แม่นางเจี๋ยไม่มีแรงจะต่อต้าน ยอมให้ฟู่จาวหนิงค้นตัวไปรอบหนึ่งนางตอนหลังถึงสงบลงมาได้ แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรฟู่จาวหนิงก็หาไหมใจโลหิตของนางไม่เจอฟู่จาวหนิงค้นของออกมาจากตัวนางได้ไม่น้อยเลย รวมถึงอาวุธลับยาพิษบางส่วน แต่ก็หาไหมใจโลหิตไม่เจอตอนที่นางหยุดค้น แม่นางเจี๋ยก็ยืนยันใจใจแล้ว แล้วยังยกตาท้าทายไปทางนางผาดหนึ่งด้วย"พระชายาอ๋องเจวี้ยน เจ้าแม้จะเป็นพระชายา แต่อายุก็ยังน้อยกว่าข้ามาก จะเป็นมนุษย์ก็ต้องรู้จักวางมารยาทให้เหมาะสม""โอ้ ข้าจะทำสุดกำลังแล้วกัน" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็พิจารณามองนางมองๆ ปิ่นปักผมของนาง มองต่างหูนางในใจแม่นางเจี๋ยตึกตัก เอ่ยต่อว่า "อย่าคิดว่าอ๋องเจวี้ยนเอ็นดูเจ้าแล้วจะทำได้ทุกอย่าง นี่เป็นใต้หล้าขององค์จักรพรรดินะ ไม่ใช่ของอ๋องเจวี้ยน!""ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเขาเอ็นดูข้า?" ฟู่จาวหนิงรู้สึกอยากรู้อยากเห็น "ด้านนอกเขาไปลือกันอย่างไร?"เซียวหลันยวนหันหลังให้พวกเขา พอได้ยินบทสนทนานี้ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร"คนที่เป็นที่โดนโปรดปรานถูกเอ็นดูส่วนใหญ่มักมีจุดจบไม่ค่อยดีนัก" แม่นางเจี๋ยเอ่ยต่อ"อืม ขอบคุณที่เตือน"ฟู่จาวหนิงไม่เอาคำพูดนี้ไ
"ท่านพูดได้ถูกแล้ว"ฟู่จาวหนิงนำไหมใจโลหิตนั่นส่งให้เขา "นี่ คืนหนี้""ตามข้อตกลงเดิม เจ้าเก็บไว้ก่อน" เซียวหลันยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ต้องคิดฟู่จาวหนิงเองก็เหมือนจะไม่ค่อยอึดอัดแล้ว จัดการเก็บของลงมา ราวกับว่าตอนนี้นางเก็บของแทนเขาจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วไหมใจโลหิตอยู่ในมือ ฟู่จาวหนิงก็รู้สึกว่าในใจผ่อนคลายลงอย่างมากเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางคงได้เกิดความรู้สึกที่ว่าติดค้างหนี้ที่ใช้ไม่หมดแน่ๆถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เอาไหมใจโลหิตไปให้จงเจี้ยนใช้เสียแล้ว"นางเองก็เป็นคนจากเผ่าโม๋ลั่วอะไรนั่นหรือ?" ฮู่โม่กับฮู่จิ้งตอนนี้ก็มีปฏิกิริยากลับมาแล้วเผ่าโม๋ลั่วพวกเขาเคยได้ยินมาแล้ว แต่ว่าพวกเขาเดิมทีก็คิดว่านี่เป็นชนเผ่าที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดกับพวกเขา คิดไม่ถึงว่าพวกเขาคนที่เขาเรียกท่านป้ามาตั้งนาน จะเป็นคนจากเผ่าโม๋ลั่ว"น่าจะใช่"ฟู่จาวหนิงพูดกับเซียวหลันยวน "ที่เหลือพวกเจ้าไปไต่สวนกันเถอะ นางไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกับไห่ฉางจวิ้นหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังไม่ใช่แค่ไห่ฉางจวิ้นด้วย นางในเมื่อมีวิชาดูดวิญญาณจากต่างแดน เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไต่สวนจากด้านนี้แล้วกัน ก่อนหน้านี้นางน่าจะใช้
"ตามไม่ทันหรือ?"หลังจากเซียวหลันยวนพอได้ยินรายงานของเขาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่งติดตามฮู่เจียไท่ไปไม่ทันเสียแล้วยิ่งไปกว่านั้นคนที่คุ้มกันอยู่นอกวังจักรพรรรดิก็ยังไม่เห็นเขาเข้าไปในวังด้วย"วิชาตัวเบาของเขาร้ายกาจมาก ยิ่งไปกว่านั้นความระแวดระวังก็สูงมาก"ทหารก้มหน้า ไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับเซียวหลันยวนไม่ว่าจะพูดอย่างไร ติดตามคนไม่ทันก็คือพวกเขาบกพร่องในหน้าที่เซียวหลันยวนโบกไม้โบกมือ "ให้คนจับตาดูวังจักรพรรดิไว้ เขาไม่มีทางปล่อยแผนนี้ไปแน่"หลุมที่ขุดไว้ให้ฟู่จาวหนิงใหญ่เสียขนาดนั้น แล้วยังสามารถลากเขาเข้าไปในหลุมได้อีก นี่ถือเป็นแผนที่ดี ฮู่เจียไท่ไม่มีทางปล่อยวางแน่นอน ดังนั้นเขาต้องเข้าวังแน่เพียงแต่ว่าเขาควรจะรู้ว่าในวังมีคนจับจ้องอยู่ ดังนั้นต้องคิดหาวิธีอื่นเข้าวังแน่"ลุงขิงข้ารักท่านป้าคนนี้มาก"ฮู่โม่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาคำหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางแม่นางเจี๋ยแม่นางเจี๋ยเพิ่งจะถูกปิดตาไปนางพอได้ยินประโยคนี้ ก็โมโหเดือดดาลร้องขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ "ฮู่โม่ เจ้ายังเป็นคนตระกูลฮู่อยู่ไหม? ลุงของเจ้าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ทำเพื่อตระกูลฮู่ แล้วพวกเจ้าสองคนมากินบนเรือนขี้รดบนหล
เมื่อเป็นเช่นนี้ สาวกลัทธิเทพทำลายล้างก็แทรกซึมยังสถานที่ต่างๆ ไปมากแล้วจริงๆ สินะ?เจ้าของเบื้องหลังหอจันทร์หยาดคือฮองเฮา แล้วเช่นนั้นฮองเฮาจะใช่..."ตั้งแต่โบราณก็ไม่เคยได้ยินแคว้นลัทธิเทพทำลายล้างมาก่อนเลย" เซียวหลันยวนพูดออกมาคำหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ"ที่เจ้าไม่เคยได้ยินนั่นก็เพราะเจ้ามันความรู้ตื้นเขิน! ราชวงศ์เทพทำลายล้าง เป็นแคว้นที่เก่าแก่โบราณที่สุด เป็นชนเผ่าที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด ภายใต้การปกครองของราชันเทพ ผู้คนช้วนเคารพศรัทธาต่อราชันเทพ ล้วนซื่อสัตย์ ศิโรราบ ไม่มีการสังหารฆ่าฟัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี และไม่มีความสับสนวุ่นวายอีกด้วย"ฟู่จาวหนิงมองแม่นางเจี๋ย ผลของพิษตอนนี้เป็นช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นแม่นางเจี๋ยจึงเสียการควบคุม ตอนนี้นางจะพูดความจริงออกมามากขึ้นนางส่งสัญญาณกับทหารและฮู่โม่ว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก อย่าไปขัดแม่นางเจี๋ย นางจะพูดออกมารวดเดียวเองคำพูดของแม่นางเจี๋ยทำให้พวกเขาล้วนสั่นสะเทือนจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้วราชวงศ์เทพทำลายล้างมาจากไหนอีกล่ะนั่น?พวกเขาทำไมจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน? ยิ่งไปกว่านั้น มีราชันเทพที่แข็งแกร่งที่ร้ายกาจขนาดนี
"กู่พิษ!"ฟู่จาวหนิงร้องขึ้นมาเสียงหนึ่ง รีบหลีกทางออกมา ขณะเดียวกันก็ผลักทหารที่อยู่ข้างๆ ออกแมลงกู่ตัวนั้นทะลวงร่างออกมาจากในหัวใจของแม่นางเจี๋ย มีความเร็วสูงมากเข็มในมือฟู่จาวหนิงพุ่งฟิ้วออกไปแต่ว่าความเร็วของนางก็ยังช้าไปหน่อย ตอนที่นางคิดว่าน่าจะวืด เซียวหลันยวนก็ดีดลมดัชนีออกไปลมดัชนีที่แข็งแกร่งพุ่งกระแทกแมลงกู่ตัวนั้นอย่างแม่นยำ ได้ยินเสียงระเบิดแตกเบาๆ แมลงกู่ทั้งตัวก็ถูกซัดจนยับเยิน ตอนที่ร่วงลงมาบนพื้นก็มองไม่ออกถึงสภาพเดิมของมันแล้วตอนที่มันพุ่งออกมาบนตัวยังเต็มไปด้วยเลือด และไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินหัวใจไปเต็มท้องหรือว่าเพราะอะไร ตอนที่ร่วงลงมาบนพื้นจึงไม่ใช่แค่ส่วนของแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีกองเลือดเนื้อบางส่วนอยู่ด้วยกลิ่นคาวเลือดวูบหนึ่งแผ่ซ่านออกมาพี่น้องฮู่จิ้งฮู่โม่สองคนนี้ที่ยังดูหนุ่มแน่น พอได้กลิ่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ดูพะอืดพะอมขึ้นมาทันที พุ่งออกไปที่ประตูสำรอกแห้งๆ ออกมาเซียวหลันยวนยื่นมือดึงฟู่จาวหนิงออกห่าง"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? โดนเข้ากับอะไรที่ไม่ควรโดนหรือเปล่า?"สายตาของเขาตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลัวว่าฟู่จาวหนิงจะไปสัมผัสกับพิษกู
ยิ่งไปกว่านั้นผิวหนังของนางก็ยังสูญเสียความยืดหยุ่นและน้ำไปในพริบตา ดูแล้วเหมือนถูกสูบจนแห้งอย่างไรอย่างนั้น เหี่ยวย่นจนเหมือนเปลือกไม้เมื่อครู่นี้ แม่นางเจี๋ยยังเป็นหญิงสาวที่งดงามจับตาคนหนึ่ง แม้จะมีอายุบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงความสาวไม่ดูแก่ชรา ดูทรงเสน่ห์และสง่างามอยู่ ตอนนี้นางกลับดูแก่ลงสามสิบปีในพริบตา จากสาวงามกลายเป็นยายเฒ่าไปเสียแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นศพยายเฒ่าที่ดูน่ากลัวมากอีกด้วย"ดูพอหรือยัง? ดูพอแล้วข้าจะให้คนแบกนางออกไปจัดการเสีย" เซียวหลันยวนถามฟู่จาวหนิงอยากจะพูดมาก ว่าทิ้งศพนางเอาไว้ก่อน นางยังอยากจะแยกชิ้นส่วนเพื่อค้นคว้าสักหน่อยแต่ถ้าคำพูดนี้หลุดออกไป น่าจะทำเอาพวกฮู่จิ้งตกใจขนหัวลุกกันหมด"แม่นางเจี๋ยคนนี้ถึงอย่างไรก็เป็นคนตระกูลฮู่ของพวกเจ้า ศพจนเป็นต้องขนกลับไปไหม?" นางหันไปถามฮู่โม่ฮู่โม่ส่ายหัวทันที เอ่ยขึ้นอย่างโกรธแค้น "พวกเราไม่มีทางยอมรับนางเป็นคนตระกูลฮู่! ศพของนางเองก็ไม่ต้องส่งกลับไปแล้ว พวกเราท่านป้าคนโตคนหนึ่งก็ฝังอยู่ที่เขาสุสานตระกูลฮู่ แต่ก็ไม่มีที่สำหรับนางอยู่ดี"พวกเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าโกรธแค้นแม่นางเจี๋ยขนาดไหนชัดเจนมากว่าแม่นางเจี๋ยมี
เฮ่อเหลียนเฟยรู้สึกว่าอ๋องเจวี้ยนก็ไม่เลวดวงตาเขากลอกหมุน ตัดสินใจจะเปลี่ยนภาพความประทับใจต่ออ๋องเจวี้ยนต่อท่านผู้เฒ่าฟู่ทีละนิด"ท่านปู่ ท่านคิดว่าพี่หญิงฉลาดหรือไม่?"ผู้เฒ่าฟู่ยิ้มขึ้นมาทันที รอยย่นบนหน้าคลายออกไปบ้างแล้ว"แน่นอนสิ จาวหนิงฉลาดเอามากๆ"ก่อนหน้านี้น่าจะเพราะอายุยังน้อยอยู่ คิดอะไรก็ใสซื่อเกิน ตอนนี้พอโตขึ้นมาหน่อย ก็เหมือนตรัสรูขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นดูชาญฉลาดมาก"แล้วท่านรู้สึกว่าพี่หญิงของข้าตอนนี้เหมือนพวกถูกคนหลอกง่ายไหม?" เฮ่อเหลียนเฟยถามต่อ"แน่นอนว่าไม่ใช่"เรื่องที่ฟู่จาวหนิงทำช่วงนี้ล้วนอธิบายได้ทั้งหมด จะมาถูกคนอื่นหลอกง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?"เช่นนั้นก็ถูกแล้วนี่? ดังนั้น ท่่านปู่ที่กังวลว่าอ๋องเจวี้ยนจะเล่นงานพี่หญิงของข้ามาตลอด คิดจะใช้ประโยชน์นาง หลังจากนี้จะทำร้ายนาง แต่ว่าถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง พี่หญิงจะมองไม่ออกเลยหรือ?""นาง""นางถ้าหากมองออกแล้วยังไม่ตัดขาดกับอ๋องเจวี้ยน เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าตนเองก็คงมีแผนการอะไรอยู่" เฮ่อเหลียนเฟยเอ่ยขึ้น "จะว่าไป ข้ารู้สึกว่าพี่หญิงน่าจะพูดกับอ๋องเจวี้ยนจนเข้าใจไปแล้ว""พูดอะไรจนเ
ผู้เฒ่าฟู่มองเขา ไม่รู้ว่าจะต่อคำพูดเขาอย่างไรดีเหมือนกันไปพักหนึ่งเขาถึงแม้จะเอาเฮ่อเหลียนเฟยเป็นหลานชายแท้ๆ ไปนานแล้ว แต่เขากลับพูดถึงชาติกำเนิดของตนเองออกมาอย่างมั่นใจขนาดนี้ แล้วยังคิดว่าตนเองถูกพ่อแม่แท้ๆ ทิ้งอีกด้วย สิ่งนี้มันทำให้เขา..แล้วถ้าเกิดไม่ใช่ลูกหลานของบ้านตระกูลฟู่ขึ้นมา เสี่ยวเฟยจะเสียใจไหมนะ?"เสี่ยวเฟย พวกเราพูดกันแล้ว ว่าหลังจากนี้ไม่ว่าชาติกำเนิดของเจ้าจะเป็นอย่างไร เจ้าก็เป็นหลานของข้า เป็นคนของบ้านตระกุลฟู่ของพวกเรา ท่านปู่กับพี่หญิงของเจ้าก็ยอมรับเจ้านะ"เฮ่อเหลียนเฟยยิ้มขึ้นมา "ขอบคุณท่านปู่ เสี่ยวเฟยรู้แล้ว"ถึงอย่างไรไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลฟู่ฟู่จาวหนิงไปเรือนตระกูลเสิ่นอีกรอบหนึ่งเสิ่นเสวียนพอได้ยินเรื่องที่ในร่างกายแม่นางเจี๋ยมีแมลงกู่อยู่ ก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเองก็ไม่ดีเอาเสียเลย"กู่ทะลวงใจ""ท่านลุงรู้จักหรือ?" ฟู่จาวหนิงรู้สึกเกินคาดหน่อยๆถ้าเสิ่นเสวียนรู้จักแมลงกู่ล่ะก็ นางก็คงไม่ต้องไปตรวจสอบอีกแล้ว"กู่ทะลวงใจอันที่จริงชื่อว่ากู่ชุบเลี้ยงใจ คนที่เลี้ยงกู่รู้สึกว่าแมลงกู่ชนิดนี้เลี้ยงไว้ในร่างกาย ทุกวันสามารถช่วยขจัดอาก
"หมอเทวดาฟู่"ทุกคนราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน ทำความเคารพฟู่จาวหนิงกันอย่างระมัดระวังพวกเขาอันที่จริงอยากจะคุกเข่าลงโขกศีรษะด้วยซ้ำ แต่พวกสืออีกประคองตัวไว้ เป็นสัญญาณว่าพวกเขายืนไว้ก็พอ"เรียท่านหมอฟู่ก็พอแล้ว"ฟู่จาวหนิงเองก็จนใจหน่อยๆ พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากฏพวกนี้ตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ที่ว่าพอเข้าร่วมสมาคมหมอใหญ่ จะถูกเรียกว่าหมอเทวดาอันที่จริง เทวดาก็ไม่ได้เป็นเทวดาอะไร นางเองก็มีโรคที่รักษาไม่ได้เหมือนกัน"ทุกคนรู้จักกันไว้ก่อนก็พอ อีกเดี๋ยวข้าจะจับชีพจรให้พวกเจ้าทั้งสิบคน ถ้ามีตรงไหนไม่สบาย มีโรคระบาดอะไรให้บอกข้าไว้ก่อน"ในเมื่อต้องใช้พวกเขา ฟู่จาวหนิงก็ต้องตรวจอาการพวกเขาก่อน"ข้าไม่มีโรคอะไร ข้าชื่ออาเหอ ใต้เท้าอันให้ขาพาพวกเขามา แล้วต้องฟังการกำชับจากหมอ ท่านหมอฟู่"อาเหอมองฟู่จาวหนิง รู้สึกประหม่าหน่อยๆหมอเทวดาหญิงที่สูงส่งเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะรังเกียจพวกเขาไหม"ได้ ไม่ต้องเครียดนัก บอกชื่อของตัวเองมาหน่อย"อาเหออันที่จริงก็ไม่ค่อยเชื่อนักว่าพูดเพียงรอบเดียว ฟู่จาวหนิงก็จะจำชื่อพวกเขาได้ แต่ว่า ได้พูดชื่อของตนเองออกมารอบหนึ่งต่อหน้านาง พวกเขากลับรู้สึกว่า
อันเหนียนเองก็เป็นคนมีความสามารถ ฟู่จิ้นเชินเองก็ด้วย สองวันต่อมาพวกเขาก็ไม่อยู่บนรถม้าแล้ว แต่ออกไปเดินกับพวกผู้ประสบภัยเวลาสองวัน พวกเขาสองคนก็เลือกผู้ประสบภัยมาสิบคน ถึงเวลาสามารถนำมาใช้งานได้เป็นพวกที่ซื่อๆ คล่องแคล่วไม่พูดมาก เนื่องจากในบ้านประสบภัยจนไปต่อไม่ไหวแล้วจึงตรงมาที่เมืองเจ้อ แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะเอาแต่ขอความช่วยเหลือจากจวนทางการ แต่ยังคิดว่าหลังจากถึงเมืองเจ้อแล้วจะทำอะไรได้บ้าง เอามาแลกข้าวไปกินฤดูใบไม้ผลเมืองเจ้อหนาวเย็น พวกเขาอย่างน้อยยังต้องผ่านมันไปอีกสองเดือนภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ อากาศเย็นๆ เอาชีวิตพวกเขาไปได้ ถึงอย่างไรก็กลัวจะไม่มีที่คุ้มกะลาหัว กลัวไม่มีข้าวต้มร้อนๆ กิน และยิ่งไม่มีเงินที่จะหาหมอซื้อยาด้วยอันเหนียนกับฟู่จิ้นเชินเลือกผู้ประสบภัยมาสิบคน ว่าจ้างพวกเขาชั่วคราว ถึงเวลาถ้าช่วยเหลือได้ ก็รับประกันว่าได้กินอิ่ม เจ็บป่วยมียาให้สิ่งนี้ถือว่าดีมากๆ สำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นในใจก็เกิดความปลอดภัยขึ้นมาทันทีพวกเขาอย่างน้อยยังมีประโยชน์บ้าง ยังมีความรู้สึกพึ่งพาได้ ตอนมาถึงเมืองเจ้อก็ไม่ต้องชะเง้อซ้ายขวา ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน จะถูกจัดแจงที่พั
"จาวหนิง พวกเราต้องเร่งเดินทางแล้วกระมัง?"ฟู่จิ้นเชินให้พวกสืออีไปตรวจสอบรถม้าแต่ละคันอีกหน่อย ดูว่าสัมภาระมัดแน่นดีหรือไม่เขาเองก็ไม่คิดจะเปลืองน้ำลายอธิบายเรื่องนี้ความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว เมื่อครู่จูเฉียนเฉี่ยนก็พูดเรื่องที่พวกเขาเคยเจอกันออกมาชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรให้อธิบายอีกยิ่งไปกว่านั้น ปฏิกิริยากับการจัดการของฟู่จาวหนิงก็เด็ดขาดไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก"รีบเดินทางเถอะ" ฟู่จาวหนิงเองก็ไม่ติดใจกับเรื่องนี้อันที่จริง เรื่องราวก็แค่นี้เอง ทุกคนเข้าใจแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นเซียวหลันยวนเองถ้าเจอกับเรื่องนี้ หลังจากนางชัดเจนแล้วก็จะปล่อยมันไปเหมือนกัน แล้วนี่ก็เป็นพ่อของนางด้วยนะเพียงไม่นาน ทุกหลังจากที่พวกเขาจัดขบวนเรียบร้อยก็เดินทางต่อ ทิ้งจูเฉียนเฉี่ยนทั้งขบวนไว้ด้านหลังจูเฉียนเฉี่ยนมองเงาของพวกเขาที่จากไป ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น"แม่นาง ช่างมันดีกว่าไหม?" ไฉ่เอ๋อร์อดเตือนนางขึ้นมาไม่ได้ "คุณชายฟู่คนนั้น ดูแล้วก็ไม่ได้ต้องการให้แม่นางตอบแทนนี่นา แล้วก็แม่นางข้างๆ เขาคนนั้น ข้ากลัวอยู่หน่อยๆ ด้วย"ฟู่จาวหนิงหน้าตาสะสวย ดูแล้วยังอายุน้อย ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะ
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแม่นางจูก็มาตอบแทนบุญคุณด้วยการทำร้ายสินะ"อะไรนะ?จูเฉียนเฉี่ยนมองนางอย่างงงงัน"ข้า ข้าจะมาตอบแทนด้วยการทำร้ายได้อย่างไร?" นางยังไม่ได้เริ่มเลยนะ"เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่คนของข้าลงมือ เจ้ารู้ไหมว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร?" ฟู่จาวหนิงเดิมทีก็ใช้ท่าทีคนแปลกหน้ากับนางอยู่แล้ว พอตอนนี้มารู้อดีตเข้า ท่าทีของนางก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิมเสียอีก"ข้าเองก็ไม่ได้เจตนานี่นา ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ายาที่คนคนนั้นขายให้ข้าจะรุนแรงขนาดนี้""เจ้าจะเจตนาหรือไม่มันเป็นเรื่องของเจ้า แต่พวกเรามองแค่ผลลัพธ์ เพราะไม่ว่าเจ้าจะมีหรือไม่มีเจตนา เรื่องราวสุดท้ายก็เป็นเจ้าที่ทำมันขึ้น ก่อนหน้าที่เจ้าจะทำเรื่องนี้ก็ได้พิจารณาที่จะไล่ตามมาไว้แล้ว ถ้าไม่พิจารณาเลยว่าจะส่งผลกระทบอะไรกับพวกเราบ้าง"ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ "พวกเราตอนนี้เท่ากับช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้แล้วครั้งหนึ่ง ครั้งที่แล้วเขาช่วยเจ้า สิ่งที่แลกมาคืออันตรายครั้งหนึ่ง ครั้งนี้พวกเราช่วยเจ้า ใครจะรู้ว่าครั้งต่อไปเจ้าจก่อเรื่องอะไรออกมาอีก? การเดินทางพวกเราตอนนี้ถูกเจ้าทำให้ล่าช้า ถ้าหากพวกเรามีเรื่องที่เร่งด่วนเกี่ยวกับชีวิตคน เช
ข้ารู้ว่าท่านไม่น่าจะลืมข้าคำพูดนี้มันคลุมเครือเสียเหลือเกินฟู่จาวหนิงมองพ่อนาง สีหน้าเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหน่อยๆฟู่จิ้นเชินรักหวานชื่นกับเสิ่นเชี่ยวมาตลอด แล้วยังมีภาพลักษณ์ที่ซ์่อสัตย์มั่นคงด้วย พวกเขาปกติตอนที่อยู่ด้วยกัน ก็มองออกได้ง่ายมากกว่ามีความรู้สึกให้กันดีมากๆอย่าให้จู่ๆ ก็มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ขึ้นมาเชียว ความสงบสุขที่ตระกูลฟู่ได้มาอย่างยากลำบากอาจจะพังทลายลงได้ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเสิ่นเชี่ยวน่าจะไม่ใช่คนที่จะยอมรับหญิงสาวคนอื่นมาแบ่งสามีตัวเองไปได้ด้วยฟู่จิ้นเชินหลังจากได้ยินประโยคนั้นของจู่เฉียนเฉี่ยน ก็มองไปทางฟู่จาวหนิงทันทีพอสบกับสีหน้านาง เขาก็อธิบายออกมา แน่นอนว่าเป็นการอธิบายถึงเหตุการณ์ตอนนั้น"ตอนนั้นแม่ของเจ้าป่วย ไข้ขึ้นจนมึนไปหมด ข้าให้นางพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ส่วนข้าเองก็ออกไปซื้อยา แล้วที่ด้านนอกร้านยานั้นก็เจอกับแม่นางคนนี้ โอ้ ตอนนั้นนางแต่งตัวเป็นชาย นางกำลังนำยาห่อหนึ่งให้กับหมอพเนจรคนหนึ่งดู""ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหมอพเนจรอะไร เขาบอกว่าเขาเป็นหมอเทวดาจากสมาคมหมอใหญ่" จูเฉียนเฉี่ยนอธิบายมาคำหนึ่ง"วัตถุดิบยาห่อนั้นของนางมองแล้วดูดีมีค
จูเฉียนเฉี่ยนเห็นพวกเขาเข้ามา ก็ทำท่าทางน่าสงสารขึ้นหลักๆ คือมองไปทางฟู่จิ้นเชินอันเหนียนเพิ่งจะถามไปไม่กี่คำ พอเห็นท่าทางนางเช่นนี้จึงถอยออกไปสองก้าว ให้ฟู่จาวหนิงขึ้นหน้ามา"แม่นางจูสินะ?" ฟู่จาวหนิงยืนอยู่ด้านหน้าจูเฉียนเฉี่ยน สายตาเย็นเยียบ"ใช่แล้ว จูเฉียนเฉี่ยน" จูเฉียนเฉี่ยนรีบตอบ"พูดมา เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?"ฟู่จาวหนิงถามออกมาตรงๆ สายตามีอาการบีบคั้นเล็กน้อย ไม่ยอมให้นางได้มีโอกาสเลี่ยง"ข้า ข้า...""เจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยตอบ ข้าไม่ยอมรับคำโกหก เพราะพวกเจ้าเมื่อครู่เกือบทำพวกเราแย่ไปด้วย" ฟู่จาวหนิงเห็นตาของนางหลุกไปหลิกมา จึงตัดบทคำพูดนางทันทีสายตานางเฉียบคมขนาดนี้เลยหรือ?จูเฉียนเฉี่ยนมองฟู่จาวหนิง รู้สึกแค่ว่าตนเองตอนอยู่ต่อหน้านางไม่เหลือความลับอะไรอยู่อีกแล้วอย่างไรอย่างนั้น สายตาฟู่จาวหนิงมองมาอย่างคมกริบ แล้วยังดูน่าเกรงขามอีกด้วยแม่นางคนนี้ดูแล้วเหมือนไม่ได้โตกว่านางเลย ทำไมถึงดูน่าเกรงขามขนาดนี้กัน?"ม้าของเจ้ากินยาแล้วคลั่งขึ้นมา เจ้าอย่าบอกข้า ว่าพวกเจ้าไม่รู้" ฟู่จาวหนิงเอ่ยขึ้นมาให้ชัดเจนหน่อยไฉ่เอ๋อร์ถลึงตาโตอย่างตกใจ มองไปทางแม่นางของนางโดยสัญชา
จูเฉียนเฉี่ยนใจเย็นลงมา ก็รู้ว่าคงเลี่ยงไม่พ้นแล้ว เลิกม่านรถขึ้น สบตากับอันเหนียนคุณชายคนนี้เมื่อคืนก็ดูสุภาพเรียบร้อยดี แต่ตอนนี้กลับดูมีอำนาจน่าเกรงขาม ทำเอาเธอกลัวตัวสั่นจนไม่กล้าลงจากรถม้าเลย"แม่นางจูไม่เป็นไรใช่ไหม?"ใครจะคิด ว่าพออันเหนียนเอ่ยปากก็ถามไถ่อย่างเป็นห่วงจูเฉียนเฉี่ยนถอนใจโล่งออกมา "ยัง ยังไหว""ลงจากรถม้าก่อนดีไหม?"ถึงอย่างไรรถม้าาคันนี้ ม้าที่ลากรถก็ล้มไปแล้ว ตอนนี้คงเดินไม่ได้ ลงมาก่อนน่าจะดีกว่าคนใช้อีกสามคนของนางยังอยู่บนรถม้า อันเหนียนรู้สึกว่าคุยอะไรมากไม่ได้"พวกเราจะลงไปเดี๋ยวนี้"จูเฉียนเฉี่ยนนิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายใต้ปฏิกิริยาที่สงบอ่อนโยนของอันเหนียนอดพูดไม่ได้เลย ท่าทีของอันเหนียนสามารถปลอบอารมณ์ให้เย็นได้ดีจริงๆพอนางลงจากรถม้า ยังยื่นมือมาประคองสาวใช้ไฉ่เอ๋อร์อีก แล้วยังประคองหญิงรับใช้กับไฉ่เอ๋อร์ลงมาด้วยกัน"ไปพักทางนั้นก่อนเถอะ"อันเหนียนตอนที่ลงจากรถพวกนางก็มองไปรอบๆ เห็นว่าไม่ไกลนักที่พื้นหญ้าที่ค่อนข้างสะอาดอยู่ ที่นั่งยังมีหินอีกหลายก้อน บางทีก่อนหน้านี้อาจจะมีคนผ่านทางมาพักตรงนั้น หินจึงค่อนข้างเรียบ"เสี่ยวเจียง ไปเอาพรมม
ฟู่จาวหนิงเองก็ได้ยินการเคลื่อนไหวด้านอกแล้ว ขบวนรถของพวกเขาหยุดลงมา องครักษ์ควบม้าเข้ามา เอ่ยขึ้นเสียงร้อนรน "พระชายา ม้าของพวกเขาเสียการควคุม ดูผิดปกติมาก"ฟู่จาวหนิงขมวดคิ้ว กระโจนลงจากรถ เดินออกมาไม่กี่ก้าวมองไปด้านหลัง แล้วก็เห็นรถม้าหลายคันทะยานย่ำโคลนพุ่งเข้ามาจริงๆ"พวกเจ้ามั่นใจว่าช่วยได้ไหม?" นางถาม"ลองดูได้""เดี๋ยวก่อน" ฟู่จาวหนิงขึ้นไปบนรถม้าแล้วหยิบเข็มกำหนึ่งลงมาทันที "เข็มยาชา แทงใส่ม้า ระวังด้วย"พวกเขามีกำลังภายใน ใช้สิ่งนี้จะดูเก่งกาจกว่านางหน่อยองครักษ์รับเข็มไปทันที หลายคนหันม้าเข้าไปหาพวกของจูเฉียนเฉี่ยนคนใช้ของอีกฝ่ายลนลานไปแล้ว "หลีก หลีกไป! พวกเราหยุดไม่ได้!"ถ้าทั้งสองฝ่ายควบม้ามาชนกัน ต้องมีคนตายแน่การปะทะเช่นนี้ ถ้าล้มจากม้า จะต้องถูกเหยียบตายแหง"จับให้แน่น!" องครักษ์สองมือยกขึ้น เข็มก็พุ่งสาดออกไปราวห่าฝน แทงไปบนตัวม้าองครักษ์สองคนด้านหลังก็ไม่ลดความเร็ว พุ่งเข้าไปหาต่อ ควบม้าเอียงตัวหลบ จากนั้นยื่นมือไปคว้าอีกฝ่ายดึงขึ้นมาบนหลังม้าของตนเอง ยกเท้าเตะหัวม้า ให้ม้าเบนออกไปข้างทางส่วนม้าที่ลากรถม้าด้านหลังก็ถูกแทงไปหลายเข็ม ชั่วเวลาครู่เดียว
เพราะเมื่อคืนนี้ฝนตกทั้งคืน ตอนเช้าในช่วงเส้นทางนี้ ความเร็วขบวนรถจึงเน้นไปที่ความเสถียรเป็นหลักฟู่จาวหนิงเดิมทีคิดว่าจากเมืองหลวงไปเมืองเจ้อน่าจะสามสี่วันก็ไปถึง แต่ต่อมาพอถามฟู่จิ้นเชินกับอันเหนียน จึงรู้ว่าที่เซียวหลันยวนบอกว่าสามสี่วันไปถึง นั่นคือความเร็วของการขี่ม้าคนเดียวแต่แบบพวกเขาที่ขนสัมภาระมากมายเช่นนี้ กลางคืนยังต้องเข้าพัก หยุดพักเพื่อกินข้าวสามมือ ก็ต้องใช้เวลาประมาณหกวัน บวกกับเรื่องฝนหรืออย่างอื่น ความเร็วก็จะยิ่งช้าลง อาจจะไปถึงเจ็ดแปดวันดังนั้นนางจึงส่งองครักษ์สองคนขี่ม้านำไปสำรวจทางข้างหน้าก่อนแล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงในสามสี่วัน แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกและเพราะไปได้ช้า จึงถูกคนอื่นตามขึ้นมาแล้วรถม้าของอันเหนียนอยู่หน้าขบวน ฟู่จาวหนิงนั่งอยู่รถม้าคันกลาง เดิมทียังมีรถม้าของฟู่จิ้นเชินตามอยู่ด้านหลังอีก แต่เพราะระหว่างทางพวกเขาต้องรีบเรียนรู้ ดังนั้นฟู่จิ้นเชินจึงอยู่บนรถม้าฟู่จาวหนิงเป็นส่วนใหญ่ด้านหลังมีรถสัมภาระอีกหลายคัน ด้านหลังก็เป็นองครักษ์จวนอ๋องคุมท้ายเพราะล้วนเป็นคนที่ฝึกยุทธ์มา พวกเขาอยู่ท้ายขบวนจึงได้ยินการเคลื่อนไหวด้านหลัง ว่ามีคนไ