ท่านจะอยู่กี่คืนก็ได้ขอรับ ข้าได้สั่งเถ้าแก่เอาไว้ ให้ไปเก็บที่จวน” หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นก็เอ่ย “ท่านพ่อบ้านมีภารกิจมากมาย ขอมิอาจรบกวนนาน ส่งข้าเท่านี้พอ” พ่อบ้านเฉิงถูกกำชับว่าอย่าขัดใจคนเบื้องหน้าเด็ดขาด ก็รีบขานรับทันที “มิกล้า มิกล้า เช่นนั้นบ่าวขอตัว” “เดินทางดี ๆ เจ้าค่ะ” จากนั้นเสี่ยวเอ้อก็มารับหน้าต่อ “คุณหนูเชิญด้านในเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านจะไปยังห้องพักหรือว่านั่งผ่อนคลายที่ระเบียงชั้นสองก่อนดีเจ้าคะ”
ตอนที่ 59 เรื่องราวสามปีที่ผ่านมา รถม้าจวนหงอี้กงเคลื่อนผ่านพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา “นี่...รู้ไหมฮูหยินหงอี้กง จัดหาอนุให้กับท่านหงอี้กงอีกแล้วนะ ...ได้ยินว่าเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มงดงามที่สุดที่หอซิงเซียงอุตสาหามาได้ แต่จวนหงอี้กงก็ยังมาแย่งคนไป” “จริงหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูตื่นเต้นประหลาดที่สุด ทำให้คนเล่ายิ่งรู้สึกสนุกอยากเล่าต่อ “แน่นอน...ข้าได้เห็นกลับตา ว่าไปแล้วก็อิจฉาหงอี้กงยิ่งนัก ได้ฮูหยินที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรเช่นนี้ หากเป็นข้าก็อยากจะกลับเรือนทุกวัน” “คริ คริ” เสียงสตรีผู้หนึ่งหัวเราะขบขันพลางกล่าว “ท่านมีเงินเลี้ยงพวกนางหรือข้าได้ยินว่า ฮูหยินหงอี้กงใช้เงินเดือนละหลายหมื่นตำลึงหมดไปกับอาภรณ์เครื่องประดับของเหล่าอนุเชียวนะ” บุรุษผู้นั้นรู้สึกละอาย ตอนนี้แค่นี้ภรรยากับบุตรสองคนก็แสนอัตคัดจะมีปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงอนุเพิ่มบุรุษผู้หนึ่ง หมุนจอกชาในมือไปมาคิดไปแล้วก็แปลกใจดูเหมือนว่า อยู่ ๆ เขาก็ตัดใจจากกู้เฉียวจิงได้ ส่วนฮูหยินอันดับหนึ่งที่ทุกคนให้ตำแหน่งมา “ฮื้อ ฮื้อ ท่านไปไหนมา
ตอนที่ 58 ฮูหยินกู้..ถามข่าวท่านทุกวัน ซูซูมอง เด็กสาวประครองหีบขึ้นมา เมื่อเปิดดูข้างในก็เจอตั๋วเงินหลายแผ่นพร้อมเครื่องประตับจำนวนหนึ่ง ดวงตาโตของเด็กสาวเจิดจ้าใต้แสงดาว ได้ยินเสียงนางพึมพำ“เงินของข้า เงินของข้า”นางประคองหีบออกมาอย่างประคบประหงม ลุกขึ้นปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วหันมากล่าว “ซูซู ขอบคุณท่านมากนะที่เฝ้าให้ข้า ข้าไปล่ะ”ในขณะที่กำลังจะทะยานออกไป ซูซูก็เอ่ย“คุณหนูช้าก่อน” จากนั้นก็ไปขวางหน้าเด็กสาว เห็นสีหน้าที่ดูแตกตื่นแววตาสังหารประกายวาบขึ้น นางก็รีบอธิบาย “ป่ะ...เปล่า ข้ามิได้ห้ามที่ท่านจะนำหีบไป เพียงแต่ฮูหยินสั่งเอาไว้ หากท่านมาก็ให้เชิญท่านไปพบ”เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจยิ้มตอบ “ฝากบอกนางว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาไว้ทุกอย่างลงตัวแล้วข้าจะไป”หวังเว่ยซินกำลังจะก้าวเท้าออกไปก็ถูกซูซูขวางอีกรอบ “คุณหนูจะบอกข้าได้หรือไม่...ว่าท่านพักอยู่ที่ใด เผื่อหากว่าฮูหยินถามข้าจะได้มีข้อมูล...ฮูหยินถามข่าวท่านทุกวันเลยนะเจ้าคะ สีหน้านางดูเป็นกังวลและห่วงใยท่านมาก” แววตาของหวังเว่ยซินมีประกายอบอุ่นขึ้นมา นางคลี่ยิ้มตอบ “ข้าถูกนำมาขายที่หอซิงเซียง ตอนนี้ให้ข้าไปไถ
ตอนที่ 57 หวังเว่ยซิน..ได้ตามที่ขอในถนนเส้นหนึ่งในอำเภอเล็ก ๆ มีรถม้าคันนี้กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ภายในรถม้ามีเด็กสาววัยแรกแย้มอยู่ประมาณห้าหกคน ทุกคนล้วนมีผิวพรรณละเอียดใบหน้าหมดจด เค้าโครงรูปหน้าชัดโตขึ้นย่อมเป็นหญิงงามอย่างไม่ต้องสงสัย“ฮื้อ ฮื้อ...ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าครอบครัวข้าจะขายข้า” เสียงเด็กสาวร้องไห้สะอื้นจนตัวโยก บางคนร้องจนหมดแรงหลับไป กู้เฉียวจิงตอนนี้อยู่ในร่างของ หวังเว่ยซิน หนึ่งในสาวงามที่ถูกครอบครัวขายมา เด็กสาวตรอมใจตายยกร่างให้กู้เฉียวจิง อย่างไม่อาลัยอาวรณ์พร้อมขอไปเกิดใหม่ทันทีนางนิ่งเงียบสนิทพยายามทบทวนเรื่องราวของตนเองจากความทรงจำเจ้าของร่างพร้อมกับตรวจสอบพรว่าได้ครบหรือไม่ ในข้อที่หนึ่งขอไปเกิดใหม่พร้อมความทรงจำและวรยุทธ์ ข้อนี้ผ่านไม่มีข้อผิดพลาดถูกต้องตามเจตนา ข้อสอง เกิดในครอบครัวที่นางสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ทันที นับว่าใช่ ตอนนี้นางมีมารดาและน้องชายแต่นางถูกขายออกมาโดยผู้ที่ได้ว่าเป็นย่าแท้ ๆ อำมหิตสุด ๆ แต่ก็ยังถูกต้องตามที่ขอ หวังเว่ยซินยิ้มแห้ง ๆ ส่วนข้อสาม คงต้องรอสักระยะ ได้ยินคนขับรถม้า
ตอนที่ 56 พรหนึ่งข้อกับตัวละครลับ ในที่สุดกู้เฉียวจิงก็ทนความง่วงไม่ไหว คล้อยหลับไปในตอนดึก ค่ำคืนในฤดูหนาวสายลมพัดเย็นยะเยือก ในห้วงคลับคล้ายเหมือนฝัน นางได้พบกับคนผู้หนึ่งยืนอยู่กลางหิมะ ใบหน้าเหมือนกับนางในตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยน “เจ้าคือ กู้เฉียวจิงคนนั้น?” หญิงสาวคนนั้นยิ้มละมุนตอบ “ใช่ข้าเอง...ข้ามาขอบคุณท่าน หากไม่มีท่านทุกอย่างคงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้...ข้าซึ้งใจท่านนัก” กล่าวตามจริง กู้เฉียวจิงก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำอันใดมากนัก แค่ทำตามคำสั่งและระงับอารมณ์ให้มากเท่านั้นเอง จึงกล่าว “ข้าทำตามภารกิจ...เจ้ามิต้องขอบคุณ” นางส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณ” กู้เฉียวจิงมองคนเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิดแววตาฉายความสงสัย “ท่านไปอยู่ที่ไหนมาเหตุใดพึ่งปรากฏกาย” “ข้าก็อยู่กับท่าน...หนึ่งร่างสองวิญญาณ”กู้เฉียวจิงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ความเข้าใจหนึ่งผุดขึ้นใช่แล้ว..กู้เฉียวจิงเจ้าของร่างไม่ได้บอกว่านางตาย มิน่า ๆ หลายครั้งนางก็มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเสิ่นเยี่ยหง คงจะเป็นความรู้สึกของสตรีคนนี้ นางเอ่ยถ
ตอนที่ 55 หลบหน้า “ซื่อจือ” กู้เฉียวจิงเอ่ยเรียกกู้ซวินด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความยินดี รอยยิ้มของเด็กชายหันมามองมารดาอบอุ่นเป็นพิเศษ ชวนให้ใบหน้าระบายด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมกับความสุขที่ล้นออกมาทั้งใจ ความสุขนี้มากเกินบรรยาย หลังจากออกกำลังไป ฝึกกระบี่ไปหลายกระบวนท่าแล้ว กู้ซวินก็มานั่งข้างมารดา รับน้ำมาดื่มพลางเอ่ยถามมารดา “ท่านแม่...ผู้ที่ตัดเส้นแขนขา จะสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้อีกหรือไม่ขอรับ” กู้เฉียวจิงกระพริบตาเล็กน้อยสายตาอ่อนโยน มองบุตรชายเป็นกังวลนางก็รู้สึกใจอ่อน “ไม่ต้องห่วง...แม่มีหนทางช่วยพ่อเจ้า” ดวงตาบุตรชายเป็นประกายขึ้นมา “จริงหรือขอรับ” “แม่มิเคยโกหกเจ้า” “ป่ะ..เปล่าขอรับ ลูกแค่ตื่นเต้นเกินไป” “เอาล่ะ ไปอาบน้ำเสียก่อน...ทานอาหารให้เรียบร้อยอย่าได้ให้อาจารย์ต้องรอ” เด็กชายตอบรับทันที “ขอรับท่านแม่”ผลัดออกจากบุตรชาย กู้เฉียวจิงก็กลับไปที่เรือนไปหยอกล้อเสิ่ยซูเวยสักพักก่อนจะออกจากจวนไป โรงหมอฮุ๋ยหวง กัวเล่อเยี่ยนชำเลืองมองกู้เฉียวจิง ใบหน้าของนางคล
ตอนที่ 54 เบื้องหน้าเบื้องหลัง กู้เฉียวจิงอ่านสารจากชิงชิงด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งปลื้มปิติกับเด็กน้อย ทั้งโมโหที่เสิ่นเยี่ยหงเสียท่าให้ผู้อื่น ภายในใจกระวนกระวายอารมณ์ปั่นป่วนอึดอัดไม่รู้ด้วยเหตุใด แม้นางจะเข้าใจว่าเหตุใดเสิ่นเยี่ยหงต้องชิงรีบตัดเส้นเอ็นสร้างความตระหนกเพื่อเบี่ยงเบนให้อีกฝ่ายมีเวลาไตร่ตรองน้อยลง แล้วส่งมอบกู้ซวินออกมาให้เร็วที่สุด กระนั้นนางก็ยังอยากจะฟาดกระบี่ใส่อีกฝ่ายเช่นเคย นางสูดลมหายใจเข้าระงับอารมณ์ ยื่นสารไปยังตะเกียงดูมันมอดไหม้พลางเอ่ยถาม ซูซู “คาดว่าพวกเขาจะถึงเมืองหลวงเมื่อไร” “น่าจะไม่เกินสิบวันเจ้าค่ะ ทว่าท่านบัญชาการน่าจะถึงภายในห้าวันนี้” กู้เฉียวจิงผงกศีรษะ แล้วส่งสัญญาให้ซูซูออกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ นางคาดเดาว่าตู้ยาต้องมีภารกิจ จึงเปิดขึ้นมาดู ภารกิจที่ห้า มอบยาต่อเส้นเอ็นให้เสิ่นเยี่ยหง เหอะ เหอะ คาดไม่ผิด ผลตอบแทนที่จะได้รับยังไม่ปรากฏ กู้เฉียวจิงยิ้มที่มุมปาก จะเป็นอะไรนะ สิ่งที่นางจะได้รับในครั้งนี้ เงิน อำนาจ ความสามารถ นางล้วนมีค
ตอนที่ 53 นับว่าก้าวหน้าขึ้น กู้ซวินกวัดแกร่งกระบี่ในมืออย่างรวดเร็ว หลังจากใช้กระบี่ปกป้องตนเอง พลิกพลิ้วกายฟาดฝ่ามือใส่อย่างแรง หักแขนขากลุ่มโจรเสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดสาย เหล่าทหารองค์รักษ์ต่างยืนตะลึงนิ่งอึ้งงันไป พลันได้สติกลับมาก็ชูกระบี่ขึ้นเตรียมกระโจนเข้าไปร่วมต่อสู้ ทว่าพวกเขา ต่างหยุดชะงัก หลังจากเห็นฝ่ามือของเสิ่นเยี่ยหงยกมือขึ้นห้าม ชายหนุ่มปรายสายตามองดูบุตรชาย ตัวเล็ก ๆ ของเขาถูกโอบล้อมด้วยจำนวนที่มากกว่ายี่สิบคน กระนั้นเด็กชายกลับดูปลอดโปร่งไร้ความกังวล แค่นี้ก็เห็นถึงความเหนือชั้น ดูรับมือได้ไม่ยาก ชายหนุ่มยกปากยิ้มเย้ยหยันในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตนเองควรมีสีหน้ายังไง จะปลาบปลื้มชื่นชมหรือตกตะลึงคาดไม่ถึงกันแน่ เห็นเหล่าทหารต่างหยุดชะงักมองดูตาค้าง กู้ซวินก็ตะโกนลั่นมา “พวกท่านชักช้าอันใด ไยไม่รีบตามหมอมาดูอาการท่านพ่อเดี๋ยวนี้” เสิ่นเยี่ยหงยิ้มดูแคลนตนเอง หมอทหารที่เตรียมมาเพื่อช่วยเหลือกู้ซวินกลับมาต้องรักษาตัวเขาแทน เหล่าโจรภูเขามองกู้ซวินอย่างตะลึงพรึงเพริด เด็กคนหนึ่งใบหน้าไร้เดียงสา แต่กลับแข็ง
ตอนที่ 52 ซ้อนซ้อนแผน ชิงชิงติดตามขึ้นภูเขาจนกระทั่งจุดทางลับ กลุ่มคนร้ายค่อย ๆ ทยอยหายเข้าไปให้โพร่งไม้นางกำลังจะตามเข้าไปก็ถูก หลีเซียวหยวนสะกัดเอาไว้ “ข้าจะตามเข้าไปเอง เจ้าจงไปตามคนของข้ามา” ชิงชิงพยักหน้าจากนั้นก็เร้นกายออกไปภายในโพร่งมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมไฟเล็ก ๆ ที่นำทางด้านหน้า ส่วนคนที่อยู่ข้างหลัง แม้กระทั่งมือตนเองก็มองไม่เห็น กู้ซวินถูกคนร้ายคนหนึ่งแบกอยู่ช่วงกลางขบวน เด็กชายถูกจี้สะกัดจุดนิทราแต่เขาคลายจุดด้วยตนเองไปแล้ว จึงรับรู้ของการติดตามมาของอาจารย์กู้ซวินลอบฟังเสียงลมหายใจของแต่ละคน หนึ่งหรือสองคนในนี้มียอดฝีมืออยู่ เด็กชายจึงหลับแสร้งหลับต่อไป พวกมันพาเด็กชายไปขังไว้ในห้องหนึ่ง “ต้องมัดมือมัดเท้าหรือไม่”“เด็กตัวแค่นี้ไม่ต้องหรอก ให้มันได้นอนหลับสบายสุดท้ายในชีวิต” จากนั้นพวกมันก็ออกไปเฝ้าหน้าห้อง กู้ซวินจึงลุกขึ้นนั่งดูสำรวจรอบกาย หลีเซียวหยวนรอจังหวะแล้วลอบเข้าไป เอ่ยถามเสียงเบา “หวาดกลัวหรือไม่”เด็กชายส่ายหน้า “ไม่กลัวขอรับ ยิ่งรู้ว่าอาจารย์ติดตามมายิ่งไม่มีสิ่งใดให้กลัว”หลีเซียวหยวนนั่งล