อันชิงวันนี้ยังดูตึงเครียดหน่อยๆนางอยากให้ฟู่จาวหนิงไปด้วยกัน และเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะถามถึงเรื่องในเขาเมฆอรุณในตอนนั้น นางเองคงไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรเหมือนกันต่อให้ตอนนี้นางจะวางเรื่องพับไปไว้ข้างๆ แล้วแต่นางก็พูดไม่เก่ง กลัวว่าถึงเวลาแล้วจะทำได้ไม่ดี ตอบกลับไม่ได้ เดี๋ยวตอนหลังต้องมากลุ้มใจอีกอารมณ์แบบนี้ นางไม่อยากจะเจอเลยแต่ถ้าพาฟู่จาวหนิงไปด้วยนางก็รู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเลยฟู่จาวหนิงขึ้นนั่งบนรถม้า ตอนที่อยู่ห่างจากร้านอาหารชิงเว่ยไม่ไกลก็มาเจอกับอันชิงอันชิงรออยู่ที่นั่นแล้ว"พี่หญิงจาวหนิง""ชิงชิงวันนี้สวยมากเลย"ฟู่จาวหนิงพิจารณาตัวอันชิงผาดหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนตรงหน้าสดใสขึ้นมาอันชิงสวมชุดกระโปรงเหลืองหงส์แนบเขียวอ่อน กระโปรงปักผีเสี้อชมพูอยู่หลายตัว รวมผมเปียงูคู่ที่ดูมีชีวิตชีวา มีดอกไม้ผ้าสีชมพูเสียบไว้ ดูราวกับมีชีวิตตอนนี้พอเทียบกับลักษณะสง่างามตามปกติก็ค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ก็ดูเหมาะกับนางมากดูแล้วอ่อนช้อยน่ารักมาก แล้วยังดูมีพลังของวัยหนุ่มสาวด้วยพอสวมชุดเช่นนี้ออกมา ก็ปัดความกังวลข่าวลือต่างๆ ก่อนหน้านี้ออกไป จนทำให้คนรู้สึกได้ถึงความอา
น้ำเสียงน่าฟังฟู่จาวหนิงพูดไม่มีเสียงออกมาสี่คำกับอันชิงนางเองก็กดเสียงเอาไว้ น้ำเสียงน่าฟังของนางทางนี้เป็นการบวกคะแนนเพิ่มให้อย่างมากอืม เสียงของเซียวหลันยวนก็น่าฟังมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาดูอบอุ่นแล้วก็ว่าง่าย น้ำเสียงนั่นกำลังพอดี ถ้าเพิ่มมาหน่อยก็จะเร็วไป น้อยไปหน่อยก็จะช้าไป ฟังแล้วรื่นหูเป็นพิเศษอันชิงมองออกถึงภาษาปากของนาง ดูเขินๆ หน่อยๆเพราะนางเองก็รู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายน่าฟังเช่นกันนางลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาตญาณ คารวะไปทางด้านนั้น"คารวะคุณชายติง"ทางนั้นเองก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อย ฟู่จาวหนิงสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนลุกขึ้นยืนคารวะมาเช่นกัน จงอดขำขึ้นมาไม่ได้สองคนนี้น่าสนใจจริงๆยังไม่ทันจะเห็นหน้ากันเลย ก็คารวะให้กันอย่างจริงจังเสียแล้ว?นางฟังออก ทางนั้นก็เหมือนมีอยู่สองคน เพียงไม่นาน ติงหรานก็เอ่ยขึ้น "แม่นางอันโปรดให้อภัยด้วย ข้าเชิญอาสะใภ้มาเป็นเพื่อนเสียแล้ว ถ้าหากมีเรื่องอะไร จะได้ดีกับแม่นางอันหน่อย"หลังจากนั้นก็เป็นเสียงหญิงสาว ฟังแล้วน่าจะเป็นฮูหยินวัยกลางคน"แม่นางอัน ข้าคืออาสะใภ้รองของติงหราน พี่สะใภ้ข้าสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงให้ข้ามา
อันชิงตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงกลับปฏิกิริยารวดเร็วติงหรานน่าจะคอยใส่ใจเรื่องราวของอันชิงมาโดยตลอด เรื่องนั้นที่โหวอาวุโสน้อยอี้ก่อเรื่องไว้ครั้งที่แล้วก็ทำเอาทั้งเมืองหลวงครึกโครมขึ้นมา เขาเองจึงได้ยินมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น ติงหรานก็น่าจะรู้เรื่องราว ผลลัพธ์ รู้ถึงบทบาทของนางในเรื่องนี้ รู้ถึงเรื่องที่นางทำ"คุณชายติงเกรงใจไปแล้ว ข้ากับอันชิงพอพบกันก็รู้สึกเหมือนเพื่อนเก่า นางตอนนี้เองก็เรียกข้าว่าพี่หญิงด้วย ไม่ต้องมากพิธี"ฟู่จาวหนิงพูดจบก็เหล่มองหยอกล้อไปทางติงหราน ติงหรานเองก็หน้าแดงระเรื่อ รู้สึกขวยเขินขึ้นมาเขาอยากจะขอบคุณฟู่จาวหนิงมาโดยตลอดแต่ตอนนี้พอถูกฟู่จาวหนิงพูดมาเช่นนี้ ติงหรานก็รู้สึกว่าตนเองถูกมองจนปรุโปร่ง จึงรู้สึกเขินขึ้นมาพอสมควรฟู่จาวหนิงไม่อยากให้ติงหรานเห็นว่าอันชิงเป็นสิ่งที่เขาครอบครอง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะสานความสัมพันธ์จนสมบูรณ์ ก็ถือว่าเตือนขึ้นมาเสียหน่อยแน่นอน เขาเองก็ไม่ได้คิดมาก นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี"นั่งลงพูดคุยกันเถอะ"พอเห็นติงหรานเอาแต่ยืน มือของนางก็ค่อยๆ กดต่ำติงหรานจึงนั่งลงฟู่จาวหนิงแอบถอนหายใจ นางเองก็ทำตัวสนิทสนมมากแล้ว พยายามกดความ
"แม่นางอันพอเห็นก็เป็นคนที่ดูกตัญญูและเอาใจใส่ จะต้องเป็นคนที่มือไม้คล่องแคล่วชำนิชำนาญเป็นแน่ แต่ว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าก็เคยบอกมาแล้ว ว่าถ้าติงหรานต้องแต่งงาน พวกเขาก็หวังว่าจะได้เห็นสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว เกื้อกูลกันและกัน มีชีวิตที่ดีและสุขสบายใจก็เพียงพอแล้ว""ข้าอยากจะถามหน่อย" อันชิงตอนนี้ก็รวบรวมความกล้าขึ้นแล้ว มองไปทางติงหราน "ท่าน ท่านหลังจากนี้จะรับภรรยามาอีกกี่คน? ตอนนี้ ตอนนี้มีสาวใช้ในห้องนอนหรือไม่กัน?"นี่เป็นสิ่งที่นางอยากจะถามมากพี่ชายบอกว่า ตนเองอยากจะรู้เรื่องอะไรก็ถามออกไปตรงๆเรื่องที่นางอยากรู้มากที่สุดก็คือเรื่องนี้ติงหรานมองนาง "ข้าจะไม่รับภรรยาอีก พ่อของข้าก็มีแต่แม่ของข้าคนเดียว พ่อของข้าพูดอยู่เสมอ ในบ้านให้ง่ายดายหน่อย ชีวิตก็จะสบายลง พวกเราทั้งบ้านมีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องรับคนมาอยู่ด้วยกันให้มากเรื่อง ดีแต่จะทำให้วุ่นวาย ข้าเองก็คิดเช่นนี้มาตลอด""แล้วข้าก็ไม่มีสาวใช้ในห้องนอนด้วย ก่อนหน้านี้แม่ข้าเคยจัดแจงเรื่องหมั้นหมายให้ข้า แต่ก็ถอนหมั้นไปด้วยเหตุผลบางอย่าง"สะใภ้รองติงมองพวกเขา เอ่ยขึ้นว่า "ติงหรานไม่ชอบพูดให้ร้ายคนอื่นน่ะ ให้ข้าพ
"เดิมทีมันก็ใช่! ข้าตอนนั้นบอกว่าจะพาแม่ของข้าไปใช้ชีวิตด้วยกัน พวกท่านก็ตอบรับแล้วนี่ ข้าบอกให้พ่อกับแม่เขาย้ายออกไป ทิ้งบ้านตระกูลติงไว้ให้พวกเราอยู่ พวกท่านก็รับปากแล้ว!"เริ่นหมิ่นเซียงจ้องติงหราน"นั่นเป็นเพราะบ้านตระกูลติงของพวกเราอยากให้ติงหรานแต่งงานอย่างราบรื่น พอคิดถึงความกตัญญูของท่านที่คิดจะพาแม่มาอยู่ด้วยกัน อันนี้ก็ยังเข้าใจได้ พวกท่านชอบบ้านตระกูลติง พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ข้างยังคิดว่าพวกเขายังมีเรือนเล็กอยู่ สามารถย้ายออกไปได้ พวกเขายอมถอยให้ก้าวแล้วก้าวเล่า เพราะหวังว่าท่านกับติงหรานจะมีวันคืนที่ดีร่วมกัน"สะใภ้รองติงตอนนี้ใบหน้าโกรธเคืองขึ้นแล้วจริงๆนางคิดไม่ถึงเลยว่าเริ่นหมิ่นเซียงตอนนี้ยังมีหน้ากระโจนเข้ามาอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังมาอาละวาดแบบนี้ อาละวาดต่อหน้าพระชายาอ๋องเจวี้ยนก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามาทำให้แม่นางอันโกรธจนออกไป พังงานดูตัวของติงหรานเข้าล่ะ นางอยากจะฉีกเริ่นหมิ่นเซียงเป็นชิ้นๆ จริงๆ"เดิมทีบ้านของพวกเราก็อยากให้พวกท่านได้มีชีวิตที่ดี แต่ใครจะรู้ว่าพูดกันไว้ดิบดี ท่านกลับเอาแต่จะถอนหมั้น ไม่เช่นนั้นจะแฉความลับข้อบกพร่องอะไรของติงหรานออกมา ติงหรานของพวก
"ข้าจะขอเตือนพวกท่าน! ติงหรานเป็นคู่หมั้นของข้า พวกเรายังไม่รีบไสหัวไปอีกหรือ? ไม่เคยเห็นใครหน้าไม่อายเท่านี้มาก่อน ถึงกับฝ่าฝืนคำแม่สื่อของพ่อแม่ แล้วแอบมาเจอกับผู้ชายส่วนตัวแบบนี้!""ท่านพูดจาเกรงใจกันด้วย"อันชิงเองก็โมโหจนลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่านางหน้าไม่อาย นางทนได้ที่ไหน"นี่อันชิงใช่ไหม?" ชายหนุ่มที่ตามเริ่นหมิ่นเซียงมาเอ่ยปากขึ้น "น้องสาวของผู้ตรวจการอันน่ะ"เริ่นหมิ่นเซียงถลึงตาโตจ้องอันชิง"ที่แท้ท่านก็คืออันชิง? ที่ไม่ชัดเจนกับโหวอาวุโสน้อยอี้คนนั้นน่ะหรือ?""เริ่นหมิ่นเซียง!" ติงหรานตวาดด้วยความโกรธ "เจ้าจะมากเกินไปแล้ว! แม่นางอันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แต่เป็นเพราะเจ้าสกุลอี้นั่นมันไม่เอาไหน! ถ้าเจ้ายังกล้าลบหลู่นางอีกเพียงน้อย ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ!""ท่านไม่เกรงใจข้าแล้วหรือ? ติงหราน เดิมทีท่านก็มาลอบนัดพบกับอันชิงใช่ไหม? ไม่ใช่หญิงสาวคนนั้น ท่านจะแต่งงานกับอันชิงหรือ? ท่านบ้าไปแล้วใช่ไหม ท่านรู้ไหมว่านางชื่อเสียงเป็นอย่างไร" เริ่นหมิ่นเซียงเห็นเขาปกป้องอันชิงเช่นนี้ก็เข้าใจขึ้นมา"ชื่อเสียงของนางขาวบริสุทธิ์อย่างมาก! ไม่รู้ว่าดีกว่าเจ้าตั้งเท่าไร! เริ่นหมิ่นเซ
คำพูดที่ติงหรานพูดกับเริ่นหมิ่นเซียง กดเสียงลงต่ำแล้วแต่ฟู่จาวหนิงก็หูดีเกิน ฟังครบทุกถ้อยคำไม่ขาดตกบกพร่องนางรู้สึกว่าโลกใบนี้เล็กจริงๆ ทำไมแค่มาร้านอาหารชิงเว่ยนี่ แค่อยากจะมาพบติงหรานกับอันชิง ก็ยังลากไปเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหนานฉืออีก"ใช่ ท่านรู้ก็ดีแล้ว พ่อของข้าพูดไว้ ครั้งนี้ ฮองเฮารับสั่ง ว่าคนในเมืองหลวงที่พูดภาษาหนานฉือได้ล้วนให้เข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง ถึงตอนนั้นแม่ข้าจะไปขอความดีความชอบต่อหน้าฮองเฮา ไม่แน่อาจจะขอให้ข้าขึ้นเป็นท่านหญิงคนหนึ่งด้วยก็ได้"เริ่นหมิ่นเซียงสมองร้อนวาบขึ้นมา นางจมอยู่กับความเป็นไปได้นี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รู้สึกว่าตนเองกำลังจะล่องลอย"ดังนั้นท่านก็คิดให้ดี ถือโอกาสตอนนี้ที่ข้ายังอยากแต่งงานกับท่าน ไม่พลาดโอกาสนี้ไป รอให้ข้าได้รับความดีความชอบ ถึงตอนนั้นมาคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอนข้า ข้าก็จะไม่เหลียวมองท่านอีกเลย"ติงหรานโมโหจริงจังแล้ว"วางใจได้เลย ไม่มีทางมีวันนั้นแน่นอน ข้าทางนี้ก็จะบอกกับเจ้าให้ชัดเจนอีกครั้ง พวกเราก่อนหน้านี้ตอนที่ยังหมั้นกันก็เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจ้าเลย แค่อยากจะมีงานหมั้น หลังจากแต่งงานก็จะทำหน้าที่ส
"ที่แท้พวกเจ้าก็หวาดกลัวตัวตนฐานะนี้หรือ?ข้าเห็นพวกเจ้ากะเริบเสิบสานเสียขนาดนั้น ยังคิดว่าพวกเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงเสียอีก"ฟู่จาวหนิงรู้สึกน่าขัน ออกแรงที่มือ สะบัดเริ่นหมิ่นเซียงออกไป"พระชายาอ๋องเจวี้ยนก่อนหน้านี้ก็ยืนอยู่ข้างกายอันชิงมาตลอด ตอนนั้นผู้ที่ช่วยอันชิงไว้ก็คือนาง" น้องสาวของหวางจ่างฝูตอนนี้เอ่ยเสียงต่ำกับพวกเขา"เจ้ารู้จักนางหรือ? แล้วทำไมไม่รีบบอก" เริ่นหมิ่นเซียงหน้าขาวซีดนางถอยไปหลายก้าวอ๋องเจวี้ยนนางก็ยังกลัวอยู่หลักๆ คือได้ยินว่าตระกูลเจ้า พวกโหวอาวุโสน้อยอี้ ล้วนถูกอ๋องเจวี้ยนจัดการไปหมดแล้วนางรู้สึกว่าอ๋องเจวี้ยนไม่ควรไปยุ่งด้วย"ข้าจำนางไม่ได้ แต่เคยได้ยินมา"พวกเขาสามคนล้วนถอยหลัง"ช้าก่อน"ฟู่จาวหนิงเรียกพวกเขาไว้"อาละวาดเสียขนาดนี้ก็จะไปแล้วหรือ? มานี่ มาขอโทษข้ากับอันชิงดีดีเสียก่อน""พวกเราออกไปก็พอแล้ว ทำไมต้องขอโทษด้วยกัน? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรนางเสียหน่อย!" เริ่นหมิ่นเซียงค้านขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ"ไม่ได้ตี? แล้วที่เจ้าก่นด่าออกมาเมื่อครู่ล่ะ?""ก็แค่คำด่าเนื้อตัวไม่ได้สึกหรอเสียหน่อย!" เริ่นหมิ่นเซียงไม่ยอม"อย่างนั้นหรือ?"ฟู่จาวหนิ
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้